ผู้เขียนเห็นว่าออกจะเป็นเรื่องน่าเอ็นดูอยู่สักหน่อยที่ Netflix ใช้คำว่า “Part of The Flanaverse Collection” ในการโปรโมตซีรีส์เรื่องใหม่ของ ไมค์ ฟลานาแกน (Mike Flanagan) เราจึงไม่ต้องเดาและไม่ต้องลุ้นเลยว่าผลงานใหม่ของฟลานาแกนจะมาในทิศทางไหน นี่คือเรื่องราวของความทุกข์ตรมที่หลอนหลอกเสียยิ่งกว่าผี อิทธิฤทธิ์พิสดารต่าง ๆ เป็นเพียงเครื่องปรุงตัดรสขมของความเศร้าโศก เมื่อจั่วหัวมาขนาดนี้เสียแล้ว ความตื่นเต้นตื่นตาที่มีต่อ Midnight Club จึงพลอยจืดจางลงไป เหมือนอย่างที่ The Haunting of Hill House และ Midnight Mass เคยทำเอาไว้ นอกจากนี้ สิ่งที่ Midnight Club ดูจะมีมากผิดหูผิดตาจากผลงานก่อน ๆ ของฟลานาแกนเห็นจะเป็นรสอมหวานและแสงสว่างในเรื่องราว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า “เรื่องเศร้าที่มีผี” ในคราวนี้จะไม่เหลือแง่มุมที่น่าสนใจอันว่าด้วยชีวิตที่อยู่ห่างจากความตายเพียงไม่กี่ก้าวให้เราได้เอาไปใคร่ครวญต่อ
เราอาจแบ่งยุคทองของหนังภาษาไต้หวันได้เป็นสองระลอก ระลอกแรกมาถึงในช่วงปลายทศวรรษ 1950 เริ่มจากบรรดาหนังงิ้ว หนังดัดแปลงจากบทละครของ Taiwan New Drama Movement*1 ที่เริ่มก่อตัวมาตั้งแต่สมัยอาณานิคมญี่ปุ่น หนังสร้างง่าย ๆ ใช้ทุนน้อย แต่ประสบความสำเร็จสูง น่าเสียดายที่หนังเหล่านี้มีเหลือรอดมาถึงปัจจุบันไม่มากนัก
ระลอกที่สองมาถึง เมื่อคนทำหนังภาษาไต้หวันเริ่มส่งหนังออกนอกประเทศ เป้าหมายคือบรรดาคนจีนอพยพที่พูดภาษา Minnan Hua ซึ่งคือเหล่าประชากรจีนฮกเกี้ยนที่อพยพมายังเอเชียอาคเนย์ อาจจะบอกได้ว่านี่คือยุคทองของแท้ เพราะมีหนังหลากหลายแบบ ตั้งแต่หนังสายลับอย่าง The Best Secret Agent หนังเด็กที่เอาคนมาแต่งป็นสัตว์อย่าง The Fantasy of The Deer Warrior หนังกังฟูอย่าง Vengeance of Phoenix Sisters หนังดราม่า Early Train from Taipei ไปจนถึงการดัดแปลงบทประพันธ์ฝรั่ง อย่าง The Bride Who Has Returned from Hell (ที่ดัดแปลงจากนิยาย Mistress of Mellyn ของ Victoria Holt) ก่อนที่ในที่สุดหนังเหล่านี้จะเสื่อมความนิยมไปในยุคทศวรรษที่ 1970
House of the Dragon เป็นได้ทั้งโอกาสแก้มือจาก Game of Thrones ที่ทำผลงานได้ไม่ดีนักในช่วงซีซั่นท้าย ๆ และโอกาสที่จะหยิบเอาโลกใบเดิมมาเล่าเรื่องราวในทิศทางใหม่ เหตุการณ์ที่ก่อความเสียหายให้กับแผ่นดินเวสเทอรอสมากที่สุดไม่ใช่การรุกรานจากอีกฟากทะเลแคบ ไม่ใช่การรบราระหว่างลอร์ดตระกูลใหญ่กับทรราช แต่เป็นความขัดแย้งในครอบครัวระหว่างผู้หญิงที่สู้เพื่อทุกสิ่งที่ตัวเองต้องการ กับผู้หญิงที่ยึดมั่นในตำแหน่งแห่งที่ของตน หากจะมีใครสมควรได้รับความดีความชอบที่ตัวซีรีส์จะประสบความสำเร็จ ก็คงต้องเป็น Ryan J. Condal และทีมเขียนบทของเขาที่หยิบเอางานเขียนของ George R.R. Martin มาดัดแปลงด้วยชั้นเชิงที่น่าประทับใจ ปูมสงครามชิงบัลลังก์ระหว่างสองคณะแห่งตระกูลทาร์แกเรียนครั้งนี้จึงกลายเป็นชุดหนังมังกรที่ถูกตัดเย็บมาให้เข้ากับสารอันว่าด้วยการต่อสู้ของผู้หญิงบนพื้นที่อำนาจของผู้ชายได้อย่างพอดิบพอดี
ตัวซีรีส์ดัดแปลงมาจากหนังสือของมาร์ตินที่มีชื่อว่า Fire and Blood ซึ่งเป็นวลีประจำตระกูลทาร์แกเรียน “อัคคีและโลหิต” ในที่นี้เป็นได้มากกว่าถ้อยคำข่มขวัญและความภาคภูมิของราชวงศ์มังกร เมื่ออัคคีหมายถึงอำนาจทางการเมืองที่ไม่อาจสยบให้เชื่อง โลหิตหมายถึงครอบครัวและหัวจิตหัวใจอันเป็นมนุษย์ House of The Dragon จึงเป็นเรื่องราวของครอบครัวที่บาดเจ็บสาหัสจากการพยายามควบคุมอำนาจไว้ให้อยู่มือ
สิ่งที่ทำให้ House of the Dragon ล้ำไปไกลกว่า Game of Thrones คือการที่มันจัดสรรพื้นที่เล่าเรื่องส่วนใหญ่ไปกับตัวละครผู้หญิงหลายแบบในโลกสงครามแฟนตาซี (ซึ่งมักจะเป็นดินแดนของความเป็นชาย) ทั้งเจ้าหญิงเรนีร่า ผู้ถูกแรงกระทำของพวกขุนนางเบียดออกไปตลอดเวลาเพราะบังอาจเข้ามายืนในพื้นที่ที่ไม่ใช่ของตัว และราชินีอลิเซนต์ที่ทำ “หน้าที่ของผู้หญิง” ได้อย่างสมบูรณ์จนไม่รู้ความต้องการของตัวเอง
คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่าสิ่งที่มีส่วนมากที่สุดในการส่ง House of the Dragon ให้เข้าไปอยู่ในใจคนดู คือการใส่หัวจิตหัวใจเข้าไปในระหว่างบรรทัดของหนังสือประวัติศาสตร์แฟนตาซี ทุกเสี้ยวเล็ก ๆ ของการแสดงอันละเอียดอ่อนเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่จะพาผู้ชมขึ้นรถไฟเหาะทางอารมณ์ ตั้งแต่อาการต่อต้านแรงกดดันของเจ้าหญิงเรนีร่า ความริษยาของราชินีอลิเซนต์ที่มีต่ออิสระของรัชทายาทหญิง ด้านอ่อนโยนของเจ้าชายนอกคอกอย่างเดม่อน ตลอดไปจนถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์ของราชทูตบนหลังมังกร ความใกล้ชิดระหว่างสามัญชนนอกจอกับราชนิกูลในโลกอันเหนือจริงนี้เองที่ทำให้เราตระหนักได้ว่ามนุษย์ทุกผู้ล้วนไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าชาติกำเนิดของพวกเขาจะสูงส่งเพียงใด
ความบันเทิงที่อยู่นอกเรื่องราวของ House of the Dragon คือการที่มันมอบโอกาสผู้ชมตัดสินผู้มีอำนาจได้โดยไม่มีภัยถึงตัว การได้อยู่ในระนาบเดียวกันกับผู้ชี้เป็นชี้ตายให้ประชาชนกระตุ้นให้รู้สึกถึงพลังอย่างน่าประหลาด ผู้เขียนต้องยอมรับว่าตื่นเต้นไม่น้อยกับการได้เห็นราชินีเรนีร่าตัดสินใจเลือกทางที่ก่อความเสียหายต่อบ้านเมืองให้น้อยที่สุด การได้เห็นคนบนจุดสูงสุดบริหารอำนาจโดยคำนึงถึงคนที่อยู่ล่างสุดนั้นเกือบจะเหนือจริงพอ ๆ กับมังกรไฟ แต่ขณะเดียวกันมันก็สะท้อนความจริงที่ว่าสุดท้ายแล้วคนที่ตัดสินความชอบธรรมให้กับราชาหรือราชินีพระองค์ใดก็เป็นไพร่ฟ้าพสกนิกรของพวกเขาเอง
หาก Where We Belong ตั้งคำถามว่า ที่ตรงไหนจะเป็นที่ที่เป็นของเรา The Faces of Anne ก็ตั้งคำถามใหม่ว่า ในที่แห่งนั้น ไม่ว่าคือที่ไหน เราจะได้เป็นส่วนหนึ่งของมันจริงไหม แม้แต่ในใจของเราที่กลายเป็นเรือสำราญร้างกลางมหาสมุทร เราจะ Belong กับตัวเราหรือไม่? หรือให้ใหญ่กว่านั้นคือเราจำเป็นต้อง Belong กับสิ่งใดด้วยอย่างนั้นหรือ?
‘มายาพิศวง’ เลยกลายเป็นหนังที่รับเอาวิธีการของ India Song มาใช้ ขณะเดียวกันก็ยืนอยู่ตรงฝั่งข้ามกับ India Song เพราะหนึ่งในประเด็นหลักของหนังคือ ‘การแสดง’ นักแสดงยืนเป็นหุ่นลองเสื้อ เพื่อจะรอซึมซับเรื่องราวและลุกขึ้นมาแสดง
Paper Girls ถูกดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกันที่ตีพิมพ์ในปี 2015 ถึงปี 2019 เขียนเรื่องโดย Brian K. Vaughan วาดโดย Cliff Chiang ก่อนที่จะถูกนำมาดัดแปลงและสตรีมในปี 2022 ทาง Prime Video โดย Stephany Folsom (Toy Story 4) หนังสือการ์ตูนฉบับดั้งเดิมได้รับการการันตีคุณภาพจากรางวัล Eisner Award และ Harvey Award 2016 ในสาขาการ์ตูนเรื่องยาวยอดเยี่ยม (Best New Series)
สิ่งที่ทำให้ Paper Girls แตกต่างไปจาก Stranger Things คือ โจทย์การผจญภัยของกลุ่มเด็กสาวในเรื่อง พวกเธอมีปัญหาเป็นของตัวเองและต้องรับมือกับความไม่ได้ดั่งใจของอนาคต ขณะที่กลุ่มเด็กเนิร์ดแห่งเมืองฮอว์กินส์รับมือกับสัตว์ประหลาดและทฤษฎีสมคบคิดใหญ่โตผ่านการผจญภัยโลกโผนสารพัด ที่พึ่งสำคัญในการเอาตัวรอดจากสงครามนักข้ามเวลาของเด็กหญิงทั้งสี่คือตัวเองในอนาคต ที่แทบจะเรียกได้ว่าน่าผิดหวัง โจทย์ของมันจึงเป็นการเดินทางภายในเพื่อทำความเข้าใจตัวเองในแบบที่ตัวเองเป็นอยู่ และแบบที่จะเป็นไปในภายภาคหน้า
สงครามนักข้ามเวลาที่เป็นฉากหลังของเรื่องประกอบด้วยสองฝ่าย ได้แก่ กลุ่มเอสทีเอฟ หรือ Standard Time Fighter (ในการ์ตูนต้นฉบับเรียกว่าเป็น Teenager หรือพวก ‘วัยรุ่น’) ผู้ที่เชื่อในการเดินทางข้ามเวลาเพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต สำหรับพวกเขา การข้ามเวลาคือประดิษฐกรรมที่เกิดขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์นี้ ส่วนอีกฝ่ายคือ Old Watch (ในต้นฉบับเรียกว่า Old Timer หรือพวกคนแก่) องค์กรตำรวจเวลาที่คอยปราบปรามนักเดินทางข้ามเวลาที่ยุ่มย่ามกับประวัติศาสตร์และทำให้อนาคตล่มสลาย และเด็กส่งหนังสือพิมพ์จากปี 1988 ก็ถูกนับว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องกำจัดทิ้ง
ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องที่สามของ จอร์แดน พีล (Jordan Peele) ยังคงเป็นหนังสยองขวัญแปลกประหลาด หนังของเขาเหมือนหลุดมาจากนิตยสารหรือเว็บไซต์เรื่องลึกลับ เรื่องประหลาด หนังสือแบบแปลก โลกทิพย์ Creepy Pasta หรือบางเรื่องจาก The Ghost Radio Get Out ว่าด้วยการถูกเข้าสิงร่างกายด้วยวิญญาณคนอื่น Us เล่าเรื่องดอปเปิลแกงเกอร์จากโลกใต้ดิน และ Nope ว่าด้วยยูเอฟโอ เริ่มต้นจากเรื่องพิสดารเหนือธรรมชาติเหล่านั้น ซ่อนนัยยะทางการเมืองเข้มข้นของสังคมอเมริกัน เราจะดูหนังของเขาในฐานะหนังสยองขวัญเพียว ๆ ก็ได้ หรือหนังที่เป็นภาพแทนทางการเมืองก็ได้เช่นกัน
เราอาจมองหนังในฐานะภาพยนตร์ที่เชิดชูความเป็นหนัง/ความเป็นคนดำได้อย่างน่าสนใจ เมื่อหนังเปิดฉากด้วยภาพของทัศนียภาพลึกลับของสิ่งที่เป็นอุโมงค์ ช่อง ถ้ำ (ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาใช้มาตลอด ทั้งตัว The Sunken Place ใน Get Out และอุโมงค์ใต้ดินใน Us) ตำแหน่งของภาพที่ทำให้นึกถึงการสะกดจิตใน Get Out แต่แทนที่สายตาของเราจะถอยออก(ร่วงลง) กลับขยับเข้าใกล้ และสิ่งที่เราเข้าใกล้ ไม่ใช่ใบหน้าของแม่ยายแบบใน Get Out แต่เป็นภาพคนดำขี่ม้า ภาพเคลื่อนไหวที่เป็นต้นกำเนิดของภาพยนตร์อีกทอดหนึ่ง
The Horse in Motion (1877) ของ เอ็ดเวิร์ด มายบริดจ์ (Edweard Muybridge) น่าจะเป็นภาพยนตร์ในยุคก่อนภาพยนตร์ มันคือการเอาการ์ดภาพถ่ายคนดำขี่ม้ามาเรียงต่อกันและหมุนวนมันในความเร็วที่กำหนด ด้วยกลไกของภาพติดตาภาพนิ่งก็เคลื่อนไหว และนี่คือต้นธารของภาพยนตร์ในเวลาต่อมา
ดังนั้น เมื่อฉันได้ดูภาพยนตร์สองเรื่องแรกในเทศกาลคือ A Night of Knowing Nothing และ Blue Island ฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่หนังทั้งสองได้พิสูจน์ว่า เวทีภาพยนตร์ยังคงเป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อต้าน และการต่อต้านไม่ได้เป็นเพียงการต่อต้านสถานการณ์ทางการเมือง แต่ยังต่อต้านบรรดาการจงใจเสียดเย้ยหยามเหยียดทีเพื่อที่จะฆ่าความเชื่อในความจริงของเราทิ้งเสีย
เริ่มต้นด้วย A Night of Knowing Nothing ภาพยนตร์ที่น่าทึ่งเกี่ยวกับการแสวงหาความจริงของเราในช่วงเวลาหลังความจริง หนังใช้ภาพทุกประเภทที่อยู่รอบตัวเราทุกวันนี้ ตั้งแต่ภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ไปจนถึงโฮมวิดีโอ ฟุตเทจจากสมาร์ตโฟน ภาพจากกล้องวงจรปิด ภาพซ้อน ไปจนถึงกราฟิตีและคลิปข่าว และแทนที่หนังจะฟาดเราแล้วทำให้พวกเราสับสนกับภาพเหล่านี้ หนังกลับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นถ้อยแถลงถึงความเปลี่ยนแปลงที่ทั้งทรงพลังและเป็นส่วนตัว โลกที่เปลี่ยนไปนั้นไม่ต้องการความฉาบฉวยและหลอกลวงของสิ่งที่เรียกว่า “ศิลปะการสื่อสาร” หรือ “เครือข่ายสังคม” อีกต่อไป หากมันกลับนำเสนอช่วงเวลาแห่งการใคร่ครวญอย่างจริงจังต่อกัน – เธอกับฉัน การปะทะกันของงภาพและเสียงที่เหมือนความฝันจะเผยให้เห็นความจริงของโลกนี้ ด้วยความรู้สึกที่แข็งกร้าวจนเกือบจะเป็นความรู้สึกของการประกาศชัยชนะ ซึ่งเป็นความจริงในตัวตนของศิลปินเอง
ความปรารถนาอย่างสุดใจที่จะใคร่ครวญตนเองและผู้อื่นนั้น ยังรู้สึกได้จากหนังอย่าง Children of the Mist และ Transparent, I Am ด้วย โดย Children of the Mist เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวชาวม้งในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลในเวียดนาม คนที่กำลังมองหาอนาคตและความสัมพันธ์ที่ดีกว่าตอนนี้ อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ยังสามารถตีความได้ว่าเป็นความพยายามของคนทำในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างตัวเธอเองกับตัวเอก
ในทางกลับกัน Transparent, I Am เป็นหนังทดลองขนาดสั้นที่แสดงถึงความพยายามของคนทำที่จะมองดูสภาพจิตใจของเธอเองผ่านภาพคาไลโดสโคป
หากจะมีสิ่งที่นักวิจารณ์ไม่ปลื้มหนัง Vita & Virginia นัก ก็อาจเป็นการที่หนังพูดอะไรออกมาตรงๆ มากเกินไป ในลักษณะที่ Tell แต่ไม่ Show คือแทนที่หนังจะใช้ฝีมือการแสดงของนักแสดงนำทั้งสองเพื่อบอกถึงความเปราะบางของพวกเธอ หนังกลับให้พวกเขาพูดว่าพวกเขา “เปราะบาง” ออกมาตรงๆ และมันเป็นหนังที่ตัวละครบอกว่าตัวเองต้องการและรู้สึกอะไรเยอะมาก แทนที่จะให้ตัวละครแสดงมันผ่านภาษาทางกาย ในแง่หนึ่งอาจกล่าวได้ว่า หนังโฟกัสกับ What to say เยอะเกินไป จนมันกลายเป็นสิ่งเดียวที่มี และลืมให้ความสำคัญกับ How to say ดังนั้นสิ่งที่ติดหัวออกมาหลังจากดูหนังเสร็จจึงเป็นเพียงเส้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างวิตาและเวอร์จิเนีย ทำนองว่า จำได้เพียงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ไม่สามารถจำความรู้สึกต่อสิ่งเหล่านั้นได้ชัดเจนนัก
เทศกาลภาพยนตร์โลการ์โน (Locarno Film Festival) ครั้งที่ 75 เริ่มปูพรมฉายหนังแล้วเป็นที่เรียบร้อย ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา
สำหรับปี 2022 นี้ ตัวแทนทีมชาติไทยเพียงหนึ่งเดียวที่มีลุ้นรางวัลคือ อานนเป็นนักเรียนตัวอย่าง หรือ Arnold Is a Model Student ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ สรยศ ประภาพันธ์ (อวสานซาวด์แมน, ผิดปกติใหม่) ผู้กำกับที่มีผลงานหนังสั้นตระเวนยุโรปต่อเนื่องในช่วงหลายปีหลัง โดยเป็นผู้เข้าชิงรางวัลเสือดาวทองคำในสายรอง Golden Leopard-Filmmakers of the Present ร่วมกับผลงานของคนทำหนังรุ่นใหม่อีก 14 เรื่อง
ก่อนพิธีส่งมอบเสือดาวทองคำในวันที่ 13 สิงหาคมที่กำลังจะถึงนี้ ซีเนไฟล์ชาวไทยที่กำลังร่วมลุ้นทั้งรางวัลและเสียงตอบรับของหนังอาเซียนทั้งสองเรื่อง ก็สามารถมีส่วนร่วมกับเทศกาลได้แม้จะไม่ได้บินไปถึงสวิตเซอร์แลนด์ ผ่านสองโปรแกรมหนังที่โลการ์โนเป็นผู้คัดสรร และ Film Club หยิบมาแนะนำต่อในคราวนี้
หนังสั้นทั้งสิบเรื่องในโปรแกรม Open Doors Shorts ประจำปี 2022 ได้แก่
Agwe (2021, เฮติ) Black Doll (2018, เซนต์วินเซนต์แอนด์เดอะเกรนาดีนส์) Black I Am (2018, ฮอนดูรัส) Leaves of K. (2022, นิการากัว / คอสตาริกา) Out of Many (2020, จาเมกา) Scar of Our Mothers’ Dreams (2017, เกรนาดา) Soul of the Sea (2019, กัวเตมาลา / นอร์เวย์) Techos rotos (2014, โดมินิกัน) Tundra (2021, คิวบา) Umbra (2021, คิวบา)
นี่คือฉากเปิดเรื่องของ For All Mankind ซีรีส์ของ Apple TV+ ที่เล่าเรื่องราวของหลากชีวิตในเส้นทางการไปให้ถึงดวงดาวของนาซ่า ในประวัติศาสตร์สมมติที่สหภาพโซเวียตย่างเท้าลงบนดวงจันทร์ได้ก่อนสหรัฐอเมริกา และเบี่ยงวิถีทางสู่ความเป็นไปได้ที่แตกต่างจากความเป็นไปบนโลกนอกจอ โลกที่อเมริกาเป็นเจ้าของก้าวสำคัญของมวลมนุษยชาติในการออกเดินทางสู่ห้วงอวกาศอันไกลโพ้น
แต่อย่างน้อยฟันเฟืองในการแข่งขันนี้ยังได้รับอนุญาตให้มีความฝันและความหวัง For All Mankind เลือกใช้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ที่ต่างออกไปในการเล่าถึงบรรดาผู้คนที่ต้องเอาชนะแรงดึงดูดของโลก และแรงกดดันทางการเมืองไปพร้อมๆ กัน โครงสร้างของตัวซีรีส์นั้นเรียบง่าย มันมักจะเริ่มด้วยไอเดียที่หวังผลทางการเมืองอย่างที่สุดของประธานาธิบดี (Richard Nixon ในเวลานั้น) ถูกโยนลงมากลางที่ประชุมของ NASA ให้ทุกคนสนองตอบ นำไปสู่ดราม่าสะเทือนชีวิตรายบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากแรงกระเพื่อมของมัน
ประวัติศาสตร์ทางแยกของ For All Mankind ทำหน้าที่คล้ายเรื่องเล่าแนวพหุจักรวาล ในแง่ที่มันใช้ถูกใช้เพื่อวิพากษ์ความเป็นจริงที่เราอาศัยอยู่ ความร้ายกาจของมันอยู่ที่การผสมฟุตเตจจริงเข้าไปในเรื่อง ลูกเล่นหวือหวานี้ไม่ได้มีผลแค่ในแง่ส่งเสริมสไตล์การเล่าเรื่องเท่านั้น แต่มันยังชวนให้รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดบนจอเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้จริง แม้ว่ามันจะกำลังเล่าเรื่องผู้หญิงที่จะได้ไปดวงจันทร์เร็วกว่าความเป็นจริงนับสิบปีก็ตาม
แต่สิ่งหนึ่งที่ดูจะไม่เปลี่ยนไปเลยไม่ว่าใครจะไปถึงดวงจันทร์ได้ก่อน คือฉากและชีวิตของเกย์กลางศตวรรษที่ 20 เรื่องนี้ถูกนำเสนอผ่านตัวละครนักบินอวกาศหญิง Ellen Wilson (Jodi Balfour จาก Ted Lasso และ The Crown) ผู้ถูกบีบให้แต่งงานเพื่อรักษาหน้าที่การงานเอาไว้ มันไม่ใช่การนำเสนอดราม่าการปกปิดเพศสภาพที่แปลกใหม่อะไรนัก แต่ความน่าสนใจของมันอยู่ที่การในคำอธิบายว่าเกย์เป็นหนึ่งในเหยื่อของเกมล่าแม่มดของ FBI ที่ถูกใช้เพื่อเบี่ยงความสนใจของประชาชนไปจากความฉ้อฉลในคณะรัฐบาล และครั้งหนึ่งเกย์เคยถูกโยงเข้ากับคอมมิวนิสต์ มีภาพลักษณ์ใกล้เคียงกับจารชนของสหภาพโซเวียต
คงไม่ผิดนัก หากจะพูดว่า For All Mankind เป็นแฟนฟิกชั่นฉบับจริงจังที่สร้างโดยแฟนตัวยงของโครงการอวกาศ Ronald D. Moore และทีมบทของเขายังคงแม่นยำในการเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญ ใต้เงื่อนไขทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างเข้มข้นไม่แพ้งานสร้างชื่อของเขาอย่าง Battlestar Galactica และ Star Trek: Deep Space Nine โดยเฉพาะในช่วงท้ายซีรีส์ที่มันดึงเอารสชาติของหนังอุบัติการณ์อวกาศเข้มๆ อย่าง Gravity, Apollo 13 และ The Martian ออกมาได้อย่างถึงเครื่อง ในจังหวะที่เหมาะเจาะพอดี เราทุกคนต่างพอจะคาดเดาได้ว่าผลลัพธ์ของมันจะออกมาเป็นเช่นไร แต่มันก็ประสบความสำเร็จทุกครั้งในการกระตุ้นให้เรารู้สึกเอาใจช่วยตัวละครในสถานการณ์เสี่ยงตายของพวกเขา
นั่นเป็นเพราะมีอีกสิ่งที่มันให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือหัวจิตหัวใจที่อยู่ภายในตัวตนอันเล็กจ้อยของมนุษย์ในเรื่องราวนี้ มันลึกลับดำมืด ไม่สมเหตุสมผล เต็มไปด้วยปริศนาให้ค้นไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็เปี่ยมความหวังในคราวเดียวกัน ไม่ต่างอะไรกับห้วงอวกาศที่โอบล้อมเราอยู่ ตลอดทางการรับชมมักจะชวนให้นึกถึงคำกล่าวของ Neil de Grasse Tyson ที่ว่า “เราไม่เพียงแต่อาศัยอยู่ท่ามกลางดวงดาว ดวงดาวเองก็อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเราเช่นกัน”
ประกาศแล้วกับไลน์อัพเทศกาลภาพยนตร์เวนิซปีนี้ ฮือฮาอยู่หลายเรื่องในสายประกวดหลัก ทั้งเคต แบลนเชตต์ ที่เปิดตัวมาแบบเฮี้ยนๆ กับบทวาทยกรหญิงคนแรกของเยอรมันใน Tár กำกับโดยท็อดด ฟีลด์ ที่หายไปนาน 16 ปีหลังจาก Little Children (2006) และ Bones and All หนังรักที่มีตัวละครเป็นคนกินเนื้อคน นำแสดงโดยทิโมธี ชาลาเมต์ กำกับโดยลูกา กัวดายิโน จาก Call Me By Your Name (2017) ส่วนตัวเป้งๆ เทไปอยู่นอกสายประกวด ทั้งลาฟ ดิอาซ, พอล ชเรเดอร์ และไท เวสต์ ที่กลับมาเยือนเวนิซอีกครั้ง และลาร์ส วอน เทรียร์ และนิโคลัส วินดิง เรฟิน ที่คราวนี้มากับซีรีส์
แต่ที่น่าดูไม่แพ้กันกันคือหนังของผู้กำกับหญิงที่ทั้งสามเรื่องล้วนขุดลงไปในความเป็นแม่ ทั้งการพิจารณาคดีแม่ที่ฆ่าลูกสาวตัวเองใน Saint Omer หนังฟิกชั่นเรื่องแรกของอลิซ ดิออป ผู้กำกับสารคดีจอมวิพากษ์สังคม, The Eternal Daughter หนังความสัมพันธ์แม่ลูกของโจแอนนา ฮอกก์ ผู้กำกับ The Souvenir และ The Souvenir: Part II ที่กลับมาร่วมงานกับทิลดา สวินตัน และ Other People’s Children หนังพูดอังกฤษเรื่องแรกของรีเบ็กกา ซโลทอวสกี้ ที่เคยพา An Easy Girl (2019) ไป Director’s Fortnight ที่คานส์ และกำลังร่วมปั้นบท Emmanuelle ฉบับรีเมค หนังเล่าเรื่องของหญิงโสดวัย 40 ที่พบรักกับพ่อลูกติดและรักลูกเขามากเหมือนลูกตัวเอง แต่การเป็นแม่ของลูกคนอื่นอาจไม่ง่ายดายอย่างนั้น
เริ่มที่สายหลักอย่าง No Bears ของจาฟาร์ ปานาฮี (Jafar Panahi) ที่เพิ่งถูกจับกุมและสั่งจำคุก 6 ปีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และ Beyond the Wall ของวาฮิด จาลิลวันด์ (Vahid Jalilvand) ที่เคยได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมในสาย Horizons จาก No Date, No Signature (2017) โดยหนังใหม่นี้เล่าเรื่องชายตาบอดที่ชีวิตกำลังจะพังทลาย เพราะผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเข้ามาในโลกอันมืดมิดของเขา
ตามมาด้วยสายรองอย่าง Without Her ของอาเรียน วาซีร์ดาฟทารี (Arian Vazirdaftari) ในสาย Horizons Extra เล่าเรื่องของโรญา หญิงสาวที่กำลังจะอพยพออกจากอิหร่านแต่ดันมาเจอหญิงสาวอีกคนที่สูญเสียความทรงจำ โรญาหาบ้านให้และแนะนำเธอให้เพื่อนพ้องและครอบครัวรู้จัก เพื่อจะค้นพบว่าเธอคนนี้มาเพื่อแทนที่เธอ และ World War III ของโฮมาน เซเยดี (Houman Seyedi) ในสาย Horizons ที่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด
ส่วนฟากสารคดีก็มี All the Beauty and the Bloodshed ของลอรา พอยทราส ผู้กำกับ Citizenfour (2014) เจาะไปที่ความขัดแย้งระหว่างแนน โกลดิน ช่างภาพชาวอเมริกัน และตระกูลแซกเลอร์ เจ้าของบริษัทยายักษ์ใหญ่ และหนังใหม่นอกสายประกวดของเซอร์เก ลอทนิทซา A Kiev Trail หรือ Babi Yar. Context เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในคีฟช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
และเมื่อเวนิซไม่ปิดกั้นหนังจากเน็ตฟลิกซ์เหมือนคานส์ หนังใหม่รอสตรีมจึงแห่กันเข้าสายหลัก ทั้ง Blonde ชีวประวัติมาริลิน มอนโร โดยแอนดรูว์ โดมินิก นำแสดงโดยอนา เดอ อาร์มาส, White Noise หนังครอบครัววายป่วงของโนอาห์ บอมบาค นำแสดงโดยอดัม ไดรเวอร์ และเกรตา เกอร์วิค, Bardo (or False Chronicle of a Handful of Truths) หนังส่วนตัวของอาเลฮานโดร อินาร์ริตู เกี่ยวกับนักข่าวชายชาวเม็กซิกันที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติชีวิต ปัญหาครอบครัว และตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของตัวเอง และ Athena หนังดราม่าดิบเถื่อนของโรแมง กาฟราส์ เล่าเรื่องพี่น้องวัยรุ่นชายสามคนที่ต้องปะทะเดือดกับตำรวจหลังน้องชายคนเล็กตายอย่างปริศนา
“ความท้าทายที่สุดของ The Black Phone อยู่ตรงที่ต้นฉบับเป็นเพียงเรื่องสั้นสิบหน้า และเราต้องขยายมันให้กลายเป็นบทหนังหนึ่งร้อยหน้า หรือก็คือต้องขยายเองถึง 90% โดยที่ต้องยังชูแก่นของเรื่องต้นฉบับไว้ให้ได้ด้วย