ยังมีอีกหลายครั้งที่สารคดีมีอิทธิพลมากจนนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนในการไต่สวนคดีดังๆ ในอเมริกา อย่าง The Jinx: The Life and Deaths of Robert Durst (2015, แอนดรูว์ จาเร็คกี้ ผู้กำกับ Capturing the Freidmans) มินิซีรีส์ 6 ตอนจบที่สัมภาษณ์โรเบิร์ต เดิร์สต์ ทายาทตระกูลมหาเศรษฐีอสังหาฯ เจ้าของที่ดินจุดสำคัญในนิวยอร์ก ผู้เคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม 3 คดี ฮือฮาหนักเพราะเดิร์สต์ถูกจับกุมก่อนตอนจบออนแอร์เพียงหนึ่งวัน และความลับดำมืดก็ถูกเปิดเผยในตอนจบด้วยถ้อยคำที่เดิร์สต์เผลอพึมพำกับตัวเองตอนไปเข้าห้องน้ำ …แต่ลืมถอดไมค์ออก
เหล่านี้ทำให้โรชาน มูฮัมเม็ด ซาลีห์ (Roshan Muhammed Salih) บรรณาธิการของเว็บไซต์ข่าวอิสลาม 5Pillars รีวิวหนังด้วยเฮดไลน์สุดดุเดือดว่า “Lady of Heaven: ขยะโสโครกจากเนื้อในของลัทธินอกรีต” และเขียนว่าหนังเทียบเคียงสาวกที่ใกล้ชิดที่สุดสามคนของศาสดามูฮัมมัดกับกลุ่ม ISIS นอกจากนั้น Bolton Council of Mosques ยังบอกว่าหนัง “ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนา” และองค์กรมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร Muslim Council of Britain (MCB) บอกว่าหนัง “สร้างความแตกแยก” และ “เป้าหมายหลักของคนบางจำพวกคือการเติมเชื้อความเกลียดชัง ซึ่งนั่นรวมถึงคนจำนวนมากที่เชียร์หนังเรื่องนี้หรือข้องเกี่ยวกับลัทธินอกรีตด้วย”
ยิ่งน่าประหลาดใจ เมื่อพิจารณาว่าความขัดแย้งที่สะเทือนทั้งทวีปยุโรปและการเมืองโลกในภาพกว้างอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ในวินาทีนี้ เคยถูกมองและใส่ใจรับรู้อย่างมีระยะห่างมากแค่ไหน – ก่อนที่ทุกวันนี้ แทบทุกฝ่ายต่างถูกคาดหวังให้แสดงออกว่า stand with Ukraine ในทุกมิติ
Film Club จึงขอเลือกแนะนำภาพยนตร์ซึ่งอาจยังไม่เป็นที่รู้จักนอกแวดวงเทศกาลหนัง คละปนกันไปทั้งหนังที่มีอายุแล้วสักหน่อย และหนังใหม่ที่เพิ่งทำเสร็จได้เปิดตัวออกฉายสดๆ ร้อนๆ ในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งขึ้นสู่จุดสูงสุด แม้ว่าบางเรื่องจะไม่ได้ถือสัญชาติยูเครน หรือเป็นผลงานของคนทำหนังชาวยูเครนโดยตรง แต่ทุกเรื่องได้เข้าไปสำรวจ คลุกคลี เผชิญหน้า หรือเล่าเรื่องจากมุมต่างๆ ของสถานการณ์ความขัดแย้งในภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งดำเนินอยู่ตลอดมาเป็นเวลาเกือบทศวรรษ
ในขณะที่สารคดีขาว-ดำ This Rain Will Never Stop นำเสนอสภาวะไร้สิ้นสุดของสงครามบนโลกมนุษย์ ผ่านซับเจ็คต์ที่เหลือเชื่อแต่มีตัวตนจริง คือครอบครัวผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่หนีสงครามกลางเมืองในประเทศบ้านเกิด แต่กลับมาเจออีกสงครามในประเทศใหม่ สถานการณ์บีบให้ต้องคิดเรื่องอยู่หรือหนีอีกครั้งหลังลี้ภัยครั้งแรกแค่ไม่กี่ปี และถ้าสิ้นหนทางจนต้องหนีจากยูเครน ทางไหนจะดีกว่ากัน ระหว่างไปหาสมาชิกครอบครัวที่กระจายอยู่ในยุโรป หรือเสี่ยงตายกลับแผ่นดินเกิดที่สงครามก็ยังคุกรุ่นไม่แพ้กัน
มีอา แฮนเซน-เลิฟ ผู้กำกับชาวฝรั่งเศส เจ้าของผลงานที่คนดูในไทยคุ้นเคยอย่าง Things to Come (2016 – นำแสดงโดย อิซาเบล อูแปร์ ในบทอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เสียศูนย์เพราะถูกสามีนอกใจ) กลับมาที่คานส์ในปีนี้กับ One Fine Morning (2022 – นำแสดงโดย เลอา เซดูซ์)หนังได้รับผลตอบรับดีเลิศและคว้ารางวัลหนังยุโรปยอดเยี่ยมจากสาย Directors’ Fortnight มาได้ ใกล้เคียงกันกับที่ Bergman Island (2021) หนังชิงปาล์มทองปีก่อนหน้าของเธอเพิ่งเข้าฉายในอังกฤษหลังจากทยอยฉายในประเทศต่างๆ มาก่อน และจะเริ่มสตรีมใน Mubi แบบจำกัดประเทศในวันที่ 22 กรกฎาคม
เราอยากชวนมาทำความรู้จักกันแบบสั้นๆ กับคนทำหนังที่มักจะเล่าเรื่องราวชีวิตและความสัมพันธ์ของผู้หญิงสมัยใหม่ และที่ทางของผู้หญิงในครอบครัวในฐานะลูกสาว เมีย และแม่ ผ่านมุมมองของเธอเกี่ยวกับพื้นที่ส่วนตัวของคู่รักนักทำหนังใน Bergman Island และการคลี่คลายของชีวิตหญิงสาวใน One Fine Morning
หลังจากหนังพรีเมียร์ที่คานส์เมื่อเดือนพฤษภาคม มันก็ได้รับคำวิจารณ์ที่หมดจดงดงาม ความหมายของชีวิตในมุมมองของตัวละครโรยตัวช้าๆ ผ่านเฟรมภาพในแบบที่แฮนเซน-เลิฟทำมาเสมอ บางสื่อบอกว่านี่คือด้านกลับของ Things to Come เพราะ เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับหญิงวัยกลางคนที่มองไปยังอนาคตของตัวเองหลังจากทุกอย่างล่มสลาย (L’Avenir ชื่อเรื่องภาษาฝรั่งเศสของ Things to Come แปลว่าอนาคต) ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับหญิงสาวที่มองย้อนกลับไปยังอดีตตอนที่ทุกอย่างดูเหมือนจะกำลังล่มสลาย แต่มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น
แม้ผู้ชมชาวไทยจะรู้จัก Hamaguchi จากหนังเรื่อง Drive My Car ที่ดัดแปลงจากเรื่องสั้นของ Haruki Murakami ออกฉายในปีเดียวกัน ได้รับรางวัลจากคานส์ และออสการ์ หากเมื่อเทียบกันแล้ว Wheel of Fortune and Fantasy แทบไม่มีอะไรเหมือนกันกับ Drive My Car ด้วยโปรดักชั่นที่เล็กกว่ามาก ในแต่ละตอนมีนักแสดงเพียงสองหรือสามคน เหตุการณ์เกิดขึ้นในสถานที่ไม่กี่ฉาก และปราศจากพล็อตแบบ Murakami
ข้อความของปาห์นที่เผยแพร่กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “หลังจากความไม่ลงรอยอันยืดเยื้อเรื่องความเป็นอิสระและอำนาจอธิปไตย (ปานห์ใช้คำว่า sovereignty) ของคณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัล TikTok Short Film Festival ผมจึงได้ตัดสินใจก้าวลงจากตำแหน่งประธานกรรมการตัดสินรางวัลชุดนี้” ซึ่งสะท้อนเป็นนัยว่าอาจเกิดความพยายามแทรกแซงหรือเปลี่ยนแปลงผลการตัดสิน
ต่อมาเจ้าของรางวัล Un Certain Regard ประจำปี 2013 ได้แจ้งทางคานส์เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และบอกว่าฝ่ายเฟรโมซ์สนับสนุนการตัดสินใจของเขา ก่อนที่ทาง TikTok จะอ่อนท่าทีลง ติดต่อมายังปานห์ และให้สัญญาว่าจะเคารพวิจารณญาณของคณะกรรมการอย่างเต็มที่ เรื่องราวทั้งหมดจึงคลี่คลายลง เมื่อกรรมการทั้งห้าคนรวมถึง ฤทธี ปาห์น ได้ปรากฏตัวร่วมแสดงความยินดี ร่วมพูดคุยและให้สัมภาษณ์ในพิธีมอบรางวัล โดยไม่มีการกล่าวถึงดราม่าทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ผลงานสองเรื่องที่คว้ารางวัลใหญ่ไปครอง ได้แก่ Is It Okay to Chop Down Trees? (มาบุตะ โมโตกิ / Mabuta Motoki) และ Love in Plane Sight (มาเตจ์ ริมานิค / Matej Rimanic) ในขณะที่รางวัลตัดต่อยอดเยี่ยมตกเป็นของ ทิม แฮมิลตัน (Tim Hamilton) และ คลอเดีย โคเชต์ (Claudia Cochet) ได้รางวัลบทยอดเยี่ยม
ก่อนหน้านี้ โครเนนเบิร์กเริ่มทำซีรีส์กับเน็ตฟลิกซ์ไปแล้วถึงสองตอน แต่ถูกขอยกเลิกโปรเจ็กต์กลางคัน หนำซ้ำ Crimes of the Future ก็ถูกนำไปพูดคุยกับแอมะซอนและเน็ตฟลิกซ์มาแล้ว แต่พวกเขาไม่สนใจร่วมทุน “ผมผิดหวังเพราะผมสนใจสตรีมมิ่งที่มีคุณภาพระดับภาพยนตร์ ผมคิดว่ามันจะเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจมากสำหรับผมในฐานะคนเขียนบท ผู้สร้าง และรวมไปถึงผู้กำกับ ผมอาจจะมีประสบการณ์นั้นในวันหนึ่ง แต่ตอนนี้พวกเขายังสนใจใน movie making มากกว่า filmmaking”
เพื่อให้เป็นไปตามกฏของเมอร์ฟีที่ว่า ‘ทุกสิ่งที่สามารถผิดพลาด จะผิดพลาด’ (Anything that can go wrong, will go wrong)1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9F%E0%B8%B5 หรือพูดให้มันเว่อร์กว่านี้อีกนิดว่า ถ้ามีสิ่งเลวร้ายใดที่สามารถจะเกิดขึ้นได้มันจะเกิดขึ้นเสมอ มันจึงไม่มีวันใดที่เหมาะจะพิสูจน์กฏข้อนี้ไปมากกว่าวันนี้ วันที่เอฟเวอลีนหรือชิ่วเหลียน ต้องจัดงานครบรอบวันเกิดพ่อของเธอที่บินมาจากเมืองจีน วันเดียวกันที่สามีของเธอตั้งใจจะมาคุยเรื่องการขอหย่า วันที่ลูกสาวตั้งใจจะพาแฟนสาวมางาน หมายจะเปิดตัวเพื่อท้าทายเธอต่อหน้าอากง ที่หนักหนาที่สุด มันคือวันที่เธอและสามีต้องกระเตงพ่อไปยื่นภาษีที่สรรพากรก่อนจะกลับมาเตรียมงานเลี้ยงในร้านซักผ้าหยอดเหรียญของเธอ
นี่เป็นครั้งแรกที่ซีรีส์มาร์เวลเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ และ HKC Entertainment ผู้ได้สิทธิในการจัดฉายในปากีสถานก็ได้กล่าวว่า “ซีรีส์เรื่องนี้คือการเฉลิมฉลองที่งดงามให้กับศิลปะ วัฒนธรรม รวมถึงผู้มีความสามารถโดดเด่นของปากีสถาน เพราะมันแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมที่หลากหลายของคนทำงานสร้างสรรค์ในประเทศในทุกภาคส่วนของเรื่อง” ขีดเส้นใต้ว่าการตัดสินใจนี้น่าจะเป็นเรื่องของความภูมิใจในชาติด้วยส่วนหนึ่ง
แต่ในขณะที่ความพยายามคำนึงถึงอัตลักษณ์ที่หลากหลายของ Ms. Marvel จะได้รับการตอบรับที่อบอุ่นและการสนับสนุนอย่างเต็มที่จนน่าแปลกใจจากฟากปากีสถาน แต่อีกหนึ่งหนังมาร์เวลอย่าง Doctor Strange in the Multiverse of Madness กลับได้รับการตอบรับอีกแบบ นั่นคือหนังถูกระงับฉายในซาอุดิอาระเบีย คูเวต และกาตาร์ เพราะมีตัวละครที่เป็นบุคคลข้ามเพศ ซึ่งรับบทโดยนักแสดงที่นิยามตัวเองว่าเป็นนอนไบนารี่
ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม /Film (slashfilm.com) รายงานจาก CinemaCon ที่ลาสเวกัส ไฮไลต์การสัมภาษณ์ของ จอห์น ฟิเธียน (John Fithian) ซีอีโอสมาคมเจ้าของกิจการโรงภาพยนตร์แห่งชาติ (The National Association of Theater Owners) ที่แสดงความเห็นว่าขณะนี้ประตูโรงหนังพร้อมเปิดกว้างต้อนรับหนังเน็ตฟลิกซ์ ขอแค่เน็ตฟลิกซ์สนใจจะร่วมเดินไปในทางเดียวกับโรงหนัง
สิ่งที่ทำให้เน็ตฟลิกซ์แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับบรรดาผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้ามาแย่งชิงพื้นที่สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม (ไม่ว่าจะเป็น Disney+, Hulu, Apple TV+ หรือ ESPN+) ก็คือเน็ตฟลิกซ์ไม่มีธุรกิจหรือรายได้จากทางอื่นเป็นฟูกให้ล้ม (พวกเขายังให้บริการเช่าดีวีดีทางไปรษณีย์อยู่ แต่รายได้ก็เป็นแค่เศษเสี้ยวฝุ่นผงของสตรีมมิ่ง ในขณะที่การลงทุนในธุรกิจเกมก็ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ และยืนยันไม่ได้ว่าจะผลิดอกออกผลเป็นกำไร) บทความของ /Film จึงเสนอว่าอาจถึงเวลาแล้วที่เน็ตฟลิกซ์ต้องคิดทบทวนเรื่องการร่วมมือกับโรงภาพยนตร์อย่างจริงจัง
นับแต่ช่วงเวลานี้เป็นต้นไป การพยายามรักษาสถานะพื้นที่เฉพาะแบบ Exclusively on Netflix อาจไม่ใช่ทางออกหรือไพ่ที่เหนือกว่าเหมือนเมื่อไม่กี่ปีก่อน (เช่น การไม่ให้รายงานตัวเลขรายได้หนังเน็ตฟลิกซ์ที่ฉายโรง) ซึ่งทำให้คนในวงการภาพยนตร์ทั้งฝั่งอเมริกาและยุโรปมองว่าเน็ตฟลิกซ์พยายามตั้งตนเป็นศัตรูกับโรงหนัง เพราะในช่วงไม่กี่ปีหลัง วงการภาพยนตร์ได้เห็นความสำเร็จน่าจับตาที่เกิดจากการทำงานร่วมกันของโรงหนังกับแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะกรณีล่าสุดคือ The Batman (2022) ที่การฉาย 45 วันในโรงทำรายได้กว่า 760 ล้านเหรียญฯ และกลายเป็นหนังยอดชมสูงสุดตลอดกาลของ HBO Max ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ปล่อยสตรีม
เน็ตฟลิกซ์อาจใช้โมเดลเดียวกันนี้กับหนังออริจินัลของตัวเองที่ลงทุนระดับบล็อกบัสเตอร์ Red Notice (2021) หรือ The Gray Man (2022) ได้เช่นกัน ยิ่งเมื่อสถานการณ์โควิดได้เปลี่ยนความคิดของธุรกิจภาพยนตร์ไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่อง theatrical window (ระยะเวลาที่หนังควรฉายในโรงก่อนออกแผ่นหรือปล่อยสตรีม) ที่น่าจะเข้าใกล้จุดลงตัวระหว่างทั้งสองฝ่ายมากกว่าแต่ก่อน
ไล่เลี่ยกับแถลงการณ์ของรัฐมนตรีวัฒนธรรมอิตาลี เทศกาลภาพยนตร์โลการ์โน (Locarno Film Festival) ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนกฎหมาย Lex Netflix ซึ่งรัฐบาลและรัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์ได้ยื่นขอแก้ไขกฎหมายภาพยนตร์ของสวิตเซอร์แลนด์ (The Federal Act on Film Production and Film Culture) ซึ่งสาระสำคัญคือให้สตรีมมิ่งแพลตฟอร์มที่ทำธุรกิจในสวิตเซอร์แลนด์ ต้องเสียภาษีเพื่อนำเงินไปหมุนเวียนเข้าสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศ
หลังจากนั้น ช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา คิวเรเตอร์และนักอนุรักษ์ภาพยนตร์ โรส โรก (Rose Roque) ได้จัดโปรแกรมหนังสั้นการเมืองฟิลิปปินส์จากช่วงต้นทศวรรษ 1980 ชื่อ Daluyong: Political Filmmaking in a Period of Social Unrest Redux เพื่อช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนนี้อีกแรง เพราะภาพยนตร์เหล่านี้คือภาพแทนของการใช้หนังเพื่อต่อสู้กับการโฆษณาชวนเชื่อและสื่อกระแสหลักของฟิลิปปินส์ภายใต้อำนาจรัฐบาลมาร์กอสในขณะนั้น
Sydney Morning Herald รายงานว่าสตูดิโอขนาด 3700 ตารางเมตร มูลค่า 46 ล้านเหรียญฯ แห่งใหม่เพิ่งเปิดใช้งานไปเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเปิดประเดิมด้วยหนังชีวประวัติโรบิน วิลเลี่ยมส์ เรื่อง A Better Man พร้อมนำเสนอเป็นนัยว่าสถานการณ์อันคึกคักในขณะนี้ คือดอกผลที่เกินคาดของการลงทุนสร้างสถานที่ถ่ายทำเพื่อดึงดูดโปรดักชั่น หลังอดีตผู้บริหาร Universal ใช้เวลาเกินทศวรรษกว่าจะชักจูงให้ออสเตรเลียกับรัฐวิกตอเรียคล้อยตาม – จากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าการลงทุนด้านนี้จะสามารถดึงดูดเม็ดเงินเข้าประเทศได้ราว 200 ล้านเหรียญฯ ต่อปี แต่ขณะนี้แค่ La Brea (118 ล้าน) กับ Metropolis (188 ล้าน) ก็ทะลุเป้าไปไกลแล้ว
Metropolis (ซึ่งกำลังรอต่อคิวใช้พื้นที่ถัดจาก A Better Man) อาจใช้เงินลงทุนด้าน LED volumes เพิ่มอีกราว 60 ล้านเหรียญฯ ซึ่งได้รับเงินรัฐสนับสนุน 12.5 ล้านเหรียญฯ และรัฐวิกตอเรียยังลงทุนพัฒนาบุคลากรเพิ่มอีก 5 ล้านเหรียญฯ ผ่านมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้และเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จักของนักดูหนังทั่วโลกผ่านความโด่งดังของซีรี่ส์ The Mandalorian (2019-ปัจจุบัน) และหนังมาร์เวลในอนาคตอย่าง Ant-Man and the Wasp: Quantumania กับ Thor: Love and Thunder
จากรายชื่อดังกล่าว ภาพลักษณ์ของเทคโนโลยี LED volumes หรือการใช้จอดิจิตัลขนาดยักษ์เพื่อฉายภาพเทคนิคพิเศษที่สมจริงขึ้นเป็นฉากหลังของนักแสดงระหว่างถ่ายทำ (เพื่อเสริมหรือทดแทนการใช้ green screen เพื่อทำซีจีภายหลัง) อาจยังผูกโยงอยู่กับหนังหรือซีรี่ส์บล็อกบัสเตอร์ทุนสูงที่เต็มไปด้วยสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ แต่ทั้งออสเตรเลียกับรัฐวิกตอเรียก็มองการลงทุนนี้ในระยะยาว เพราะการติดตั้งเทคโนโลยีราคาแพงครั้งนี้ไม่ได้ทำครั้งเดียวจบที่ Metropolis หรือแค่จนหมดสัญญากับ NBCUniversal แต่ยังสามารถใช้งานต่อกับโปรดักชั่นอื่นที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ด้วยเล็งเห็นว่าหลังจากนี้ LED volumes จะเป็นที่นิยมมากขึ้น แม้กระทั่งกับหนังหรือซีรี่ส์ที่ไม่ได้ลงทุนระดับบล็อกบัสเตอร์
เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติธรรมศาลา (Dharamsala International Film Festival – DIFF) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2012 โดยสองคนทำหนังคู่ชีวิต ริตู ซาริน (Ritu Sarin) และ เทนซิง โซนัม (Tenzing Sonam) เพื่อเปิดโลกภาพยนตร์ทางเลือกให้ชุมชนผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นชาวทิเบตในเมือง และปัจจุบันเป็นที่ยอมรับในฐานะเทศกาลหนังอิสระชั้นนำอีกแห่งของอินเดีย (คำขวัญเทศกาลคือ bringing independent cinema to the mountains)
หลังต้องปรับทิศทางแบบเร่งด่วนช่วงล็อกดาวน์โควิดเมื่อปี 2020 จนถึงตอนนี้ทางเทศกาลก็ยังคงแอ็กทีฟกับการฉายหนังออนไลน์อย่างต่อเนื่อง (ภายใต้แนวคิด streaming independent cinema from the mountains ที่ล้อกับคำขวัญเทศกาล) ผ่านแพลตฟอร์ม DIFF Virtual Viewing Room ที่จะมีโปรแกรมหนังหมุนเวียนไปตลอดทั้งปี ด้วยตัวเลือกที่แปลกแตกต่างและหาดูยากเมื่อเทียบกับบรรดาเทศกาลหนังชั้นนำไม่ว่าจะในยุโรปหรือเอเชียด้วยกัน
โปรแกรมออนไลน์ล่าสุดของเทศกาลฯ คือ A Small Atlas of Chinese Independent Documentaries ซึ่งรวมสารคดีจีนหาดูยากไว้ถึง 6 เรื่อง จากการคัดเลือกของ จูอื้อคุน (Zhu Rikun) คนทำหนังสารคดีและโปรดิวเซอร์ของสารคดีความยาวหกชั่วโมงเรื่องสำคัญอย่าง Karamay (2010) – หนังกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่หาดูยาก แต่อาจถึงขั้นไม่เป็นที่รู้จักมาก่อนสำหรับคนดูหนังส่วนใหญ่ ซึ่งคิวเรเตอร์ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าเขาตั้งใจนำเสนอทางเลือก ก่อนทางเลือกเหล่านี้จะถูกลืม
สารคดีจีนทั้ง 6 เรื่อง ได้แก่
Chronicle of Longwang: A Year in the Life of a Chinese Village (หลี่อี้ฟาน – Li Yifan, 2007, 92 นาที) : ภาพเหตุการณ์ชีวิตประจำวันตลอดหนึ่งปีในหมู่บ้านหลงหวัง ชีวิตที่ไม่มีทุกข์ถาโถม ไม่มีสุขล้นเหลือ ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วสลายไปในสายลม เป็นภาพรวมไร้เส้นเรื่องของหมู่บ้านธรรมดาในจีนแผ่นดินใหญ่ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร
We Are the … of Communism (กุ้ยจื่อเอิน – Cui Zi’en, 2007, 94 นาที) : การดิ้นรนต่อสู้ของโรงเรียนสำหรับลูกแรงงานแห่งหนึ่งในปักกิ่ง หลังถูกทางการสั่งปิดอย่างไม่มีสาเหตุ ครูกับนักเรียนต้องย้ายที่เรียนไปเรื่อยๆ จากตึกเรียนเก่า ตึกโรงงานร้าง ตั้งโต๊ะริมถนน ไปจนถึงหอพักของครู และนั่งเรียนอัดกันในรถตู้คันเล็ก
Listening to Third Grandmother’s Stories (เหวินฮุ่ย – Wen Hui, 2011, 71 นาที) : ผู้กำกับหญิงบันทึกและตีความเรื่องราวทั้งชีวิตของเหล่าอี๊ที่เธอเพิ่งได้พบเป็นครั้งแรกในวัยกลางคน (ส่วนเหล่าอี๊อายุแปดสิบกว่าแล้ว) เรื่องราวที่ราวกับว่าเหล่าอี๊รอให้เธอมาบันทึกไว้ ชีวิตของผู้หญิงที่แปรเปลี่ยนพร้อมความเปลี่ยนแปลงของประเทศ
One Day in May (หม่าจ้านตง – Ma Zhandong, 2011, 145 นาที) : ภาพชีวิตของครอบครัวหนึ่งตลอดเวลากว่าปีครึ่ง หลังได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเสฉวนเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2008 หนังส่องลงไปให้เห็นว่าความทุกข์ ความทรงจำ การต่อสู้ยืนหยัดของครอบครัวนี้ เป็นสิ่งเดียวกับที่รัฐบาลจีนมองเห็นและให้ค่ามากน้อยแค่ไหน
Ants Dynamics (สวีรั่วเถา และ หวังฉืออู่ – Xu Ruotao & Wang Chuyu, 2020, 120 นาที) : ศิลปินจากปักกิ่งกลับบ้านเกิด คิดการแสดงและร่วมประท้วงเรียกร้องสิทธิ์กับกลุ่มคนงานของบริษัท China Telecom แต่ประท้วงไปได้สักพัก ศิลปินจากเมืองหลวงก็เริ่มมองเห็นว่าความจริงเบื้องหลังมันซับซ้อนกว่าที่คาด
One Says No (จ้าวต้าหยง – Zhao Dayong, 2020, 97 นาที) : เมื่อรัฐบาลรื้อไล่ที่หมู่บ้านเก่าในกวางโจวเพื่อสร้างเมืองใหม่ อาจงตัดสินใจยืนหยัดสู้ทุกวิถีทาง แม้อาคารโดยรอบจะถูกทุบจนเหลือบ้านเขาแค่หลังเดียว ถูกรัฐตัดน้ำตัดไฟ จ้างนักเลงให้มาคุกคามทำร้าย ถึงขั้นต้องติดระเบิดไว้ทุกทางเข้าออกของบ้านเพื่อป้องกันภัย
Film Club ขอไล่เรียงสรุปรายละเอียดความเป็นมาของคดีนี้ รวมถึงตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ข้อถกเถียงที่ทั้งน่าสนใจและน่ากังวลเมื่อพิจารณาในประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์ กับเส้นเรื่องซึ่งทำให้ฟาร์ฮาดีมีสถานะราวกับเป็นตัวละครในหนังของเขาเองที่ต้องเผชิญหน้ากับจุดพลิกผันและข้อถกเถียงด้านจริยธรรมที่ยากจะชี้นิ้วตัดสินผิดถูก
ไม่นานหลัง A Hero เปิดตัวที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ (และชนะรางวัลกรังด์ปรีซ์) อาซาเดห์ มาซิห์ซาเดห์ (Azadeh Masihzadeh) ได้กล่าวหาฟาร์ฮาดีออกสื่อว่าขโมยไอเดียและเนื้อหาไปจากสารคดีสั้นเรื่อง All Winners, All Losers (2018) ที่เธอกำกับในเวิร์กช็อปสารคดีที่เขาสอน เมื่อถูกกล่าวหาด้วยข้อหาร้ายแรง ฟาร์ฮาดีจึงฟ้องเธอข้อหาหมิ่นประมาท (ลำดับเหตุการณ์ว่าใครฟ้องใครก่อน สื่อภาษาอังกฤษยังเขียนขัดแย้งกันอยู่) และไม่ได้หยุดอยู่แค่สองคดีระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา เมื่อโมฮัมหมัด เรซา โชกรี (Mohammad Reza Shokri) นักโทษคดีหนี้สินผู้เก็บทองแล้วส่งคืนขณะลาพักโทษที่เป็นต้นเรื่องของหนังทั้งคู่ ก็ฟ้องฟาร์ฮาดีด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุผลว่าตัวละครใน A Hero ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
ในขณะที่เพื่อนกลุ่มหนึ่งได้ให้การเป็นพยานสนับสนุนมาซิห์ซาเดห์ นักศึกษาอีกหลายคนที่เข้าร่วมเวิร์กช็อปเดียวกันก็ยื่นคำให้การเพื่อสนับสนุนฟาร์ฮาดีในคดีเดียวกัน (ยังไม่ปรากฏว่ามีสื่อภาษาอังกฤษได้พูดคุยกับนักศึกษากลุ่มนี้) ซึ่งสำหรับมาซิห์ซาเดห์แล้ว พวกเขาอาจต้องทำไปเพราะแรงกดดันแบบเดียวกับที่เธออ้างว่าประสบพบเจอมาเอง – เธอเล่ากับ The Hollywood Reporter ว่าหลัง A Hero เริ่มถ่ายทำในปี 2019 ฟาร์ฮาดีได้เรียกเธอไปพบที่ห้องทำงาน ให้เซ็นเอกสารเพื่อมอบสิทธิ์ต่อตัวเรื่องและยืนยันว่าไอเดียทั้งหมดของ All Winners, All Losers นั้นเริ่มต้นจากเขา ซึ่งเธอยอมเซ็นเพราะเกรงสถานะกับอำนาจของฟาร์ฮาดี
Portrait of a Lady on Fire เป็นการฉายหนังอิสระเรื่องแรก จัดขึ้นที่ Makham Cafe & Gallery สถานที่นี้เป็นที่สำหรับคนชอบงานศิลปะ และคนทำงานศิลปะจะมานั่งพบปะพูดคุยกัน เป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ มีงานศิลปะบนผืนผ้าใบแคนวาสมากมายภายในร้าน เราเลือกสถานที่นี้เพราะคงไม่มีที่ไหนให้ความรู้สึกถึงคุณค่างานศิลปะเหมือนที่มาเรียนมอบให้เอลูอิสได้เท่าที่นี่อีกแล้ว
Drive my Car จัดขึ้นที่โรงภาพยนตร์อโยธยาเธียเตอร์ ณ ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา สถานที่แห่งนี้คือ 1 ในจุดหมายของการจัดฉายภาพยนตร์ของคนอยุธยาที่ผมมองเอาไว้ องค์ประกอบความเป็นเธียเตอร์ของที่นี่มีความเหมาะสมมากที่สุด นี่คือโรงหนังขนาดไม่ใหญ่ไปไม่เล็กไป ที่ซ่อนตัวอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นโรงหนังที่คนอยุธยาเองก็แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่ ซึ่ง Drive my Car ก็เป็นหนังที่จำเป็นต้องดูในสถานที่แบบนี้ (ความจริงแล้วหนังทุกเรื่องก็ควรอยู่ในสถานที่แบบนี้เช่นกัน) ที่นี่พร้อมและเหมาะสมที่สุดสำหรับการจัดฉายภาพยนตร์
Wheel of Fortune and Fantasy, Drive my Car จัดขึ้นที่ศูนย์การเรียนรู้ Toyota เมืองสีเขียว ครั้งนี้เลือกจัดที่นี่เพราะอยากทดลองจัดฉายแบบโอเพ่น แล้วด้วยเป็นการฉายหนังสัญชาติญี่ปุ่น เรามองว่าที่ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้มีหน้าตาคล้ายญี่ปุ่นอยู่พอสมควร จึงเลือกใช้สถานที่นี้ในการจัดฉายภาพยนตร์