หลายครั้งที่คนทำหนังไทยหารือกันเพื่อพาวงการก้าวไปข้างหน้า แต่มันมักจะไปได้ไม่ไกลจากที่เป็นอยู่ แล้วมักจบลงด้วยการมองหาผู้สนับสนุนที่ถึงพร้อมทั้งกำลังทรัพย์ทั้งยังมีความรู้และความรักในวงการหนังไทยสักคน มาพามันออกจากวังวนแห่งความสิ้นหวังนี้เสียที
ในเมื่อรัฐไม่สามารถทำหน้าที่ดังกล่าวได้ บางทีความหวังอาจอยู่ที่ภาคเอกชนสักราย และชื่อของ ‘โก๋แก่’ และ ‘โก๋ฟิล์ม’ จะได้รับการพูดถึงอยู่เสมอ เพราะเป็นผู้สนับสนุนที่ปรากฏชื่ออยู่ในหนังอิสระและกิจกรรมเกี่ยวกับการดูหนังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังอย่าง ‘ไทบ้านเดอะซีรีส์’, ‘หน่าฮ่าน’, เป็นทัพหลังให้ HAL กับ Documentary Club ค่ายนำเข้าหนังอิสระ, โรงหนัง ‘สกาล่า’ และเพจ Film Club ของเรา… นั่นหมายความว่า ‘โก๋แก่’ และ ‘โก๋ฟิล์ม’ ไม่ได้สนับสนุนการสร้างหนังเพียงอย่างเดียว แต่ยังครอบคลุมไปถึงการมีส่วนร่วมในวัฒนธรรมการดูหนังในมิติอื่นๆ ด้วย
จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ และ กฤษดา รวยเจริญทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานแม่รวย จำกัด คือสองพี่น้องที่นอกจากจะบริหารถั่วโก๋แก่และผลิตภัณฑ์ในเครือแล้วยังเป็นนักดูหนังตัวยงด้วย ทั้งคู่คือผู้อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนวงการหนังอิสระด้วยเป้าหมายที่ต่างกัน จุมภฏรักในการทำหนัง ส่วนกฤษดารักที่จะเห็นหนังขับเคลื่อนสังคม แต่ทั้งคู่มีความเห็นตรงกันว่า ความเป็นศิลปะของหนังจะสร้างมูลค่าได้มหาศาล นี่จึงคือที่มาของแรงสนับสนุนอย่างที่เห็น
หนังมันถูกจำกัดด้วยค่ายหนังเพียงไม่กี่ค่าย ออกมาก็เป็นหนังตลาดเสียส่วนใหญ่ ถ้ามีใครสักคนหนึ่งที่ทำให้วงการหนังไทยมีความหลากหลาย เราก็ยินดีช่วยเขา อาจจะเป็นเงินไม่มากนักนะครับ แต่มันก็พอจะทำให้คนได้เห็นอะไรใหม่ๆ บ้าง
การเข้ามาในวงการหนังอิสระของโก๋แก่และโก๋ฟิล์มเป็นอย่างไร
กฤษดา : พื้นฐานพี่น้องเราโตมากับหนัง สมัยก่อนร้านบล็อกบัสเตอร์เป็นแหล่งรวมของพี่น้องเราเลยนะ ต่างคนต่างก็จะไปเช่า เลยเกิดปรากฏการณ์เช่นพี่น้องเช่าวิดีโอซ้ำกัน เรียกว่าหนังมันเป็นเรื่องที่พี่น้องเราคุยกันตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ต่างคนต่างก็ชอบหนังคนละแนว พอตอนหลังมาทำงานกัน ก็ต้องเริ่มจากพี่ต้นนี่แหละที่แกจะมีความชอบส่วนตัว อยากเป็นผกก.หนัง ก็ทำหนังอะไรของแกแล้วต่อยอดมาเรื่อยๆ ทำให้รู้จักคนในวงการ ส่วนผมเองก็ไปทำสายกราฟิก ทำไปทำมาก็ได้รู้จักคนในวงการหนังบ้างเหมือนกัน จนทำมาเรื่อยๆ พี่ต้นก็มาทำโก๋ฟิล์ม
จุมภฏ : ของผมอีกมุมนึง ผมชอบศิลปะก็มีวาดรูปบ้างแต่ไม่สนุกเท่ากับหนัง มันมีทั้งภาพและเสียง มีการเล่าเรื่องอยู่ในนั้น และมันมีศิลปะหลายอย่างอยู่ด้วย ทีนี้พอเริ่มทำโก๋ฟิล์มแรกๆ ก็เป็นงานอดิเรกทำหลังเลิกงาน เริ่มต้นก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปในวงการหนังต้องเจอใครดี ซึ่งคนแรกที่ผมได้เจอและชักจูงเข้าไปคือ พี่หมู BIOSCOPE (สุภาพ หริมเทพาธิป) เพราะตอนนั้นเราก็อ่านอยู่ แกก็แนะนำให้ผมรู้จักกับพี่อังเคิล (อดิเรก วัฏลีลา) วันนั้นคุยกันสามคน นั่นคือมีตติ้งแรกในวงการหนังของผมเลย จนถึงตอนนี้จะว่ามันมั่นคงในระดับหนึ่งแล้วก็ได้ เราได้เจอกับคนในวงการอีกหลายคน เลยรู้สึกว่าสำหรับหนังไทย แต่ทำไมเราต้องไปขอทุนต่างประเทศ และหนังมันถูกจำกัดด้วยค่ายหนังเพียงไม่กี่ค่าย ออกมาก็เป็นหนังตลาดเสียส่วนใหญ่ ถ้ามีใครสักคนหนึ่งที่ทำให้วงการหนังไทยมีความหลากหลาย เราก็ยินดีช่วยเขา อาจจะเป็นเงินไม่มากนักนะครับ แต่มันก็พอจะทำให้คนได้เห็นอะไรใหม่ๆ บ้าง
กฤษดา : เมืองไทยมัน undervalued งานศิลปะมากๆ เราไปให้ความสำคัญกับสิ่งอื่น ซึ่งผมอยากจะไฟต์มันด้วย นี่เป็นแรงขับเคลื่อนหนึ่ง ผมมองว่าหนังเป็นเครื่องมือที่ดีมาก มันสามารถพูดถึงเรื่องที่คนไม่เคยเห็น เรื่องที่รัฐเมิน หนังมันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังเพราะศิลปะทุกอย่างมันอยู่ในนั้น สามารถสร้างความจริงเสมือนขึ้นมาได้ สามารถเล่าเรื่องอะไรก็ได้ผ่านหนัง ในแง่หนึ่งศิลปะมันใช้เพื่อสังคมได้ แล้วศิลปะที่ไม่ใช่แค่หนังนะ เพลงหรืออะไรก็ตามมันทำเป็นอุตสาหกรรมได้ ในสังคมที่เจริญแล้วเขาให้ความสำคัญกับศิลปะมาก แล้วศิลปะมันจะสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ คือของทุกอย่างมันมีศิลปะแฝงอยู่ในนั้น เช่น สตีฟ จ๊อบส์ เขาก็มีความเป็นศิลปินอยู่ ลองแยกส่วนผลิตภัณฑ์ของเขาดูจะเห็นว่าค่าเทคโนโลยีมันไม่กี่บาทหรอก แต่ความเป็นศิลปะที่เขาใส่เข้าไปในนั้นมันเป็นตัวสร้างมูลค่า
อย่างผมดู Where to Invade Next เขาไปสำรวจโรงงานดูคาติ ถามว่ามันเป็นศิลปะรึเปล่า มอเตอร์ไซค์เราก็ทำได้ แต่มอเตอร์ไซค์อย่างดูคาติมันมีศิลปะในนั้น เพราะงั้นเราต้องการจะสร้างสภาพนิเวศน์ที่คนจะให้ความสำคัญกับศิลปะ เราอยากให้งานศิลปะมันสร้างมูลค่าได้ สุดท้ายแล้วเราก็จะเป็นประเทศ OEM (ผู้รับจ้างผลิตสินค้าให้แบรนด์ต่างๆ) คือเราจะเป็น OEM ให้กับทั่วโลกไปแบบนี้เหรอ ทำไมเราไม่เป็นผู้ผลิตคอนเทนต์เองล่ะ
จุมภฏ : อย่างไปอังกฤษ หรือฝรั่งเศส มันจะมีที่ที่โรแมนติก ที่ที่ทำให้เมืองมันน่าอยู่ขึ้น เช่น บางทีเราพาแฟนไปเดินมิวเซียม ไปเดินสวนสาธารณะ มันมีศิลปะในตัวของมัน หรือบางทีมันมีสิ่งก่อสร้างบางแห่งที่เราอยากให้มีในบ้านเราบ้าง
กฤษดา : ผมว่าพ่อแม่สมัยนี้เขาก็เริ่มตระหนักกันนะ อย่างยุคเรานี่สายวิทย์อย่างกับเทพเจ้า สายศิลป์แทบจะไม่มีแดก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว ปัญหาคือ ภาครัฐล่ะ เขายังตามทันรึเปล่า เราก็ทำเท่าที่เราทำได้ เราก็อยากให้ภาครัฐเขามาสนใจด้วย
จุมภฏ : แฟนผมเขาติด Crash Landing on You เมื่อตอนยุค Il Mare หนังเกาหลีกับเราก็ยังไล่ๆ กันอยู่ จนมาดูเรื่องนี้โอ้โหมันไปไกลกว่าเรามากแล้ว แต่เราเองยังอยู่ใน soap opera
กฤษดา : หลายคนก็พูดนะว่าเกาหลีก็เป็นตัวอย่างที่ดีในการส่งออกวัฒนธรรม มันสามารถสร้างมูลค่าได้ขนาดนั้น และมันก็ทำงานต่อเนื่องกันนะ อย่างวันนี้จีนก็สามารถผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ในโลกได้ทุกอย่างแล้ว เหมือนที่มีคำพูดว่าพระเจ้าสร้างโลก แต่ว่าทุกอย่างผลิตในจีน อย่าง Xiaomi กับ Samsung แบรนด์หลังมันจะมีวง BTS มีหนังเกาหลีอะไรพวกนี้แบ็คอัพมันอยู่ จนมีความรู้สึกว่ากูใช้ของมันแล้วคูลกว่า มันทำงานร่วมกันด้วยนะ ไอ้ฮาร์ดแวร์คือโปรดักท์ที่จับต้องได้ กับซอฟต์แวร์หรือสินค้าเชิงวัฒนธรรมมันทำงานควบคู่กัน คือมันสร้างและยกระดับประเทศกันขึ้นมาเลย หรืออย่างญี่ปุ่นนี่เศรษฐกิจเขาเริ่มดาวน์ลงไปแล้วนะ เขาเลยกลับมาดูว่าสิ่งที่น่าจะมากู้เศรษฐกิจเขาคือวัฒนธรรมอนิเมะ วัฒนธรรมคาวาอี้ ไม่งั้นโอลิมปิกเขาคงไม่เอาโงกุนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ คือเมืองไทยเราควรจะสนับสนุนซอฟท์พาวเวอร์ เห็นความสำคัญของการส่งออกวัฒนธรรม
จุมภฏ : ไทยเราเองจะมีอยู่ยุคนึงที่มันมีการส่งออกวัฒนธรรมอย่าง ‘นางนาก’ ‘ชัตเตอร์’ ช่วงนั้นผมก็ทำงานกับต่างประเทศด้วย พอเราเจอลูกค้าต่างประเทศเขาก็ถามว่ายูดูหนังเรื่องนี้หรือยัง ฮอลลีวูดยังมาซื้อบทของเราไปทำ อันนี้เราส่งออกวัฒนธรรมไปแล้ว ไหนจะเรื่องผี เรื่องความเชื่อ อันนี้เราปฏิเสธไม่ได้ หรืออย่างหนังพี่เจ้ยที่ได้ปาล์มทองจากเรื่อง ‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ เขาก็ขายความเป็นวัฒนธรรม
หรืออย่างตอน ‘องค์บาก’ ที่ทำให้ฝรั่งคลั่งมวยไทยและมาร์เชียลอาร์ทกันเยอะมาก แต่ไม่ได้ผลักดันมันต่อเนื่องจริงจัง
กฤษดา : ผมถึงคิดว่าซอฟท์พาวเวอร์เป็นสิ่งที่น่าส่งออก มันเป็นพันธกิจของเราในการที่จะสร้างสังคมที่ให้คุณค่ากับศิลปะ สุดท้ายแล้วมันจะยกระดับได้ทั้งสังคม
เคยคุยกันว่า วงการหนังไทยต่อให้ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐมากแค่ไหน แต่มันคงไม่เป็นรูปธรรมได้เท่าการมีคนที่มีกำลังพร้อมสนับสนุนและมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี
จุมภฏ : จริงๆ จะมีนายทุนกลุ่มนึงที่เขาคุยกันนะ อย่างเช่นมีหนังเรื่องนึงมาขอทุนเขาก็มีการคุยกันเองอยู่ว่าควรลงเงินแค่ไหนดี แต่อาจจะไม่เข้มแข็งอะไรมากมาย
กฤษดา : จริงๆ กับ ‘โก๋แก่’ เราวินวินด้วย เพราะความที่เรามีแบรนด์ ทันทีที่เราไปสนับสนุนหนังแล้วเรามีโปรดักท์ที่จับต้องได้ด้วย เราเองก็ไม่ได้มีเงินมากมายอะไรขนาดนั้นหรอก ถ้ามีนายทุนใหญ่เขาสนใจด้วยก็ดี (หัวเราะ) มันก็จะยิ่งทรงพลัง
จุมภฏ : ผมคิดอีกอย่างนะ ทำโรงหนังกันเองเลย เพื่อให้มีความหลากหลายเพิ่มขึ้นมา อาจจะไม่ได้หวังผลประโยชน์หรือหวังผลกำไร
กฤษดา : ความฝันของผมเลยนะ คือซื้อที่กลางใจเมืองสักที่นึงแล้วทำเป็นพื้นที่สาธารณะ ถ้าผมมีเงินระดับหมื่นล้านผมคงทำ ให้คนมาปล่อยของ ให้คนมาใช้ชีวิตกัน อย่างไปต่างประเทศเช่นออสเตรเลีย เราเห็นผังเมืองเขาแล้วรู้สึกว่าคนออกแบบเขาให้เกียรติประชาชน สวนสาธารณะเขาก็จะดีมาก แล้วก็มีสเปซที่ให้คนเดิน ให้คนมาใช้ชีวิตกัน ของเราลองไปพิพิธภัณฑ์เด็กดูสิ สิบชิ้นนี่อาจจะเสียสักสิบเอ็ด (หัวเราะ) ซึ่งรัฐไม่ทำพื้นที่ตรงนี้ไง ถ้าผมรวยกว่านี้คงทำเองไปแล้ว พอเราทำพื้นที่สาธารณะให้ดีมันก็จะต่อยอดกันไป ผมเห็นคนมาเต้นบีบอย มาเต้นคัฟเวอร์ ลูกผมเห็นก็เป็นแรงบันดาลใจต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วพื้นที่สาธารณะตรงนี้เอามาทำนิทรรศการก็ได้ เช่น เรื่องที่รัฐไม่อยากให้คนรู้ เรื่องคนชายขอบ เรื่องประเด็นที่เป็นการเมือง ทั้งที่จริงแล้วการเมืองมันก็อยู่ในทุกที่อยู่แล้ว ปรากฏว่าทุกวันนี้พื้นที่สาธารณะมันถูกควบคุมโดยรัฐ แล้วมันก็ไม่ทำให้เราเห็นอะไร ยกตัวอย่าง Parasite ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่รัฐโคตรจะเจ็บปวดเลยนะ มันฉายภาพสลัมซึ่งมันอิมแพ็คถึงขนาดว่าตอนนี้รัฐบาลเข้าไปปรับปรุงพื้นที่แออัด มันส่งพลังไปขนาดนั้น
ถ้าเราไม่ลุกมาทำอะไรก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เราก็คงต้องอาศัยการทำของเราไปเรื่อยๆ อย่างมุมานะ มันอาจจะยาวนาน คิดว่าวันหนึ่งภาครัฐก็คงจะเห็นมัน เราไม่ได้คาดหวังแต่วันหนึ่งเขาคงจะได้ยินมัน
จริงๆ ต่อให้มีเงินขนาดไหนแต่ลำพังเอกชนก็ไม่สามารถทำได้เพราะมันโยงใยกับสิ่งอื่นที่เป็นเรื่องของโครงสร้างรึเปล่า
จุมภฏ : เมื่อไม่กี่วันก่อนผมได้คุยกับคนที่ทำงานหอภาพยนตร์ ผมก็สงสัยว่าถ้ามันอยู่กลางใจเมืองก็คงจะดีนะ เขาบอกว่าประเด็นคือถ้ามันไปอยู่กลางใจเมืองก็จะมีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยว ขณะที่ถ้าไปอยู่ต่างจังหวัดมันจะปลอดภัยกว่า เขาสบายใจที่จะอยู่อย่างนั้น ซึ่งผมว่าน่าจะมีรัฐบาลสักชุดที่จะมองเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้คนเข้าถึงคนง่ายขึ้น
กฤษดา : จริงๆ แล้วรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมที่สุด คือ จอมพล ป. (หัวเราะ)
แล้วคิดว่าทำไมสิ่งเหล่านี้ที่น่าจะเป็นภารกิจของรัฐจึงมาถึงเรา
กฤษดา : ถ้าเราไม่ลุกมาทำอะไรก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เราก็คงต้องอาศัยการทำของเราไปเรื่อยๆ อย่างมุมานะ มันอาจจะยาวนาน คิดว่าวันหนึ่งภาครัฐก็คงจะเห็นมัน เราไม่ได้คาดหวังแต่วันหนึ่งเขาคงจะได้ยินมัน
ถึงคราวอวสาน หนังสือหนังออเตอร์?
ลำพังสถานการณ์ปกติเราก็พอเห็นทิศทางที่ไม่น่าวางใจนักของวงการสื่อสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะนิตยสารหนัง ที่หลายหัวยังพยายามประคับประคองเพื่อความอยู่รอดอย่างถึงที่สุด จนกระทั่งเกิดโรคระบาดโควิด-19 เสมือนเป็นการเหยียบคันเร่งให้จุดจบมาถึงเร็วขึ้น และที่สะเทือนวงการคือจุดเปลี่ยนของนิตยสารหนังออเตอร์ หรือหนังสือหนังสายแข็งที่เต็มไปด้วยบทวิเคราะห์เชิงลึกอย่าง Film Comment ของอเมริกา และ Cahiers du Cinéma ของฝรั่งเศส
Film Comment เป็นนิตยสารรายสองเดือน จะวางแผงฉบับเดือนพ.ค.-มิ.ย. นี้เป็นฉบับสุดท้าย ส่วน Cahiers du Cinéma ได้นายทุนใหม่มาโอบอุ้ม แต่จำเป็นต้องรีแบรนด์ใหม่ทั้งหมด …เพราะเช่นนี้เองที่ทำให้เหล่านักวิจารณ์หนังร่วมอาชีพคาดเดาว่า “จุดจบของนิตยสารหนังออเตอร์มาถึงแล้ว”
Film Comment ตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 1962 โดย Film at Lincoln Center ซึ่งเป็นสโมสรเพื่อหนังอิสระและหนังต่างประเทศ แต่พอเจอโรคระบาดเลยต้องเลิกจ้างพนักงานไปครึ่งหนึ่ง และโละพนักงานพาร์ตไทม์ทั้งหมด ด้วยเหตุผลไม่ต่างกันนักกับ ‘พระนครฟิลม์’ และ ‘ธนาซีเนเล็กซ์’ ที่เพิ่งหยุดกิจการไปก่อนหน้า นั่นคือในภาวะที่ยังมองไม่เห็นว่าสถานการณ์นี้จะคลี่คลายเมื่อไหร่ และฟื้นฟูได้สมบูรณ์ตอนไหน ทางออกที่ดีที่สุดคือการตัดต้นทุนที่ไม่จำเป็นทั้งหมด อย่างน้อยก็ยังจะพอประคับประคององค์กรไปได้ เลสลี เคลนเบิร์ก ผู้อำนวยการ Film at Lincoln Center กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องลำบากใจก็จริง แต่การตัดสินใจเช่นนี้ เราก็น่าจะยังอยู่รอดงดงามได้ในวันที่ฟ้าเปิด”
ขณะที่ Cahiers du Cinéma ของฝรั่งเศสมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่านั้น มันเกิดขึ้นเมื่อปี 1951 จากกลุ่มคนรักหนังและนักวิจารณ์จนกระทั่งมันเป็นพื้นที่แจ้งเกิดของเหล่านักเขียน ทั้ง เอริก โรห์แมร์, โคล้ด ชาร์โบ, ฌ็อง ลุก โกดาด์ และ ฟรังซัวส์ ทรุฟโฟต์ ที่ต่อมาพวกเขาไปขับเคลื่อน French New Wave ด้วยสื่อในมือชิ้นนี้ ก่อนที่จะกลายเป็นนักทำหนังสุดยิ่งใหญ่ทั้งคณะ ทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจให้คนทำหนังอีกมากมายผ่านบทความต่างๆ จะกล่าวว่า Cahiers du Cinéma เป็นนิตยสารที่สร้างวงการหนังฝรั่งเศสก็คงไม่ผิดนัก ดังนั้นเมื่อมันกำลังจะไปไม่รอด เหล่านักลงทุนในวงการหนังฝรั่งเศสทั้งโปรดิวเซอร์และสตูดิโอจึงช่วยกันโอบอุ้มมันไว้ อย่างน้อยก็สามารถใช้มันเป็นสื่อน้ำดีให้กับวงการได้ และหนึ่งในแผนดังกล่าวคือจับมันแปลงโฉมให้ไฉไลขึ้น
มีแนวโน้มว่าคนทำหนังฝรั่งเศสจะเวียนกันมาเขียนบทความในเล่ม และเต็มไปด้วยบทสัมภาษณ์ เพื่อสนับสนุนหนังที่กำลังจะฉาย ซึ่งนี่คือสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนักต่อตัวตนของ Cahiers du Cinéma … ริชาร์ด บรอดี้ จาก The New Yorker บอกว่าปรับให้ตายยังไงก็ไม่ “ชิค” อย่างที่ทีมบริหารใหม่ต้องการแน่นอน เพราะตัวตนของ Cahiers du Cinéma คือความเข้มข้นจริงจัง ส่วน ชาร์ลส บราเมสโก แห่ง Little White Lies ก็บอกว่าจะเปลี่ยนก็ได้แต่นั่นหมายความว่า “Cahiers du Cinéma คนเก่าได้ตายไปแล้ว”
นักเขียนเก่าของ Cahiers du Cinéma ลงนามไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงในทิศทางของทีมบริหารใหม่ โดยเฉพาะการทำลายจุดยืนของมันอย่างการวิจารณ์ที่อยู่เหนือการประชาสัมพันธ์ ซึ่งนั่นเองมิใช่หรือที่ทำให้ Cahiers du Cinéma มีบารมีมาเกือบ 70 ปี
สเตฟาน เดอลอร์เม บรรณาธิการบริหาร Cahiers du Cinéma ในช่วงเปลี่ยนผ่านให้ความเห็นว่า “หลายคนในตอนนี้เห็นว่าการวิจารณ์จะเป็นไพ่ใบสุดท้ายของแผนประชาสัมพันธ์ เรายังยืนยันที่จะสนับสนุน ‘หนังออเตอร์’ และแน่นอนว่ามันจะไม่เฉพาะแค่หนังที่เข้าโรงในขณะนั้นอยู่แล้ว เหล่าผู้กำกับและโปรดิวเซอร์มักมองว่าสื่อมวลชนจะช่วยพวกเขา การให้พื้นที่กับคนทำหนังได้เล่าหรืออธิบายหนังตัวเองเพื่อแก้ต่างหรืออะไรก็ตาม มันเป็นการทำลายวัฒนธรรมการวิจารณ์ …การวิจารณ์ที่ดีมันไม่ควรคาดเดาได้หรือควบคุมได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ใครหน้าไหนจะกำกับมันได้ทั้งนั้น”