ผู้กำกับดังสังเวยความขัดแย้งหลังต้านนโยบาย “แบนคนทำหนังรัสเซีย”

ตั้งแต่รัสเซียเดินหน้าทำสงครามเต็มรูปแบบในยูเครน หลายเทศกาลหนังและองค์กรด้านภาพยนตร์ทั้งในยุโรปและอเมริกาก็ออกมาประกาศบอยคอตต์รัสเซีย ด้วยการถอดหนังรัสเซียออกจากโปรแกรมฉายและสายประกวด (อ่านจุดยืนของเทศกาลและองค์กรต่างๆ ได้ที่ รวมมิตรข่าววงการหนังโลกรวมพลังแบนรัสเซีย-สนับสนุนยูเครน และ คานส์, เวนิซ, EFA แถลงมาตรการบอยคอตต์รัสเซีย)

ไม่เท่านั้น ยังเกิดกระแส “แบนคนทำหนังรัสเซีย” อย่างกว้างขวางเต็มรูปแบบ เช่น โวโลดีเมียร์ วอยเทนโก (Volodymyr Voitenko) ประธานบอร์ดสหภาพนักวิจารณ์หนังยูเครนกล่าวว่า หนังรัสเซียควรถูกถอดออกจากการฉายในทุกแพล็ตฟอร์ม ทั้งโรงหนัง สตรีมมิ่ง เทศกาล และช่องทางอื่นๆ เพราะมันได้กลายเป็นอาวุธที่รัสเซียใช้สร้างโฆษณาชวนเชื่อ, เซอร์เกย์ บูโคฟสกี (Sergey Bukovsky) คนทำหนังสารคดียูเครน ก็บอกว่าคนรัสเซียนับล้านถูกปูตินล้างสมอง และวงวัฒนธรรมรัสเซียรวมถึงวงการหนังก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการบวนการชวนเชื่อนี้ไปแล้ว

แต่แนวคิดดังกล่าวก็ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย หนึ่งในคนที่คัดค้านก็คือ เซอเกย์ ลอซนิทซา (Sergey Loznitsa) ผู้กำกับชาวยูเครนที่ถือว่าเป็นขาประจำเทศกาลหนังเมืองคานส์ (หนังของเขาเรื่อง Donbass ปี 2018 คว้ารางวัลกำกับยอดเยี่ยมสาย Un Certain Regard ส่วน A Gentle Creature ปี 2017, In the Fog ปี 2012 และ My Joy ปี 2010 ได้เข้าชิง Palme d’Or) โดยเขากล่าวว่า “เราต้องไม่ตัดสินคนจากพาสปอร์ต”

ท่าทีเช่นนี้น่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่า ก่อนหน้านี้ลอซนิทซาเป็นคนแรกด้วยซ้ำที่ออกมาถล่มแถลงการณ์ของ European Film Academy (EFA) ว่า “เป็นกลางเกินไป” เพราะ “ไม่ประณามรัสเซียมากพอเมื่อเทียบกับสิ่งที่รัสเซียกระทำ” รวมทั้งเขายังเป็นคนแรกๆ ที่กดดันฝั่งยุโรปให้สนับสนุนยูเครน

แต่เมื่อกระแสมาถึงขั้นแบนคนทำหนังรัสเซีย เขากลับเลือกจะแสดงจุดยืนต่อต้าน และประกาศตนเป็น “พลเมืองโลก” ซึ่งล่าสุด จุดยืนนี้ก็กลายเป็นเหตุให้เขาโดนขับออกจากสถาบันภาพยนตร์ยูเครน (Ukrainian Film Academy) เสียแล้ว

Ukrainian Film Academy แถลงเมื่อ 18 มีนาคมที่ผ่านมาโดยอธิบายเหตุผลของการไล่ลอซนิทซาออกว่า “…ประเทศต่างๆ ในยุโรปและโลกทั้งใบควรได้เห็นภาพที่ครบถ้วนและชัดเจนว่า ประเทศผู้บุกรุกกำลังทำอะไรในยูเครน ฉะนั้น ชาวยูเครนทุกคนควรจะต้องทำตัวเป็นผู้แทนของประเทศเรา …เซอร์เกย์ ลอซนิทซาย้ำซ้ำๆ ว่าเขานับตนเองเป็นพลเมืองโลก แต่ในช่วงเวลาที่ยูเครนกำลังต่อสู้อย่างสุดแรงเพื่อรักษาเอกราชไว้ วิธีคิดและการแสดงออกของคนยูเครนควรยึดถืออัตลักษณ์ของชาติเป็นสำคัญ ไม่อาจประนีประนอมหรือแสดงออกอย่างครึ่งๆ กลางๆ ได้ในกรณีนี้”

วันรุ่งขึ้นหลังโดนไล่ ลอซนิทซาก็ออกจดหมายเปิดผนึกตอบโต้อย่างเจ็บแสบว่า “ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 คำว่า ‘พลเมืองโลก’ ถูกใช้เรียกบุคคลที่เปิดกว้างให้แก่สิ่งใหม่ๆ และเป็นอิสระจากอคติทางวัฒนธรรม ศาสนา และการเมือง จะมีก็แต่ยุคหลังๆ ของสตาลินช่วงที่เขาออกแคมเปญต่อต้านชาวยิว (ระหว่างปี 1948-1953) เท่านั้นที่คำนี้ถูกใช้ในแง่ลบ ภายใต้วาทกรรมชวนเชื่อของโซเวียต …โชคไม่ดีที่เหตุผลแบบนี้มันช่างดูเป็นนาซีมาก ๆ และนี่คือของขวัญที่ Ukrainian Film Academy มอบให้แก่นักโฆษณาชวนเชื่อแห่งเครมลิน

“…สมาชิกสถาบันภาพยนตร์ยูเครนเรียกร้องให้ชุมชนโลก -ไม่นับผม- เป็นตัวแทนของวงวัฒนธรรมยูเครน แต่ตัวผมไม่เคยแม้สักครั้งในชีวิตที่จะเป็นตัวแทนชุมชน กลุ่ม องค์กร หรือวงการใด ทุกอย่างที่ผมพูดและทำนั้นเป็น -และจะยังเป็น- เรื่องปัจเจกเสมอ ผมเป็นคนทำหนังชาวยูเครนเสมอมาและจะยังเป็นตลอดไป ผมหวังว่าเราทุกคนจะยังมีสติในช่วงเวลาอันน่าสลดนี้”


ชมหนังของลอซนิทซาที่เล่าถึงยูเครน รัสเซีย สหภาพโซเวียต และที่อื่นๆ ได้ที่

Maidan (2014)

โปรแกรม Back in the U.S.S.R.: Sergei Loznitsa’s Archival Documentaries

โปรแกรม Film Is a Theorem: The Documentaries of Sergei Loznitsa

Related NEWS

LATEST NEWS