กลายเป็นวาระของโลกไปแล้ว เมื่อหนังฟอร์มดีในช่วงปีนี้มีความยาวเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.20 ชั่วโมง แทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น No Time To Die (2.43), Eternals (2.36), F9 (2.23), Dune (2.35) และที่กำลังจะตามมาอย่าง House of Gucci (2.37) กับ Don’t Look Up (2.25) ซึ่งสำหรับคอหนังฮาร์ดคอร์อาจจะไม่ได้ยี่หระกับความยาวของมันนัก แต่ในเมืองไทยมันก็ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการขึ้นค่าตั๋วเพราะมันอาจทำให้มีรอบฉายต่อวันลดลง
เคยตั้งคำถามกันว่า หนังยาว (feature film) กับ หนังสั้น (short film) เราแยกประเภทกันที่ความยาวเท่าไหร่แน่? หากถามหามาตรฐานอาจต้องยกข้อกำหนดของ สถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ (The Academy of Motion Picture Arts and Sciences) หรือผู้จัดงานออสการ์ ได้ระบุไว้ว่าหนังยาวที่สามารถเข้าฉายขายตั๋วได้ และเข้าเกณฑ์หนังยาวของสถาบันอยู่ที่ 40 นาทีเท่านั้นเอง!
ที่น่าสนใจในนัยทางการเมืองที่นำเสนอออกมา คือการดึงความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างไทยและจีน เข้ามาเกี่ยวข้องและมากกว่า 1 EP จะเห็นได้ว่า การ propaganda นิยมจีนนั้นเป็นหนึ่งใน grand narrative ที่ทางรัฐนั้นพยายามกล่อมคนไทยผ่านช่องทางสื่อของตัวเองและบรรดาสื่อ IO ทั้งหลายมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งต้องยอมรับว่าก็ได้ผลเพราะตอนนี้มีคนที่เสพสื่อรัฐ และ IO จำนวนมากที่โปรจีนและไม่เชื่อในประชาธิปไตยแบบโลกตะวันตกไปแล้ว
และจุดมุ่งหมายหลักของมันก็เพื่อสอดแทรกเรื่องราวของรัชกาลปัจจุบันทีละนิดทีละน้อยในแต่ละ EP ก่อนจะเปิดใจถาโถมเพื่อบอกคุณงามความดีของรัชกาลปัจจุบันแบบไม่เคอะเขินในช่วง EP ท้ายๆ หลังจากที่ลากยาวไทม์ไลน์มา 700 กว่าปีใน 68 EP ก็เพื่อให้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของกษัตริย์ในอดีตและจงกราบไหว้รัชกาลปัจจุบันอย่างภักดี
แต่ก่อนที่จะเข้าสู่ประเด็นว่า คนในธุรกิจหนังหรือซีรีส์ควรปรับตัวอย่างไรเพื่อเข้าถึงคนกลุ่ม Gen Y และ Z ตามหัวข้อของบทความนี้ ผู้เขียนคิดว่าเราควรมาทำความรู้จักตัวตนของคนสองกลุ่มนี้ว่ามีลักษณะอย่างไร ทั้งในมิติของสังคม การเมือง และวัฒนธรรม
อย่างไรก็ดี หากไม่นับฐานอายุที่มีความแตกต่างกัน กลุ่มประชากร Gen Y และ Gen Z มีความคล้ายคลึงกันในหลายข้อ โดยเฉพาะหลักการใช้ชีวิตที่มีความยืดหยุ่น ไม่ยึดติดกับกรอบ เหมือนคนรุ่นก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันก็ต่อต้านขนบแบบเก่าที่พวกเขามองว่าเข้ากันไม่ได้กับยุคสมัยที่พวกเขากำลังใช้ชีวิต จนเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรุ่นพวกเขากับคนรุ่นก่อนหน้าอยู่เสมอ นอกจากนี้คนสองกลุ่มนี้ ยังชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ผ่านโลกดิจิตอลที่พวกเขาเติบโตมา โดยมีอินเทอร์เน็ตเป็นทั้งแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ ช่องทางการสื่อสาร และศูนย์รวมของความบันเทิงต่างๆ
กล่าวโดยสรุป โลกในปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่มีวันหวนกลับทั้งเรื่องเทคโนโลยี วัฒนธรรม การใช้ชีวิตและรสนิยม ไม่ว่าเราจะยอมรับได้หรือไม่ก็ตาม แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คน Gen Y และ Gen Z (รวมถึง Gen ถัดมา) กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนของสังคมที่คนรุ่นอื่นๆ ก่อนหน้าต้องอยู่ร่วมไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย ดังนั้น สำหรับผู้ผลิตคอนเทนต์ สิ่งที่พวกเขาตระหนักเป็นสำคัญก็คือ ทางเดียวที่จะทำให้ผลงานได้รับการยอมรับจากคนสองกลุ่มนี้ คือการนำเสนอเรื่องราวที่พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ด้วยมุมมองเดียวกันกับที่พวกเขามองโลก
The crisis consists precisely in the fact that the old is dying and the new cannot be born; in this interregnum a great variety of morbid symptoms appear
ฟินมาก ผมว่ามันใช่ มันคือเป้าหมายของหนังเรื่องนี้นะ เพราะว่าด้วยความที่เรื่องมันแรง และเหมือนมันจะไม่เข้ากัน ผมชอบคำที่เกาหลีเขาโปรโมทว่า The Most Debated Film of the Year มันใช่จริงๆ ซึ่งขนาดที่ไทยยังเถียงกันชิบหาย ที่เกาหลีเขาจะเถียงกันเรื่องความรุนแรง เพราะที่นั่นเขามีปัญหาเรื่องนี้เยอะมาก ในสังคมที่เพศชายเป็นใหญ่มากกว่าเราเสียอีกก็จะถกเถียงกันเยอะ
และนั่นก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ‘แม่ๆ’ ในหนังของเขาแต่งกายด้วยสีแดงเพลิงอันแสนจะฉูดฉาดและดึงดูดสายตา ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ใน High Heels (1991) ผู้ห่างจากลูกสาวไปร่วม 15 ปีและกลับมาเจอกันอีกทีก็พบว่าลูกดันไปมีเอี่ยวกับคดีฆาตกรรม รวมทั้ง All About My Mother (1999) ที่คว้ารางวัลหนังพูดภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมของออสการ์ เล่าเรื่องราวของ มานูเอลา (เซซีเลีย โรธ -กับการแสดงอันแสนจะเอียดหมดจดในทุกฉาก) แม่ผู้หัวใจสลายเมื่อพบว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตก่อนหน้าวันเกิดอายุครบ 17 ปีเพียงวันเดียวเพราะวิ่งไล่ตามขอลายเซ็น โรโฆ (มาริซา ปาเรเดส) นักแสดงละครเวทีชื่อดังที่ชีวิตวุ่นวายอยู่กับคู่รักเลสเบี้ยนติดยาที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ภายหลังลูกชายเสียชีวิต มานูเอลาตัดสินใจเยียวยาตัวเองด้วยการย้ายออกจากที่พักแล้วบินไปต่างเมืองเพื่อตามหา โลลา อดีตสามีผู้เป็นพ่อของลูกชาย แต่กลับพบเรื่องบังเอิญเมื่อได้เจอ โรซา (เพเนโลเป ครูซ) หญิงสาวที่ตั้งท้องกับโลลาทั้งยังได้รับเชื้อ HIV ด้วย ภารกิจตามหาตัวอดีตสามีของเธอจึงต้องชะงักลงเพื่อดูแลโรซา ทั้งยังพาให้เธอได้สานสัมพันธ์กับโรโฆ -ผู้ที่ลึกๆ แล้วมานูเอลาเชื่อว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ลูกชายต้องจากเธอไป
All About My Motherนับเป็นหนังที่มีท่วงทำนองผิดแปลกไปจากบรรดาหนังของอัลโมโดวาร์ในยุค 80s-90s กล่าวคือมันไม่ได้มีฉากเซ็กซ์โฉ่งฉ่าง ไม่ได้มีคำผรุสวาทหนาหู หากแต่เขายังคงลายเส้นไว้ด้วยการเล่าเรื่องของผู้หญิง ของเกย์และเลสเบี้ยนผ่านสีแดงเพลิงอันเร่าร้อนและชวนเจ็บปวด -และ ‘ห้องครัว’ อันเป็นเสมือนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในหนังของอัลโมโดวาร์แทบทุกเรื่อง
ภาพยนตร์ 7 เรื่องของเปโดร อัลโมโดวาร์ (What Have I Done To Deserve This? / Women on the Verge of a Nervous Breakdown / High Heels / The Flower of My Secret / All About My Mother / Talk to Her / Pain and Glory) จะมาฉายในเมืองไทยในโปรแกรม Retrospective ของ “เทศกาลภาพยนตร์สเปน” ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน – 9 ธันวาคม 2021 ณ สมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพ (Alliance Française Bangkok) รายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่
ข้อสังเกตดังกล่าวสะท้อนได้ถึงความตื่นตัวของภาครัฐบาลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศ จนทำให้มีการตั้งกองทุนสนับสนุนที่เปิดโอกาสให้ผู้สร้างภาพยนตร์ได้นำเสนอโครงการสร้างภาพยนตร์เพื่อพิจารณาให้ทุนสนับสนุน เช่นกรณีของกระทรวงวัฒนธรรมของไทย ที่ตั้งกองทุนสนับสนุนโครงการหรือกิจกรรมด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ที่ให้การสนับสนุนกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเขียนบทไปจนถึงการจัดจำหน่ายhttps://www.m-culture.go.th/th/article_view.php?nid=11930 ขณะที่ประเทศมาเลเซีย รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนชื่อ Digital Content Grant ที่เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตภาพยนตร์มาเลเซียขอรับการสนับสนุนทางด้านการเงินสำหรับการผลิตภาพยนตร์ทุกขั้นตอนhttps://mdec.my/digital-economy-initiatives/for-the-industry/entrepreneurs/digital-creative-content/digital-content-grant/fdp ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ ก็มีหน่วยงานชื่อ สภาการพัฒนาภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ (Film Development Council of Philippines) คอยให้การสนับสนุนทางด้านการเงินกับผู้สร้างภาพยนตร์ภายในประเทศhttps://www.fdcp.ph/programs/production เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์ ที่ให้การสนับสนุนผ่านสภาการภาพยนตร์สิงคโปร์ (Singapore Film Commission) สังกัดองค์การพัฒนาและควบคุมสื่อสารสนเทศhttps://www.imda.gov.sg/for-industry/sectors/Media/Film เป็นต้น
มาโลบิกา เบนเนอร์จิ ผู้อำนวยการฝ่ายเนื้อหาของเน็ตฟลิกซ์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับคอนเทนต์จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านทางหนังสือพิมพ์ South China Morning Post ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาไว้ว่า “ด้วยความหลากหลายและรุ่มรวยของประเพณีวัฒนธรรม จึงทำให้ภูมิภาคนี้มีเรื่องราวมากมายที่ยังไม่เคยถูกเล่าหรือนำเสนอบนเวทีโลก ดังนั้นอนาคตจึงดูน่าคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง”https://www.scmp.com/lifestyle/entertainment/article/3138137/netflix-raises-its-bet-films-and-shows-southeast-asia#comments
ในวันนั้น ดาราที่ดังที่สุดใน House of Wax คงไม่พ้น ปารีส ฮิลตัน แต่เธอดังในฐานะเซเลบริตี้ที่มีข่าวฉาว เป็นไฮโซรวยโคตร มีเซ็กซ์เทปหลุดว่อนอินเตอร์เน็ต และมีเรียลิตี้กับน้องสาว The Simple Life (ที่แทบจะเป็นต้นแบบของรายการ ‘ไฮโซบ้านนอก’) เพราะฉะนั้นสตูดิโอเลยต้องโหนเธอไว้ก่อน ซึ่งแน่นอนว่าคาแรกเตอร์คุณหนูผมทองที่มีขาวฉาวนั้น ในขนบของหนังไล่ฆ่าก็ไม่น่าจะรอด
สตูดิโอรู้ว่าคนอยากดูอะไร คงไม่พ้นการตายของ ปารีส ฮิลตัน บนจอใหญ่ ก็เลยผุดแคมเปญ ‘See Paris Die!’ โดยสื่อประชาสัมพันธ์ในตอนนั้นพร้อมโปรยข้อความนี้เต็มไปหมด รวมไปถึงออกคอลเล็คชั่นเสื้อยืด ‘See Paris Die!’ โดยร่วมมือกับแบรนด์ Kitson ซึ่งถือเป็นไอคอนของยุค 00 เพราะเหล่าดาราและเซเลบริตี้มักมาช็อปปิ้งกันที่นี่ จนเป็นแหล่งชุมนุมของเหล่าปาปารัซซี
แต่อะไรก็ไม่สุดเท่าฮิลตันก็มาเล่นแคมเปญนี้กับเขาด้วย เพราะนางก็ ‘แกล้ง’ มาโพสท่าที่หน้าร้านข้างข้อความ ‘See Paris Die!’ ให้ปาปารัซซีถ่ายรูปไปรัวๆ
The Red and the White (1967) หนังต้านสงครามลำดับต่อมาของแยงโซช์ที่ร่วมทุนสร้างโดยโซเวียต-ฮังการี เป้าประสงค์หลักของหนังคือเพื่อเฉลิมฉลองครบ 50 ปีการปฏิวัติเดือนตุลาคมในรัสเซีย (October Revolution -ภายหลังทำให้เกิดสงครามกลางเมืองรัสเซียนานหกปี และเป็นชนวนสำคัญให้เกิดการประกาศตัวเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียในเวลาต่อมา) หากแยงโซช์เลือกจะไม่เล่าถึงการปฏิวัตินั้นโดยตรง แต่เลือกจะพูดถึงช่วงเวลาสองปีให้หลังที่เกิดการปฏิวัติอันนำไปสู่สงครามกลางเมือง โดยหนังเล่าถึงกลุ่มนายทหารชาวฮังการีที่หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบลง ก็ตกเป็นเชลยของรัสเซีย และเข้าร่วมกับพรรคบอลเชวิคหลังเกิดสงครามกลางเมือง ทั้งจากความเชื่อว่าพรรคจะช่วยพาพวกเขากลับบ้าน หรือจากความรู้สึกซาบซึ้งต่ออุดมการณ์ของคอมมิวนิสต์เองก็ตามที
เราเริ่มต้นกันตรงนี้ ด้วยพล็อตเรื่องที่แสนคุ้นเคย หญิงสาวเผชิญหน้ากับ ผีร้าย/ฆาตกรโรคจิต/ปีศาจโดยลำพัง สังคมชายเป็นใหญ่เชื่อว่าเธอหลอนไปเอง ขณะที่เธอต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจนกว่าความจริงจะเปิดเผย พล็อตสุดแสนสามัญของหนังสยองขวัญฮอลลีวู้ดที่มาพร้อมกับตัวละครแบบ Helpless Character ความสามัญซ้ำซากจนน่าตกใจว่านี่หรือคือหนังเรื่องล่าสุดของคนทำหนังสยองขวัญคนสำคัญประจำยุคคนหนึ่งอย่าง James Wan
แต่พอนึกอีกที ก็เป็น James Wan นี่เองที่ปลุกผีหนังบ้านผีสิงและนักไล่ผีในไสตล์หนังสยองขวัญดาษดื่นแห่งยุคทศวรรษ 1970’s ในหนังชุด The Conjuring หรือหนังบ้านผีสิงทะลุมิติจักรวาลแบบหนังสยองขวัญยุค 1980’s อย่างหนังชุด Insidious
แม้โอกาสจะกลายเป็นหนังชุดหลายภาคของ Malignant อาจจะยากกว่าเรื่องอื่นๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือหนังที่พาเรากลับไปร้านเช่าวิดีโอ พาเรากลับไปหาหนังสยองขวัญนานาประเภทตั้งแต่หนังตระกูล Giallo จากอิตาลี ไปจนถึงหนังสยองขวัญสายตระกูล Body Horrror แบบของ David Cronenberg ที่แม้เขาจะเริ่มทำหนังตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1970’s แต่พอมาถึงยุค 1980’- 1990’s เขาก็มีหนังที่เต็มไปด้วย ‘เลือดเนื้อใหม่’ อันลืมไม่ลงตั้งแต่ Videofrome (1983) มาจนถึง The Fly (1986) และ The Naked Lunch (1991)
ดังที่รู้กันดีว่า James Wan เป็นคนทำหนังอนุรักษ์นิยมที่อาจจะก้าวหน้าแต่ก็เป็นอนุรักษ์นิยม แก่นแกนของหนังอย่าง The Conjuring และ Insidious คือการเชื่อมั่นว่าความรักจากครอบครัว การร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะทำให้เราชนะปีศาจที่กัดกินความอ่อนแอ ความโกรธ ความผิดหวัง และความกลัวของมนุษย์เป็นอาหาร ความรักของสองผัวเมียวอร์เรน ที่สอนให้บรรดาพ่อแม่พี่น้องของเหยือปีศาจใช้ความรักเอาชนะความกลัวให้ครอบครัวกลับมาสู้ร่วมกัน เป็นทางออกเสมอในหนังของเขา
มันจึงยากที่เราจะได้เห็นการเฉลิมฉลองเลือดแนื้อชนิดใหม่แบบในหนังของ David Cronenberg ขั้นสูงสุดที่หนังให้ได้คือการทำให้ตัวตนของ Gabriel สงบลง และแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเท่านั้นที่จะนับว่าเป็นครอบครัว ความสัมพันธ์ของครอบครัวชนิดใหม่ไม่ต้องมีสายเลือดเป็นศูนย์กลาง แต่มีความรักเอื้ออาทรต่อกันเป็นศูนย์กลาง จนเราอาจบอกได้ว่าเป็นน้องสาวคนสวยของ Madison ต่างหากที่เป็นผู้ปราบผีร้ายในนามของ Gabriel อีกเพศหนึ่งในร่างเดียว ถึงที่สุด Madison ต้องเลือกเอาเพียงร่างหนึ่ง ซึ่งก็คือร่างแบบ Heterosexual ที่เก็บความเป็นอื่นกลับเข้าไปไว้ภายใน แทนที่จะปลดปล่อยมันออกมา
เอ โอ สก็อตต์ นักวิจารณ์บิ๊กเนมเขียนไว้ใน The New York Times ด้วยฐานะของคนที่ต้องมนตร์ cinema ของ Memoria ว่า “มนตร์เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้มันเรียกร้องระบบฉายแบบในโรงหนังจริงๆ เพราะมันเป็นหนังที่คลุมเครือ เนิบช้า ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยบทสนทนา ซึ่งอาจไม่เหมาะกับการเอนตัวดูบนโซฟาหน้าทีวี ที่สามารถดึงคุณออกจากหนังได้ตลอดเวลา”
มันก็ทำให้เรานึกถึงหนังอีกชุดคือ Iron Pussy (ไมเคิล เชาวนาศัย, อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล) และจริงๆ ก็รวมถึง Forget Me Not (จุฬญาณนนท์ ศิริผล) ที่ดูไปด้วยกันได้ดีเลย
อย่างไรก็ตาม การเปิดตัววันแรกของ Black Widow และทุกเรื่องก็ไม่ได้คึกคักอย่างที่คิด
รายได้หนังประจำวันที่ 1 ต.ค. 64
1. Black Widow – 1.28 ล้านบาท 2. The Suicide Squad – 0.35 ล้านบาท 3. A Quiet Place Part II – 0.16 (4.76) ล้านบาท 4. The Conjuring : The Devil Made Me Do It – 0.15 ล้านบาท 5. Wrath of Man – 0.13 ล้านบาท 6. Malignant – 0.07 ล้านบาท 7. Space Jam : A New Legacy – 0.03 ล้านบาท 8. Reminiscene – 0.01 ล้านบาท 9. Those Who Wish Me Dead – 0.005 (0.27) ล้านบาท 10. Promising Young Woman – 0.003 (0.42) ล้านบาท
ในหมวดหนังคอมิดีสำหรับวัยรุ่น จะมีหนังประเภทหนึ่งที่เล่นกับมุกตลกหยาบโลน เซ็กซ์ การสบถ และความแก่แดดเกินวัย หนังประเภทนี้ที่หลายคนจำได้ดีคงจะเป็นเรื่อง American Pie ซึ่งตัวละครส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น อย่างไรก็ตาม สำหรับหนังเรื่อง Good Boys ที่เป็นหนังประเภทเดียวกันนั้น ดูเหมือนการลดอายุตัวละครลงมาอยู่ในช่วง 12 ปี จะทำให้หนังสื่อสารกับคนในช่วงอายุที่เยอะกว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่ใช่หนังสำหรับเด็กแน่ๆ
กลุ่มเป้าหมายจริงๆ ของ Good Boys น่าจะเป็นวัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่อยากดูเรื่องราวย้อนวัยเปิ่นๆ สมัยตนเองเป็นเด็ก ซึ่ง Good Boys ก็ตอบสนองความต้องการนั้นอย่างเหนือความคาดหมาย ด้วยการตบมุก 18+ เข้ามาแบบไม่ยั้ง ทำให้เราหัวเราะไปกับความไร้เดียงสาของตัวละครที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว (เป็นต้นว่า ตัวละครที่เป็นเด็กอายุ 12 คิดว่าตุ๊กตายางของพ่อเป็นตุ๊กตาฝึกผายปอด หรือคิดว่าเซ็กซ์ทอยเป็นสร้อยคอและอาวุธ)
Good Boys เล่าเรื่องราวของเด็กอายุ 12 สามคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คือ แม็กซ์ ลูคัส และธอร์ แห่งแก๊ง Bean Bag Boys เรื่องราววุ่นๆ เกิดขึ้นเมื่อแม็กซ์ตั้งใจจะไปปาร์ตี้แลกจูบ ด้วยความหวังว่าจะได้จูบบริกซ์ลี สาวในดวงใจ แต่เขาไม่รู้วิธีการจูบเอาเสียเลย เขาจึงขโมยโดรนสุดแพงของพ่อไปสอดแนมเพื่อนบ้านวัยรุ่นข้างบ้านว่าพวกเธอจะจู๋จี๋กับแฟนอย่างไร ผลกลับกลายเป็นว่าโดรนไปตกในบ้านของเพื่อนบ้าน และพวกเธอก็โกรธเอามากๆ แม็กซ์และเพื่อนๆ จึงต้องหาวิธีนำโดรนกลับมา แต่พวกเขาก็ได้ขโมยยาเสพติดที่วัยรุ่นกำลังฮิตมาจากกระเป๋าพวกเธอด้วย เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ การแลกเปลี่ยนระหว่างพวกเขาและสองสาววัยรุ่นที่แค้นเคืองจึงเกิดขึ้น โดยเส้นเรื่องคู่ขนานก็คือเรื่องราวของลูคัส ผู้ชอบทำตามกฎและไม่อยากยุ่งกับยาเสพติด และธอร์ ผู้พยายามปฏิเสธว่าตัวเองไม่อยากเล่นละครเพลง เพราะจะดูไม่แมน
นั่นทำให้โปรแกรม 1 ต.ค. หรือโปรแกรมแรกของการปลดล็อกโรงหนัง จีงเกิดปรากฏการณ์ปะทะกันเต็มๆ ของสองหนังฟอร์มยักษ์จากสองค่ายใหญ่ มาร์เวลและดีซี นั่นคือ Black Widow และ The Suicide Squad
ซึ่งทั้งสองเรื่องต้องมาชนกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากทั้งคู่มีกำหนดลงสตรีมมิ่งภาคบังคับมาแล้ว โดย Black Widow จะลง Disney+ Hotstar ในวันที่ 6 ต.ค. หรือ 5 วันให้หลังจากการเข้าโรง ขณะที่ The Suicide Squad จะมีกำหนดลง HBO Go เร็วๆ นี้ ตามเงื่อนไขจากค่ายวอร์เนอร์ฯ
ก่อนหน้านี้โรงหนังบางจังหวัดที่ไม่ถูกสั่งปิด ทยอยเข้าฉายหนังใหม่ไปบ้างแล้ว ซึ่งทั้งหมดเป็นหนังจากค่ายวอร์เนอร์ฯ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น The Conjuring: The Devil Made Me Do It ซึ่งเข้าฉายพร้อมสตรีมมิ่ง ตามด้วย Reminiscence และ Space Jam: A New Legacy ซึ่งนั่นเป็นไปตามเงื่อนไขจากต้นสังกัดที่กำหนดวันฉายทางสตรีมมิ่งทั่วโลกไว้แล้วเรียบร้อย โดยยึดวันเข้าฉายในอเมริกาเป็นหมุดหมาย
อย่างไรก็ดี โปรแกรมเปิดโรงหลังล็อกดาวน์ยังอัดแน่นอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Malignant หนังสยองกระแสแรงของ เจมส์ วาน, A Quiet Place Part II ที่เข้าฉายไปแล้วครั้งหนึ่งในปทุมธานี สมุทรปราการ กับบางจังหวัดที่ไม่ถูกสั่งปิด เมื่อเดือน มิ.ย. และ Wrath of Man หนังแอ็กชั่นจาก กาย ริทชี นอกจากนี้ยังมีโรงหนังทางเลือกที่เปิดให้บริการครั้งแรก 2 ต.ค. อย่าง Doc Club & Pub
โปรแกรมแรกของ Doc Club & Pub. ประกอบด้วย Pavarotti สารคดีดนตรีจากผู้กำกับออสการ์ รอน ฮาเวิร์ด, A Summer’s Tale หนังคลาสสิคจาก เอริก โรห์แมร์, สารคดีการเมืองฟิลิปปินส์สุดเดือด Aswang และโปรแกรมพิเศษ ‘กีรติ ศักดินา พญาอนินทรีย์แดง’ ซึ่งเป็นหนังควบ ‘อนินทรีย์แดง’ ของ รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค กับ Forget Me Not ของ จุฬญาณนนท์ ศิริผล
ส่วนโปรแกรมแรกที่ House Samyan เริ่มจากการนำหนังที่เข้าฉายช่วงท้ายโปรแกรมก่อนล็อกดาวน์กลับมาฉายใหม่ คือ The Father, Minari, Promising Young Woman, Judas and the Black Messiah และ True Mothers
ในส่วนของโปรแกรมหนังใหญ่หนังใหม่อย่าง Icons และ World Cinema ก็ระดมหนังจากคานส์และเวนิซมาอย่างน่าตื่นเต้น ตั้งแต่ Memoria ของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือหนังปาล์มทองอย่าง Titane ของ Julia Ducournau หรือหนังใหม่สองเรื่องของ Rysuke Hamaguchi (ที่ Drive My Car หนึ่งในสองเรื่องที่ว่ากำลังจะเข้าฉายในบ้านเราเร็วๆ นี้) และนอกจากนี้ในเทศกาลยังมีโปรแกรมทอล์กพิเศษที่จะเอาคนทำหนังสองชาติที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน แต่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้พบกันนั่นคือตัวของ Hamaguchi กับ Bon Joon-Ho
นอกจากนี้ในเทศกาลยังมีโปรแกรมพิเศษสองโปรแกรมที่โฟกัสไปยังผู้กำกับหญิงชาวเอเชีย ในโปรแกรมพิเศษ Wonder Women’s Movie : the Best Asian Film by Female Directors ซึ่งก็ขนกันมาทั้งหนังที่เคยเข้าฉายในบ้านเราแล้วอย่าง A Simple Life (Ann Hui), Marlina the Murderer in Four Acts (Mouly Surya) ไปจนถึงหนังคลาสสิกสุดๆ อย่าง Blackboards (Samira Makmalbaf) หรือ Salam Bombay (Mira nair) ส่วนอีกโปรแกรมโฟกัสไปยังหนังจีนร่วมสมัยในโปรแกรม New Voice, Chinese Films ที่มีทั้ง Black Coal, Thin Ice (Diao Yinan) Dwelling in the Fuchun Mountain (Gu Xiaogang) หรือ Kaili Blues (Bi Gan)
Forbidden เป็นซีรีส์ยาวแปดตอนที่จะออกฉายใน HBO Asia (จะมา HBO GO ด้วยหรือไม่โปรดติดตาม) ผลงานร่วมกำกับของ อนุชา บุญยวรรธนะ แห่งมะลิลาและอนธการ และ Josh Kim คนทำหนังเรื่อง พี่ชาย มาย My Hero โดยเทศกาลจะฉายสามตอนจากแปดตอนขึ้นจอใหญ่
11. Hellbound (Yeon Sang-ho, เกาหลีใต้) : โปรแกรม On Screen
ซีรีส์ Netflix ยาวหกตอนล่าสุดของ Yeon Sang-ho ผู้กำกับ Train to Busan ที่ได้ยูอาอินจาก Burning มารับบทนำ ว่าด้วยเรื่องของคนที่ได้รับข้อความความว่า ‘เจ้าตายแล้ว และจักต้องลงนรก’ ซึ่งก็จะถูกพาตัวลงนรกโดยยมทูตตามเวลาที่นัดหมาย และนัดหมายครั้งนี้เกิดในโซล ต่อหน้าต่อตาคนจำนวนมาก จินซู ผู้นำลัทธิใหม่ New Truth Society ที่กำลังมาแรง เทศนาว่านี่คือการประหารชีวิตของพระเจ้าในโลกแห่งความเป็นจริง ในทางกลับกัน ก็มีบางคนพยายามค้นหาความจริงของคดีนี้ด้วยการต่อกรกับ New Truth Society Hellbound อิงจากเว็บตูนยอดนิยมของ Choi Kyuseok และเทศกาลจะฉายสามจากหกตอนของซีรีส์นี้
12. My Name (Kim Jin-min, เกาหลีใต้) : โปรแกรม On Screen
หนึ่งในผู้ชนะเอ็มมี่ปีล่าสุดที่แทบจะไร้ข้อกังขา คือรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมประเภท Limited Series หรือหนังที่ฉายทางทีวี ของ เคต วินสเล็ต จาก Mare of Easttown กับการแสดงอันละเมียด ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมมาพร้อมการทำการบ้านที่แสนจะทรหด
วินสเล็ตอุทิศชีวิตช่วงหนึ่งให้กับการรับบท แมร์ ใน Mare of Easttown ถึงขนาดอาสาอำนวยการสร้างมันเป็นเรื่องแรกในชีวิตด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงออกว่าเธอต้องการบทนี้จริงและขอมีส่วนร่วมทำให้มันออกมาอย่างที่เธออยากให้เป็น
Mare of Easttown เป็นงานสร้างสรรค์และเขียนบทของ แบรด อิงเกลสบี (คนเขียนบท The Way Back) โดย แมร์ เป็นตำรวจหญิงแห่งเมืองอีสต์ทาวน์ที่ชีวิตมีแผลเป็นรอยใหญ่จากการสูญเสียลูกชายวัยรุ่นของเธอด้วยการฆ่าตัวตาย พร้อมทิ้งหลานชายตัวน้อยเอาไว้ให้ดูต่างหน้า ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอไม่อาจวิ่งหนีอดีตอันเจ็บปวดครั้งนั้นได้เลย สิ่งเดียวที่พอจะทำให้เธอหลุดพ้นได้เพียงชั่วครู่คือการตามสืบคดีฆาตกรรมปริศนาคุณแม่วัยรุ่นคนหนึ่ง แต่กลายเป็นว่ายิ่งเธอสืบสาวเหตุการณ์นี้ ยิ่งทำให้เธอได้พบกับผู้คนที่อยู่ในภาวะไม่ต่างกันเต็มเมืองอีสต์ทาวน์ไปหมด
อย่างที่บอกว่า Mare of Easttown เป็นโปรเจกต์ที่วินสเล็ตทุ่มเทเพื่อบทอย่างมาก จนผู้กำกับ เคร็ก โซเบล กล่าวว่าเธอแทบจะเป็นศูนย์กลางการทำงานเลยทีเดียว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาในฐานะผู้กำกับ เขากลับมองว่ามันทำให้การทำงานง่ายขึ้นด้วยซ้ำ “การทำงานของเคตไม่ได้เป็นการแสดงแบบเมธอด (Method Acting หรือการที่นักแสดงสวมบทบาทนั้นๆ ตลอดเวลา) แต่เธอรู้ดีว่าในแต่ละช่วงเวลา แมร์จะคิดและรู้สึกยังไง”
วินสเล็ตใช้เวลาทำการบ้านกับบทแมร์เป็นแรมเดือน เธออยู่กับมันตั้งแต่การออกแบบรูปลักษณ์ตัวละครทั้งเสื้อผ้าหน้าผมเลยทีเดียว โดยเธอเลือกคู่หูอย่าง อิวานา ไพรโมแรก สไตลิสต์ที่ร่วมงานกับวินสเล็ตมานับสิบปี ในหนังอย่าง The Reader, Labor Day, Divergent, A Little Chaos, Steve Jobs, The Dressmaker, Collateral Beauty, Blackbird และ Ammonite
คืนหนึ่งในห้องนั่งเล่น ฉันนอนเอนบนโซฟากับโฮสต์แม่ ส่วนโฮสต์พ่อนั่งเก้าอี้โยกที่อยู่ข้างๆ เราปิดไฟทุกดวง มีเพียงแสงวูบวาบจากหน้าจอทีวี มันคือหนังเรื่อง Cutting it Short (1980, Jiří Menzel)หนึ่งในหนังเชคที่ฉันชอบที่สุดตลอดกาล เล่าเรื่องพฤติกรรมเพี้ยนๆ ของภรรยาสาวผมบลอนด์ทรงเสน่ห์ของผู้จัดการโรงหมักเบียร์ทำมาจากชีวิตวัยเด็กในเขตชานเมืองของ Bohumil Hrabal นักประพันธ์ชาวเชคที่เมนเซลและเพื่อนร่วมรุ่นมักจะนำนิยายและเรื่องสั้นมาทำเป็นหนัง นอกจากนั้นยังได้ดู The Party and the Guests (1968, Jan Němec) หนังขาวดำตลกเสียดสีเกี่ยวกับกลุ่มชนชั้นกลางที่ไปปิคนิคกลางป่าเขา แล้วเจอตำรวจลับที่สั่งให้พวกเขาทำตามคำสั่งไปเรื่อยๆ และ Daisies (1966, Věra Chytilová) หนังวิพากษ์ระบอบคอมมิวนิสม์ในคราบหนังเฟมินิสต์งานสร้างแสบทรวง เล่าเรื่องผ่านสองตัวละครหญิงที่ใช้ชีวิตแบบปราศจากกฎเกณฑ์และสร้างแต่เรื่องวายป่วงไม่เว้นแต่ละวัน
ฉันไม่รู้มาก่อนว่าคนทำหนังเหล่านี้เป็นตัวละครสำคัญของ Czechoslovak New Wave ที่มีบทบาทสำคัญในการประกอบสร้างตัวตนใหม่ให้วงการศิลปะวัฒนธรรมของเชคโกสโลวาเกียในช่วงปี 1963-1970 และช่วงเวลาเพียง 7 ปีนี้ก็ได้เปลี่ยนท่าทีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐของศิลปินชาวเชคยุคหลังไปตลอดกาล
1
ภาพยนตร์เชคโกสโลวักเกี่ยวรัดกับอัตลักษณ์ของชาติอย่างแยกไม่ขาด และการเกิดขึ้นของ Czechoslovak New Wave ก็เป็นการทำให้อัตลักษณ์เหล่านั้นเป็นที่ปรากฏชัด เชคโกสโลวาเกียมีชะตาพันผูกกับการจำต้องเป็นผู้สยบยอมและอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐอื่นมาอย่างยาวนาน อาจมีช่วงเวลาแห่งอิสรภาพบ้าง แต่มันก็สั้นเกินกว่าประชาชนจะได้รู้ว่าสิทธิเสรีภาพมีรสชาติเป็นอย่างไร
หนังเชคโกสโลวักเริ่มมีที่ยืนในอุตสาหกรรมหนังโลกในแง่หนึ่งก็เพราะการเติบโตของ Studio Barrandov และเป็นที่รู้จักในอเมริกาจากการเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมของ Loves of a Blonde (1965, Miloš Forman) เกี่ยวกับโรงงานในชนบทที่มีแต่ผู้หญิงวัยรุ่น เพราะพวกผู้ชายโดนส่งไปรบ และ The Fireman’s Ball (1967, Miloš Forman)เรื่องราวสุดกระอักกระอ่วนป่วงแตกในงานเลี้ยงวันเกิดสุดอลังการที่กลุ่มนักดับเพลิงจัดให้อดีตเจ้านายวัยเกษียณ ทั้งสองเป็นหนังเรื่องสำคัญของฟอร์มาน ผู้เป็นที่รู้จักจาก One Flew Over the Cuckoo’s Nest (1975, Miloš Forman) ที่เขาสร้างหลังจากย้ายไปอยู่อเมริกาถาวรหลังปี 1968 และถูกนับว่าเป็นผู้กำกับชาวอเมริกันนับแต่นั้น
Jiří Menzel, Jan Němec, Věra Chytilová, Miloš Forman, Ivan Passer, Evald Schorm, Jaromil Jireš, Juraj Herz คนทำหนังแถวหน้าในยุคนี้ต่างเป็นเพื่อนพ้องที่ฝึกลับคมมีดมาด้วยกันจาก FAMU (Film and Television School of the Academy of the Performing Arts) โรงเรียนหนังและศิลปะในกรุงปรากที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1947 โดยมี Ján Kadár ผู้กำกับ The Shop on Main Street (1965, Ján Kadár) เป็นหนึ่งในอาจารย์ ก่อนจะเข้าสู่อุตสาหกรรมหนังผ่าน Studio Barrandov ในช่วงต้นของทศวรรษ 1960
อย่างไรก็ดี พวกเขายังคงไว้ซึ่งสิ่งที่เป็นหัวใจของเรื่องเล่าเหล่านั้น นั่นคือ ‘ปัจเจกชนคนธรรมดา’ ที่ไม่เคยอยู่ในสมการทางการเมืองของชาติมาก่อน อย่างชายหนุ่มสองคนที่กระโดดหนีลงมาจากรถไฟขณะโดนส่งตัวไปยังค่ายกักกันใน Diamonds of the Night (1964, Jan Němec), คนแล่หนังสัตว์ในเขตชานเมือง พนักงานขายประกัน พนักงานเสิร์ฟในผับ และชายขอบของชายขอบอย่างสาวยิปซียากจนใน Pearls of the Deep (1965, Jiří Menzel, Jan Němec, Evald Schorm, Věra Chytilová และ Jaromil Jireš, รวมหนังสั้น), เหล่านักดับเพลิงใน The Fireman’s Ball และแม่บ้านที่อยู่บ้านทำกับข้าวดูแลสามีกับนักยิมนาสติกสาวในSomething Different (1963, Věra Chytilová)
นี่คือหนังเรื่องแรกของยาน เนียเม็ซ ผู้กำกับ The Party and the Guests (หนึ่งในหนังเชคที่คนไทยมักจะนึกถึงมากที่สุด และถูกนำมาจัดฉายในไทยอยู่บ่อยครั้ง เพื่อแสดงสภาวะที่ชนชั้นกลางกำลังถูกชนชั้นปกครองเล่นตลกด้วย) Diamonds of the Night ดัดแปลงจากเรื่องสั้นของ Arnošt Lustig นักเขียนชาวยิว เป็นเรื่องของคนธรรมดาสองคนที่ถูกจับไปรวมกลุ่มกับคนธรรมดาอีกนับล้าน เพื่อจะส่งไปยังค่ายกักกันนาซีหลายต่อหลายแห่งในยุโรปกลาง เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อชายสองคนกระโดดลงมาจากรถไฟแล้ววิ่งกระเสือกกระสนหนีกระสุนปืนเข้าป่า กว่า 3 ใน 4 ของเรื่องคือการติดตามพวกเขาเข้าไปในป่ารก ในความทรงจำ ในความฝัน และในความไม่ฝัน ผ่านงานภาพที่สำรวจภายนอกของตัวละครอย่างเฉียบคมและการตัดเอาคัทสั้นๆ มาต่อกัน เลือนเส้นแบ่งว่าอะไรเกิดขึ้นจริงและอะไรเป็นสิ่งที่พวกเขาอยากให้เกิด
หนังเชคเรื่องแรกและเรื่องเดียวของอีวาน พาสเซอร์ ที่ในเวลาต่อมาย้ายออกจากประเทศตามฟอร์มานไปยังอเมริกา เขาคือหนึ่งในคนเขียนบทยุคแรกของฟอร์มานที่พา Loves of a Blonde และ The Fireman’s Ball ข้ามทวีปไปเข้าชิงออสการ์ ในสองเรื่องที่ว่าเขาทำงานร่วมกับ Jaroslav Papoušek และ Václav Sasek โดยสองคนนี้ก็ร่วมเขียนบท Intimate Lighting กับพาสเซอร์ด้วย (หนังของพาโพวเช็คที่เรารักคนเชครู้จักดีก็เช่นหนังไตรภาคครอบครัววายป่วงที่ผสมความตลกตีหัวกับตลกร้าย Ecce Homo Homolka (1970), Hogo Fogo Homolka (1971) และ Homolka a Tobolka (1972) ส่วนซาเซ็คนั้นยังทำงานเขียนบทอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน)
ตัวอย่างเช่น Diamonds of the Night ดัดแปลงจากเรื่องสั้นของอาร์นอชท์ ลุสติก, Pearls of the Deep, The Junk Shop (1965, Juraj Herz, หนังสั้น), Closely Watched Trains (1966, Jiří Menzel) และ Larks on a String (1969, Jiří Menzel) ดัดแปลงจากงานของโบฮุมิล ฮราบาล, The Joke (1969, Jaromil Jireš) ดัดแปลงจากนิยายของมิลาน คุนเดอรา และ Valerie and Her Week of Wonders (1970, Jaromil Jireš) ที่ดัดแปลงจากนิยายของวีเทียชสลาฟ เนซวาล
อ้างอิง
Bates, R. (1977) “The Ideological Foundations of the Czech New Wave.” Journal of the University Film Association 29, no. 3: 37-42. Accessed August 20, 2021. http://www.jstor.org/stable/20687379.
Brodsky, J. (2001) The Czech Experience of Identity. In: Drulák, P. (ed.) National and European Identities in EU Enlargement. Prague:Institute of International Relations, pp. 21-38
Kopeček, M. (2002) Politics, Antipolitics, and Czechs in Central Europe: The Idea of “Visegrád Cooperation” and Its Reflection in Czech Politics in the 1990s. In: Questionable Returns, ed. A. Bove, Vienna: IWM Junior Visiting Fellows Conferences, Vol. 12