Paper Girls ถูกดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกันที่ตีพิมพ์ในปี 2015 ถึงปี 2019 เขียนเรื่องโดย Brian K. Vaughan วาดโดย Cliff Chiang ก่อนที่จะถูกนำมาดัดแปลงและสตรีมในปี 2022 ทาง Prime Video โดย Stephany Folsom (Toy Story 4) หนังสือการ์ตูนฉบับดั้งเดิมได้รับการการันตีคุณภาพจากรางวัล Eisner Award และ Harvey Award 2016 ในสาขาการ์ตูนเรื่องยาวยอดเยี่ยม (Best New Series)
สิ่งที่ทำให้ Paper Girls แตกต่างไปจาก Stranger Things คือ โจทย์การผจญภัยของกลุ่มเด็กสาวในเรื่อง พวกเธอมีปัญหาเป็นของตัวเองและต้องรับมือกับความไม่ได้ดั่งใจของอนาคต ขณะที่กลุ่มเด็กเนิร์ดแห่งเมืองฮอว์กินส์รับมือกับสัตว์ประหลาดและทฤษฎีสมคบคิดใหญ่โตผ่านการผจญภัยโลกโผนสารพัด ที่พึ่งสำคัญในการเอาตัวรอดจากสงครามนักข้ามเวลาของเด็กหญิงทั้งสี่คือตัวเองในอนาคต ที่แทบจะเรียกได้ว่าน่าผิดหวัง โจทย์ของมันจึงเป็นการเดินทางภายในเพื่อทำความเข้าใจตัวเองในแบบที่ตัวเองเป็นอยู่ และแบบที่จะเป็นไปในภายภาคหน้า
สงครามนักข้ามเวลาที่เป็นฉากหลังของเรื่องประกอบด้วยสองฝ่าย ได้แก่ กลุ่มเอสทีเอฟ หรือ Standard Time Fighter (ในการ์ตูนต้นฉบับเรียกว่าเป็น Teenager หรือพวก ‘วัยรุ่น’) ผู้ที่เชื่อในการเดินทางข้ามเวลาเพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต สำหรับพวกเขา การข้ามเวลาคือประดิษฐกรรมที่เกิดขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์นี้ ส่วนอีกฝ่ายคือ Old Watch (ในต้นฉบับเรียกว่า Old Timer หรือพวกคนแก่) องค์กรตำรวจเวลาที่คอยปราบปรามนักเดินทางข้ามเวลาที่ยุ่มย่ามกับประวัติศาสตร์และทำให้อนาคตล่มสลาย และเด็กส่งหนังสือพิมพ์จากปี 1988 ก็ถูกนับว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องกำจัดทิ้ง
ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องที่สามของ จอร์แดน พีล (Jordan Peele) ยังคงเป็นหนังสยองขวัญแปลกประหลาด หนังของเขาเหมือนหลุดมาจากนิตยสารหรือเว็บไซต์เรื่องลึกลับ เรื่องประหลาด หนังสือแบบแปลก โลกทิพย์ Creepy Pasta หรือบางเรื่องจาก The Ghost Radio Get Out ว่าด้วยการถูกเข้าสิงร่างกายด้วยวิญญาณคนอื่น Us เล่าเรื่องดอปเปิลแกงเกอร์จากโลกใต้ดิน และ Nope ว่าด้วยยูเอฟโอ เริ่มต้นจากเรื่องพิสดารเหนือธรรมชาติเหล่านั้น ซ่อนนัยยะทางการเมืองเข้มข้นของสังคมอเมริกัน เราจะดูหนังของเขาในฐานะหนังสยองขวัญเพียว ๆ ก็ได้ หรือหนังที่เป็นภาพแทนทางการเมืองก็ได้เช่นกัน
เราอาจมองหนังในฐานะภาพยนตร์ที่เชิดชูความเป็นหนัง/ความเป็นคนดำได้อย่างน่าสนใจ เมื่อหนังเปิดฉากด้วยภาพของทัศนียภาพลึกลับของสิ่งที่เป็นอุโมงค์ ช่อง ถ้ำ (ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาใช้มาตลอด ทั้งตัว The Sunken Place ใน Get Out และอุโมงค์ใต้ดินใน Us) ตำแหน่งของภาพที่ทำให้นึกถึงการสะกดจิตใน Get Out แต่แทนที่สายตาของเราจะถอยออก(ร่วงลง) กลับขยับเข้าใกล้ และสิ่งที่เราเข้าใกล้ ไม่ใช่ใบหน้าของแม่ยายแบบใน Get Out แต่เป็นภาพคนดำขี่ม้า ภาพเคลื่อนไหวที่เป็นต้นกำเนิดของภาพยนตร์อีกทอดหนึ่ง
The Horse in Motion (1877) ของ เอ็ดเวิร์ด มายบริดจ์ (Edweard Muybridge) น่าจะเป็นภาพยนตร์ในยุคก่อนภาพยนตร์ มันคือการเอาการ์ดภาพถ่ายคนดำขี่ม้ามาเรียงต่อกันและหมุนวนมันในความเร็วที่กำหนด ด้วยกลไกของภาพติดตาภาพนิ่งก็เคลื่อนไหว และนี่คือต้นธารของภาพยนตร์ในเวลาต่อมา
ดังนั้น เมื่อฉันได้ดูภาพยนตร์สองเรื่องแรกในเทศกาลคือ A Night of Knowing Nothing และ Blue Island ฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่หนังทั้งสองได้พิสูจน์ว่า เวทีภาพยนตร์ยังคงเป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อต้าน และการต่อต้านไม่ได้เป็นเพียงการต่อต้านสถานการณ์ทางการเมือง แต่ยังต่อต้านบรรดาการจงใจเสียดเย้ยหยามเหยียดทีเพื่อที่จะฆ่าความเชื่อในความจริงของเราทิ้งเสีย
เริ่มต้นด้วย A Night of Knowing Nothing ภาพยนตร์ที่น่าทึ่งเกี่ยวกับการแสวงหาความจริงของเราในช่วงเวลาหลังความจริง หนังใช้ภาพทุกประเภทที่อยู่รอบตัวเราทุกวันนี้ ตั้งแต่ภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ไปจนถึงโฮมวิดีโอ ฟุตเทจจากสมาร์ตโฟน ภาพจากกล้องวงจรปิด ภาพซ้อน ไปจนถึงกราฟิตีและคลิปข่าว และแทนที่หนังจะฟาดเราแล้วทำให้พวกเราสับสนกับภาพเหล่านี้ หนังกลับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นถ้อยแถลงถึงความเปลี่ยนแปลงที่ทั้งทรงพลังและเป็นส่วนตัว โลกที่เปลี่ยนไปนั้นไม่ต้องการความฉาบฉวยและหลอกลวงของสิ่งที่เรียกว่า “ศิลปะการสื่อสาร” หรือ “เครือข่ายสังคม” อีกต่อไป หากมันกลับนำเสนอช่วงเวลาแห่งการใคร่ครวญอย่างจริงจังต่อกัน – เธอกับฉัน การปะทะกันของงภาพและเสียงที่เหมือนความฝันจะเผยให้เห็นความจริงของโลกนี้ ด้วยความรู้สึกที่แข็งกร้าวจนเกือบจะเป็นความรู้สึกของการประกาศชัยชนะ ซึ่งเป็นความจริงในตัวตนของศิลปินเอง
ความปรารถนาอย่างสุดใจที่จะใคร่ครวญตนเองและผู้อื่นนั้น ยังรู้สึกได้จากหนังอย่าง Children of the Mist และ Transparent, I Am ด้วย โดย Children of the Mist เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวชาวม้งในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลในเวียดนาม คนที่กำลังมองหาอนาคตและความสัมพันธ์ที่ดีกว่าตอนนี้ อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ยังสามารถตีความได้ว่าเป็นความพยายามของคนทำในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างตัวเธอเองกับตัวเอก
ในทางกลับกัน Transparent, I Am เป็นหนังทดลองขนาดสั้นที่แสดงถึงความพยายามของคนทำที่จะมองดูสภาพจิตใจของเธอเองผ่านภาพคาไลโดสโคป
หากจะมีสิ่งที่นักวิจารณ์ไม่ปลื้มหนัง Vita & Virginia นัก ก็อาจเป็นการที่หนังพูดอะไรออกมาตรงๆ มากเกินไป ในลักษณะที่ Tell แต่ไม่ Show คือแทนที่หนังจะใช้ฝีมือการแสดงของนักแสดงนำทั้งสองเพื่อบอกถึงความเปราะบางของพวกเธอ หนังกลับให้พวกเขาพูดว่าพวกเขา “เปราะบาง” ออกมาตรงๆ และมันเป็นหนังที่ตัวละครบอกว่าตัวเองต้องการและรู้สึกอะไรเยอะมาก แทนที่จะให้ตัวละครแสดงมันผ่านภาษาทางกาย ในแง่หนึ่งอาจกล่าวได้ว่า หนังโฟกัสกับ What to say เยอะเกินไป จนมันกลายเป็นสิ่งเดียวที่มี และลืมให้ความสำคัญกับ How to say ดังนั้นสิ่งที่ติดหัวออกมาหลังจากดูหนังเสร็จจึงเป็นเพียงเส้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างวิตาและเวอร์จิเนีย ทำนองว่า จำได้เพียงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ไม่สามารถจำความรู้สึกต่อสิ่งเหล่านั้นได้ชัดเจนนัก
เทศกาลภาพยนตร์โลการ์โน (Locarno Film Festival) ครั้งที่ 75 เริ่มปูพรมฉายหนังแล้วเป็นที่เรียบร้อย ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา
สำหรับปี 2022 นี้ ตัวแทนทีมชาติไทยเพียงหนึ่งเดียวที่มีลุ้นรางวัลคือ อานนเป็นนักเรียนตัวอย่าง หรือ Arnold Is a Model Student ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ สรยศ ประภาพันธ์ (อวสานซาวด์แมน, ผิดปกติใหม่) ผู้กำกับที่มีผลงานหนังสั้นตระเวนยุโรปต่อเนื่องในช่วงหลายปีหลัง โดยเป็นผู้เข้าชิงรางวัลเสือดาวทองคำในสายรอง Golden Leopard-Filmmakers of the Present ร่วมกับผลงานของคนทำหนังรุ่นใหม่อีก 14 เรื่อง
ก่อนพิธีส่งมอบเสือดาวทองคำในวันที่ 13 สิงหาคมที่กำลังจะถึงนี้ ซีเนไฟล์ชาวไทยที่กำลังร่วมลุ้นทั้งรางวัลและเสียงตอบรับของหนังอาเซียนทั้งสองเรื่อง ก็สามารถมีส่วนร่วมกับเทศกาลได้แม้จะไม่ได้บินไปถึงสวิตเซอร์แลนด์ ผ่านสองโปรแกรมหนังที่โลการ์โนเป็นผู้คัดสรร และ Film Club หยิบมาแนะนำต่อในคราวนี้
หนังสั้นทั้งสิบเรื่องในโปรแกรม Open Doors Shorts ประจำปี 2022 ได้แก่
Agwe (2021, เฮติ) Black Doll (2018, เซนต์วินเซนต์แอนด์เดอะเกรนาดีนส์) Black I Am (2018, ฮอนดูรัส) Leaves of K. (2022, นิการากัว / คอสตาริกา) Out of Many (2020, จาเมกา) Scar of Our Mothers’ Dreams (2017, เกรนาดา) Soul of the Sea (2019, กัวเตมาลา / นอร์เวย์) Techos rotos (2014, โดมินิกัน) Tundra (2021, คิวบา) Umbra (2021, คิวบา)
นี่คือฉากเปิดเรื่องของ For All Mankind ซีรีส์ของ Apple TV+ ที่เล่าเรื่องราวของหลากชีวิตในเส้นทางการไปให้ถึงดวงดาวของนาซ่า ในประวัติศาสตร์สมมติที่สหภาพโซเวียตย่างเท้าลงบนดวงจันทร์ได้ก่อนสหรัฐอเมริกา และเบี่ยงวิถีทางสู่ความเป็นไปได้ที่แตกต่างจากความเป็นไปบนโลกนอกจอ โลกที่อเมริกาเป็นเจ้าของก้าวสำคัญของมวลมนุษยชาติในการออกเดินทางสู่ห้วงอวกาศอันไกลโพ้น
แต่อย่างน้อยฟันเฟืองในการแข่งขันนี้ยังได้รับอนุญาตให้มีความฝันและความหวัง For All Mankind เลือกใช้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ที่ต่างออกไปในการเล่าถึงบรรดาผู้คนที่ต้องเอาชนะแรงดึงดูดของโลก และแรงกดดันทางการเมืองไปพร้อมๆ กัน โครงสร้างของตัวซีรีส์นั้นเรียบง่าย มันมักจะเริ่มด้วยไอเดียที่หวังผลทางการเมืองอย่างที่สุดของประธานาธิบดี (Richard Nixon ในเวลานั้น) ถูกโยนลงมากลางที่ประชุมของ NASA ให้ทุกคนสนองตอบ นำไปสู่ดราม่าสะเทือนชีวิตรายบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากแรงกระเพื่อมของมัน
ประวัติศาสตร์ทางแยกของ For All Mankind ทำหน้าที่คล้ายเรื่องเล่าแนวพหุจักรวาล ในแง่ที่มันใช้ถูกใช้เพื่อวิพากษ์ความเป็นจริงที่เราอาศัยอยู่ ความร้ายกาจของมันอยู่ที่การผสมฟุตเตจจริงเข้าไปในเรื่อง ลูกเล่นหวือหวานี้ไม่ได้มีผลแค่ในแง่ส่งเสริมสไตล์การเล่าเรื่องเท่านั้น แต่มันยังชวนให้รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดบนจอเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้จริง แม้ว่ามันจะกำลังเล่าเรื่องผู้หญิงที่จะได้ไปดวงจันทร์เร็วกว่าความเป็นจริงนับสิบปีก็ตาม
แต่สิ่งหนึ่งที่ดูจะไม่เปลี่ยนไปเลยไม่ว่าใครจะไปถึงดวงจันทร์ได้ก่อน คือฉากและชีวิตของเกย์กลางศตวรรษที่ 20 เรื่องนี้ถูกนำเสนอผ่านตัวละครนักบินอวกาศหญิง Ellen Wilson (Jodi Balfour จาก Ted Lasso และ The Crown) ผู้ถูกบีบให้แต่งงานเพื่อรักษาหน้าที่การงานเอาไว้ มันไม่ใช่การนำเสนอดราม่าการปกปิดเพศสภาพที่แปลกใหม่อะไรนัก แต่ความน่าสนใจของมันอยู่ที่การในคำอธิบายว่าเกย์เป็นหนึ่งในเหยื่อของเกมล่าแม่มดของ FBI ที่ถูกใช้เพื่อเบี่ยงความสนใจของประชาชนไปจากความฉ้อฉลในคณะรัฐบาล และครั้งหนึ่งเกย์เคยถูกโยงเข้ากับคอมมิวนิสต์ มีภาพลักษณ์ใกล้เคียงกับจารชนของสหภาพโซเวียต
คงไม่ผิดนัก หากจะพูดว่า For All Mankind เป็นแฟนฟิกชั่นฉบับจริงจังที่สร้างโดยแฟนตัวยงของโครงการอวกาศ Ronald D. Moore และทีมบทของเขายังคงแม่นยำในการเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญ ใต้เงื่อนไขทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างเข้มข้นไม่แพ้งานสร้างชื่อของเขาอย่าง Battlestar Galactica และ Star Trek: Deep Space Nine โดยเฉพาะในช่วงท้ายซีรีส์ที่มันดึงเอารสชาติของหนังอุบัติการณ์อวกาศเข้มๆ อย่าง Gravity, Apollo 13 และ The Martian ออกมาได้อย่างถึงเครื่อง ในจังหวะที่เหมาะเจาะพอดี เราทุกคนต่างพอจะคาดเดาได้ว่าผลลัพธ์ของมันจะออกมาเป็นเช่นไร แต่มันก็ประสบความสำเร็จทุกครั้งในการกระตุ้นให้เรารู้สึกเอาใจช่วยตัวละครในสถานการณ์เสี่ยงตายของพวกเขา
นั่นเป็นเพราะมีอีกสิ่งที่มันให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือหัวจิตหัวใจที่อยู่ภายในตัวตนอันเล็กจ้อยของมนุษย์ในเรื่องราวนี้ มันลึกลับดำมืด ไม่สมเหตุสมผล เต็มไปด้วยปริศนาให้ค้นไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็เปี่ยมความหวังในคราวเดียวกัน ไม่ต่างอะไรกับห้วงอวกาศที่โอบล้อมเราอยู่ ตลอดทางการรับชมมักจะชวนให้นึกถึงคำกล่าวของ Neil de Grasse Tyson ที่ว่า “เราไม่เพียงแต่อาศัยอยู่ท่ามกลางดวงดาว ดวงดาวเองก็อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเราเช่นกัน”
ประกาศแล้วกับไลน์อัพเทศกาลภาพยนตร์เวนิซปีนี้ ฮือฮาอยู่หลายเรื่องในสายประกวดหลัก ทั้งเคต แบลนเชตต์ ที่เปิดตัวมาแบบเฮี้ยนๆ กับบทวาทยกรหญิงคนแรกของเยอรมันใน Tár กำกับโดยท็อดด ฟีลด์ ที่หายไปนาน 16 ปีหลังจาก Little Children (2006) และ Bones and All หนังรักที่มีตัวละครเป็นคนกินเนื้อคน นำแสดงโดยทิโมธี ชาลาเมต์ กำกับโดยลูกา กัวดายิโน จาก Call Me By Your Name (2017) ส่วนตัวเป้งๆ เทไปอยู่นอกสายประกวด ทั้งลาฟ ดิอาซ, พอล ชเรเดอร์ และไท เวสต์ ที่กลับมาเยือนเวนิซอีกครั้ง และลาร์ส วอน เทรียร์ และนิโคลัส วินดิง เรฟิน ที่คราวนี้มากับซีรีส์
แต่ที่น่าดูไม่แพ้กันกันคือหนังของผู้กำกับหญิงที่ทั้งสามเรื่องล้วนขุดลงไปในความเป็นแม่ ทั้งการพิจารณาคดีแม่ที่ฆ่าลูกสาวตัวเองใน Saint Omer หนังฟิกชั่นเรื่องแรกของอลิซ ดิออป ผู้กำกับสารคดีจอมวิพากษ์สังคม, The Eternal Daughter หนังความสัมพันธ์แม่ลูกของโจแอนนา ฮอกก์ ผู้กำกับ The Souvenir และ The Souvenir: Part II ที่กลับมาร่วมงานกับทิลดา สวินตัน และ Other People’s Children หนังพูดอังกฤษเรื่องแรกของรีเบ็กกา ซโลทอวสกี้ ที่เคยพา An Easy Girl (2019) ไป Director’s Fortnight ที่คานส์ และกำลังร่วมปั้นบท Emmanuelle ฉบับรีเมค หนังเล่าเรื่องของหญิงโสดวัย 40 ที่พบรักกับพ่อลูกติดและรักลูกเขามากเหมือนลูกตัวเอง แต่การเป็นแม่ของลูกคนอื่นอาจไม่ง่ายดายอย่างนั้น
เริ่มที่สายหลักอย่าง No Bears ของจาฟาร์ ปานาฮี (Jafar Panahi) ที่เพิ่งถูกจับกุมและสั่งจำคุก 6 ปีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และ Beyond the Wall ของวาฮิด จาลิลวันด์ (Vahid Jalilvand) ที่เคยได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมในสาย Horizons จาก No Date, No Signature (2017) โดยหนังใหม่นี้เล่าเรื่องชายตาบอดที่ชีวิตกำลังจะพังทลาย เพราะผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเข้ามาในโลกอันมืดมิดของเขา
ตามมาด้วยสายรองอย่าง Without Her ของอาเรียน วาซีร์ดาฟทารี (Arian Vazirdaftari) ในสาย Horizons Extra เล่าเรื่องของโรญา หญิงสาวที่กำลังจะอพยพออกจากอิหร่านแต่ดันมาเจอหญิงสาวอีกคนที่สูญเสียความทรงจำ โรญาหาบ้านให้และแนะนำเธอให้เพื่อนพ้องและครอบครัวรู้จัก เพื่อจะค้นพบว่าเธอคนนี้มาเพื่อแทนที่เธอ และ World War III ของโฮมาน เซเยดี (Houman Seyedi) ในสาย Horizons ที่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด
ส่วนฟากสารคดีก็มี All the Beauty and the Bloodshed ของลอรา พอยทราส ผู้กำกับ Citizenfour (2014) เจาะไปที่ความขัดแย้งระหว่างแนน โกลดิน ช่างภาพชาวอเมริกัน และตระกูลแซกเลอร์ เจ้าของบริษัทยายักษ์ใหญ่ และหนังใหม่นอกสายประกวดของเซอร์เก ลอทนิทซา A Kiev Trail หรือ Babi Yar. Context เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในคีฟช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
และเมื่อเวนิซไม่ปิดกั้นหนังจากเน็ตฟลิกซ์เหมือนคานส์ หนังใหม่รอสตรีมจึงแห่กันเข้าสายหลัก ทั้ง Blonde ชีวประวัติมาริลิน มอนโร โดยแอนดรูว์ โดมินิก นำแสดงโดยอนา เดอ อาร์มาส, White Noise หนังครอบครัววายป่วงของโนอาห์ บอมบาค นำแสดงโดยอดัม ไดรเวอร์ และเกรตา เกอร์วิค, Bardo (or False Chronicle of a Handful of Truths) หนังส่วนตัวของอาเลฮานโดร อินาร์ริตู เกี่ยวกับนักข่าวชายชาวเม็กซิกันที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติชีวิต ปัญหาครอบครัว และตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของตัวเอง และ Athena หนังดราม่าดิบเถื่อนของโรแมง กาฟราส์ เล่าเรื่องพี่น้องวัยรุ่นชายสามคนที่ต้องปะทะเดือดกับตำรวจหลังน้องชายคนเล็กตายอย่างปริศนา
“ความท้าทายที่สุดของ The Black Phone อยู่ตรงที่ต้นฉบับเป็นเพียงเรื่องสั้นสิบหน้า และเราต้องขยายมันให้กลายเป็นบทหนังหนึ่งร้อยหน้า หรือก็คือต้องขยายเองถึง 90% โดยที่ต้องยังชูแก่นของเรื่องต้นฉบับไว้ให้ได้ด้วย
ถึงแม้จะจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่แปดในกรุงเทพแล้ว แต่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ‘นิมิตวิกาล’ หรือชื่อต้นทาง Festival International Signes de Nuit ก็ยังอาจไม่ใช่ชื่อที่หลายคนเคยได้ยินมาก่อน
ตัวเทศกาลหลักนั้นเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2003 ในปารีส ชื่อ signes de nuit หรือ signs of the night นั้น มีที่มาจากการฉายครั้งแรกๆ เทศกาลฉายในช่วงเวลากลางคืนและลากยาวไปจนจวบอรุณรุ่ง จนถึงตอนนี้เทศกาลหนังที่ก่อตั้งและดำเนินการแทบจะลำพังโดย Dieter Wieczoreck มีอายุย่างเข้ายี่สิบปีแล้ว เทศกาลที่ฉายหนังจากทั่วโลก และก็เดินทางไปทั่วโลกทั้งในฐานะโปรแกรมพิเศษ ไปจนถึงเทศกาลหลักที่ตอนนี้ปักหลักอยู่ใน ปารีส, เบอร์ลิน, ลิสบอน, เออร์บิโน, อิตาลี, ทูคูมาน, อาร์เจนตินา และ กรุงเทพฯ
เป็นทั้งเรื่องง่ายและยากที่จะบอกว่าเทศกาลนี้ฉายหนังอะไร กล่าวอย่างตรงไปตรงมาที่สุด โปรแกรมในเทศกาลแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนที่หนึ่งคือหนังสารคดีทั้งสั้นและยาว ส่วนที่สองคือหนังสั้นหลากหลายรูปแบบ และส่วนที่สาม Cinema of Transgressions คือสายประกวดหนังทดลอง video art หรือแม้แต่งานภาพเคลื่อนไหวที่ยังอธิบายหรือจัดหมวดหมู่ไม่ได้
Peter Tscherkassky คือคนทำหนังในตำนาน งานของเขามักสร้างขึ้นจากหนังอีกเรื่อง กล่าวให้ถูกต้องคือ เขาเอาฟิล์มจากหนังเรื่องอื่นมาเล่นสนุกในห้องมืด ซ้อนมันบิดมัน ทำให้ภาพของมันบิดเบี้ยว หนังเรื่องเกิดเป็นความหมายใหม่ ความสยองขวัญแบบใหม่ที่เหลือเชื่อผ่านการละเล่นกับเนื้อฟิล์มและการตัดต่อ
ในงานชิ้นนี้เขาได้แรงบันดาลใจจาก Kurt Kren คนทำหนังทลองชื่อดัง จากหนังเรื่อง Tree Again กลายเป็น Train Again ที่ฟุตเตจภาพของรถไฟถูกนำมาร้อยเรียง บีบอัด ตัดข้ามเปลี่ยนสี ซ้อนทับจนกำเนิดภาพใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น นี่คือโอกาสที่จะได้ดูหนังเขาอย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุดด้วยการดูในโรง
End of the Universe (2021, USA, Wheeler Winston Dixon, 5 min)
นี่คือเรื่องราวของ Enric Duran นักเคลื่อนไหวชาวคาตาลันที่กู้เงินไปครึ่งล้านยูโร ซึ่งเขาไม่เคยตั้งใจจะชำระคืน เขาใช้เงินเพื่อระดมทุนในโครงการเพื่อสังคมและอ้างว่าเขาก่อการโจรกรรมเพื่อเปิดเผยแนวปฏิบัติที่ไม่ดีของระบบธนาคาร นอกจากนี้ เขายังต้องการส่งเสริมให้ผู้คนคิดแตกต่างออกไป และร่วมสร้างโลกใหม่ที่มีความเท่าเทียมและยั่งยืนมากขึ้น
เมื่อต้องเผชิญกับการถูกจองจำ Duran ก็หนีออกไปในปี 2013 แต่เขายังคงทำงานเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวใต้ดินของการต่อต้านทางเศรษฐกิจ การกระทำของเขากลายเป็นหัวข้อข่าวไปทั่วโลกและเปลี่ยน Duran ให้กลายเป็นวีรบุรุษของขบวนการต่อต้านโลกาภิวัตน์ หนึ่งในนั้นที่เขาได้รับแรงบันดาลใจคือผู้กำกับ Anna Giralt Gris ซึ่งไปปฏิบัติภารกิจเพื่อค้นหาเขาและสืบสวนผลที่ตามมาจากการกระทำของเขา
แต่เมื่อเธอคลี่คลายสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและในที่สุดก็พูดกับ Duran ด้วยตัวเอง เรื่องราวที่ลึกซึ้งและซับซ้อนยิ่งขึ้นก็ปรากฏขึ้น คุณขีดเส้นแบ่งอย่างไรว่าอะไรถูกหรือผิดกฎหมาย? คนเดียวจะกอบกู้โลกได้จริงหรือ?
Film Club ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ตัวแทนกลุ่มแรงงานนักเรียนหนัง ประกอบด้วย มนธิการ์ คำออน (เอิร์น) คณิศร สันติไชยกุล (โจ้) และ อนรรฆมนต์ อังศธรรมรัตน์ (ครีม) ตลอดการสัมภาษณ์ถัดจากนี้ Film Club ขอเรียกแทนทั้งสามท่านด้วยชื่อเล่นตลอดบทความ
Film Club :นักศึกษาฟิล์มหลายคนก็พิสูจน์ตัวเองมาแล้วว่าการเป็นนักศึกษาก็สามารถทำหนังที่มีคุณภาพได้ ในสายตาของครีมๆ คิดว่าอะไรคืออุปสรรคสำคัญในการทำหนังเพราะ ‘ยังเป็นนักศึกษา’
Film Club : ครีมในฐานะที่คุณยังเป็นนักศึกษาอยู่ คุณบอกว่าความคิดของคนรอบตัวคุณเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก แล้วพวกคุณยังต้องเผชิญกับปัญหาการถูกกดค่าแรงเพราะยังเป็นนักศึกษาอยู่ไหม
Action4Cinema หรือ Association for the Establishment of a Japanese Version of CNC คือกลุ่มคนทำหนังญี่ปุ่นที่นำโดย ฮิโรคาสุ โคเรเอดะ (ผู้กำกับ Broker, Shoplifters, Nobody Knows) ที่รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องการจัดตั้งองค์กรสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ตามโมเดลของศูนย์ภาพยนตร์และภาพเคลื่อนไหวแห่งชาติ หรือ Center National du Cinema et de l’Image Anime (CNC) ของฝรั่งเศส
หากองค์กรดังกล่าวถูกก่อตั้งขึ้นตามโมเดลนี้จริง การเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเกิดขึ้นคือระบบการรวบรวมเงินภาษีจากโรงหนัง ผู้ออกอากาศ และผู้จัดจำหน่าย เพื่อนำมาเป็นทุนสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ตามเจตจำนงขององค์กร โดยพึ่งพางบประมาณจากรัฐเพียงส่วนน้อย แต่ความท้าทายคือมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ Motion Picture Producers Association of Japan (MPPAJ) ที่มีค่ายหนังที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอย่างโตโฮและอีกสามค่ายหนังเจ้าใหญ่เป็นสมาชิกตกลงร่วมมือ และแม้ตัวแทนของ MPPAJ จะบอกว่าเห็นด้วย แต่ก็ยังพูดอะไรไม่ได้มาก เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ ‘ผู้ถือผลประโยชน์’ หลายกลุ่ม
อัล-เอ อาหมัด ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยของราซูลอฟ ผู้ชนะรางวัลสูงสุดและผู้กำกับยอดเยี่ยมในสาย Un Certain Regard จากคานส์ (Goodbye (2011), A Man of Integrity (2017)) รวมถึงรางวัลหมีทองคำจากเบอร์ลิน (There Is No Evil, 2020) ซึ่งถูกรัฐบาลอิหร่านเพ่งเล็งต่อเนื่องไม่ลดละตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เช่นเดียวกับรุ่นพี่อย่างปานาฮี เจ้าของรางวัลกล้องทองคำและบทยอดเยี่ยมเมืองคานส์ (The White Balloon (1995), 3 Faces (2018)) เสือดาวทองคำจากโลการ์โน (The Mirror, 1997) สิงโตทองคำจากเวนิซ (The Circle, 2000) กับรางวัลหมีเงินและหมีทองคำ (Offside (2006), Closed Curtain (2013), Taxi (2015)) ที่ถูกควบคุมตัวในสัปดาห์เดียวกัน
สิ่งที่ยึดคนดูเข้ากับตัวละครที่ไม่น่าเอาใจช่วยที่สุดอย่างแบร์รี่ในซีซั่นนี้คือการแสวงหาการให้อภัยจากคูสิโน ครูสอนการแสดงที่เป็นดังพ่อคนใหม่ของเขา ต่อให้คนดูอย่างเราไม่ได้เอาปืนไปยิงใครตายก็เข้าใจดีว่าของแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ปัญหาของแบร์รี่คือปัญหาเดียวกับจีนในเรื่อง “ฮาวทูทิ้ง” นั่นคือน้ำหนักของความพยายามจะชดใช้ชดเชยความผิดก่อไว้ มันเทียบกันไม่ได้กับความรู้สึกของเจ้าทุกข์ สิ่งที่โนโฮ แฮงค์พูดกับแบร์รี่ในตอนเปิดซีซั่นว่า “การให้อภัยมันเป็นของที่ต้องได้รับมา” (“Forgiveness is something that has to be earned”) เป็นเหมือนกับธีมของซีซั่นนี้
ล่าสุด OUP ร่วมกับ AMO Pictures และ Mamas Production ประกาศสร้าง The Day I Met Spider-Man หนังเล่าเรื่องขนาดยาวเรื่องแรกนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้นและการถ่ายทำหนังเล่าเรื่องทั้งหมดหยุดชะงัก โดยมีผู้กำกับคือ เอวา สเตรลนิคอวา ที่ก่อนหน้านี้ทำซีรีส์ทีวีมาก่อน หนังกำลังเดินหน้าถ่ายทำในเมืองคีฟ ลวีฟ เออร์พิน และเมืองอื่นๆ ในยูเครนท่ามกลางความคุกรุ่นของสงครามที่ยังคงดำเนินอยู่ เล่าเรื่องของอาสาสมัครหญิงที่เข้าร่วมรบในสงครามครั้งนี้แล้วค้นพบพลังวิเศษในตัวเอง และพลังวิเศษนั้นก็ทำให้เธอสามารถช่วยชีวิตเด็กชายคนหนึ่งจากการสังหารหมู่ที่เมืองบูชาในเขตชานเมืองคีฟไว้ได้
The Day I Met Spider-Man จะถูกปล่อยออกมาให้ได้ชมกันในหลายแพลตฟอร์ม ทั้งในเทศกาลภาพยนตร์ โรงภาพยนตร์ โทรทัศน์ และออนไลน์สตรีมมิง ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
หากสิ่งที่น่าสนใจและทำให้ชอบหนังมากๆ คือภายใต้ตัวละครที่มีความเป็นการเมืองมากๆ หนังกลับทำตัวแตกต่างกับหนังสยองขวัญเสียดสีการเมืองจำนวนมากที่พยายามจะให้ขนบของหนังสยองขวัญเพื่อรองรับการวิพากษ์ทางการเมืองของตน หนังแบบ Us หรือ Get Out ของ Jordan Peele หรือแม้แต่ Halloween ฉบับ David Gordon Green ไปจนถึงหนังซอมบี้ตลกหลายๆ เรื่องที่อาศัย stereotype ของตัวละครมาเล่าเรื่องการเมือง และอาศัยโลกหลังซอมบี้มาฉายภาพการถูกควบคุมโดยรัฐเผด็จการ ปัญหาหนึ่งของหนังตระกูลนี้คือเมื่อหนังสยองขวัญถูกทำให้เป็นเพียงภาพแทนทางการเมือง หนังก็หันไปรับใช้ประเด็นมากกว่ารับใช้ขนบ เราจึงได้หนังเสียดสีการเมืองที่อาจจะพอใช้ได้แต่ไม่ค่อยสนุกในแง่หนังสยองขวัญ และบ่อยครั้งความเป็นการเมืองของมันไม่ได้มีอะไรใหม่ นอกจากการล่อคนน่าตายมาตายให้เราสาแก่ใจในความตายของคนเหล่านั้น
ยังมีอีกหลายครั้งที่สารคดีมีอิทธิพลมากจนนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนในการไต่สวนคดีดังๆ ในอเมริกา อย่าง The Jinx: The Life and Deaths of Robert Durst (2015, แอนดรูว์ จาเร็คกี้ ผู้กำกับ Capturing the Freidmans) มินิซีรีส์ 6 ตอนจบที่สัมภาษณ์โรเบิร์ต เดิร์สต์ ทายาทตระกูลมหาเศรษฐีอสังหาฯ เจ้าของที่ดินจุดสำคัญในนิวยอร์ก ผู้เคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม 3 คดี ฮือฮาหนักเพราะเดิร์สต์ถูกจับกุมก่อนตอนจบออนแอร์เพียงหนึ่งวัน และความลับดำมืดก็ถูกเปิดเผยในตอนจบด้วยถ้อยคำที่เดิร์สต์เผลอพึมพำกับตัวเองตอนไปเข้าห้องน้ำ …แต่ลืมถอดไมค์ออก
เหล่านี้ทำให้โรชาน มูฮัมเม็ด ซาลีห์ (Roshan Muhammed Salih) บรรณาธิการของเว็บไซต์ข่าวอิสลาม 5Pillars รีวิวหนังด้วยเฮดไลน์สุดดุเดือดว่า “Lady of Heaven: ขยะโสโครกจากเนื้อในของลัทธินอกรีต” และเขียนว่าหนังเทียบเคียงสาวกที่ใกล้ชิดที่สุดสามคนของศาสดามูฮัมมัดกับกลุ่ม ISIS นอกจากนั้น Bolton Council of Mosques ยังบอกว่าหนัง “ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนา” และองค์กรมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร Muslim Council of Britain (MCB) บอกว่าหนัง “สร้างความแตกแยก” และ “เป้าหมายหลักของคนบางจำพวกคือการเติมเชื้อความเกลียดชัง ซึ่งนั่นรวมถึงคนจำนวนมากที่เชียร์หนังเรื่องนี้หรือข้องเกี่ยวกับลัทธินอกรีตด้วย”
ยิ่งน่าประหลาดใจ เมื่อพิจารณาว่าความขัดแย้งที่สะเทือนทั้งทวีปยุโรปและการเมืองโลกในภาพกว้างอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ในวินาทีนี้ เคยถูกมองและใส่ใจรับรู้อย่างมีระยะห่างมากแค่ไหน – ก่อนที่ทุกวันนี้ แทบทุกฝ่ายต่างถูกคาดหวังให้แสดงออกว่า stand with Ukraine ในทุกมิติ
Film Club จึงขอเลือกแนะนำภาพยนตร์ซึ่งอาจยังไม่เป็นที่รู้จักนอกแวดวงเทศกาลหนัง คละปนกันไปทั้งหนังที่มีอายุแล้วสักหน่อย และหนังใหม่ที่เพิ่งทำเสร็จได้เปิดตัวออกฉายสดๆ ร้อนๆ ในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งขึ้นสู่จุดสูงสุด แม้ว่าบางเรื่องจะไม่ได้ถือสัญชาติยูเครน หรือเป็นผลงานของคนทำหนังชาวยูเครนโดยตรง แต่ทุกเรื่องได้เข้าไปสำรวจ คลุกคลี เผชิญหน้า หรือเล่าเรื่องจากมุมต่างๆ ของสถานการณ์ความขัดแย้งในภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งดำเนินอยู่ตลอดมาเป็นเวลาเกือบทศวรรษ
ในขณะที่สารคดีขาว-ดำ This Rain Will Never Stop นำเสนอสภาวะไร้สิ้นสุดของสงครามบนโลกมนุษย์ ผ่านซับเจ็คต์ที่เหลือเชื่อแต่มีตัวตนจริง คือครอบครัวผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่หนีสงครามกลางเมืองในประเทศบ้านเกิด แต่กลับมาเจออีกสงครามในประเทศใหม่ สถานการณ์บีบให้ต้องคิดเรื่องอยู่หรือหนีอีกครั้งหลังลี้ภัยครั้งแรกแค่ไม่กี่ปี และถ้าสิ้นหนทางจนต้องหนีจากยูเครน ทางไหนจะดีกว่ากัน ระหว่างไปหาสมาชิกครอบครัวที่กระจายอยู่ในยุโรป หรือเสี่ยงตายกลับแผ่นดินเกิดที่สงครามก็ยังคุกรุ่นไม่แพ้กัน
มีอา แฮนเซน-เลิฟ ผู้กำกับชาวฝรั่งเศส เจ้าของผลงานที่คนดูในไทยคุ้นเคยอย่าง Things to Come (2016 – นำแสดงโดย อิซาเบล อูแปร์ ในบทอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เสียศูนย์เพราะถูกสามีนอกใจ) กลับมาที่คานส์ในปีนี้กับ One Fine Morning (2022 – นำแสดงโดย เลอา เซดูซ์)หนังได้รับผลตอบรับดีเลิศและคว้ารางวัลหนังยุโรปยอดเยี่ยมจากสาย Directors’ Fortnight มาได้ ใกล้เคียงกันกับที่ Bergman Island (2021) หนังชิงปาล์มทองปีก่อนหน้าของเธอเพิ่งเข้าฉายในอังกฤษหลังจากทยอยฉายในประเทศต่างๆ มาก่อน และจะเริ่มสตรีมใน Mubi แบบจำกัดประเทศในวันที่ 22 กรกฎาคม
เราอยากชวนมาทำความรู้จักกันแบบสั้นๆ กับคนทำหนังที่มักจะเล่าเรื่องราวชีวิตและความสัมพันธ์ของผู้หญิงสมัยใหม่ และที่ทางของผู้หญิงในครอบครัวในฐานะลูกสาว เมีย และแม่ ผ่านมุมมองของเธอเกี่ยวกับพื้นที่ส่วนตัวของคู่รักนักทำหนังใน Bergman Island และการคลี่คลายของชีวิตหญิงสาวใน One Fine Morning
หลังจากหนังพรีเมียร์ที่คานส์เมื่อเดือนพฤษภาคม มันก็ได้รับคำวิจารณ์ที่หมดจดงดงาม ความหมายของชีวิตในมุมมองของตัวละครโรยตัวช้าๆ ผ่านเฟรมภาพในแบบที่แฮนเซน-เลิฟทำมาเสมอ บางสื่อบอกว่านี่คือด้านกลับของ Things to Come เพราะ เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับหญิงวัยกลางคนที่มองไปยังอนาคตของตัวเองหลังจากทุกอย่างล่มสลาย (L’Avenir ชื่อเรื่องภาษาฝรั่งเศสของ Things to Come แปลว่าอนาคต) ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับหญิงสาวที่มองย้อนกลับไปยังอดีตตอนที่ทุกอย่างดูเหมือนจะกำลังล่มสลาย แต่มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น