เมื่อเป็นดังนี้ เทศกาลภาพยนตร์ Light House Film Festival ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปีที่นิวเจอร์ซีย์ เลยเกิดความคิดว่า ขณะที่หลายๆ เทศกาลต่างหันเข้าหาการจัดฉายแบบเสมือนจริง (Virtual screening) ทำไมเทศกาลของเราจึงไม่ทำอะไรที่ต่างออกไปล่ะ
“นี่คือหนังที่ทำยากที่สุดในชีวิตคนทำหนังของผม” หว่องกาไวเขียนถึง In the Mood For Love เรื่องนี้ไว้แบบนั้นในเอกสารเบื้องหลังหนังที่แจกในเทศกาลหนังเมืองคานส์ วันเปิดฉายครั้งแรกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว …และนี่คือคำบอกเล่าของเขา ถึงความเป็นมาของหนังในดวงใจใครหลายคนเรื่องนี้
(*เรียบเรียงใหม่จาก “ศิลปะของโลภและละ ใน In the Mood For Love ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 3 ปีพ.ศ. 2544)
นั่นแหละคือเหตุผลที่มันกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของ In the Mood For Love …เพลงนี้คลาสสิกมาก เป็นวอล์ตซ เห็นภาพคนสองคนเต้นรำด้วยกันรอบแล้วรอบเล่า ซึ่งก็กลายมาเป็นโมทิฟ (motif) ของหนังเรื่องนี้นั่นเอง”
ตอนที่ทำ Days of Being Wild เมื่อสิบปีก่อนนั้น ผมคิดว่าการสร้างอะไรสักอย่างให้เหมือนจริงคงเป็นสิ่งที่น่าเบื่อมาก เราจึงพยายามคิดค้นของใหม่ๆ ไม่เว้นกระทั่งการจัดแสง แต่สำหรับ In the Mood For Love ผมกลับนึกอยากทำหนังให้เหมือนฮ่องกงปี 1962 ให้มากที่สุด เพราะผมอยากทำหนังว่าด้วยวัยเด็กของผมเอง ว่าด้วยผู้คนที่ผมรู้จักและชื่นชอบ แล้วก็ว่าด้วยเพื่อนบ้านเรือนเคียงซึ่งทุกวันนี้เราไม่มีกันแล้ว ผมอยากบันทึกสิ่งที่หายไปแล้วจากชีวิตของเราเหล่านี้นี่แหละ”
หมายเหตุ : นิตยสาร Empire จัดให้ In the Mood For Love ได้อันดับ 42 ในลิสต์ “100 หนังโลกที่ดีที่สุด”, Entertainment Weekly ให้มันอยู่ในอันดับ 95 ของ “100 หนังที่ดีที่สุดช่วงปี 1983 – 2008”, Time Out New York ให้มันติดหนึ่งใน “5 หนังดีที่สุดแห่งทศวรรษ”, นักวิจารณ์ Sight & Sound ทำโพลหนังยอดเยี่ยมตลอดกาลและมันติดอันดับ 24, โซเฟีย คอปโปลา บอกว่านี่คือแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอตอนทำ Lost in Translation, เทศกาลหนังปูซานจัดมันไว้ในอันดับ 3 ของ “100 สุดยอดหนังเอเชีย” และบีบีซีให้มันอยู่ในอันดับ 2 ของ “100 หนังดีที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21”
“ตอนนี้เหล่าสวิงเกอร์หายไปไหนหมด” มายเออร์สเกิดคำถามนี้ขึ้นขณะกำลังขับรถพร้อมฟังเพลง The Look of Love ของ เบิร์ท บาคารัค นักดนตรีและคนทำสกอร์หมุดหมายหนึ่งแห่งยุค Swinging London ด้วยหนังอย่าง Alfie (1966) กับ Butch Cassidy and the Sundance Kid (1970) จากไม่กี่นาทีของเพลงแสนรื่นหูนั้น มายเออร์สดำริชุบชีวิตและวิญญาณของ Swinging London ให้กลับมาอีกครั้ง นั่นจึงเป็นเหตุให้พล็อตของภาคแรก Austin Powers: International Man of Mystery จึงว่าด้วยสายลับและวายร้ายจากอังกฤษยุค 60 ที่ฟรีซตัวเองไว้สามสิบปี เพื่อนำจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยกลับมาอีกครั้งในปี 1997 ที่หนังฉาย
ใจกลางของ The Last Dance ประกอบด้วยความทะเยอทะยานอันไร้ขีดจำกัดของนักกีฬา ความดำมืด ความบ้าระห่ำมุทะลุและความอารีอารอบ ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากว่าหนังไม่เข้าใจและไม่รู้จักซับเจ็กต์ละเอียดมากพอ
หนังไม่มีท่าทีประนีประนอมกับภาพลักษณ์ที่นักกีฬาแต่ละคนสั่งสมมานัก โดยเฉพาะกับจอร์แดนซึ่งเป็นเสมือนใจกลางบทสัมภาษณ์ ก่อนนี้โลกรู้จักเขาในนามนักกีฬาน้ำดีฝีมือเก่งกาจ และ The Last Dance อาจเป็นการฉีกภาพลักษณ์นั้น
หนังไม่มีท่าทีประนีประนอมกับภาพลักษณ์ที่นักกีฬาแต่ละคนสั่งสมมานัก โดยเฉพาะกับจอร์แดนซึ่งเป็นเสมือนใจกลางบทสัมภาษณ์ ก่อนนี้โลกรู้จักเขาในนามนักกีฬาน้ำดีฝีมือเก่งกาจ และ The Last Dance อาจเป็นการฉีกภาพลักษณ์นั้นเป็นครั้งแรกๆ ด้วยการเผยให้เห็นด้านมืดของความทะเยอทะยาน ความอยากเอาชนะจนข้ามขีดจำกัด เรื่อยไปจนถึงการยั่วเย้า กลั่นแกล้งคนในทีม ทั้งการล้อเลียนส่วนสูงของผู้จัดการที่เหม็นหน้ากันมาอย่างยาวนาน, การฉีกหน้าเพื่อนนักกีฬาจากยุโรปเพียงเพื่อจะทำให้เห็นว่าตนมีดีกว่า ตลอดจนความแค้นเคืองอันเกิดจากการคิดเล็กคิดน้อย (แน่นอนว่าหากมองผ่านสายตาคนนอก) จนไม่แปลกใจนักที่จอร์แดนจะเกริ่นไว้ตั้งแต่ก่อนสารคดีออกฉายว่า “หากคุณดูสารคดีเรื่องนี้จบแล้ว คุณอาจจะเกลียดผมไปเลยก็ได้”
นอกจากนี้ ระบบการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศจีนยังมีความซับซ้อน เนื่องจากตามกฎหมายของจีน รัฐบาลกำหนดโควตาสำหรับภาพยนตร์ต่างประเทศที่จะฉายในจีนเพียงแค่ 36 เรื่องเท่านั้น และมีเพียงแค่สองบริษัทที่มีสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ต่างประเทศได้ ประกอบด้วย บริษัท China Film Group และ บริษัท Huaxia Distribution ซึ่งทั้งสองบริษัทเป็นของรัฐบาล ดังนั้น ถ้าจะทำให้หนังได้มีโอกาสฉายแน่นอนโดยไม่ต้องผ่านระบบโควตา มีอยู่ทางเดียวก็คือ ทำให้หนังได้มีสัญชาติจีนเสียด้วยการหาพาร์ตเนอร์จีนมาร่วมลงทุนซะ
ด้วยเหตุนี้บริษัทสตูดิโอหลายแห่งจึงจับมือกับบริษัทผลิตภาพยนตร์รายใหญ่ของจีน ร่วมกันผลิตภาพยนตร์ขึ้นมา เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Transformer: Age of Extinction ซึ่งเป็นการร่วมทุนสร้างระหว่างบริษัท พาราเมาท์ พิคเจอร์ส กับ บริษัท Jiaflix Enterprise และ China Movie Channel จากประเทศจีน ภาพยนตร์เรื่อง Warcraft (2016) ซึ่งร่วมทุนระหว่าง บริษัทยูนิเวอร์แซล กับบริษัท Huayi แห่งประเทศจีน (หนังล้มเหลวในอเมริกา แต่ทำรายได้มากมายในจีน) และล่าสุด Top Gun : Maverick ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทพาราเมาท์ พิคเจอร์สกับ บริษัท Tencent ประเทศจีน
เซ็นเซอร์ เงื่อนไขที่ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่าบริษัทอเมริกันสามารถหาทางเลี่ยงกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนของระบบโควตาไปได้ แต่พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกเซ็นเซอร์ไปได้ เพราะตามกฎของรัฐบาลจีน ภาพยนตร์ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์จีนหรือภาพยนตร์ต่างประเทศ ต้องผ่านการตรวจพิจารณาโดยสำนักบริหารสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ ภาพยนตร์และโทรทัศน์ หรือ The State Administration of Radio, Film and Television (SARFT) เสียก่อนถึงจะมีโอกาสได้ฉาย ดังนั้นการที่ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Top Gun: Maverick จะต้องลบธงชาติไต้หวัน หรือ ญี่ปุ่น ก็คงไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากทำให้หนังผ่านเซ็นเซอร์ให้ได้ อนึ่ง นอกจาก Top Gun: Maverick ที่โดนบีบให้ต้องแก้ไขรายละเอียดก่อนยืนให้เซ็นเซอร์พิจารณาแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีหนังฮอลลีวูดฟอร์มใหญ่ที่ถูกสั่งให้แก่ไขบางส่วนของหนังหลายเรื่องเหมือนกัน อาทิ Iron Man 3 ที่ผู้สร้างต้องเพิ่มฉากเกี่ยวกับประเทศจีนที่ยาวประมาณ 4 นาที หรือหนังเรื่อง Cloud Atlas ที่ถูกสั่งตัดฉากร่วมรักระหว่างตัวละครเพศเดียวกัน เป็นต้น แม้ว่าการเซ็นเซอร์จะขัดกับหลักการประชาธิปไตยตามมุมแบบอเมริกัน แต่สตูดิโอหลายแห่งไม่ได้มองเป็นเรื่องสำคัญเท่ากับรายได้ที่จะเกิดขึ้น
14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 คือวันที่เกม Alan Wake วางจำหน่ายเป็นครั้งแรก ในวาระครบรอบ 10 ปี ทางแชนเนลยูทูบ Ars Techinca ได้ลงคลิปชื่อ “How Alan Wake Was Rebuilt 3 Years Into Development” เล่าเบื้องหลังเกี่ยวกับการสร้างเกมทั้งเก่าและใหม่
มีการสัมภาษณ์ Sam Lake มือเขียนบทของค่ายเกม Remedy (เป็นนักเขียนบทเกมที่ผมชื่นชอบมากๆ คนหนึ่ง ผลงานสร้างชื่อของเขาคือ Max Payne) เขาเล่าเบื้องหลังการสร้างเกม Alan Wake ซึ่งเป็นเกมที่ผมชอบมากๆ เกมหนึ่ง เนื่องจากมันมีวิธีเล่าเรื่องที่น่าจดจำ เกมเพลย์ที่สนุก มีบรรยากาศที่คล้ายซีรีส์ Twin Peaks ของ David Lynch และเรื่องสยองขวัญสไตล์ Stephen King
เกมจะให้เราสวมบทบาทเป็น Alan Wake นักเขียนนิยายสยองขวัญระดับเบสต์เซลเลอร์ที่เกิดภาวะสมองตัน เขียนหนังสือไม่ได้มาสองปีแล้ว เขาจึงพาภรรยาไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศที่เมืองเล็กๆ ชื่อ Bright Fall แต่ระหว่างทางเขาก็ฝันร้ายว่าเขาตกอยู่ในมิติมืดอันน่ากลัว มีบางอย่างในความมืดพยายามจะทำร้ายเขา สิ่งเดียวที่ช่วยให้เขาเอาตัวรอดได้มีแต่แสงไฟจากไฟฉายและหลอดไฟเท่านั้น และเมื่อเขาตื่นขึ้นก็พบว่าฝันร้ายนั้นไม่ได้เป็นเพียงฝันร้าย ภรรยาของเขาหายตัวไปและมีพลังงานลึกลับบางอย่างที่จะชิงแสงสว่างไปจากเมืองจริงๆ ที่น่าตกใจคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายอย่างนั้นคล้ายกับนิยายที่เขาเขียน เขาจึงต้องต่อสู้กับอำนาจมืดลึกลับที่ทำให้เรื่องแต่งของเขากลายเป็นจริง
ความโดดเด่นของ Alan Wake คือการเล่าเรื่องที่หยิบยืมสไตล์ของซีรีส์โทรทัศน์ในอเมริกามาใช้ในการเล่าเรื่องโดยแบ่งเป็น Episode โดยในแต่ละ Episode นั้นก็จะมี Previously on Alan Wake, Intro Title, Ending Title, Next on Alan Wake รวมถึงโครงสร้างการเล่าเรื่องที่มี Plot ของ Episode มีต้น-กลาง-จบของตอน และท้ายตอนก็จะจบแบบ Cliffhanger เพื่อให้คนดูลุ้นติดตามต่อใน Episode ต่อไป
และไม่ได้หยิบมาแค่ฟอร์มของทีวีซีรีส์ แต่ทั้งบรรยากาศและตัวละครต่างๆ ก็คล้ายกับกับซีรีส์อเมริกา ทั้งบรรยากาศเมืองเล็กๆ แบบใน Twin Peaks หรือมีตัวละครขาประจำของซีรีส์ที่เน้น setting ในเมืองอย่าง นายอำเภอ สาวเสิร์ฟร้านกาแฟ เจ้าของโรงแรม เจ้าของร้านชำ ทำให้เราได้มีโอกาสสำรวจตัวเมืองในเกม ค่อยๆ รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองตอนกลางวัน ก่อนจะเข้าสู้เพื่อเอาตัวรอดในช่วงกลางคืน ไม่มีการสร้างบรรยากาศความน่ากลัวแบบตุ้งแช่หรือ Jump Scare ในเกม แต่จะให้ผู้เล่นตกอยู่ในสภาวะกดดันและดิ้นรนเอาตัวรอดจากความมืดที่ตามล่า ไฟฉายที่ฉายนานๆ ก่อนจะอ่อนกำลังลงจนทำอะไรศัตรูไม่ได้ หรือเมื่อกระสุนหมดก็ต้องวิ่งหาแสงไฟเพื่อเอาชีวิตรอด Alan Wake จึงเป็นประสบการณ์การเล่นและเล่าเรื่องที่ค่อนข้างสดใหม่และไม่มีใครเหมือน โดยทาง Remedy ได้ให้คำจำกัดความเกมของเขาไว้ว่า “the mind of a psychological thriller and the body of a cinematic action game put together.”
จากการที่ดูคลิปสัมภาษณ์ Sam Lake ก็ได้รู้ว่าการเขียนบทให้วิดีโอเกมส์นั้นต้องคิด Story Telling ควบคู่ไปพร้อมๆ กับ Mechanic Design ของเกม เขาใช้เวลาลองผิดลองถูกในการวางคอนเสปต์ของเรื่องมามากมายหลายทาง จนไปเจอคีย์เวิร์ด “แสงสว่างและความมืด” ที่เป็นแก่นสำคัญของ Story และ Gameplay เมื่อพัฒนาต่อไปอีกถึงจะหาเจอว่า Genre หลักของเกมนี้คือเกม Action Horror เพราะเป็น Genre ที่เหมาะสมสุดสำหรับผู้เล่นที่จะได้รับประสบการณ์การเล่าเรื่องตามคอนเซปต์หลักที่วางเอาไว้
สิ่งหนึ่งที่ชอบมากๆ ใน Alan Wake คือความเป็นซีรีส์ซ้อนซีรีส์อยู่ในเกม กล่าวคือจะมีบางจังหวะที่เราไปเจอทีวี ซึ่งเราสามารถเปิดทีวีในเกมเพื่อดูซีรีส์ที่ชื่อว่า Night Spring ซีรีส์สั้นๆ จบในตอน ตอนละ 2-3 นาทีที่ใช้การถ่ายทำแบบภาพยนตร์คนแสดงจริง เล่าเรื่องสั้นไซไฟที่มีความลี้ลับพิศวง ถ้าได้ดูก็จะรู้ทันทีว่า มันคือซีรีส์ที่ล้อ Twilight Zone อันโด่งดัง โดยตัว Alan Wake เป็นคนเขียนบท Night Spring เอง และเอาจริงๆ มันก็เป็นซีรีส์ทุนต่ำดูเหมือนมือสมัครเล่นทำ แม้แต่ตัว Alan Wake เองก็ยังอายกับงานบทที่เขาเขียน ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นกิมมิคที่น่าสนใจ และทำให้ผู้เล่นลองเปิดทีวี (ในเกม) ทุกครั้งที่เจอ เพื่อจะได้ดู Night Spring ให้ครบทุก Episode (มีด้วยกันทั้งหมด 9 ep หาดูได้ไม่ยากใน Youtube)
น่าเสียดายที่ Alan Wake ไม่ได้มีภาคต่ออย่างที่ตั้งใจไว้ มีเพียงภาคเสริมที่ชื่อ American Nightmare ที่เหมือนเป็น Spin off ไม่ใช่ภาคต่ออย่างเป็นทางการ แต่อย่างไรก็ดีทางค่าย Remedy ก็ยังสร้างสรรค์เกมที่ขายการเล่าเรื่องที่ไฮคอนเสปต์และมีความเป็นภาพยนตร์ตลอดมา ไม่ว่าจะ Quantum Break หรือเกมล่าสุดของค่ายอย่าง Control ก็ยังเป็นเกมที่สร้างสรรค์และเขียนบทโดย Sam Lake เช่นเคย ก็ได้แต่หวังว่าซักวันจะมีการสร้าง Alan Wake 2 ขึ้นมา
ผ่านไป 10 ปีชื่อของ Alan Wake นั้นเกือบจะเลือนหายไปกับกาลเวลา แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ก็มี Caster หลายคนหยิบ Alan Wake ขึ้นมาเล่นใหม่ รวมถึงมีการทำคลิป VDO Essay เกี่ยวกับ Alan Wake มากมาย หลายคนยกย่องว่ามันคือมาสเตอร์พีซที่ถูกลืม ใครอยากลองประสบการณ์เกมที่มีการเล่าเรื่องแบบอเมริกันซีรีส์ และชอบบรรยากาศแบบ David Lynch และ Stephen King ก็ไปหาซื้อมาเล่นกันได้เพราะตอนนี้ Alan Wake ลดราคา 90% เหลือ 0.69 usd (ประมาณ 22 บาท!!) อยู่ใน Epic Games store (ลดราคาถึงวันที่ 11 มิถุนายน)
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับธุรกิจสตรีมมิ่งในอินเดียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อ Disney Plus Hotstar ซึ่งเกิดจากการควบรวบของบริษัท Hoststar ซึ่งเป็นสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ของอินเดียนำเสนอคอนเทนต์ทั้งหนังซีรีส์ และกีฬา กับ Disney Plus ซึ่งเป็นกิจการสตรีมมิ่งของบริษัท Disney ได้วางแผนที่จะนำเสนอคอนเทนต์ที่หลากหลายและแข็งแรง (แน่นอนว่าในจำนวนนี้ต้องรวมถึงหนังของดิสนีย์หลากหลายแนวด้วย) มีการคาดหมายกันว่า ภายในปี 2020 น่าจะมีรายได้จากค่าสมาชิกและค่าโฆษณารวมกัน 174 ล้านเหรียญ และจะเพิ่มเป็น 900 ล้านเหรียญในปี 2025 เท่ากับว่า Disney Plus Hotstar จะกลายเป็นเบอร์หนึ่งของธุรกิจสตรีมมิ่งในอินเดีย เหนือกว่าคู่แข่งอย่าง Amazon Prime และ Netflix เสียอีก
แม้ว่าการแข่งขันของธุรกิจสตรีมมิ่งในอินเดียเป็นไปอย่างเข้มข้น จริงจัง แต่ก็สร้างความกังวลใจให้กับผู้ประกอบการโรงหนังในอินเดียอยู่ไม่น้อย เพราะผู้ประกอบการเหล่านี้ ทั้ง Disney Plus Hotstar Amazon Prime และ Netflix ต่างแย่งกันซื้อสิทธิ์หนังอินเดียมาครอบครอง ทำให้หนังเหล่านี้จะไม่มีโอกาสฉายในโรงภาพยนตร์ ร้อนไปถึงสมาคมโรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ต้องออกแถลงการณ์ดักคอ “เราขอกระตุ้นเตือนต่อ บริษัทสร้างภาพยนตร์ โปรดิวเซอร์ ศิลปินดารา และผู้สร้างคอนเทนต์ ให้เคารพต่อ ช่องทางการฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งถือเป็นหลักปฏิบัติกันมานานหลายทศวรรษไม่เพียงเฉพาะแค่ในอินเดีย แต่รวมถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก” เชื้อไฟแห่งความขัดแย้งเริ่มต้นจากบริษัท Amazon Prime ได้ซื้อสิทธิ์หนังอินเดียชื่อหนัง Gulabo Sitabo จนทำให้หนังไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ สร้างความไม่พอใจแก่ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เป็นอย่างมากจนนำมาสู่แถลงการณ์จากสมาคมโรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์
ผู้เขียนเชื่อว่า การเติบโตของธุรกิจสตรีมมิ่ง และความขัดแย้งระหว่างผู้ประกอบการสตรีมมิ่งกับโรงภาพยนตร์ จะต้องบานปลายเข้าไปในหลายประเทศแน่นอน และจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ (new norm) ที่อาจทำให้เราให้โครงสร้างการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปในเวลาไม่ช้า
ศิลปินละตินที่โด่งดังและขึ้นชื่อเป็นตำนานในปัจจุบัน ล้วนต้องผ่าน The Noise มาแล้วทั้งนั้น ทั้ง Don Chezina, Las Gaunabanas รวมไปถึง Daddy Yankee ที่ไปอาละวาดด้วยการแร็ปในคลับตั้งแต่อายุ 16 ก่อนที่จะโชว์ความอัจฉริยะ จนปัจจุบันเขาได้กลายเป็น “King of Reggaeton” ภายหลัง The Noise ได้รวมตัวกลุ่มดีเจ และแรร็ปเปอร์ที่เล่นอยู่ในคลับ มีอนาคตไกล เปลี่ยนจากคลับกลายเป็นกลุ่มศิลปินที่ทำเพลงเป็น compilation album ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
เพียงไม่กี่วันก่อนจะปล่อยฉายทั่วโลกใน Netflix ภาพยนตร์เรื่อง The Half of It ก็ชนะรางวัล Best Narrative Feature จาก Tribeca Film Festival ทำให้มันเป็นหนังอีกเรื่องที่เด่นขึ้นมาท่ามกลางมหาสมุทรคอนเทนต์มากมายในสตรีมมิ่งเซอร์วิสช่วงนี้
The Half of It เป็นผลงานกำกับของคนทำหนังอเมริกันเชื้อสายจีนอย่าง อลิซ วู (Alice Wu) ที่หลังเปิดตัวด้วย Saving Face ในปี 2004 -ว่าด้วยตัวละครหญิงรักหญิงชาวเอเชียนอเมริกันกับแรงกดดันที่เธอต้องเผชิญจากวงสังคมคนจีนในมหานครนิวยอร์ก- ก็เว้นช่วงยาวถึง 16 ปีกว่าจะเข็นผลงานลำดับ 2 เรื่องนี้ออกมาได้ โดยวูหยิบโครงเรื่องจากบทละครฝรั่งเศสอายุร้อยกว่าปีอย่าง Cyrano de Bergerac (1897) มาใส่เรื่องราวก้าวพ้นวัยและความรักของเลสเบี้ยนเข้าไป เจือด้วยความแปลกแยกของการเป็นชาวจีนพลัดถิ่นในเมืองที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นคนขาวเคร่งศาสนา
หนังให้เอลลี่สวมรองเท้าเดียวกับซีราโนที่ต้องเขียนจดหมายจีบผู้หญิงที่ตนรักให้กับผู้ชายอีกคน โดยการทำภารกิจพร่ำคำรักผ่านข้อความในนามของผู้อื่นนี่เองที่ทั้งคู่ได้แถลงความในใจของตัวเองออกไปด้วย แต่สิ่งที่ The Half of It เพิ่มเติมเข้ามา (นอกจากมีแชทกันผ่านไอโฟน) ก็เห็นจะเป็นการขับเน้นตัวละครผู้เป็นวัตถุแห่งความหลงใหลอย่างแอสเทอร์ให้มีมิติตื้นลึกหนาบางขึ้นมา รวมทั้งยังสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอลลี่กับเพื่อนผู้ร่วมชะตาอย่างพอลด้วย
ในขณะที่นิยามของความรักค่อยๆ ได้รับการขัดเกลาจากการโต้ตอบจดหมายระหว่างเอลลี่กับแอสเทอร์ ผ่านความชื่นชอบที่พวกเธอมีร่วมกันในนิยาย The Remains of the Day (1989) ของคาซุโอ อิชิกุโร และหนัง Wings of Desire ของวิม เวนเดอร์ส (1987) หนุ่มนักกีฬาที่ไม่ประสาเรื่องศิลปะหรือวรรณคดีอย่างพอลจึงต้องเข้าคอร์สศิลปะวัฒนธรรมแบบเร่งรัดจากเอลลี่ (เพื่อไม่ให้แอสเทอร์จับผิดได้เมื่อนัดเดตกัน) ทำให้ทั้งคู่ได้สานสัมพันธ์ของพวกเขาเองไปด้วยในตัว หนังจึงแสดงให้เห็นความซับซ้อนของความสัมพันธ์อีกแบบที่เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักผ่านภาพยนตร์ ซึ่งก็คือมิตรภาพ (และความรัก?) ระหว่างผู้หญิงเกย์กับชายสเตรท
เราจะเห็นได้ว่าหนังจมตัวเองอยู่ในหมุดอ้างอิงทางศิลปะมากมาย โดยเป็นทั้งการคารวะที่ตัววูมีต่อภาพยนตร์/วรรณกรรมเหล่านี้ และเป็นทั้งเครื่องมือที่วูเอามาใช้เป็นประโยชน์ต่อการเล่าเรื่อง เช่น การเกริ่นถึงแนวคิดเรื่องคู่แท้ของเพลโตเพื่อนำเสนอภาพความสัมพันธ์ในปัจจุบันที่ซับซ้อนยุ่งเหยิงกว่าแค่การหา ‘อีกครึ่งหนึ่งที่หายไป’ ของเรามาก หรือการใช้ประโยค “ฉันไม่ได้อยากถูกเทอดทูน ฉันอยากถูกรัก” ของแคทเธอรีน เฮปเบิร์นในหนัง The Philadelphia Story (1940) เพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดของแอสเทอร์ สาวสวยผู้เป็นที่ปรารถนาของทุกคนแต่เจ้าตัวกลับยังคงโหยหาความรักที่แท้จริง ไปจนถึงการอ้างอิงถึงบทละคร No Exit (1944) ของฌอง-ปอล ซาตร์ -เล่าถึงตัวละครสามตัวที่ติดอยู่ในนรกด้วยกันชั่วกัลป์อันเป็นที่มาของประโยคดัง “นรกคือคนอื่น”- ซึ่งสะท้อนภาวะติดแหง็กที่ตัวละครในหนังต้องเผชิญอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างสควอเฮมิช รวมทั้งความรู้สึกแปลกแยกโดดเดี่ยวที่พวกเขาแบกรับต่างกันออกไป
ตัวอย่าง Saving Face (2004)
หากมองย้อนกลับไปที่ Saving Face วูได้วางตัวละครไว้ในบริบทเมืองใหญ่อย่างมหานครนิวยอร์กซึ่งเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ไม่รู้จบ แต่อนาคตและความฝันของผู้หญิงในชุมชนจีน-อเมริกันกลับถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบธรรมเนียมอันดีงาม ตัวละครต่างมีภาระต่อสู้ที่หนักหนาไม่ว่าจะเป็นตัวลูกสาวที่ชอบผู้หญิงด้วยกัน หรือตัวแม่ที่อยู่ๆ ก็ท้องโดยไม่มีพ่อ แต่ใน The Half of It วูกลับหัวกลับหางเงื่อนไขทางสังคมเสียใหม่ให้กลายเป็นเมืองเงียบเหงาที่แรงกดดันทางสังคมแบบจีนๆ แผ่ขยายมาไม่ถึง ภาระที่ตัวละครแบกรับจึงต่างออกไป (แม้ที่ทางของเควียร์ก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยอยู่ดี) สำหรับเอลลี่ มันกลายเป็นความเปลี่ยวดายของการเป็นคนนอกในเมืองที่ไม่มีใครหน้าตาหรือสีผิวเหมือนเธอ เป็นภาระทางอารมณ์ที่สืบทอดมาจากคนรุ่นพ่อผู้แบกฝันข้ามน้ำข้ามทะเลมาแต่กลับต้องหยุดชะงักอยู่แค่ในเมืองเล็กๆ เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง แม้เอลลี่จะเป็นนักเรียนหัวกะทิที่ดูเหมือนจะมีอนาคตไกล แต่ความฝันที่พังพาบของพ่อ การจากไปของแม่ และการไม่รู้ตำแหน่งแห่งหนของตนบนโลกกลับตรึงเธอไว้อยู่ที่เมืองแห่งนี้ ทำได้เพียงเฝ้ามองดูขบวนรถไฟเดินทางผ่านมาแล้วผ่านไปในทุกวี่วัน
แม้ในแง่ของงานคราฟต์หนังและกลวิธีการเล่าเรื่องแล้ว The Half of It จะยังติดอยู่ในขนบของหนังก้าวพ้นวัยทั่วไป แต่ตัวหนังกลับเต็มไปด้วยประเด็นที่จริงจัง รายละเอียดลึกซึ้งกินใจ และความเข้าอกเข้าใจในตัวละครอย่างเปี่ยมล้น นั่นยิ่งทำให้น่าเสียดายที่หนังยังอาศัยพลังในการเล่าเรื่องจากแหล่งอื่นอยู่มาก (ทั้งจากฟอร์มของหนังวัยรุ่น และจากการอ้างอิงถึงศิลปะอย่างมากมายในหนังที่หลายครั้งก็โจ่งแจ้งเสียเหลือเกิน) ชวนให้กังขาว่าหนังอาจไปได้ไกลอีกเพียงไรหากวูกล้าลงฝีแปรงที่ ‘แน่’ กว่านี้ในแบบที่เรารู้ว่าเธอทำได้
อย่างไรก็ดี The Half of It ก็เป็นหมุดหมายอันดีของการถ่ายทอดเรื่องราวตัวละครหญิงรักหญิงและเอเชียนอเมริกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ไม่มาก-และยิ่งน้อยลงเข้าไปอีกสำหรับกรณีที่ทั้งสองประเภทดังกล่าวมาซ้อนทับกัน-ในภาพยนตร์กระแสหลัก แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่แน่นอนคือหนังได้พาชื่อของ อลิซ วู ให้กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ชวนให้เราตั้งตารอผลงานชิ้นต่อไปของเธอในอนาคต (ที่หวังว่าจะไม่ใช่อนาคตอันไกลเกินไปนัก)
สตีเวน สปีลเบิร์ก เป็นคนทำหนังที่เราไม่รู้ว่าจะเลือกงานชิ้นไหนขึ้นมาเป็นที่สุดในวิชาชีพเขาดี เพราะต่างก็เป็นที่สุดในทางของมันแทบทั้งนั้น แต่สำหรับ Close Encounters of the Third Kind (1977) คงเป็นหนังระเบิดฟอร์มที่เผยวิญญาณของพ่อมดฮอลลีวูดให้โลกได้เห็นเป็นครั้งแรก
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1977 ที่หนังออกฉาย มันเป็นปีเดียวกับการอุบัติขึ้นของ Star Wars ซึ่งในขณะที่ตำนานของ จอร์จ ลูคัส พาคนดูเตลิดไปกับสงครามในจักรวาลอันไกลโพ้น Close Encounters ก็คือหนังที่ดึงจักรวาลลงมาอยู่บนโลกมนุษย์ และเช่นกันกับ Star Wars คือมันเป็นเทคนิคทำมือแทบทั้งสิ้น
ทั้ง Close Encounters of the Third Kind และ Star Wars มีจุดร่วมกันคือทั้งคู่ต่างมี จอห์น วิลเลียมส์ ทำสกอร์ให้ ต่อมาวิลเลียมส์เข้าชิงออสการ์จากทั้งสองเรื่อง และชนะจาก Star Wars ขณะที่งานของวิลเลียมส์ใน Close Encounters ก็ถึกไม่เบา โดยเฉพาะ 5 โน้ตเพื่อการสื่อสารระหว่างมนุษย์และเอเลี่ยนอันติดหูนั้น ไม่ใช่ว่าจับโน้ตมาวางมั่วๆ เขาใช้นักคณิตศาสตร์มาคำนวนความเป็นไปได้ว่า 5 โน้ตนั้นจะมีกี่ชุด และมันก็ออกมานับ 100 ชุด กว่าจะเหลือแค่ชุดเดียวอย่างที่อยู่ในหนัง วิลเลียมส์กับสปีลเบิร์กก็ตบกันหลายยก
สิ่งที่ยืนยันความเนิร์ด UFO ของสปีลเบิร์ก นอกจากมันจะเป็นโปรเจกต์ที่อยากทำตั้งแต่เด็กแล้ว เขายังอ้างอิงข้อมูลจาก Project Blue Book งานวิจัยเรื่องมนุษย์ต่างดาวของ US Air Force และชื่อเรื่อง Close Encounters of the Third Kind (การเผชิญหน้าระยะประชิดในขั้นที่ 3) ก็มาจากเกณฑ์การยืนยันว่ายูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวมีจริงของ เจ อัลเลน ฮายเน็ก โดยแบ่งออกเป็นสามขั้น ซึ่งขั้นที่ 3 ก็คือการติดต่อสื่อสารกับพวกเขาได้นั่นเอง
3) แน่นอนว่าหนังเต็งรางวัลออสการ์จากค่ายสตรีมมิ่ง ซึ่งแต่เดิมมักถูกฉายในโรงหนังเล็กๆ แบบจำกัดโรง ก็จะมีโอกาสได้ฉายในวงกว้างอย่างเต็มภาคภูมิเสียที ถึงตอนนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า นอกจากช่วงซัมเมอร์ที่ถือเป็นช่วงเวลาทำเงินของหนังบล็อกบัสเตอร์ ช่วงไตรมาสที่สี่ต่อช่วงไตรมาสแรกของปีถัดไป คือช่วงเวลาทำเงินของหนังชิงรางวัลออสการ์อย่างแท้จริง และหลังๆ หนังจากค่ายสตรีมมิ่งทั้ง Netflix และ Amazon Prime VDO แถมด้วย Hulu ก็ขโมยซีนหนังค่ายสตูดิโออย่างต่อเนื่อง
4) เราอาจได้เห็นซีรีส์ฟอร์มยักษ์มีโอกาสฉายในโรงมากขึ้น โดยรูปแบบการฉายอาจเป็นแบบมาราธอนที่ผู้ชมสามารถเลือกชมซีรีส์ทั้งสิบเอพิโซดในโรงภาพยนตร์ถ้าอยากได้ประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบ หรือ จะเลือกดูอยู่ที่บ้านก็ได้ (ลองจินตนาการว่ากำลังดู Game of Thrones ในโรงภาพยนตร์ด้วยระบบเสียงอลังการไปด้วย)
5) ซีนารีโอนี้อาจทำให้ความหวังของซีนารีโอทั้งสี่ก่อนหน้านี้ต้องดับไป ถ้าหากใครสักคนมองว่าการควบรวมกิจการของ Amazon เป็นการผูกขาดทางธุรกิจเข้าข่ายผิดกฎหมาย anti trust law ซึ่งบริษัทฮอลลีวูดอย่างยูนิเวอร์ซัลเคยได้รับบทเรียนมาแล้วในปี 1947 หลังจากถูกตัดสินว่าการที่สตูดิโอเป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ด้วย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการผูกขาดทางธุรกิจแบบครบวงจร ซึ่งถ้าล็อตเตอรีออกเบอร์นี้ ทุกคนก็คงแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน
แม้เทศกาลจะจบลงแล้ว ผลการตัดสินรางวัลได้ประกาศอย่างเป็นทางการเรียบร้อย (ติดตามได้ที่นี่) และหนังเหล่านี้จะหมดช่วงเวลาที่สามารถเข้าชมฟรีได้แล้วในขณะนี้ แต่ Film Club ก็ขอรวบรวมหนังที่เราได้ดูในเทศกาลผ่านโรงหนังเสมือนออนไลน์ในช่วงเทศกาลมาแนะนำไว้ เพราะเราเชื่อเหลือเกินว่าสารคดีเหล่านี้จะเป็นชื่อที่คุณรู้จักและได้ยินโลกภาพยนตร์กล่าวถึงเรื่อยไปในอนาคตอันใกล้
B’Tselem หรือ The Israeli Information Center for Human Rights in the Occupied Territories คือศูนย์ข้อมูลที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1989 เพื่อบันทึกข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงค์และฉนวนกาซ่า โดยนอกจากรายงานสถิติ บันทึกคำให้การ เผยแพร่รายงานในประเด็นเกี่ยวเนื่อง ที่นี่ยังรวบรวมภาพเคลื่อนไหวเหตุการณ์จริงจากชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ไว้ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะในฐานะคลิปนักข่าวพลเมือง วิดีโอประจำวันอย่างภาพกล้องวงจรปิด หรือสารคดีการเมืองที่ทรงพลัง
B’Tselem โปรดิวซ์ Of Land and Bread ในวาระครบรอบ 30 ปี ด้วยภาวะความขัดแย้งที่ซับซ้อนกว่าเดิม เมื่อรัฐบาลอิสราเอลยุคหลังค่อยๆ ยึดครองพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งด้วยกำลังทหารอาวุธครบมือ กฎหมาย และให้ชาวอิสราเอลไป “ตั้งรกราก” เป็น settler ในปาเลสไตน์ หนังไม่ได้ทำอะไรมากกว่าแค่ร้อยเรียงภาพเคลื่อนไหวชิ้นสำคัญๆ ต่อกันไปเรื่อยตั้งแต่ต้นจนจบ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะทุกอย่างหนักหน่วงในระดับต้องเบือนหน้าหนี
“แน่นอน เราต้องการเห็นผู้คนดูหนังในโรง แต่เราก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า ไม่ใช่ทุกคนจะมีเวลามาดูหนังที่อยากดูได้ตลอดเวลา” ทิม ลีก ผู้ก่อตั้งโรงกล่าวไว้ ด้วยเหตุนี้ Alamo Drafthouse Cinema จึงสร้างแพล็ตฟอร์มการฉายหนังออนไลน์ขึ้นมาเรียกว่า “Alamo on Demand” เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เลือกเช่าหรือซื้อหนังที่เคยผ่านการฉายในโรงไปแล้ว โดยหนังดัง ๆ ก็เช่น Knives Out, Parasite, Call Me By Your Name, RBG, Portrait of a Lady on Fire
– อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ โดยวง Queen (!) – สารคดีปี 2017 เรื่อง Life After Flash – Booklet 32 หน้า – มินิบุคฉบับพิเศษ The Story of Flash Gordon – การ์ตูน Flash Gordon ฉบับออริจินัล ตีพิมพ์ใหม่ – โปสเตอร์ออริจินัล ฉบับตีพิมพ์ใหม่ – อาร์ตการ์ดของโปสเตอร์หลากหลายเวอร์ชั่น
เบื้องต้นสำหรับผู้ที่ไม่เคยรู้จักความเฮี้ยนของ Flash Gordon ขอเชิญคลิกดูเทรลเลอร์ฉบับรีมาสเตอร์นี้
(4K UHD, Blu-ray และ DVD ฉบับรีมาสเตอร์จะวางขายในอังกฤษซัมเมอร์นี้)