Quis custodiet ipsos custodes? หรือ ” Who will guard the guards themselves?” เป็นอีกหนึ่งวลีละตินที่มีไว้เพื่อถามกับตัวเองว่า เราสามารถเชื่อมั่นได้กระบวนการยุติธรรมได้หรือไม่ แล้วใครจะเป็นผู้ที่ดูแลเหล่าผู้คุมกฎไม่ให้เดินออกนอกเส้นทางเสียเอง วลีนี้เริ่มถูกดัดแปลงใช้ในความหมายทางการเมืองอยู่บ่อยครั้งเพื่อให้เข้ากับบริบทที่เกิดขึ้น เช่น Who police the police? (ใครจะตรวจตราเหล่าตำรวจ?) หรือ “Who watches the watchmen?” (ใครจะคอยเฝ้ามองเหล่าคนเฝ้ายาม) มาถึงปัจจุบันที่มีประโยคคำถามเกิดขึ้นและใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันอย่าง “Who do you call when the police murders?” (เราจะโทรหาใครในตอนที่ตำรวจเป็นฆาตกร?) ถูกตั้งขึ้นต่อความเลวร้ายที่เกิดขึ้นจากกระบวนการยุติธรรมของตำรวจที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ม็อบการประท้วงที่ฮ่องกง ไปจนถึงการสังหารชายผิวดำอย่างไร้สาเหตุที่สหรัฐอเมริกา การใช้กำลังปราบปรามอย่างเกินความจำเป็นของเจ้าหน้าที่ต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีการเรียกร้องถึงสิ่งต่างๆ นั้นสร้างบาดแผลทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งที่ในความเป็นจริงมันอาจไม่ถึงขั้นต้องลงมือด้วยการใช้อาวุธด้วยซ้ำ
จนกระทั่งมีชาวฟิลิปปินส์เริ่มออกมาประท้วงแสดงความไม่พอใจต่อมาตรการที่ถือว่าเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ในทางมิชอบ สารคดี On the President’s Orders จะพาเข้าไปสำรวจทั้งฝั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการสังหารคนที่อยู่ในรายชื่อผู้เสพและค้ายาเสพติด และฝั่งของครอบครัวที่สูญเสียคนในครอบครัวจากการสังหารเหล่านั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีอำนาจจะใช้มันไปได้ไกลถึงขนาดไหนกัน
A.C.A.B. All Cops Are Bastards (2012, Stefano Sollima, Italy)
ACAB เป็นตัวย่อของคำว่า All Cops Are Bastards (ตำรวจล้วนเลวทั้งหมด) เป็นคำศัพท์ที่ใช้อย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษยุค 1970 เพื่อเอาไว้ใช้ต่อต้านตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ถูกต้อง คำนี้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกจากวัฒนธรรมของเพลงพังค์ชื่อเดียวกันของวง The 4-Skins ตัวย่อ ACAB นั้นถูกปรับเปลี่ยนหยอกล้อความหมาย และนำไปใช้ตามบริบทต่างๆ มากมาย บางครั้งอาจใช้เป็นตัวเลข 1312 ตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ หรือ ACAB นั้นถูกเปลี่ยนเป็นบอกว่า Always carry a bible (จงพกคัมภีร์ไบเบิลไว้) เพื่อเป็นซ่อนความหมายที่แท้จริงไว้ หรือเป็นคำว่า All Cats Are Beautiful (แมวทุกตัวนั้นสวยงาม) ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์ที่มีคนสะพายกระเป๋าที่มีคำนี้และถูกจับมาแล้วในประเทศสเปน
เวนิซปีนี้ยังเป็นปีทองของหนังสตรีมมิงอย่างแท้จริง โดย Netflix คว้า 4 รางวัลใหญ่ คือ สิงโตเงิน ตกเป็นของ The Hand of God ของ เปาโล ซอร์เรนติโน, ผู้กำกับยอดเยี่ยม ของ เจน แคมเปียน จาก The Power of the Dog, นักแสดงรุ่นเยาว์ยอดเยี่ยม ของ ฟิลิปโป สก็อตติ จาก The Hand of God และบทยอดเยี่ยมเป็นของ แม็กกี จิลเลนฮาล ซึ่งเขียนบทและกำกับเองเรื่องแรกใน The Lost Daughter
นอกจากทั้ง 4 เรื่องแล้ว HBO Asia ยังส่งให้ On the Job: The Missing 8 จากฟิลิปปินส์ คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมของ จอห์น อาร์คิลล่า มันเป็นหนังยาว 3 ชั่วโมงที่เกิดจากการรวม 4 ตอนสุดท้ายของซีรีส์ On the Job โดย 2 ตอนแรกของซีรีส์ก็คือหนังภาคแรกที่ฉาย Directors’ Fortnight เมื่อปี 2013 และตอนที่ 3 หรือพาร์ต 1 ของ The Missing 8 ก็ฉายวันแรกทั่วเอเชียทาง HBO Go ในวันที่ประกาศผลรางวัลพอดี
ผลรางวัล
สาย Virtual Reality
Best VR Story: “End of Night” (เดวิด แอดเลอร์) Best VR Experience: “Le bal de Paris de Blanca Li” (บลังกา ลี) Best VR Grand Jury Prize: “Goliath: Playing with Reality” (แบร์รี จีน เมอร์ฟีย์ กับ เมย์ อับดัลลา) Lion of the Future: “Imaculat” (โมนิกา สแตน กับ จอร์จ ชิเปอร์ ลิลมาร์ค)
Orizzonti Audience Award: “The Blind Man Who Did Not Want to See Titanic” (ตีมู นิกกิ) หนังสั้นยอดเยี่ยม: “Los Huesos” (กริสตอบัล เลออง กับ วาคิน โกกินญา) บทยอดเยี่ยม: “107 Mothers” (เปเตอร์ เคเรเคส กับ อิวาน ออสโตรชอฟสกี) นักแสดงชายยอดเยี่ยม: พิเศธ ชุห์น, “White Building” นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม: ลอเร คาลามี, “À Plein Temps” Special Jury Prize: “El Grand Movimiento” (คิโร รุสโซ) ผู้กำกับยอดเยี่ยม: เอริก กราเวล, “À Plein Temps” หนังยอดเยี่ยม: “Pilgrims” (ลอรีนาส บารีซา)
สายประกวดหลัก
นักแสดงรุ่นเยาว์: ฟิลิปโป สก็อตติ, “The Hand of God” Special Jury Prize: “Il Buco” (มิเชลอังเจโล ฟรัมมาร์ติโน) บทยอดเยี่ยม: “The Lost Daughter” (แม็กกี จิลเลนฮาล) นักแสดงชายยอดเยี่ยม: จอห์น อาร์คิลล่า, “On the Job: Missing 8” นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม: เพเนโลเป ครูซ, “Parallel Mothers” ผู้กำกับยอดเยี่ยมสิงโตเงิน: เจน แคมเปียน, “The Power of the Dog” สิงโตเงิน: “The Hand of God” (เปาโล ซอร์เรนติโน) สิงโตทอง: “Happening” (ออเดรย์ ดิว็อง)
จนกระทั่งในปี 2009 “ภาพยนตร์” ได้ถูกบัญญัติลงในกฎหมายสูงสุดของประเทศ ภายใต้มาตรา 67 ของกฎหมายเลขที่ 33/2009 ที่ระบุใจความสำคัญว่า “ประชาคมสามารถมีส่วนร่วมในองค์กรเกี่ยวกับภาพยนตร์ได้” (The community can participate in the cinema organization)www.bpi.or.id/english/tentang.html ด้วยเหตุนี้ ในปี 2014 หน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลกิจการทางด้านภาพยนตร์หน่วยงานแรกจึงถูกตั้งขึ้นในชื่อ คณะกรรมการภาพยนตร์แห่งประเทศอินโดนีเซีย (Badan Perfilman Indonesia หรือ Indonesian Film Board ในภาษาอังกฤษ) มีหน้าที่หลักในการสนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทุกรูปแบบ
โชว์ส่วนที่เข้มข้นมาก และเป็นที่กล่าวขวัญที่สุดคือ ช่วงที่เบิร์นแฮมเล่นเพลง Welcome to The Internet มันกล่าวถึงพฤติกรรมการกระโดดไปกระโดดมาของนักท่องอินเทอร์เน็ตที่หันไปหาสิ่งเร้าที่ประโคมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งแบบธรรมดาไม่มีพิษไม่มีภัยไปจนถึงแบบที่ต้องตั้งคำถามกับความมั่นคงทางจิตใจ เขาสกัดแก่นของพฤติกรรมเช่นนี้เอาไว้ที่ท่อนฮุกของเพลงที่ว่า “การวางเฉยคือโศกนาฏกรรม และความเบื่อหน่ายคืออาชญากรรม” (Apathy is a tragedy and boredom is a crime) ไม่ว่าจะโดยตระหนักได้หรือโดยไม่รู้ตัว ชาวเน็ตไม่อาจทนทั้งสองสิ่งนี้ได้เลย โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่จำกัด ไม่อาจออกไปไหนมาไหนได้สะดวกในยามกักตัว ความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งสำแดงฤทธิ์
ก่อนจะได้ไปเริงรถทดลองขับด้วยตัวเองในอนาคตอันใกล้ (เมื่อโรงหนังเปิดแล้วมีคนซื้อมาฉาย หรือรอไม่ไหวจนต้องมุด VPN) แล้วประเมินชั่งน้ำหนักว่าเห็นด้วยกับเจ้าพ่อคลิปเคาท์ดาวน์หนังแห่งปีหรือพี่ Peter Bradshaw แห่ง The Guardian (แกว่าหนังตั้งท่าแรงแต่เด๋อและฝืดฝืน) เราขออาศัยจังหวะนี้ย้อนไปทำความรู้จัก Julia Ducournau ผู้กำกับหญิงฝรั่งเศสวัยใกล้ 38 จากครอบครัวแพทย์ ที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ในระดับเดียวกับ Jane Campion (ปาล์มทองคำปี 1993 จาก The Piano) หลังยืนหยัดหนักแน่นในแนวทาง body horror จนกระทั่งชื่อ David Cronenberg (Crash) กับ Shinya Tsukamoto (Tetsuo, the Iron Man) ถูกอ้างอิงเปรียบเทียบในข้อเขียนถึงหนังของเธออยู่เสมอ
อีกข้อที่ขอบันทึกไว้ก่อนเข้าเรื่องก็คือ กระทั่งบรรดาผลงานข้างเคียงของ Ducournau ก็เดินตามรอยแนวทาง body หรือ horror แทบทั้งสิ้น ตั้งแต่หนังฉายทีวีเรื่อง Mange (2012, Virgile Bramly เขียนบท-กำกับร่วม) ซึ่งเล่าชีวิตทนายสาวสวยผู้ผ่านประสบการณ์โรคบูลิเมียที่เตรียมคิดบัญชีแค้นพวกบูลลี่สมัยเรียน ไปจนถึง Servant (2019-ปัจจุบัน, Tony Basgallop ครีเอเตอร์) ออริจินัลซีรี่ส์ Apple TV+ อำนวยการสร้างโดย M. Night Shyamalan ที่ผัวเมียต้องรับมือพลังลึกลับที่แทรกซึมเข้าบ้าน หลังจ้างพี่เลี้ยงเด็กมาช่วยเลี้ยงตุ๊กตาทารกเสมือนจริงที่ใช้บำบัดสภาพจิตหลังลูกตาย ซึ่งเธอกำกับสองตอนแรกในซีซั่นสอง
ในบทความนี้จะกล่าวถึงผลงานกำกับแบบเต็มตัวทั้งสองเรื่อง (ก่อน Titane) ซึ่งแสดงตัวตนในแนวทาง body horror อย่างเข้มข้นชัดเจน คือหนังสั้นเรื่อง Junior (2011) ที่แจ้งเกิดในสาย Critics’ Week เมืองคานส์และ Raw (2016) หนังมนุษย์กินคนที่สถาปนาตำแหน่งคนทำหนังดาวรุ่งระดับโลกให้เธอ
(ภาพเปิด : Lav Diaz ผู้กำกับชาวฟิลิปปินส์ ขณะมาร่วมงานฉายหนัง From What Is Before (2014) ในวันที่ 6 ธันวาคม 2015 ที่โรงภาพยนตร์ House RCA ภาพถ่ายโดย Theeraphat Ngathong)
โดยเฉพาะการยอมรับจากต่างประเทศ ภาพยนตร์หลายเรื่องจากทั้งสามประเทศไม่เพียงได้รับคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมงานในเทศกาลสำคัญของโลกเหล่านั้น แต่ยังได้รับรางวัลกลับมาอีกด้วย เช่น ภาพยนตร์ 3 เรื่องจากฟิลิปปินส์ที่สร้างปรากฏการณ์คว้ารางวัลจากเทศกาลสำคัญของโลกในปี 2016 ถึง 3 รางวัล ได้แก่ Ma Rosa ของผู้กำกับบริลันเต แมนโดซาที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ภาพยนตร์เรื่อง A Lullaby to A Sorrowful Mystery และภาพยนตร์เรื่อง The Woman Who Left ของผู้กำกับลาฟ ดิอาซ ที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศและรางวัลชนะเลิศ จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินและเวนิซ ตามลำดับ หรือภาพยนตร์จากสิงคโปร์เรื่อง Pop Aye (คริสเทน ทัน) ที่ได้รับรางวัล Jury Price เทศกาลภาพยนตร์ Sundance ในปี 2017 และภาพยนตร์เรื่อง A Land Imagined (เยียวซิวฮวา) ซึ่งได้รับสูงสุดจากเทศกาลภาพยนตร์โลคาร์โนในปี 2018 รวมถึงภาพยนตร์จากอินโดนีเซีย เรื่อง Vengeance Is Mine. All Others Pay Cash ของผู้กำกับเอ็ดวินที่เพิ่งได้รับรางวัลสูงสุดจากเทศกาลภาพยนตร์โลคาร์โนของปีนี้เป็นต้น
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ผ่านหน่วยงานที่ส่งเสริมและสนับสนุนภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง โดยชื่อของหน่วยงานได้ถูกเปลี่ยนจากภาพยนตร์ทดลองแห่งประเทศฟิลิปปินส์ในปี 1982 มาเป็นมูลนิธิเพื่อการพัฒนาภาพยนตร์แห่งประเทศฟิลิปปินส์ (Film Development Foundation of the Philippines) ในปี 1985 ก่อนที่ต่อมาจะเปลี่ยนเป็น สภาการพัฒนาภาพยนตร์แห่งประเทศฟิลิปปินส์ (Film Development Council of the Philippines) ในปี 2002 จนถึงปัจจุบันhttps://en.wikipedia.org/wiki/Cinema_of_the_Philippines
1) ทุนร่วมผลิตระหว่างประเทศ (International Co Production Fund)http://filmphilippines.com/international-co-production-fund เปิดโอกาสให้ผู้สร้างภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ และผู้สร้างภาพยนตร์ประเทศใดก็ได้สามารถขอรับการสนับสนุน โดยเงื่อนไขของการให้ทุนไม่จำกัดว่าต้องเป็นภาพยนตร์ต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับฟิลิปปินส์ แต่ต้องอย่างน้อยที่สุดต้องก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศฟิลิปปินส์ และผู้สร้างภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ต้องมีบทบาทในการสร้างสรรค์ไม่น้อยจนเกินไป โดยเงินสนับสนุนของทุนนี้มีจำนวนไม่เกิน 10 ล้านเปโซ หรือ 6.7 ล้านบาท
2) ทุนร่วมผลิตกับกลุ่มประเทศอาเซียน (ASEAN Co Production Fund)http://filmphilippines.com/asean-co-production-fund-acof ทุนนี้เปิดโอกาสผู้สร้างภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ และผู้สร้างภาพยนตร์ในกลุ่มประเทศอาเซียน (รวมถึงประเทศไทย) ขอรับการสนับสนุนทางด้านการเงิน ในจำนวนไม่เกิน 150,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 4.65 ล้านบาท เพื่อผลิตภาพยนตร์ที่ไม่จำกัดเนื้อหาว่าต้องเกิดขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์ หรือต้องถ่ายทำในประเทศฟิลิปปินส์ แต่อย่างน้อยที่สุดต้องก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศฟิลิปปินส์เช่นการทำโพสต์โปรดักชันเป็นต้น และที่สำคัญผู้สร้างฟิลิปปินส์ต้องมีบทบาททางด้านการสร้างสรรค์ไม่น้อยจนเกินไป
ตัวอย่างของภาพยนตร์ในอาเซียนที่ได้รับทุนนี้ ได้แก่ This City is a Battlefield ของผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอินโดนีเซีย มูลีย์ เซอร์ยา (Marlina the Murderer in Four Acts) ซึ่งได้ทำ pre-production และ post production ในประเทศฟิลิปปินส์http://filmphilippines.com/projects-supported
แม้จะไม่มีการนับอย่างเป็นทางการ ผลงานในสาย docu. ของ Varda กลุ่มหนึ่งมักมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของผู้คนจริงๆ ที่ทำให้ต้องมีการนำ Daguerréotypes มาอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับ Du Côté de la Côte (Along the Coast) ซึ่งทำไว้ตั้งแต่ปี 1958 ในช่วงเวลาที่งานสารคดียังแยกไม่ออก-ตัดไม่ขาดจากหนัง educational film ซึ่งค่อนไปทางสื่อการเรียนการสอนวิชาภูมิศาสตร์ โดยมุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้เท่าๆ กับส่งเสริมการท่องเที่ยว มากกว่าที่จะทำหน้าที่ในส่วนของการนำเสนอเนื้อหาแบบสารคดีในยุคต่อมา
ไม่มั่นใจว่าเป็นเรื่องโชคดีหรือโชคร้ายที่ Du Côté de la Côte (1958) ถูกสร้างในยุคที่เทคนิคหรือวิธีนำเสนอยังถูกจำกัดกรอบว่าควรนำเสนอองค์ความรู้ ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ยังอยู่เหนือแง่มุมในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ การเข้าไป approach ยังไม่เปิดพื้นที่ซึ่งมีความกว้างพอที่นำเสนอแง่มุมซึ่งมีมากกว่าสิ่งที่มองเห็นด้วยตา นั่นคือสายตาเห็นอย่างไหน ก็ถ่ายทอดออกมาอย่างนั้น สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ก็ย่อมไม่ต่างอะไรกับการพาทัวร์นำเที่ยวทัศนศึกษานอกห้องเรียน
วาร์ดา (ซึ่งอยู่ในวัยสามสิบขณะทำเรื่องนี้, เกิด 1928) ทำ Du Côté de la Côte ด้วยสายตาคนต่างถิ่น + นักท่องเที่ยวอย่างแท้จริง (ซึ่งจะตรงกันข้ามกับที่เธอทำ Daguerréotypes ซึ่งสไตล์การนำเสนอจะออกมาทางเจ้าถิ่น คนพื้นที่มากกว่า) ฉะนั้นฟุตที่เธอเลือก scenario ที่เธอเลือกบันทึกจะมีลักษณะของ culture clash และ exotique อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการเข้าไปเสาะแสวงหาแหล่งซึ่งสร้างความแปลกตา ทว่านักท่องเที่ยวทั่วไปมักมองข้าม (ที่เด่นมากคือประติมากรรมรูปพระแม่มารีขนาดมหึมา Giant Virgin โดยเธอใช้เทคนิคแบบภาพยนตร์เข้าไปจับ คือจับภาพแบบมีโฟร์กราวด์ เพื่อจะได้เกิดการเปรียบเทียบทางสายตา) ก่อนจะเข้าสู่องก์สุดท้ายซึ่งเป็นการพาทัวร์สวน Eden ซึ่งมีความสงบวิเวก และดูเหมือนจะยังไม่ถูก explore ในฐานะแหล่งท่องเที่ยว
แม้ Du Côté de la Côte อาจไม่ต่างจากการดูภาพโปสการ์ด ของการเป็นภาพเคลื่อนไหว ขณะเดียวกันตัวสารคดีเองก็ยังต้องการให้มีอะไรสักอย่างมารองรับความ spectacle ของภาพ แต่ยังมีอย่างหนึ่งที่จะต้องสยบความพ้นเวลาของวิธีนำเสนอ กลายเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งแทบจะดูเหมือนข้ามกาลเวลาจากยุคสมัยของเราแทนที่จะเป็นยุค 1950’s ตอนปลาย อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ตัวสารคดีเพิ่มความน่าดูขึ้นหลายระดับ
บทบรรยายช่วงต้นๆ มีใจความว่า ‘คนพื้นที่ มิใช่เป้าหมายในสารคดีของเรา’ (เป็นภาพชาวไร่กำลังเอนหลังชิลๆ อยู่ท้ายเกวียน) ดูจะสวนทางกับงานสารคดียุคต่อๆ มา ขณะที่บรรดาบุคคลสำคัญ คนใหญ่ๆ โตๆ ที่ถูกอ้างชื่ออย่างนักท่องเที่ยวต่างถิ่นคนแรก (Cardinal Maurice de Savoy) ที่ลงทุนปลงเครื่องบาทหลวงแล้วแอบพาคนรักซึ่งก็คือหลานแท้ๆ -เจ้าหญิง Marie-Louise มาทำพิธีแต่งงานซึ่งขณะนั้นมีอายุได้สิบสี่ปี หรือถ้าย้อนไปได้ถึงยุคโรมันก็ยังมีเกร็ดเพิ่มเข้ามาอีกว่า ที่เมืองนีซมีบ่อน้ำร้อน (ซึ่งเหลือแค่โครงหิน) ที่เชื่อกันว่าไว้สำหรับรักษาอาการโรคจิตเภท โดยสันนิษฐานว่าคนไข้คนแรกคือจักรพรรดินี Carolia Salolina หรืออย่างคนซึ่งทำให้ชายหาดแนว French Rivierra เป็นที่รู้จักโด่งดังในหมู่ผู้ลากมากดี กลายเป็นนายทหารอังกฤษ Lord Brougham ซึ่งพอดีเดินทางเข้ามาช่วงกาฬโรคระบาดกลางศตวรรษสิบเก้า จนกองเรือต้องโดนคำสั่งกักตัวสี่สิบวัน แต่ที่ไหนได้ พอพ้นระยะ quarantine อีตาหลอดๆ นี่ก็ปักหลักอยู่ซะที่แนวหาด Azur ยาวๆ ไป ถึงสี่สิบปี ยิ่งกว่านั้นยังมีการพาญาติๆ ทางฝั่งอังกฤษอย่างควีนวิคตอเรียเข้ามาพำนัก หนำซ้ำยังวางโครงข่ายผลประโยชน์ของคนอังกฤษเอาไว้ตามเขต ตามย่านต่างๆ เป็นต้นว่าห้างขายยาของอังกฤษ (British Dispensary) โบสถ์ก็ British Church
จนกระทั่งวาร์ดาทำ Les Plages d’Agnès (The Beaches of Agnes, 2008) ก็เท่ากับให้ภาพต่อบนจิ๊กซอว์มีความชัดเจนขึ้น คือมีทั้งกระจก (ซึ่งมีการใช้อย่างหนักหน่วงใน Cléo de 5 à 7), มีชายหาด (Du Côté de la Côte), มีเพื่อนบ้าน (Daguerréotypes), มีความน่ารักของเจ้าเหมียว Zgougou ซึ่งคุณป้านำมาใช้เป็นมัสก็อตขึ้นเป็นโลโกค่ายหนัง Cine-Tamaris ของคุณป้าเอง ที่เหนืออื่นใด เห็นจะไม่เกินความรักอันงดงามที่คุณป้ามีให้กับ Jacques Demy สามีและคู่ชีวิตที่มีให้กันและกันซึ่งกินเวลาอันยาวนานร่วมสี่สิบปี (ถ้าลุงไม่ด่วนจากไปก่อนเมื่อปี 1990 ด้วยโรคที่ไม่น่ามาเกิดกับใครทั้งนั้น-ภูมิคุ้มกันตัวเองบกพร่อง)
ถ้างั้นการที่คุณป้ามี Les Plages d’Agnès ก็เท่ากับเป็นการทบทวนชีวิต ด้วยการใช้ผลงานตัวเอง-ฟุตที่มีอยู่ บวกกับความทรงจำอีกเป็นตันเข้ามาประกอบเป็นข้อมูล เหมือนใช้ตัวเองเป็นเรฟเพื่อสร้างงานชิ้นใหม่ ในเมื่อผลงานหนังคุณป้าผ่านการ ‘อ่าน’ วิเคราะห์ ตีความทั้งในทางสื่อสารมวลชนและแวดวงวิชาการมาแล้วนับไม่ถ้วน คราวนี้เห็นทีเจ้าตัวคงต้องออกมาเฉลยข้อสอบ เมื่อตัวงานถูกปล่อยออกสู่ผู้ชมคราวนี้คนดูเกิดความคุ้นเคยแล้วว่าซีนๆ นี้เคยผ่านการตีความไว้อย่างไร, ใบหน้าที่เคยเห็นจาก Daguerréotypes ถ้าโผล่อีกครั้งในหนังเรื่องอื่น เจ้าของใบหน้าก็มิใช่คนอื่นไกลอีกต่อไป (ลุงบ้านทำขนมปังสด เอื้อเฟื้อให้ยืมแป้งเป็นกระสอบๆๆ สำหรับถ่ายฉากโจ๊กที่มี Jane Birkin แต่งคอสเพลย์เป็น Stan Laurel ตลกร่างผอมคู่กับ Laura Betti ใน Jane B. par Agnes V., 1988) กลายเป็นการสร้างปฏิกิริยาในเชิง interactive ระหว่างกันไป-มาระหว่างชีวิตจริง/ประสบการณ์จริงไปลงผลงาน แล้วจากตัวผลงานส่องสะท้อนกลับมาเป็น ref. ให้กับงานสารคดีที่ถูกทำในยุคหลังๆ (อย่างน้อยๆ ก็ให้กับ Les Plages d’Agnès) อีกต่อ พอมีคนเพิ่งได้ดูจากตัว Les Plages d’Agnès เป็นครั้งแรก ก็อาจนำเรื่องเล่า-สิ่งที่เห็นไปใช้ approach ประกอบการดูหนังเรื่องอื่นๆๆ ในลักษณะย้อนหลัง-retro คือมีเรื่องของการสะท้อนย้อนกลับไปมาคล้ายตัว ‘กระจกเงา’ (mirror effect) ซึ่งคุณป้าใช้เป็นฉากเปิดเรื่องจนไม่แน่ใจว่าเป็นกองถ่ายหนังหรือเป็นการเซ็ตเพื่อถ่ายแฟชัน
Les Plages d’Agnès จึงมีความหมายใกล้เคียงกับบานกระจกสำหรับคุณป้าไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม ฟุตเตจแรกที่ใส่เข้ามาใน Les Plages d’Agnèsก็มาจาก Jane B. par Agnes V. ซึ่งทำเมื่อปี 1988 ในเรื่องมี Jane Birkin แสดงเป็นนักพนันที่ยอมทุ่มเล่นจนหมดตัว เป็นผลงานที่วาร์ดาทำไว้ในยุค 80’s แต่โดยลำดับ timeline ชีวิตป้าวาร์ดาหยิบมาจากความทรงจำที่เกี่ยวกับพ่อ (Eugène-Jean Varda) ซึ่งหมดลมหายใจคาคาสิโน
Les Plages d’Agnès กลายเป็นจุดเชื่อมต่อไปทั้งหนังและผู้คนที่เคยเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ผ่านเข้ามาก็คงเป็นเรื่องที่ว่าใครที่เคยอยู่ในหนังคุณป้า คนนั้นถ้าไม่เป็นสตาร์ ก็จะกลายเป็นที่รู้จัก นับตั้งแต่หนังเรื่องแรก La Pointe Courte (1954) โดยเฉพาะแว้บแรกที่เห็นตัวนำคงแทบไม่เชื่อสายตาว่านั่นคือ Phillip Noiret ส่วนใครที่ไม่ใช่ คุณป้าจะไปสาวประวัติ เจอทายาทก็ใช้ทายาท ว่าแล้วก็เอาเครื่องฉายหนังยกขึ้นรถเข็นลากไปทั่วเมืองบนจอก็ฉายซีนที่คนพ่อเคยร่วมแสดงประมาณขบวนแห่รำลึกในพิธีศพ ในผลงานหนังยาวอีกเรื่อง Nausicaa (1970) คนดูก็จะได้เห็น Gérard Depardieu ส่วนใครที่เป็นดาราอยู่แล้วก็จะถูกดึงให้เห็นแง่มุมแบบคนทั่วไป เป็นต้นว่า Harrison Ford เด็กหนุ่มที่คุณป้าพบระหว่างช่วงที่พำนักในแอลเอ ช่วงปี 1968 เจ้าตัวบอกเองว่ามีคนบอกให้เลิกคิดที่จะเป็นนักแสดงเหอะ อย่างนายเป็นนักแสดงไม่ได้แน่, Zalman King ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะมหาเทพแห่งหนังอีโรติค (ขณะที่การปรากฏตัวในสารคดีกลับมีภาพของแฟมิลีแมนแสนอบอุ่นคู่กับภรรยา) เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง คุณป้ากลับไม่ refer แง่มุมตรงนี้ออกมาเลยด้วยซ้ำ, ส่วนสหายเก่า Jimmy McBride ในข้อมูลเกือบทุกแหล่งอ้างว่าเป็นคนทำหนังอเมริกันอินดี้ แต่คนทำหนังอินดี้ของอเมริกาคนนี้แทบไม่ค่อยมีใครรู้จักหนังเรื่องอื่น นอกจาก Breathless ซึ่งเป็นการเอา À bout de souffle ไปรีเมคเมื่อปี 1983 และยิ่งมารู้ทีหลังว่ามีปมไม่เข้าใจกันระหว่างป้าวาร์ดากับคนทำตัวต้นตำรับ-Jean-Luc Godard ช่องว่างก็จะเพิ่มความห่าง กลายเป็นพื้นที่ว่างบนภาพจิ๊กซอว์ และรอว่าจะมีใครมาเติมในวันข้างหน้าอีกที
สำหรับดาวที่ดังอยู่แล้วของฝรั่งเศส ก็จะถูกคุณป้าเชิญให้มาร่วมแสดง Les cent et une nuits de Simon Cinéma (1994) ซึ่งคุณป้าทำร่วมเฉลิมฉลองครบรอบร้อยปีภาพยนตร์ ไม่ว่าด้วยการตอกย้ำภาพลักษณ์ไอคอนของวงการหนังของฝรั่งเศส ยิ่งถ้าเคยเล่นหนังป้ามาก่อน ก็จะถูกนำมาโรลเพลย์บทเดิมของตัวเอง (Sandrine Bonnaire กลับมารับบท ‘โมนา’ ตัวละครจาก Sans toit ni loi/Vegabond, 1985) ขณะที่ก่อนหน้า Les Plages d’ Agnes จะออกฉาย (หรือไม่ก็อยู่ระหว่างขั้นตอนเตรียมการ) มี Fondation Cartier ให้การสนับสนุนนิทรรศการ L’île et elle (Jun. 18 – Oct. 8, 2006 โดยผู้เขียนเดินทางเข้าร่วมชมวันที่ 22 กันยายน ปีเดียวกัน) ซึ่งมีการแบ่งไซท์โชว์เอาไว้หลักๆ ห้าหรือหกจุดแต่หัวใจหลัก เท่าที่นึกออกจะมีด้วยกันสาม อาทิ Ma Cabane de l’Échec ซึ่งก่อเป็นกระท่อม ทว่าใช้ฟุตจากฟิล์ม 35 เรื่อง Les Creatures d’ Agnes Varda (pour Jacques, 1966) โดยตัวชื่อ attraction site เป็นการเสียดสีสัพยอกหยอกล้อตัวเอง (‘กระท่อมพาเจ๊งของฉัน’) ซึ่งก็ได้แต่กล่าวตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมดูเมื่อคราวมีโปรแกรมฉายที่ทำการเดิมของสมาคมฝรั่งเศส, ถ.สาธร แต่จะให้เวลากับ video installation ใช้ชื่อธีม Les Veuves de Noirmoutier ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์ของหญิงชาวเกาะผู้ซึ่งมีประสบการณ์สูญเสียสามีจำนวนหกสิบคน ด้วยขณะนั้นคุณป้ายังอยู่ระหว่างพักฟื้นจิตใจ ภายหลังการสูญเสียสามี Jacques
ตัวนิทรรศการ L’île et elle เองก็แทบจะเทียบได้กับหนังอีกเรื่องของคุณป้า (ประกอบกับการเล่นคำพ้องเสียงในชื่องานโดยคำว่า île = ‘เกาะ’ จะออกเสียงพ้องกับคำว่า il หรือ ‘เขาคนนั้น’) ขณะเดียวกันยังมีหนังอีกบางเรื่องที่พอตัวละครพอเข้าตาจนหาทางออกไม่ได้ มักออกเดินทางโดงมุ่งเข้าหาเกาะเป็นพื้นที่ safe zone, เป็นต้นว่า Kung-fu Master! (1988) หรือแม้แต่ในตัว docu. Les Plages d’Agnès เองก็ตามที่มักมีการกล่าวถึงการเดินทางไปยัง ‘เกาะ’ ความปรารถนาที่จะเข้าไปพักพิงในท้องวาฬประหนึ่งพื้นที่เซฟโซน โดยเฉพาะทะเล-ชายหาดซึ่งมีบทบาทในชีวิตคุณป้าซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงเข้าไว้ด้วยกันกับความทรงจำที่มีต่อครอบครัว ซึ่งอาจย้อนกลับไปมองงานเก่าๆ ว่าทำไมคุณป้าถึงได้ผูกพันกับชายหาด ทั้งที่เป็นหนังยาวเรื่องแรก (La Pointe Courte) หรืองานสารคดี (Du Côté de la Côte)
คลับคล้ายคลับคลาว่าระหว่างเดินชมนิทรรศการหนนั้น นอกจากจะเป็นการฉลองวันเกิดให้ตัวเองด้วยระยะทางที่ไกลที่สุดชนิดที่ว่าชาตินี้คงไม่มีปัญญาไปได้ไกลเท่านี้อีกแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกละอายตัวเองที่ในเวลาขณะนั้น ผลงานซึ่งถูกนำมาอ้างอิงไว้กับชิ้นงาน installation ‘กระท่อมพาเจ๊งของฉัน’ (Ma Cabane de l’ Echec) อย่าง Les Creatues d’ Agnes Varda (pour Jacques) ก็ยังไม่ได้ดู แต่พอเดินไปจนสุดห้องที่จัดที่นั่งไว้สำหรับดูวิดีโออาร์ตชุด Les Veuves de Noirmoutier ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นใบหน้าสตรีซึ่งสามีได้เสียชีวิตไปแล้ว ถึงได้พบว่าแม่ๆ ป้าๆ ที่เห็นใน VTR นั่นคือคนซึ่งมีชีวิตอยู่จริง และผ่านประสบการณ์เศร้าโศกของการที่สามีจากไปเหมือนไปกัน กลายเป็นนาฏกรรมที่สัมผัสได้ในชีวิตจริง (เผลอๆ วิดีโออาร์ตชุด Les Veuves de Noirmoutier ที่ว่า อาจนับเป็นผลงานของคุณป้าไปอีกเรื่องได้สบายๆ เท่าๆ กับที่สตรีผู้เป็นทั้งนักสร้างสรรค์และทำการบันทึก (ก็คือตัวป้า Varda) ได้เอาความผูกพันที่เธอมีกับ Demy ถ่ายทอดปะปนอยู่ในนั้น ทำให้พบว่าเรื่องราวของป้า Varda กับ (ลุง) Demy ซึ่งเกือบจะมีความเป็นเรื่องเล่ากึ่งเทพนิยายของความรัก (พอๆ กับหนังที่ Demy เคยทำอย่าง Peau d ‘Ane, Les Parapluies de Cherbourg) จะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาทันที ต่อให้ไม่ต้องดูหนัง (หรือแม้แต่ทั้งชีวิตไม่เคยเข้าโรงหนังเลยก็ตาม) สิ่งที่คุณป้าได้สร้างไว้ทั้งที่เป็นหนังเรื่อง หรือบันทึกไว้ในรูปของสารคดี ล้วนเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ในความเป็นจริง
หลังจาก HBO Go ประกาศออกมาว่า The Conjuring 3 หรือ The Conjuring: The Devil Made Me Do It จะลัดคิวลงสตรีมมิ่งให้คนไทยได้ชมในวันศุกร์ที่ 27 ส.ค.2564 นี้ ทั้งที่นี่เป็นโปรแกรมทองของโรงหนังที่ตั้งวันฉายเอาไว้ 2 ก.ย. ในกรณีที่โรงหนังได้รับการปลดล็อก
วันนี้มีข้อสรุปออกมาแล้วว่า The Conjuring 3 จะทดลองตลาดด้วยการลงโรงฉายพร้อมสตรีมมิ่งวันเดียวกันคือศุกร์ที่ 27 ส.ค.นี้เลย เฉพาะในจังหวัดที่ผู้ว่าฯ ไม่มีคำสั่งปิดโรงหนัง
ก่อนหน้านี้โรงหนังทุกเครือพร้อมใจกันหยุดให้บริการชั่วคราวทั้งประเทศ เนื่องจากจังหวัดหัวเมืองอย่างกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้รับคำสั่งให้ปิดบริการชั่วคราว ทำให้หนังต้องเลื่อนออกไปทั้งหมด โดยเฉพาะหนังเรือธงอย่าง Black Widow และ The Suicide Squad จนไม่มีหนังเข้าฉายหมุนเวียนในโปรแกรมแม้ว่าบางจังหวัดจะไม่มีคำสั่งปิดก็ตาม
The Suicide Squad หนังเรื่องล่าสุดของจักรวาล DC โดยผกก.เจมส์ กันน์ เปิดตัวในอเมริกาไปแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งในโรงจำนวน 4,002 จอ และสตรีมมิ่งผ่าน HBO Max ผลคือหนังเปิดตัวในโรงสุดสัปดาห์แรกด้วยรายได้ 26.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งอเมริกา รวมทั่วโลกได้ไป 72.2 ล้านดอลลาร์ฯ ขณะเดียวกัน HBO Max ก็ประกาศว่าหนังมียอดผู้ชมผ่านสตรีมมิ่งมากเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มหนังที่เปิดตัวพร้อมโรงทั้งหมด
ตัวเลขเปิดตัวในโรงของ The Suicide Squad ถือว่าแผ่วใช้ได้ เมื่อเทียบกันกับ Black Widow ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนก่อนด้วยตัวเลข 78.8 ล้านดอลลาร์ฯ ในอเมริกา รวมทั่วโลกได้ 158.8 ล้านดอลลาร์ฯ สาเหตุส่วนหนึ่งคือขณะนี้โควิดสายพันธุ์เดลต้าก็กำลังระบาดในอเมริกาพอดี ซึ่งสถานการณ์อาจเทียบกันไม่ได้กับเมื่อวันที่ Black Widow เปิดตัว
อย่างไรก็ดี Black Widow เปิดตัวพร้อมสตรีมมิงผ่าน Disney+ แบบพรีเมียม ด้วยค่าเข้าชม 30 ดอลลาร์ฯ ซึ่งคาดการณ์ว่าสุดสัปดาห์แรกหนังทำเงินจากช่องทางนี้ไปไม่ต่ำกว่า 60 ล้านดอลลาร์ฯ แต่ The Suicide Squad นั้น สมาชิก HBO Max ดูฟรีได้เลย
จากรูปแบบการฉายของ The Suicide Squad ประกอบกับสถานการณ์โรคระบาดปัจจุบัน แอนดี ฟอร์สเซลล์ ประธาน HBO Max ออกมาประกาศว่าหนังมียอดผู้เข้าชมมากเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มหนังที่เปิดตัวพร้อมโรง ซึ่งอันดับ 1 คือ…Mortal Kombat (!)
หากอ้างอิงสถิติจากฟอร์สเซลล์ นั่นหมายความว่า Mortal Kombat และ The Suicide Squad มียอดผู้ชมสตรีมมิ่งมากกว่าหนังที่เปิดตัวรูปแบบเดียวกันและช่องทางเดียวกันอย่าง Wonder Woman 1984, Godzilla vs. Kong และ The Conjuring: The Devil Made Me Do It เสียอีก
การออกมาตอบโต้แบบนี้ของดิสนีย์ ทำให้สื่อมวลชนและคนทำหนังจำนวนมากพร้อมใจกันออกมายืนอยู่ฝั่งเดียวกับโจฮันส์สันทันที โดยเฉพาะสามองค์กรเพื่อความเท่าเทียมทางเพศในอุตสาหกรรมฮอลลีวูด อย่าง Women in Film, ReFream และ Time’s Up ที่จับมือกันร่างแถลงการณ์ตอบโต้ดิสนีย์ เพราะมองว่าข้อพิพาทครั้งนี้ซุกซ่อนนัยยะแห่งการกดขี่ด้วย
ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของหนึ่งในผู้กำกับชั้นครูของประเทศอิหร่านอย่างอับบาส เคียรอสตามี (Abbas Kiarostami) ถึงแม้ภาพยนตร์จะเกิดขึ้นจากตัวเขา แต่ Like Someone In Love เป็นการร่วมทุนสร้างระหว่างประเทศฝรั่งเศส และญี่ปุ่น
ภาพยนตร์ที่เกิดจากความร่วมมือที่แปลกประหลาดที่สุดครั้งหนึ่ง เมื่อผู้กำกับชินซางอ็อก (Shin Sang-ok) ที่เป็นชาวเกาหลีใต้ถูกลักพาตัวไปเกาหลีเหนือจากคำสั่งของคิมจองอิล (Kim Jong-il) พร้อมกับภรรยาของเขาชเวอึนฮี (Choi Eun-hee) เพื่อต้องการพัฒนาวงการภาพยนตร์ของเกาหลีเหนือให้ไปได้ไกลมากขึ้น An Emissary of No Return เป็นหนังเรื่องแรกที่ชินซางอ็อกทำให้กับเกาหลีเหนือ
ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดในเวทีประชุมสันติภาพโลกในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อปี 1907 เมื่อพระเจ้าโกจงได้ส่งฑูตจากเกาหลีทั้งสามคนไปที่การประชุมอย่างลับๆ หนึ่งในนั้นคือ Ri Jun เพื่อให้คว่ำสนธิสัญญาอึลซาที่ทำให้ประเทศเกาหลีตกอยู่ใต้การปกครองของญี่ปุ่น โดยการแสดงให้เห็นถึงความไม่เป้นธรรมและการถูกลิดรอนสิทธิต่างๆ จากญี่ปุ่น แต่การต่อต้านนั้นถูกปฏิเสธเนื่องจากเกาหลีได้สูญเสียอำนาจให้กับญี่ปุ่นไปแล้ว จึงทำให้ Ri Jun กระทำการฮาราคีรีกลางที่ประชุม สละตัวเองเพื่อชาติเกาหลี
ภาพยนตร์ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างสหภาพโซเวียตและคิวบา เพื่อเป็นโฆษณาชวนเชื่อในการโปรโมตลัทธิสังคมนิยม และเป็นการสร้างพันธมิตรระหว่างสองประเทศนี้ด้วย Soy Cuba ได้ Mikhail Kalatozov ผู้สร้างชื่อมาจาก The Cranes Are Flying ที่คว้ารางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ในปี 1958 นั่งแท่นเป็นผู้กำกับ แต่พอมาเรื่องนี้เสียงตอบรับกลับกลายเป็นตรงกันข้าม หนังไม่ประสบความสำเร็จในสักทาง ทั้งแสดงภาพลักษณ์อันตื้นเขินของชาวคิวบามากเกินไป และหนังไม่ได้เป็นโฆษณาชวนเชื่ออย่างที่โซเวียตอยากให้เป็น จึงถูกเก็บไว้และหายสาปสูญไปจากโลกใบนี้ จนกระทั่งอีก 30 ปีถัดมาที่มีการถูกค้นพบอีกครั้ง และเป็นที่ชื่นชอบของคนทำหนังอย่างมาก โดยเฉพาะ Martin Scorsese และ Francis Ford Coppola จึงได้มีการบูรณะหนังให้ภาพคมชัดขึ้นในเวลาถัดมา
Soy Cuba หรือ I Am Cuba เป็นการเล่าเรื่องราวในช่วงการปฏิวัติคิวบาของฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro) ผ่านตัวละครทั้งสี่ Maria หญิงสาวที่ต้องทำงานในไนท์คลับเมืองฮาวานาเพื่อปรนเปรอชาวอเมริกันผู้มั่งคั่ง เธอต้องถูกบังคับทำหน้าที่ให้ความบันเทิงและยอมหลับนอนกับนักท่องเที่ยวเพื่อหาเงิน Pedro ชาวนาผู้เช่าไร่ไว้ปลูกอ้อย กลับถูกเจ้าของที่ยึดพื้นที่คืนและนำไปขายให้กับบริษัทในอเมริกา Enrique นักศึกษามหาลัยไฟแรงผู้มีส่วนสำคัญในการปฎิวัติของนักศึกษาและปัญญาชน และ Mariano ชาวบ้านผู้ลุกขึ้นมาจับอาวุธเข้าร่วมกับกองกำลังปฏิวัติ เมื่อลูกชายของเขาถูกลูกหลงจากระเบิดของรัฐบาลเสียชีวิต
The Anabasis of May and Fusako Shigenobu, Masao Adachi, and 27 Years without Images (2011, Eric Baudelaire)
หนึ่งคือ May Shigenobu ลูกสาวของ Fusako Shigenobu ที่เกิดในเลบานอน ผู้ได้สัมผัสการมีอยู่ของกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด และใช้ชีวิตมาอย่างเงียบๆ โดยตลอด จนกระทั่งการถูกจับกุมของแม่เธอในวัย 27 แต่นั่นกลับทำให้ชีวิตที่สองของ May เริ่มต้นขึ้น เมื่อเธอกลายเป็นที่สนใจจากสื่อ และกลายไปเป็นบุคคลสาธารณะ
อีกหนึ่งคนคือ Masao Adachi ผู้กำกับหนังชาวญี่ปุ่นสายทดลองในตำนาน ผู้คิดค้นทฤษฎี fûkeiron ขบวนการการทำหนังของญี่ปุ่นที่ถ่ายภาพทิวทัศน์เพื่อแสดงให้เห็นถึงพลังของโครงสร้างบางอย่างที่แพร่กระจายไปอยู่ทุกที่ Masao ละทิ้งการถ่ายหนังแล้วไปจับอาวุธกับกองทัพแดงญี่ปุ่นและแนวร่วมประชาชนเพื่อการปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PFLP: Popular Front for the Liberation of Palestine) ในปี 1974 และใช้ชีวิตด้วยการไม่ได้สร้างภาพยนตร์อีกเลยเป็นเวลา 27 ปี ถึงแม้เขาจะถ่ายภาพบางส่วนของเลบานอนเก็บไว้ แต่ก็ถูกทำลายลงในช่วงสงคราม
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ Eric Baudelaire ได้ติดต่อกับ Masao Adachi เพื่อทำการสัมภาษณ์และนำเขามาอยู่ในหนัง ซึ่งเขาตกลงโดยมีเงื่อนไขว่าให้ Eric กลับไปถ่ายฟุตเทจในเลบานอนตามที่เขาต้องการ และภาพของหนังจึงเหมือนกับการรีเมคของ A.K.A Serial Killer ภาพยนตร์ชื่อดังของ Masao Adachi เอง
Genealogies of a Crime (1997, Raúl Ruiz)
Solange (Catherine Deneuve) ทนายฝ่ายจำเลยที่เป็นที่โด่งดังจากการไม่เคยชนะคดีมาก่อน ได้รับว่าความให้กับ René เด็กหนุ่มผู้ถูกกล่าวหาว่าสังหาร Jeanne น้าสาวผู้ร่ำรวยผู้ที่อยู่ในสมาคมจิตวิเคราะห์ฝรั่งเศส-เบลเยี่ยม ด้วยวิธีการสืบสวนและมุมมองอันแปลกประหลาดของ Solange เธอได้อ่านบันทึกของ Jeanne หาพยานหลักฐานและความเป็นไปได้ในการฆ่าของ René ทั้งหมดทำให้เธอสรุปได้ว่าจำเลยของเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ และถูกชักจูงใส่ร้ายให้กลายเป็นฆาตกร เรื่องราวเริ่มวุ่นวายมากขึ้นเมื่อมีการปรากฎตัวของ Georges Didier เจ้าของสมาคมจิตวิเคราะห์ และ Christian คู่แข่งของเขาที่เชื่อว่าเหตุของอาชญากรรมนั้นมาจากภูมิหลังของแต่ละคน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป René นั้นเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ และ Solange จะว่าความชนะสักทีหรือไม่
ภาพยนตร์ที่ร่วมทุนสร้างระหว่างประเทศญี่ปุ่นและฝรั่งเศส กำกับโดยชูจิ เทรายามะ (Shuji Terayama) หนึ่งในผู้กำกับสายทดลองที่พิสดารที่สุดคนหนึ่งในญี่ปุ่น ดัดแปลงอย่างหลวมๆ จากนิยาย Retour à Roissy ของ Anne Desclos ซึ่งถือว่าเป็นภาคต่อจากนิยายและภาพยนตร์เรื่อง the Story of O ซึ่ง Arielle Dombasle นักแสดงภายในเรื่องได้ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่าในการเข้าฉากของเธอกับ Klaus Kinski นักแสดงนำนั้นเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก
อาจจะพูดได้ว่ามันเป็นความสนุกในแบบของสวินตันร่วมกันกับกัวดัญญีโน และหากมองย้อนกลับไปยังตัวตน เส้นทางที่ผ่านมาของเธอก็คงสรุปได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเท่าไหร่นัก นอกเหนือจากโลกภาพยนตร์ เธอยังไปปรากฏตัวอยู่ในแวดวงศิลปะ มีส่วนร่วมสำคัญในการแสดงงานหลายๆ ครั้ง และที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคืองานในปี 1995 ที่แกลลอรี่เซอร์เพนไทน์ในลอนดอน ที่เธอไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากปีนขึ้นไปนอนในกล่องแก้วให้คนเข้ามามุงดูเฉยๆ! (และกลับมาแสดงงานชิ้นนี้อีกครั้งในปี 2013 ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ กลางกรุงนิวยอร์ค), เลื้อย เลีย กระทำสิ่งต่างๆ กับเสื้อผ้าในงานแสดงศิลปะของ โอลิเวียร์ เซลลาร์ด เมื่อปี 2015, ร่วมเขียนบทและกำกับ The Seasons in Quincy: Four Portraits of John Berger (2016) สารคดีสำรวจชีวิต จอห์น เบอร์เกอร์ ศิลปินและกวีชาวอังกฤษ, จับมือกับแบรนด์แฟชั่น Viktor & Rolf จัดโชว์ที่ให้นางแบบแต่งตัวทำผมเหมือนสวินตัน โดยเจ้าตัวอ่านบทกวี (แต่งเองด้วยนะ) ที่พูดถึงตัวตนอันจริงแท้เพียงหนึ่งเดียว
ในด้านงานแสดง สวินตันก็ไปโผล่ทั้งในหนังอินดี้ฟอร์มเล็กจ้อยไปจนถึงใหญ่ยักษ์ เธอคือแม่มดขาวที่แฝงฝังตัวอยู่ในความทรงจำของเด็กต้นยุค 2000s หลายๆ คนจาก Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe (2005) และในปีเดียวกันนั้นก็ยังเป็นเทพเกเบรียลใน Constantine (2005) หรือในอีกหลายปีให้หลัง เธอจะไปเป็น เอเชียน วัน ผู้แสนสุขุมในหนังบล็อคบัสเตอร์ทุนสร้างสองร้อยล้านเหรียญฯ Doctor Strange (2016) และไปอยู่ในหนังซอมบี้โป๊งเหน่งของ จิม จาร์มุช The Dead Don’t Die (2019)
เท่าๆ กันกับที่เธอไปอยู่ในหนังอิสระฟอร์มเล็ก รวมทั้ง Memoria (2021) หนังพูดภาษาต่างประเทศเรื่องแรกของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล, แม่ผู้แหลกสลายจาก We Need to Talk About Kevin (2011) เรื่อยไปจน Young Adam (2003) หนังวาบหวามที่ทุ่มการแสดงกันสุดตัวทั้งสวินตันและ ยวน แม็กเกรเกอร์ ซึ่งแน่นอนว่าหากเราชั่งน้ำหนักจำนวนภาพยนตร์ที่เธอร่วมแสดงมาตลอดสามทศวรรษ น้ำหนักฝั่งหนังทุนต่ำน่าจะมีปริมาณมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ช่วงระยะแรกๆ สวินตันยังวนเวียนอยู่ในแวดวงคนทำหนังชาวอังกฤษ Edward II (1991) คือหนังเรื่องแรกที่ส่งสวินตันเข้าชิงรางวัลในฐานะนักแสดงและคว้าติดมือกลับมาได้จากเทศกาลหนังนานาชาติเวนิซ เธอรับบทเป็นเจ้าหญิงจากฝรั่งเศสที่ต้องเผชิญหน้ากับความคลั่งรักของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 แห่งอังกฤษ ขณะที่ปีต่อมาเธอรับบทเป็นขุนนางหนุ่มน้อยที่วันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองกลายเป็นผู้หญิง (!!) ในหนัง Orlando (1992, แซลลี พอตเตอร์) รวมทั้งรับบทเป็นสาวม่ายที่สวมรอยเป็นผัวที่ตายไปแล้วเพื่อหางานทำในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจาก Man to Man (1992) ที่ทั้งสองเรื่องทำให้สวินตันถูกพูดถึงในฐานะนักแสดงที่มีลักษณะเป็นได้ทั้งสองเพศ (androgynous) ซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายเป็นลักษณะที่ติดตัวเธอในชีวิตจริงด้วย
หลังจากนั้น สวินตันยังวนเวียนอยู่ในอุตสาหกรรมฮอลลีวูดอยู่เนืองๆ ด้วยการรับบทในหนังตลกร้ายของพี่น้องโคเอน Burn After Reading (2008) และที่ถูกพูดถึงอย่างหนาหูในเวลาต่อมา We Need to Talk About Kevin (2011, ลินน์ แรมซีย์) จากการรับบทเป็นแม่ของนักเรียนหนุ่ม (เอซรา มิลเลอร์) ที่ลงมือสังหารหมู่เพื่อนนักเรียนด้วยกันกลางโรงยิม (เธอโคจรมาพบกับมิลเลอร์อีกครั้งในหนังบ้องตื้น Trainwreck ที่เธอแสดงเป็นบอสจอมเฮี้ยบ อันเป็นอีกบทบาทที่พิสูจน์ว่าเธอไม่ได้จำกัดตัวเองแค่ในหนังดราม่าระเบิดพลังเท่านั้น), Snowpiercer (2013, บองจุนโฮ) หนังร่วมทุนสร้างสองสัญชาติ (เกาหลีใต้-สาธารณรัฐเช็ก) ว่าด้วยขบวนรถไฟที่แบ่งกลุ่มคนออกเป็นชนชั้น และสวินตันรับบทเป็น เมสัน ผู้คุมกฎจอมเผด็จการกับฟันปลอมแสนอลังการที่เปลี่ยนรูปโฉมของเธอให้ดูประหลาดสุดขีด แต่ถ้าเทียบกับ The Grand Budapest Hotel (2014, เวส แอนเดอร์สัน) แล้ว บทเมสันก็ ‘เด็กๆ’ ไปเลยเพราะหนนี้สวินตันปรากฏตัวในฐานะหญิงชราที่แก่จนสั่นกระตุกไปทั้งตัวแต่ยังโหยหาสัมพันธ์สวาทจากพนักงานโรงแรมสุดเข้ม
ลำดับแรกของหนังไตรภาคคือ Where Is The Friend’s Home (1987) หนังเล่าเรื่องตรงไปตรงมาว่าด้วยเด็กชายคนหนึ่งและสมุดการบ้าน ก่อนที่เรื่องเล่าจะถูกทำให้เป็นแค่เรื่องเล่าในหนังที่ทำตัวเหมือนเป็นหนังสารคดีตามหาดาราเด็กในหนังเรื่องนั้นใน And Life Goes On… (1992) ก่อนที่หนังที่เป็นเหมือนเบื้องหลังของหนังตามหาดาราเด็กที่เฉไฉไปสู่ความคลั่งรักจะตามมาใน Through The Olive Trees (1994) หนังสามเรื่องกลายเป็นหนังที่ซ้อนลงบนหนังที่ละชั้น คลี่คลายความงาม ความเป็นไปได้ของภาพยนตร์ ดังที่ Mehrnaz Saeed- Vafa นักวิชาการภาพยนตร์ร่วมชาติได้ให้นิยามถึงสิ่งที่ Kiarostami ยึดถือว่า ‘หนทางที่สั้นที่สุดในการไปสู่ความจริงคือผ่านทางการโกหก’https://www.criterion.com/current/posts/4139-the-shortest-way-to-the-truth-kiarostami-remembered
ใน And Life Goes On… เราไม่ได้เห็นว่าเขาได้พบนักแสดงของเขาหรือเปล่า หากใน Through The Olive Tress นักแสดงเด็กที่เขาตามหากลับโผล่มาเป็นตัวประกอบราวกับแค่เล่นเป็นเด็กนักเรียนแถวนั้นที่ถูกขอให้เอาต้นไม้มาเข้าฉาก ราวกับว่า Where Is Th Friend’s Home เป็นเพียงหนังที่มีอยู่จริงก็เฉพาะแต่ในหนังเรื่อง And Life Goes On… ที่กำลังถูกถ่ายอยู่เท่านั้น เรื่องเล่าถูกผลักให้เป็นเรื่องเล่าของเรื่องเล่าที่ถูกเบียดขับด้วยชีวิตอีกชั้นหนึ่ง หากในทางตรงข้ามตัวละครที่โผล่มาฉากเดียวใน And Life Goes On… ได้กลายเป็นเจ้าของหนังเรื่อง Through The Olive Trees เมื่อหนังเพ่งมองมาทางเขา มองมายังหนุ่มพ่ายรักที่จะได้รับความรักก็ต่อเมื่อเขาอยู่ในภาพยนตร์ ภาพยนตร์จึงเป็นเสมือนฝันที่เป็นจริงของเขา ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างการได้แต่งงานกับหญิงที่เขารักให้เป็นไปได้ มนตราของภาพยนตร์ ได้ทำให้เรื่องเล่ากลายเป็นเรื่องจริง ทำให้เรื่องเล่าจริงๆ กลายเป็นเรื่องเล่า ทำให้ความจริงเป็นเหมือนความฝัน และทำให้ความฝันกลายเป็นความจริง ถ้าภาพยนตร์เป็นความลวง ก็เป็นความลวงนี้เองที่คลี่คลาย ส่องสะท้อน และทำให้เราเข้าใจความจริง เรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตทำให้เราเข้าใจชีวิต ในบางครั้งรวดเร็วและชัดแจ้งกว่าการใช้ชีวิต
ความงดงามของความเป็นมนุษย์สามัญ ความมีเรื่องราวของทุกตัวละคร องค์ประกอบ เรื่อเรืองมากขึ้นใน Through The Olive Trees เมื่อ And Life Goes On…กลายเป็นเพียงหนังเรื่องหนึ่งที่กำลังถ่าย และกองถ่ายที่มีผู้กำกับเป็นชายสูงวัยท่าทางใจดีก็ส่งทีมงานออกไปตามหาบรรดาคนแถบนั้นมาเล่นเป็นตัวละครที่ผู้กำกับและลูกชายผ่านทางไปพบ หากใน And Life Goes On… สายตาของ Kiarostami ย้ายออกจากตัวละครหลักแห่งเรื่องเล่าไปหาผู้คนมากมายที่พานพบ เขาก็ขยายสายตานั้นออกมาในภาคนี้ด้วยการหันไปโฟกัสที่ชีวิตของคนที่เป็น ‘ตัวประกอบ’ ฉากเดียวในหนังเรื่องก่อนหน้า