Ulrike Ottinger เป็นผู้กำกับหญิงไม่กี่คนที่ถูกนับอยู่ในคนทำหนังรุ่น New German Cinema กลุ่มคนทำหนังเยอรมันรุ่นใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจาก French New Wave คนดังๆ ก็อย่างเช่น Alexander Kluge, Wim Wenders , Werner Herzog หรือ Reiner Werner Fassbinder
New German Cinema มาพร้อมกับคำประกาศว่าหนังเยอรมันยุคเก่าตายแล้ว พวกเขาท้าทายทำลายภาษาหนังแบบดั้งเดิม ลบล้างโลกก่อนสงคราม สั่นคลอนฐานคิดของผู้คนที่เพิ่งฟื้นตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลหลังการจบสิ้นของฮิตเลอร์ สถาปนาภาษา เรื่องเล่า เทคนิคของคนรุ่นใหม่ในขณะนั้น ทั้งความหยิบจับเอาประวัติศาสตร์มาวิพากษ์อย่างคมคายและบ้าบอของ Alexander Kluge ความเวิ้งว้าง การสูญเสียตัวตนและการคลั่งอเมริกาของ Wim Wenders ความพยายามทะลุขีดจำกัดความบ้าบิ่นของมนุษย์อย่าง Werner Herzog และความเปิดเปลือยตนเองในหนังของ Fassbinder
Ulrike Ottinger เคยมาฉายหนังทั้งหมดของเธอที่กรุงเทพในเทศกาล World Film Festival of Bangkok ในปี 2005 ครั้งนั้นมีการฉายหนังของเธอทุกเรื่อง แต่ฟิล์มที่ได้มากลับไม่มีซับไตเติ้ล อย่างไรก็ดี ผู้ชมก็สนุกสนานกับหนังของเธอสุดฤทธิ์
อีกหนึ่งสิ่งที่ควรกล่าวถึงบองคือเขาเป็นนักดูหนังตัวยง และเมื่อเร็วๆ นี้ Korean Film Archive ได้ลงเพลยลิสต์ใหม่ในชื่อ “หนังโปรดเจ็ดเรื่องของบองจุนโฮ” ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เกิดจากการแนะนำหนังเกาหลีจำนวน 10 เรื่องในงาน Lumiere Film Festival ซึ่งเขาคัดสรรด้วยตัวเอง หนังทั้งหมดดูฟรีพร้อมซับไตเติ้ลอังกฤษ มีบางเรื่องถูกบูรณะแล้ว แต่เรื่องที่ไม่ได้บูรณะก็ยังมีคุณภาพที่ดูได้ ไม่ได้มีอะไรขี้เหร่
– หน้ากากที่บิลล์สวม ได้แบบมาจากรูปหน้าของ ไรอัน โอนีล พระเอกเรื่อง Barry Lyndon (1975)
– ในฉากหญิงลึกลับเตือนภัยบิลล์ เราจะได้ยินเสียงดนตรีจาก The Shining
– ห้องเก็บศพที่บิลล์เข้าไป อยู่ในตึกปีก c หมายเลข 114 (C, room 114 หรือ CRM-114) ซึ่งเหมือนกับหมายเลขเครื่องถอดรหัสใน Dr. Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb (1964) และก็เป็นหมายเลขเดียวกับยาที่ตัวเอกของ A Clockwork Orange (1971) ได้รับ
เพราะผู้คนควรรักษาระยะห่างทางสังคม โรงหนังอเมริกาเลยต้องปิด ต่อมา EVO Entertainment จึงเปิดลานจอดรถของโรงตัวเอง แล้วทาสีขาวบนกำแพงโรง เปิดเป็นโรงหนังไดรฟ์อินให้คนจองตั๋วดูฟรี แต่เสิร์ฟของกินจากร้านอาหารของโรงมาเสิร์ฟให้ถึงรถ
EVO ทดลองเปิดให้บริการที่โรงหนังในเมือง เชิร์ตซ รัฐเท็กซัส ก่อนเป็นที่แรก เมื่อ 27 มีนาคมที่ผ่านมา วิธีคือเราต้องไปจองที่จอดรถในระบบก่อน แล้วค่อยขับเข้าไปจอดดูที่ลานจอดรถของโรง ส่วนเสียงก็ส่งผ่านสัญญาณวิทยุเข้าไปในรถของแต่ละคนเลย โดยฉายหนังตลาดจ๋าของค่ายโซนี่ฯ เช่น Spider-Man: Homecomming, Jumanji: Welcome to the Jungle และ Spider-Man: Into the Spider-Verse ผลคือยอดจองเต็มมาถึงต้นเมษายนแล้ว
CEO มิตเชลล์ โรเจอร์ส บอกว่าวิธีนี้ก็พอเป็นทางรอดของโรงหนัง โดยเฉพาะพนักงานที่ระหว่างรักษาระยะห่างทางสังคมก็ยังมีงานและรายได้หล่อเลี้ยงต่อเนื่อง ซึ่งรายได้หลักจะมาจากอาหารที่รถแต่ละคันสั่งไปกินนั่นเอง นอกจากนั้น EVO ไม่ได้ทำแค่โรงหนัง แต่ยังจัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์เป็นอีกธุรกิจ การวางระบบฉายและระบบเสียงจึงอยู่ในขอบเขตธุรกิจของเขาอยู่แล้ว
แม้ว่ายังไม่มีมาตรการชัดเจนกับคนในอุตสาหกรรม แต่ British Film Institute ซึ่งเป็นองค์กรด้านภาพยนตร์ที่ได้รับการสนับสนุนโดยกระทรวงดิจิตอล วัฒนธรรม สื่อและการกีฬา ของสหราชอาณาจักร ก็ได้ร่วมกับองค์กรการกุศลชื่อ Film + Television ตั้งกองทุนบรรเทาทุกข์ฉุกเฉิน โดยมีเงินบริจาคจาก Netflix หนึ่งล้านปอนด์เป็นทุนประเดิม
– มูลนิธิ Will Rogers Motion Pictures Pioneer Foundation (WRMPP ก่อตั้งปี 1951 เพื่อช่วยเหลือทางการเงินทั้งในด้านสุขภาพ ประกันชีวิตและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานศพ แก่สมาชิกในวงการ) ร่วมกับ สมาคมผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์แห่งชาติ (NATO) จัดสรรกองทุน 2.4 ล้านเหรียญเพื่อช่วยพนักงานโรงหนังที่ขาดรายได้เนื่องจากโรงหนังโดนปิด
– กองทุนเพื่อภาพยนตร์และโทรทัศน์ (Motion Picture and Television Fund ก่อตั้งโดยดาราและผู้กำกับชั้นนำของฮอลลีวูดคือ ชาร์ลี แชปปลิน, แมรี พิคฟอร์ด, ดักลาส แฟร์แบงค์ และ ดี ดับลิว กริฟฟิธ มีจุดประสงค์เพื่อช่วยคนวงการบันเทิงที่ตกยาก) ประกาศช่วยเหลือด้านการเงินแก่สมาชิกที่ประสบปัญหาเรื่องประกันสุขภาพ หนี้สินกับธนาคาร บัตรเครดิต
– องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรชื่อ American Documentary จัดสรรทุน 1 แสนเหรียญเพื่อช่วยคนทำสารคดีอิสระ
ไต้หวัน
ประเทศที่ได้รับการยกย่องว่ามีระบบป้องกันโควิด-19 ได้อย่างดีเยี่ยมแห่งนี้ ก็มีแผนช่วยอุตสาหกรรมหนังเช่นกันโดยกระทรวงวัฒนธรรมออกมาตรการเร่งด่วนชื่อ “มาตรการบรรเทาและฟื้นฟูงานวัฒนธรรมและศิลปะที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 (Relief and Revitalization Measures for the Cultural and Arts Sectors Impacted by COVID-19)
5. งานโปรดักชั่นระดับช้าง ภาพกว้างที่แสดงให้เห็นการทุ่มทุนมหาศาลทั้งแรงงานและเม็ดเงิน ดนตรีประกอบที่แสนสะท้านสะเทือน ทั้งหมดนั้นคือความทะเยอทะยานของคนทำหนังที่อาจลงเอยเป็นความล้มเหลวครั้งมโหฬารได้ทุกเมื่อ แต่โชคดีเหลือเกินที่ War and Peace ให้ผลตรงกันข้าม
นอกจากนั้น War and Peace ยังคว้ารางวัลกรังด์ปรีซ์จาก Moscow International Film Festival และรางวัลออสการ์กับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม พร้อมกวาดคำชมในฐานะหนึ่งในหนังคลาสสิกเยี่ยมยอดที่สุดตลอดกาลของโลกมาอย่างงดงาม
การเขียนบทซีรีส์ โดย Glen Mazzara เจ้าของผลงาน The Walking Dead
ขายหนังอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ เรียนรู้ทักษะกับ Jackie Miller โค้ชด้านการพูดและการสื่อสาร
การสร้างเสียงของตัวคุณเองเพื่อสร้างความมั่นใจในการนำเสนอ โดย Jackie Miller อีกเช่นกัน
สร้างการเคลื่อนไหวทางสังคมผ่านหนัง โดย Jon Shenk และ Bonni Cohen ทีมผู้สร้าง An Inconvenient Truth
อำนวยการสร้างหนัง โดยใช้แนวทางการเป็นผู้ประกอบการ โดย Jason Berman รองประธานบริษัท Mandalay Pictures
การสร้างเว็บซีรีส์ โดย Marv Lemus และ Linda Yvette Chavez ทีมผู้สร้าง Gentefied ซีรีส์ใน Netflix
เวิร์คช็อป การดื่มด่ำไปกับการเขียนบท สร้างแรงบันดาลใจ โดย Colleen Werthmann ผู้เขียนบทให้กับโชว์มากมายในทีวีอเมริกา เช่น Oscars, Nightly Show with Larry Wilmore
เกมเล่าเรื่องอย่างไร? เรียนรู้ทฎษฎีการสร้างเรื่องเล่าในเกมไปกับ Nick Fortugno เกมดีไซน์เนอร์ชื่อดัง เจ้าของผลงาน Dinner Dash
การเขียนบทละครเวที โดย Marsha Norman เจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ ผู้เขียนบท The Colour Purple
เมื่อรัฐบาลอเมริกาตัดสินใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1941 ประธานาธิบดีรูสเวลท์ได้เรียกประชุมบุคลากรทุกภาคส่วนของฮอลลีวูด แล้วโยนคำถามสำคัญว่า “หนังจะช่วยให้เราชนะสงครามได้ไหม” (“Will this picture help win the war?”) และคำตอบของเหล่าชาวฮอลลีวูดรักชาติก็คือ การสร้างหนังปลุกใจออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงสงคราม อาทิ Der Fuehrer’s Face (1942 หนังการ์ตูนล้อเลียนฮิตเลอร์ของวอลท์ ดิสนีย์), Battle of Midway (1942 ของจอห์น ฟอร์ด), The Memphis Belle: A Story of a Flying Fortress (1944 ของวิลเลียม ไวเลอร์)
ดังนั้นในปี 1996 รัฐบาลภายใต้การดำเนินการของกระทรวงวิทยุภาพยนตร์และโทรทัศน์ (RFT) จึงออกกฎหมายควบคุมการนำเข้าให้เหลือปีละ 10 เรื่อง โดยในระยะแรกกำหนดเงื่อนไขว่า บริษัทที่จะนำเข้าหนังต่างประเทศได้จะต้องผลิตหนังจีนที่ “มีคุณภาพ” อย่างน้อยหนึ่งเรื่องด้วย และต่อมาก็ได้เปลี่ยนกฎเกณฑ์ให้มีแค่ 2 บริษัทเท่านั้นที่มีสิทธิ์จัดจำหน่ายหนังต่างประเทศได้ ได้แก่ บริษัท China Film Group และ Huaxia Film Distribution ซึ่งทั้งสองบริษัทนี้รัฐเป็นเจ้าของ
จุดเปลี่ยนสำคัญของระบบโควตา เกิดขึ้นหลังปี 2001 เมื่อจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก รัฐบาลถูกบีบให้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์หลายอย่างรวมถึงเงื่อนไขในการจัดจำหน่าย โดยเฉพาะ 1) จำนวนโควตานำเข้าที่บริษัทจัดจำหน่ายต่างประเทศโดยเฉพาะฮอลลีวูดมองว่าน้อยเกินไป และ 2) เงื่อนไขแบ่งกำไร (เพราะ China Film Group และ Huaxia Film Distribution เรียกสูงมาก เริ่มจาก 87% ในช่วงเริ่มต้นนำเข้าใหม่ ๆ)
1) สร้างความสัมพันธ์กับสองบริษัทจีนที่ได้รับสิทธิ์จัดจำหน่ายให้มากที่สุด ด้วยความหวังว่าหนังจะได้เข้าไปฉายในตลาดอันใหญ่โตของจีน แต่บริษัทที่จะเข้าถึง China Film Group และ Huaxia Film Distribution ได้ง่ายๆ ก็ต้องใหญ่พอด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกสตูดิโอในฮอลลีวูดนั่นแหละ
2) ส่วนค่ายจัดจำหน่ายที่เข้าไม่ถึง แต่ยังอยากให้หนังตัวเองได้เข้าไปฉายในจีนบ้าง ก็หันมาใช้วิธีขายสิทธิ์หนังผ่าน “บริษัทตัวแทน” ซึ่งมีมากมายในจีน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าหนังเหล่านี้จะผ่านโควตาได้ (เพราะทุกบริษัทมักอ้างว่าตัวเองมีสายสัมพันธ์กับ China Film Group และ Huaxia Film Distribution ทั้งนั้น ทว่าเอาเข้าจริงสองบริษัทใหญ่ดังกล่าวก็อาจไม่เหลียวแลหนังเล็กหนังน้อยเหล่านี้เลยก็ได้)
3) อีกวิธีหนึ่งที่บริษัทในต่างประเทศใช้ เพื่อให้หนังมีโอกาสฉายในจีน ก็คือร่วมลงทุนกับ China Film Group และ Huaxia Film Distribution เสียเลย (เช่น บริษัท Legendary Pictures ของอเมริกา ร่วมลงทุนกับ China Film Group สร้างหนังเรื่อง The Warcraft ออกฉายในปี 2016 ซึ่งที่ตลกคือ หนังเจ๊งในอเมริกา แต่รายได้จากจีนก็ทำให้หนังไม่ขาดทุน แถมได้กำไรอีกต่างหาก)
ความเป็นตำนานของไพท่อน ยังยืนยันได้ด้วยสารพัดรางวัลที่พวกเขาได้รับ เช่น บาฟตาสาขา Outstanding British Contribution To Cinema, รางวัล AFI Star Award จากสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน, สามสมาชิกของวงคือ คลีส, ไอเดิล และเพลิน ได้รับโหวตให้ติดอันดับ “สุดยอดแห่งดาราตลกโลกที่พูดภาษาอังดฤษ” เมื่อปี 2005 และผลงานหนังของพวกเขาอย่าง Holy Grail กับ Life of Brian ก็ติดอันดับหนังตลกยอดเยี่ยมที่สุดของโลกแทบทุกครั้งที่มีการโหวตสายนี้กัน
The Shining, The Exorcist, Shutter Island, Twin Peaks, Black Mirror …ถ้าจะมีอะไรสักอย่างเป็นจุดร่วมทรงพลังของหนังและซีรี่ส์เหล่านี้นอกเหนือไปจากพล็อตชวนสยองแล้วล่ะก็ สิ่งนั้นย่อมคือเสียงสกอร์อันสุดหลอนฝีมือคอมโพสเซอร์ชาวโปแลนด์ผู้ยิ่งใหญ่นาม “คริสช์ตอฟ เปนเดเรซกี” ผู้นี้!
อันที่จริงเปนเดเรซกีไม่ใช่คอมโพสเซอร์เพลงหนัง แต่งานดนตรีที่มีความเป็นนามธรรมและเสียงที่ฟังดูแปลกประหลาดให้ความรู้สึกทั้งหลอนทั้งอลังการ ทำให้มันถูกหยิบไปใช้ในหนังระทึกขวัญสยองขวัญของผู้กำกับชั้นครูมากมาย (นอกจากข้างต้น ยังมีอาทิ Wild at Heart กับ Inland Empire ของเดวิด ลินช์, Children of Men ของ อัลฟองโซ กัวรอง, Fearless ของปีเตอร์ เวียร์ หรือกระทั่งหนังแอ็กชันหายนภัยอย่าง Twister และงานใหม่ๆ อย่าง Demon หนังสยองขวัญโปแลนด์)
และก็เขาคนนี้นี่แหละที่เป็นแรงบันดาลใจใหญ่โตที่สุดของ จอห์นนี กรีนวู้ด มือกีตาร์-คีย์บอร์ดวงเรดิโอเฮดที่หันมาเอาดีกับการทำซาวด์แทร็คหนังของผู้กำกับ พอล โทมัส แอนเดอร์สัน (There Will Be Blood, Phantom Thread, The Master) เล่ากันว่า สหายข้ามรุ่นคู่นี้เจอกันครั้งแรกหลังคอนเสิร์ตครั้งหนึ่ง เมื่อฝ่ายหลังทำตัวเป็นแฟนบอยเข้าไปขอจับมือกับฝ่ายแรก หลังจากนั้นมิตรภาพทางดนตรีก็เบ่งบานด้วยการร่วมกันทำคอนเสิร์ตในปี 2011 ที่ทำให้เปนเดเรซกีหัวใจฟู เพราะมีคนหนุ่มสาวผู้อาจไม่เคยฟังงานของเขามาก่อนเลย เข้ามาชมแน่นออดิทอเรียมถึงกว่า 9 พันคน !
คริสช์ตอฟ เปนเดเรซกี จากเราไปแล้วเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ขณะอายุได้ 86 ปี …วันนี้ Film Club จึงขอชวนไปฟังบางผลงานของเขาที่ถูกนำมาใช้หนังโด่งดังกัน :
The Shining
ผู้กำกับสแตนลีย์ คูบริคชอบเปนเดเรซกีมากถึงขั้นโทรไปขอให้ช่วยแต่งเพลงใส่หนังให้ แต่เปนเดเรซกีแนะนำงานที่แต่งไว้แล้วให้แทนคือ The Awakening of Jacob ซึ่งคูบริคก็นำมาใช้ทันที แถมยังเลือกเพิ่มอีก 5 เพลงคือ Utrenja II: Ewangelia, Utrenja II: Kanon Paschy, De Natura Sonoris No. 1, De Natura Sonoris No. 2 และ Polymorphia
ดูเขาคุมวงเอง
ตัดต่อสลับหนัง
ซาวด์แทร็คเต็มเรื่อง
The Exorcist (1973)
หนังสยองคลาสสิกอีกเรื่องที่เลือก Polymorphia มาใช้ และยังใช้งานของเปนเดเรซกีอีก 4 ชิ้นคือ Kanon For Orchestra and Tape, Cello Concerto, String Quartet (1960), The Devils of Loudon
Children of Men
ช่วงท้ายของหนังเรื่องนี้ใช้เพลง Threnody to the Victims of Hiroshima ที่เปนเดเรซกีแต่งในปี 1960 บรรเลงด้วยเสียงเครื่องเสียง 52 ชิ้น อุทิศแด่ผู้เสียชีวิตในฮิโรชิมาจากระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกา
และเมื่อเพลงนี้ไปปรากฏในฉากระเบิดนิวเคลียร์สุดจะหลอนใน Twin Peaks: The Return ของ เดวิด ลินช์
ด้าน NATO บอกว่า “การเยียวยานี้จะทำให้โรงหนังก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน โดยลูกจ้างก็จะได้มีหลักประกันว่ามีงานรอพวกเขาอยู่แน่นอนถ้าโรงหนังกลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง”
อย่างไรก็ดีการเยียวยานี้ดันเอื้อสำหรับกิจการรายย่อย เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ครอบคลุมไปถึงโรงหนังเครือใหญ่สุดของอเมริกาอย่าง AMC ที่บริหารงานโดย Wanda Group ของจีน ที่สั่งพักงานพนักงานกว่า 26,000 คน รวมถึง CEO อดัม อารอน เพราะโรงหนังไม่มีรายได้แต่มี fixed cost จึงจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลงไป
IDFA (International Documentary Film Festival Amsterdam) ก่อตั้งเมื่อปี 1988 และปัจจุบันถือเป็นเทศกาลภาพยนตร์สารคดีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีทั้งเทศกาลความยาวเกิน 10 วันทุกปี และแพล็ตฟอร์มออนไลน์ที่รวบรวมสารคดีหายากไว้มากมาย
HAL ค่ายหนังอิสระที่นำเข้าหนังคุณภาพจากหลากหลายประเทศให้ชาวไทยได้ชม กำลังทยอยนำหนังเรื่องต่างๆ ลงใน vimeo on demand เพื่อเข้าถึงชาวออนไลน์มากขึ้น ปัจจุบันมี 2 เรื่อง คือ Birds of Passage หนังแก๊งสเตอร์อาชญากรรมสุดเดือดผสมวัฒนธรรมและชนเผ่าวายูจากโคลอมเบีย ผลงานของ Ciro Guerra ผู้กำกับ Embrace of the Serpent ที่เคยพาเราล่องลอยไปกับการท่องเที่ยวการจิตวิญญาณสุดเมามายมาแล้ว
อีกเรื่องคือ The Square หนังตลกร้ายเสียดสีวงการศิลปะแบบแสบสันจนได้รางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปี 2017
ชื่อหนังเรื่องนี้ประกอบขึ้นจากคำสองคำซึ่งแสดง ‘สถานที่’ และ ‘เวลา’, กาละและเทศะ, space and time ด้วยความจำเพาะเจาะจงของสองสิ่งนี้ มันทำหน้าที่เป็นบันทึกโดยมากกว่าการเป็นเรื่องสากลกว้างขวาง สถานที่และเวลามักไม่เป็นคำขึ้นต้นก็คำลงท้ายของจดหมายหรือโปสการ์ด ตัวหนังจึงแสดงตัวเองในฐานะบันทึกตั้งแต่เริ่มต้น และในรูปแบบของบันทึกหากไม่ใช่บันทึกชีวิตประจำวันในสถานที่จำเพาะ มันก็ต้องเป็นบันทึกการเดินทาง
นอกจาก Documentary Club (มิตรสหายของ Film Club) จะเอาหนังสารคดีและหนังยาวลงออนไลน์ผ่านช่องทาง Doc Club On Demand ให้ได้ชมกันแล้วนั้น …ยังมีหนังจากและเวบไซต์น่าสนใจอีกมากมายสำหรับการดูหนังอยู่กับบ้านที่เราทีมงาน Film Club ขอแนะนำ (*คลิกชื่อเรื่องหรือภาพเพื่อเข้าชม*) :
India Song เป็นภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับผู้แสวงหาความท้าทายทางภาพยนตร์ในระดับสุดขีดขีดสุด ผลงานกำกับของ มาร์เกอร์ริต ดูราส์ นักเขียนนามอุโฆษของฝรั่งเศสที่คนไทยอาจรู้จักมักคุ้นจากงานแปลเรื่อง โรคแห่งความตาย (La Maladie De La Mort) หรือถ้าใครสะสมอายุไว้เยอะหน่อยอาจจะคุ้นหูคุ้นชื่อกับ The Lover หนังอิโรติกสุดวาบวามเรื่องรักร้อนผ่าวของสาวฝรั่งเศสและหนุ่มจีนในแดนอาณานิคมเวียดนาม
ชื่อของดูราส์มักอยู่ในสายงานวรรณกรรมหนังสือเสียมาก ที่ใกล้เคียงกับหนังหน่อยก็เป็นงานดัดแปลง หรืองานที่เธอไปเขียนบทให้กับหนังฝรั่งเศสระดับคลาสสิกของโลกอย่าง Hiroshima Mon Amour (1959) และ Last Year at Marienbad (1961) แต่แท้จริงแล้วนอกจากงานเขียนเธอยังเป็นคนทำหนังคนสำคัญคนหนึ่งเลยทีเดียว และในบรรดาภาพยนตร์ที่เธอกำกับเรื่องที่โด่งดังที่สุดก็คงหนีไม่พ้นบทเพลงอินเดีย India Song เรื่องนี้
แม้หนังจะชื่อว่า India Song แต่เพลงที่เปิดเรื่องไม่ใช่เพลงอินเดีย แต่เป็นเพลงลาว “โอ้ ดอกบัวทอง บานในหนองน้ำไทร” ของสาวขอทานชาวลาวที่เดินเท้าจากสะหวันเขตถึงสถานกงศุลฝรั่งเศสที่กัลกัตตา ช็อตแรกของหนังคือลองเทคอันยาวนานของการดูพระอาทิตย์ตกดินที่ริมแม่น้ำประกอบกับเสียงร่ำไห้ของขอทานสาวชาวลาวที่ร้องไปบ่นไปว่าอยากตาย อยากตายเพราะไม่มีเงินกินข้าว ก่อนที่หนังจะค่อยเลื้อยคลานเข้าสู่สถานกงศุลฝรั่งเศส อันมีตัวละครเป็นหญิงสาวสวยอันเป็นที่หมายปองของหนุ่ม ๆ มากมาย
Ann Arbor Film Festival ได้ชื่อว่าเป็นเทศกาลหนังทดลองที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกาเหนือ โดยเทศกาลนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1963 ในแต่ละปีเทศกาลยาวหกวันจากมิชิแกนนี้เต็มนี้ฉายหนังมากกว่าสี่สิบโปรแกรมทั้งหนังสั้นหนังยาว หนังทดลอง สารคดี หนังเล่าเรื่องไปจนถึงงาน performance โดยในแต่ละปีมีหนังที่ส่งมาร่วมเทศกาลจากทั่วโลกกว่าสามพันเรื่อง
และเนื่องจากtime zone ของเราต่างจากอเมริการาวสิบสองชั่วโมง เพราฉะนั้นเทศกาลนี้จึงเริ่มฉายต้อนราวสองทุ่มและไปจบตอนแปดโมงเช้าตามเวลาบ้านเรา กรุณาตรวจสอบเวลาโดยละเอียดอีกครั้ง
And Then We Danced : หนังรักเกย์ที่มีคณะเต้นในจอร์เจียเป็นฉากหลัง Bacurau : หนังบราซิลสุดเฮี้ยนที่เป็นส่วนผสมของทั้งหนังแอ็กชัน สยองขวัญ ไซไฟดิสโทเปีย และหนังตลก Corpus Christi : หนึ่งในหนังชิงออสการ์หนังต่างประเทศปี 2020 อิงจากเรื่องจริงของนักโทษหนุ่มผู้ปลอมตัวเป็นพระ Once Were Brothers : สารคดีชีวิตวง “เดอะ แบนด์” Sorry We Missed You : หนังเดือดดาลสำรวจปัญหาชนชั้นเรื่องล่าสุดของ เคน โลช
แม้จะไม่ใช่หนังยาว แต่ก็ยังน่าตื่นเต้นอยู่ดีเพราะผู้กำกับ Call Me by Your Name / Suspiria และคุณสอง สยมภู ผู้กำกับภาพมือดีชาวไทยมาร่วมงานกันอีกครั้ง แถมคราวนี้มีท่านริวอิจิตามมาทำดนตรีด้วย ภายใต้การโปรดิวซ์ของ ปีแอร์เปาโล พิกชิโอลี ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของวาเลนติโน ผลที่ได้คือ The Staggering Girl หนังสั้นความยาว 37 นาทีที่โชว์ความงดงามของกูตูร์ดีไซน์ของแบรนด์แฟชั่นสุดดังนี้อย่างอลังการ