Blog Page 20

Business Update : เทศกาลหนังแบบไดรฟ์อิน & เกาหลีช่วยค่าตั๋วหนัง

สัปดาห์ที่ผ่านมาเครื่องจักรทางด้านธุรกิจภาพยนตร์ในหลายประเทศ เริ่มกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง ทั้งในภาคผลิต จัดจำหน่ายและเผยแพร่ แม้ว่าในระยะแรกอาจเกิดอาการติดขัดอยู่บ้างอันเนื่องมาจากมาตรการเฝ้าระวังของทุกภาคส่วน แต่อย่างน้อย ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่า วงล้อของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็ยังคงหมุนต่อไป สำหรับสัปดาห์นี้ มีรายงานความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของธุรกิจภาพยนตร์ดังต่อไปนี้

Drive In อีกหนึ่งทางเลือกของเทศกาลภาพยนตร์

หลังจากโรคโควิด 19 ทำให้กิจกรรมที่คุ้นเคยอย่างการชมภาพยนตร์ในโรงต้องหยุดไป แต่ก็ได้ทำให้ธุรกิจที่เคยเสื่อมความนิยมอย่าง โรงหนังไดรฟ์อิน กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ล่าสุดได้มีการสำรวจจำนวนโรงหนังไดรฟ์อินทั่วอเมริกา ปรากฏว่ามีผู้ประกอบการรวมกันถึง 220 เจ้าเลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้น จำนวนผู้ชมก็มากขึ้นด้วย

เมื่อเป็นดังนี้ เทศกาลภาพยนตร์ Light House Film Festival ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปีที่นิวเจอร์ซีย์ เลยเกิดความคิดว่า ขณะที่หลายๆ เทศกาลต่างหันเข้าหาการจัดฉายแบบเสมือนจริง (Virtual screening) ทำไมเทศกาลของเราจึงไม่ทำอะไรที่ต่างออกไปล่ะ

ด้วยเหตุนี้ ผู้จัดเทศกาลภาพยนตร์จึงช่วงชิงพื้นที่การเป็นเทศกาลภาพยนตร์แบบไดรฟ์อินครั้งแรกของโลก ด้วยการประกาศจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติครั้งที่ 12 ในรูปใหม่ ระหว่างวันที่ 16 – 20 มิถุนายนที่จะถึงนี้ โดยให้เหตุผลว่า “ต้องการอุทิศให้กับชาวเมืองลองไอร์แลนด์และอุตสาหกรรมภาพยนตร์อันเป็นที่รัก” ไม่มีใครรู้ว่าเทศกาลภาพยนตร์ไดรฟ์อินครั้งแรกจะประสบความสำเร็จแค่ไหน แต่ในภาวะที่ทุกคนต้องการการเยียวยาจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความสูญเสีย หรือ ภาวะทางเศรษฐกิจ จะเป็นเทศกาลภาพยนตร์ในรูปแบบไหนก็เป็นที่ต้องการทั้งสิ้น

ที่มา :


รัฐบาลเกาหลีใจป้ำ ช่วยประชาชนแบ่งเบาภาระการชมภาพยนตร์ด้วยการออกคูปองส่วนลดค่าตั๋วหนัง

คงไม่มีประเทศไหนที่เห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์มากไปกว่าประเทศเกาหลีใต้อีกแล้ว เมื่อสภาการภาพยนตร์เกาหลี (Korean Film Council) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนโดยรัฐ ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ว่าจะมอบคูปองส่วนลดในการชมภาพยนตร์จำนวน 6 พันวอน (หรือประมาณ 152 บาท) ให้กับประชาชนทั่วไปเพื่อนำไปใช้เป็นส่วนลดเมื่อซื้อตั๋วภาพยนตร์ซึ่งมีราคาเฉลี่ยประมาณหนึ่งหมื่นวอน (253 บาท) เท่ากับว่าผู้ชมจะจ่ายเพียง 4 พันวอน (100 บาท) เท่านั้น โดยทางสภาการภาพยนตร์เกาหลีมีแผนที่จะจัดพิมพ์คูปองจำนวน 1.3 ล้านใบ โดยผู้ชมสามารถดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ของโรงหนังชั้นนำอย่างโรงภาพยนตร์เครือ CJ-CGV เครือ Lotte Cinema และโรงเครือ Megabox

อนึ่ง เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่ผู้ชมดูหนังในโรงมากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดวิกฤตการณ์โควิด 19 จำนวนผู้ชมลดลงอย่างน่าใจหายเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ สาเหตุสำคัญนอกจากการปิดตัวชั่วคราวของโรงหนังแล้ว ก็ยังรวมถึง ความรู้สึกไม่ปลอดภัยของผู้ชมต่อการเข้าไปดูหนังในโรง หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คงส่งผลกระทบต่อหนังเกาหลีฟอร์มใหญ่หลายเรื่องที่เตรียมจะเปิดตัวในช่วงซัมเมอร์ที่กำลังจะมาถึงด้วย

ที่มา :


เมื่อบริษัทสตูดิโอยักษ์ใหญ่ผนึกกำลังสร้างแคมเปญรณรงค์ให้คนกลับมาดูหนังที่โรงอีกครั้ง

ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างภาพยนตร์กับโรงภาพยนตร์ก็เหมือนกับน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ เมื่อเป็นดังนี้ บริษัทสตูดิโอขนาดใหญ่ในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น ดิสนีย์ พาราเมาท์ วอร์เนอร์ ฯลฯ จึงผนึกกำลังกันหาทางที่จะทำให้คนหวนกลับมาดูหนังที่โรงอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลผ่อนปรนให้โรงหนังกลับมาเปิดให้บริการ โดยหนึ่งในความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นคือ การสร้างแคมเปญรณรงค์เชิญชวนให้คนกลับมาดูหนัง ที่จะมีคนทำหนังระดับท็อป และดาราชั้นนำมากมายมาช่วยกระตุ้นให้คนดูกลับเข้าโรงอีกครั้ง สำหรับเนื้อหาการเชิญชวนจะเป็นการโน้มน้าวให้คนดูรู้สึกว่าโรงหนังคิดถึงพวกเขา และสร้างความรู้สึกมั่นใจแก่ผู้ชม เพราะโรงจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขาปลอดภัยจากโรคร้าย

ปัจจุบัน โรงภาพยนตร์ในอเมริกาเริ่มเปิดทำการแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก ขณะที่โรงภาพยนตร์เครือใหญ่อย่าง AMC หรือ REGAL กำลังรอจังหวะเปิดตัวอยู่ ซึ่งคาดเดากันว่าน่าจะอยู่ในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนมิถุนายนนี้ โดยหนังใหม่เรื่องแรกที่จะเข้าฉายประเดิมในวงกว้างคือ ภาพยนตร์เรื่อง UNHINGED ที่นำแสดงโดยรัสเซล โครว์ ซึ่งมีกำหนดเปิดตัววันที่ 1 กรกฎาคมนี้

ที่มา :

In the Mood For Love รำลึก …มาสเตอร์พีซไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว

ผู้หญิงคนนั้นเก็บตัวเงียบตามลำพัง เลี่ยงหลบเสมอเมื่อได้รับคำเชื้อเชิญร่วมโต๊ะอาหารกับเพื่อนบ้าน เพียงคนเดียวที่มีโอกาสใกล้ชิดเธอคือชายข้างห้อง แต่สัมพันธ์ต้องห้ามของทั้งคู่ซึ่งต่างมี “เจ้าของ” แล้วนี้จำต้องถูกเว้นระยะห่าง ก่อนลงเอยด้วยความพลัดพรากและเหลือไว้เพียงความทรงจำถึง “โมงยามแห่งห้วงรัก”

“นี่คือหนังที่ทำยากที่สุดในชีวิตคนทำหนังของผม” หว่องกาไวเขียนถึง In the Mood For Love เรื่องนี้ไว้แบบนั้นในเอกสารเบื้องหลังหนังที่แจกในเทศกาลหนังเมืองคานส์ วันเปิดฉายครั้งแรกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว …และนี่คือคำบอกเล่าของเขา ถึงความเป็นมาของหนังในดวงใจใครหลายคนเรื่องนี้

(*เรียบเรียงใหม่จาก “ศิลปะของโลภและละ ใน In the Mood For Love ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 3 ปีพ.ศ. 2544)

เริ่มด้วย “เพลง” ไม่ใช่ “บท”

“โดยปกติแล้ว หนังของผมมักเริ่มต้นจากเพลง เพราะทำให้ผมจับทางอารมณ์ที่อยากทำได้ถูก ยิ่งถ้าถึงเวลาต้องอธิบายให้ทีมงานเข้าใจหนังเรื่องนั้นด้วยแล้วล่ะก็ เพลงช่วยได้ดียิ่งกว่าบทเสียอีก เพราะคนฟังรับรู้ได้ทันทีทั้งอารมณ์และจังหวะของมัน

เพื่อนผมคนหนึ่งเขียนเพลงให้ผู้กำกับอีกคน ซึ่งมีอยู่แทร็คหนึ่งที่ผมชอบหยิบมาเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมถามเขาว่า ช่วยทำแบบนี้ให้อีกสักเพลงได้ไหม เขาตอบว่า ‘จะทำงั้นทำไมให้ยุ่งยากล่ะ นายเอาเพลงนี้ไปใช้เลยก็ได้’

นั่นแหละคือเหตุผลที่มันกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของ In the Mood For Love …เพลงนี้คลาสสิกมาก เป็นวอล์ตซ เห็นภาพคนสองคนเต้นรำด้วยกันรอบแล้วรอบเล่า ซึ่งก็กลายมาเป็นโมทิฟ (motif) ของหนังเรื่องนี้นั่นเอง”

มันเป็นเรื่องของอะไรกันแน่

“ว่ากันตามจริง ผมไม่ใช่คนเขียนบทที่ดีเท่าไหร่ เหตุผลที่ผมต้องลงมือเขียนเองก็เพราะไม่มีใครอยากทำงานให้ผมเลย และอย่างที่รู้กันว่า คนเขียนบทจะชอบทิ้งร่องรอยที่บ่งบอกความเป็นตัวเองไว้ในงานที่เขียน แต่ผมไม่อยากทำอย่างนั้น เพราะไม่คิดว่าหนังควรมีอะไรโดดเด่นออกมาเกินหน้าองค์ประกอบอื่นๆ ทุกอย่างควรต้องมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน…อย่างพอเหมาะด้วย

แรกเลย ผมจึงต้องจับโทนหนังออกมาให้ได้ก่อน มันใช่เรื่องของชู้รักมั้ย? ผมไม่คิดงั้นนะ หนังน่าจะมีอะไรมากกว่า …หรือเป็นเรื่องของชีวิตแต่งงาน? ผมว่ามันมากกว่านั้นอีก …แล้วก็เป็นเรื่องของช่วงเวลาหนึ่งรึเปล่า? คงใช่ ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้คือประวัติศาสตร์บทหนึ่ง และก็คิดว่าความโรแมนติกของมันไม่ได้อยู่ที่ตัวละครทั้งสองด้วย แต่แน่นอน นี่คือหนังที่โรแมนติกมาก เพราะถ่ายทอดช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ของฮ่องกง ซึ่งสูญหายจากความทรงจำของพวกเราไปหมดสิ้นแล้ว

ตอนที่ทำ Days of Being Wild เมื่อสิบปีก่อนนั้น ผมคิดว่าการสร้างอะไรสักอย่างให้เหมือนจริงคงเป็นสิ่งที่น่าเบื่อมาก เราจึงพยายามคิดค้นของใหม่ๆ ไม่เว้นกระทั่งการจัดแสง แต่สำหรับ In the Mood For Love ผมกลับนึกอยากทำหนังให้เหมือนฮ่องกงปี 1962 ให้มากที่สุด เพราะผมอยากทำหนังว่าด้วยวัยเด็กของผมเอง ว่าด้วยผู้คนที่ผมรู้จักและชื่นชอบ แล้วก็ว่าด้วยเพื่อนบ้านเรือนเคียงซึ่งทุกวันนี้เราไม่มีกันแล้ว ผมอยากบันทึกสิ่งที่หายไปแล้วจากชีวิตของเราเหล่านี้นี่แหละ”

ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้คือประวัติศาสตร์บทหนึ่ง และก็คิดว่าความโรแมนติกของมันไม่ได้อยู่ที่ตัวละครทั้งสองด้วย แต่แน่นอน นี่คือหนังที่โรแมนติกมาก เพราะถ่ายทอดช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ของฮ่องกง ซึ่งสูญหายจากความทรงจำของพวกเราไปหมดสิ้นแล้ว

เรื่องกำหนดวิธีเล่า ตัวละครกำหนดมุมมอง

“ด้วยเหตุนี้ ผมจึงรู้แล้วว่า หนังจะต้องไม่ใช่เรื่องของชู้รักอย่างเดียว และก็ตัดสินใจแล้วว่าผมจะไม่เล่าถึงตัวละครสามีภรรยาของแต่ละฝ่ายเลย เพราะนั่นจะทำให้เราจำต้องตัดสินพิพากษาบางอย่าง เช่นว่า ตัวสามีเป็นผู้ชายที่แย่มาก, เขาทำเรื่องผิดๆ, เขาหลอกลวง และ… อะไรต่ออะไรที่ล้วนแต่น่าเบื่อทั้งนั้น เพราะมีคนเล่ากันมาเยอะแล้ว และผมก็มองไม่เห็นเลยว่าจะมีเวอร์ชั่นไหนให้พอเรียกเป็นข้อยกเว้นได้อีก

แต่สิ่งที่ผมยังจำเป็นต้องมีก็คือ มุมมอง ผมจึงตัดสินใจให้กล้องทำหน้าที่เสมือนเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่คอยลอบมองตัวละครนำทั้งคู่ ดังนั้น กล้องจึงมักซ่อนอยู่หลังอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็จ้องมองอยู่ห่างๆ เพื่อให้เรามีระยะสำหรับการเฝ้าดูชีวิตประจำวันของพวกเขา …เธอกลับจากทำงานหรือยังนะ? เข้าไปในครัวแล้วหรือ? เธอชอบรสชาติน้ำชานั่นไหม? และเธอทำท่าไม่อยากเตร่อยู่แถวนั้นอีก แต่อยากกลับเข้าห้องไปแทน ก็เพราะเธอไม่อยากเผยความรู้สึกของเธอให้เพื่อนบ้านรับรู้ …เมื่อผมเข้าใจดีแล้วว่าตัวละครใช้ชีวิตอย่างไร ผมก็รู้ได้ว่า ควรทำอย่างไรเพื่อถ่ายทอดมันออกมา

ในตอนแรก หนังเรื่องนี้เปรียบเหมือนดนตรีแชมเบอร์สำหรับผม นั่นคือ ทุกฉากล้วนเกิดขึ้นภายในห้อง ในร้านก๋วยเตี๋ยว ภัตตาคาร ในบ้าน หลังทำ Happy Together เราตั้งใจว่าจะทำหนังใหม่ที่ง่ายกว่า เล่าเรื่องง่ายๆ โดยใช้พระเอกนางเอกที่เราคุ้นเคยและก็ถ่ายกันแต่ในฉากฮ่องกง แต่พอถ่ายทำจริงๆ ผมกลับเริ่มมองเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวละครคู่นี้ เมื่อสามีภรรยาของแต่ละฝ่ายหายตัวไป และผมเริ่มโลภมากขึ้นทุกทีๆ ผมอยากเห็นเพิ่มขึ้น อยากเห็นถนนหนทาง อยากเห็นที่ทำงานของพวกเขา และอยากเห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างนอกฮ่องกง ทั้งในสิงคโปร์และกัมพูชา ทุกอย่างเริ่มโตขึ้นและเราก็เริ่มอึดอัดกับการต้องอยู่ภายในห้องที่ซึ่งเราถูกเฝ้าสังเกตอย่างใกล้ชิดจากสายตาเพื่อนบ้าน”

สิ่งที่ผมยังจำเป็นต้องมีก็คือ มุมมอง ผมจึงตัดสินใจให้กล้องทำหน้าที่เสมือนเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่คอยลอบมองตัวละครนำทั้งคู่ ดังนั้น กล้องจึงมักซ่อนอยู่หลังอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็จ้องมองอยู่ห่างๆ เพื่อให้เรามีระยะสำหรับการเฝ้าดูชีวิตประจำวันของพวกเขา

จักรวาลอันหยุดนิ่งของคนมีความรัก

“ผมรู้สึกว่าผมควรเล่าหนังเรื่องนี้เช่นเดียวกับนิยายยุคศตวรรษที่ 18 เพราะผู้คนในขณะนั้นมีความพากเพียรมากในการเขียนและการอ่านหนังสือ ผมเชื่อว่า หากตัวเองคิดแต่งนิยายสักเรื่องก็คงหนีไม่พ้นวิธีเดียวกันนี้ ไม่ใช่ด้วยปากกา แต่ด้วยกล้อง เราไม่อาจแสดงความโดดเด่นของเสื้อผ้าตัวละครแบบนี้ได้ในหนังสือ อาจทำได้แค่บรรยายถึง แต่ก็ยังต่างกันมากเพราะภาพ ร่างกาย และการเคลื่อนไหวสามารถสื่อบางอย่างกับคุณได้มากกว่า ผมเองนั้นพยายามเสมอที่จะสร้างความรู้สึกถึงวิถีชีวิตซ้ำซากคุ้นชินในหนังของผม ทั้งด้วยการใช้ภาพ มุมกล้อง และเพลง เพราะผมคิดว่า เราส่วนใหญ่ล้วนมีวิถีซ้ำๆ ในชีวิตประจำวันของเราเสมอ และต้องพึ่งบางสิ่งบางอย่างที่เข้มแข็งมาก –อย่างเช่น ความรัก- จึงผลักดันให้เราเคลื่อนสู่วงโคจรที่ต่างออกไปได้

หนังของผมส่วนใหญ่เป็นหนังรัก ผมจึงต้องใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของความสัมพันธ์ เพราะสำหรับคู่รักสักคู่นั้น…โลกภายนอกเสมือนหยุดการเคลื่อนไหวและไร้เหตุการณ์ใดเกิดขึ้น แต่ความเป็นจริงคือ แม้พวกเขาจะตกอยู่ในวงล้อมของตัวเอง ขณะเดียวกันนั้นก็ย่อมเกิดสิ่งสำคัญมากมายรอบตัวที่ส่งผลกระทบต่อคนอีกหลายคน ผมอยากสร้างความรู้สึกนับแต่แรกเริ่มที่พวกเขาเป็นราวกับจุดศูนย์กลางของจักรวาล จากนั้นจึงค่อยๆ ขยายขอบเขตให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับเราเห็นภาพโคลสอัพแล้วตามด้วยภาพมุมกว้าง จนท้ายที่สุดก็เห็นว่า แท้จริงแล้วพวกเขาเพียงยืน ณ จุดศูนย์กลางของตัวเองเท่านั้น”

ผมคิดว่า เราส่วนใหญ่ล้วนมีวิถีซ้ำๆ ในชีวิตประจำวันของเราเสมอ และต้องพึ่งบางสิ่งบางอย่างที่เข้มแข็งมาก –อย่างเช่น ความรัก- จึงผลักดันให้เราเคลื่อนสู่วงโคจรที่ต่างออกไปได้

การถ่ายทำอันยาวนาน

“ผมชอบเรื่องสั้น –ทุกวันนี้เราไม่มีเรื่องระดับเอพิกกันแล้ว- และคิดว่าหนังเรื่องนี้คงไม่แพงนัก และคงใช้เวลาถ่ายแค่ 2-3 เดือน แต่แล้วผมกลับพบว่า มันยากเหลือเกิน ลงท้ายต้องทำกันถึง 15 เดือน ปัญหาแรกเลยคือนายทุนของเราถอนตัวไปหลังเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจทั่วเอเชีย ทำให้เราต้องหยุดการถ่ายทำเพื่อหาทุนเพิ่ม แถมตอนนั้นยังเลยกำหนดปิดกล้องมาแล้วตั้ง 3 เดือน จนผมติดคิวทำหนังอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเลื่อนไปไม่ได้ เช่นเดียวกับที่ จางมั่นอวี้ และ เหลียงเฉาเหว่ย ก็ยังมีงานอื่นรออยู่

แต่แม้ทุกอย่างจะรัดตัว เมื่อเรากลับมาถ่ายต่อ ทุกคนก็ยังขอเวลาที่จะปรับและคำหาอารมณ์ที่ใช่ แทนที่จะเร่งรีบถ่ายกันอย่างเดียว นักแสดงของผมต้องการความมั่นใจว่าตัวละครเป็นอย่างไรกันแน่ เขาอยากแสดงอย่างเข้าถึง แต่ผมกลับอยากให้เขาแค่เป็นตัวของตัวเอง และคอยมีปฏิกิริยาต่อสภาพแวดล้อมและรูปลักษณ์ของตัวเองก็พอ ซึ่งนั่นทำให้จางมั่นอวี้มีรูปลักษณ์เฉพาะ ทั้งด้วยเสื้อผ้าและทรงผมที่ล้วนส่งผลต่อท่าทางและความรู้สึก จำเป็นต้องใช้เวลาระยะหนึ่งจึงจับทางอารมณ์ของตัวเองได้ถูก

นักแสดงของผมต้องการความมั่นใจว่าตัวละครเป็นอย่างไรกันแน่ เขาอยากแสดงอย่างเข้าถึง แต่ผมกลับอยากให้เขาแค่เป็นตัวของตัวเอง และคอยมีปฏิกิริยาต่อสภาพแวดล้อมและรูปลักษณ์ของตัวเองก็พอ

ผมเริ่มต้นหนังเรื่องนี้ด้วยโครงเรื่องกับไอเดีย แต่ไม่รู้เลยว่าอยากได้อะไรจากมันกันแน่ ผมเริ่มจากการใส่อะไรต่ออะไรเข้ามามากมาย แล้วก็ค่อยๆ ปลดทิ้งไปทีละอย่าง ตามกระบวนการของการลดทอน เพราะผมรู้ว่าผมไม่อยากได้อะไร แต่หารู้ไม่ว่า แล้วอะไรล่ะที่อยากได้ …ผมกำลังค้นหาคำตอบของคำถามนี้อยู่ด้วยตัวของผมเอง

การต้องทิ้งอะไรไปนั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะทุกช็อตเราต้องใช้ทั้งความพยายาม เวลามากมาย และเงินทองอีกไม่น้อยกว่าจะทำสำเร็จ ครั้นตัดต่อมันไว้ด้วยกันก็ดูดี แต่แล้วเรากลับต้องมาตัดมันทิ้ง ซึ่งผมคิดว่าช่างเป็นกระบวนการที่โง่มาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคุ้มค่าที่จะลอง

ฉะนั้น สิ่งที่ผมตั้งใจในวินาทีแรกว่าจะเป็นเพียงมื้อด่วนในแม็คดอนัลด์ ก็กลับกลายสภาพเป็นงานเลี้ยง …เป็นปาร์ตี้ยักษ์ที่มีแขกถึงครึ่งร้อยไปจนได้!”


หมายเหตุ : นิตยสาร Empire จัดให้ In the Mood For Love ได้อันดับ 42 ในลิสต์ “100 หนังโลกที่ดีที่สุด”, Entertainment Weekly ให้มันอยู่ในอันดับ 95 ของ “100 หนังที่ดีที่สุดช่วงปี 1983 – 2008”, Time Out New York ให้มันติดหนึ่งใน “5 หนังดีที่สุดแห่งทศวรรษ”, นักวิจารณ์ Sight & Sound ทำโพลหนังยอดเยี่ยมตลอดกาลและมันติดอันดับ 24, โซเฟีย คอปโปลา บอกว่านี่คือแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอตอนทำ Lost in Translation, เทศกาลหนังปูซานจัดมันไว้ในอันดับ 3 ของ “100 สุดยอดหนังเอเชีย” และบีบีซีให้มันอยู่ในอันดับ 2 ของ “100 หนังดีที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21”

ดูฟรี! 3 Brothers หนังสั้น สไปค์ ลี แด่คนดำที่ถูกทำร้าย

Da 5 Bloods หนังเรื่องใหม่ของ สไปค์ ลี ที่ว่าด้วยทหารคนดำในสงครามเวียดนาม ยังไม่ทันได้ฉายทาง Netflix เขาก็เข็นหนังสั้นเรื่องใหม่ 3 Brothers แชร์ในทวิตเตอร์ส่วนตัวแล้ว

มันคือหนังสั้น 1 นาทีครึ่ง ที่ลีใช้ฟุตเตจจากสามเหตุการณ์มาตัดสลับกันคือ เรดิโอ ราฮีม ตัวละครหนึ่งในหนังปี 1989 เรื่อง Do the Right Thing ของเขาเอง, ฟุตเตจจริงของ เอริก การ์เนอร์ และฟุตเตจสุดท้ายที่กลายเป็นประเด็นร้อนตอนนี้ของ จอร์จ ฟลอยด์ ซึ่งทั้งสามฟุตเตจมีจุดร่วมเดียวกันคือพวกเขาต่างถูกทำร้ายโดยเจ้าหน้าที่ผิวขาว ด้วยวิธีการคล้ายกัน ก่อนที่ทั้งสามจะจบชีวิตลง

“บางคนอาจจะไม่เข้าใจถึงการแสดงออกตอนนี้ เพราะมันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ คนดำถูกทำร้ายร่างกายมาหลายครั้ง เสร็จแล้วมันก็ผ่านไป”


ดู 3 Brothers ได้ ที่นี่

Box Office Report : รายได้หนังวันแรกหลังปลดล็อกโรง!

หลังจากโรงหนังงดให้บริการไปตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม …วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมาคือวันแรกของการกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง โดยหนังที่ฉายส่วนใหญ่เป็นหนังที่ค้างโปรแกรมตั้งแต่ก่อนปิดไป

และหนังที่ทำรายได้สูงสุดก็คือ หนังแอ็กชันไซไฟของ วิน ดีเซล อย่าง Bloodshot (ที่เข้าฉายวันแรกเมื่อ 12 มีนาคม) โดยเมื่อวานนี้คนยังไม่กลับเข้ามาโรงหนังเท่าไหร่นัก ประกอบกับยังอยู่ใน พรก.ฉุกเฉิน ทำให้ไม่สามารถอัดรอบได้เต็มที่เหมือนก่อนจะปิดโรง ทำให้หนังที่ทำเงินสูงสุดนี้ได้ไปแค่ 0.12 ล้านบาท รายได้รวมตอนนี้อยู่ที่ 12.67 ล้านบาทเท่านั้น (อย่างไรก็ดี Bloodshot และอีกหลายเรื่องที่กลับมาฉาย มีให้เช่า-ซื้อบนออนไลน์แล้ว)

ส่วนหนังไทย Low Season สุขสันต์วันโสด ที่เข้าฉายมาตั้งแต่วาเลนไทน์และเดิมทีใกล้จะออกจากโปรแกรมอยู่แล้ว ก็กลับเข้ามาถึงอันดับ 3 เลยทีเดียว

สรุปรายได้หนังวันที่ 1 มิถุนายน 2563 (วันแรกหลังปลดล็อกโรงหนัง) :

1. Bloodshot – 0.12 (12.67) ล้านบาท
2. Brahms: The Boy II – 0.08 (3.08) ล้านบาท
3. Low Season สุขสันต์วันโสด – 0.08 (39.87) ล้านบาท
4. The Invisible Man – 0.04 (9.93) ล้านบาท
5. พี่นาค 2 – 0.04 (35.69) ล้านบาท
6. My Spy – 0.03 (0.91) ล้านบาท
7. Last Letter – 0.01 (0.28) ล้านบาท
8. Sonic: The Hedgehog – 0.01 (12.07) ล้านบาท
9. 1917 – 0.008 (31.67) ล้านบาท
10. Military Wives – 0.007 (0.12) ล้านบาท

หนุ่มสาว ‘สวิงกิ้ง’ และจิตวิญญาณที่ฟื้นคืนใน Austin Powers

สิ่งที่น่าจะยืนยันความเป็นไอคอนยุค 90 ของ Austin Powers ได้ นอกจากตัวเลขบ็อกซ์ออฟฟิศของทั้งสามภาครวมกันเท่ากับ 876 ล้านเหรียญฯ แล้ว มันยังเป็นสปริงบอร์ดทางอาชีพของผู้กำกับ เจย์ โรช (ซึ่งแจ้งเกิดจากหนังตลกบ้าบอเรื่องนี้จนโอกาสพุ่งเข้าหา กระทั่งปีล่าสุดเขาได้กำกับหนังพลังหญิงสุดเข้มข้นอย่าง Bombshell) และแน่นอน…พระเอก ไมค์ มายเออร์ส (ที่ทั้งเขียนบทและโปรดิวซ์ด้วย) ก็แทบจะสลัดตัวละครออกจากชีวิตไม่ได้อีกเลย แม้ว่างานนั้นจะไม่เกี่ยวกับหนังชุดนี้ อย่างการไปเล่นเอ็มวีของ บริทนีย์ สเปียร์ส ก็ตาม 

สำหรับคนที่ไม่ทันได้สัมผัสช่วงรุ่งเรืองของมัน อาจจะงงว่าทำไมหนังบ๊องแบบนี้ถึงประสบความสำเร็จนัก ก็เพราะภายใต้มุกสัปดนและตั้งหน้าตั้งตาล้อเลียนหนังสายลับ เจมส์ บอนด์ มันก็คือทั้งหมดของสิ่งที่ก่อร่างมายเออร์สขึ้นมา เนื่องจากเขาโตมากับ เจมส์ บอนด์, เดอะ บีเทิลส์, ปีเตอร์ เซลเลอร์ส, ดัดลีย์ มัวร์ และคณะตลก เดอะ กู๊ดดีส์ “ผมเขียนโครงเรื่องภายในสองสัปดาห์โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนอื่นจะเก็ตสิ่งที่ผมทำมั้ย เพราะพวกเขาไม่ได้โตที่บ้านผม” 

ออสติน พาวเวอร์ส คือสายลับเจ้าเสน่ห์ที่ผู้หญิงทุกคนอยากนอนด้วย …นี่คือแก่นของหนังชุดนี้ (มายเออร์สยังอยากพูดถึงรูปลักษณ์ตัวเองซึ่งสวนทางกับพิมพ์นิยมด้วย) เอื้อให้หนังสามารถเล่นตลกสังขารและมุกหยาบโลนสารพัด แต่เพราะมันเกิดจากความรักที่นักแสดงตลกคนหนึ่งมีต่อยุคสมัยซึ่งหล่อหลอมเขาขึ้นมา สิ่งที่เขาตั้งใจจะล้อเลียนมันเลยได้รับการถ่ายทอดอย่างตั้งใจและกลายเป็นหนังที่สะท้อน Swinging London วัฒนธรรมหนุ่มสาวตะวันตกยุค 60 ออกมาได้อย่างหมดจด 

มันเกิดจากความรักที่นักแสดงตลกคนหนึ่งมีต่อยุคสมัยซึ่งหล่อหลอมเขาขึ้นมา สิ่งที่เขาตั้งใจจะล้อเลียนมันเลยได้รับการถ่ายทอดอย่างตั้งใจและกลายเป็นหนังที่สะท้อน Swinging London วัฒนธรรมหนุ่มสาวตะวันตกยุค 60 ออกมาได้อย่างหมดจด

Swinging London หรือ Swinging Sixties คือการปฏิวัติทางวัฒนธรรมของหนุ่มสาวอังกฤษช่วงกลางยุค 60 เป็นต้นมา มันเป็นยุคเฟื่องฟูของดนตรี วรรณกรรม ศิลปะ และภาพยนตร์ จนเกิดการผสมผสานข้ามสายพันธุ์เป็นความฉูดฉาดจัดจ้านในเนื้อเดียวกันทุกแขนง ที่สะท้อนออกมาทาง ‘แฟชั่น’ 

“ตอนนี้เหล่าสวิงเกอร์หายไปไหนหมด” มายเออร์สเกิดคำถามนี้ขึ้นขณะกำลังขับรถพร้อมฟังเพลง The Look of Love ของ เบิร์ท บาคารัค นักดนตรีและคนทำสกอร์หมุดหมายหนึ่งแห่งยุค Swinging London ด้วยหนังอย่าง Alfie (1966) กับ Butch Cassidy and the Sundance Kid (1970) จากไม่กี่นาทีของเพลงแสนรื่นหูนั้น มายเออร์สดำริชุบชีวิตและวิญญาณของ Swinging London ให้กลับมาอีกครั้ง นั่นจึงเป็นเหตุให้พล็อตของภาคแรก Austin Powers: International Man of Mystery จึงว่าด้วยสายลับและวายร้ายจากอังกฤษยุค 60 ที่ฟรีซตัวเองไว้สามสิบปี เพื่อนำจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยกลับมาอีกครั้งในปี 1997 ที่หนังฉาย 

Swinging London เป็นการปลดแอกทางวัฒนธรรมของหนุ่มสาวอังกฤษหลังจากสถานการณ์อันตึงเครียดของสงครามอันยาวนาน งานศิลปะที่เป็นภาพแทนยุคเบ่งบานของมันก็ได้แก่ ภาพถ่ายของ เดวิด ไบลีย์, เทอร์เรนซ์ โดโนวาน และ ดัฟฟี่ ที่มาพร้อมนางแบบของพวกเขา จีน ชริมป์ตัน, ซีเลีย แฮมมอนด์ และ พอลีน สโตน ซึ่งภาพเหล่านี้ก็สะท้อนแนวทางแฟชั่นของสาวๆ ยุคนั้น ก่อนที่ต่อมามันจะส่งอิทธิพลข้ามไปถึงนิวยอร์คกับ แอนดี้ วอร์ฮอล 

ภาพถ่าย จีน ชริมป์ตัน โดย เดวิด ไบลีย์

ทวิกกี้ คือนางแบบชาวอังกฤษที่เป็นไอคอนแห่งยุคนั้น เธอมาพร้อมผมบ๊อบดวงตาแป๊วที่เกิดจากการติดขนตาทั้งบนและล่าง และยุคนั้นยังมีมินิสเกิร์ตกับบูตยาวเลยเข่า เสื้อผ้าลายเรขาคณิตสีสันจัดจ้าน กับแฟชั่นแบบม้อด ทางฝั่งผู้ชายก็มีภาพลักษณ์แบบ เดอะบีเทิลส์ เป็นต้นแบบ กับผมหน้าม้าและจิตวิญญาณความเป็นศิลปิน ส่วนหนังที่เป็นภาพแทนได้อย่างดีก็คือ Blow-Up หนังปี 1966 ของ มิเกลอันเจโล อันโตนิโอนี ที่อิมพอร์ตจากอิตาลีมาทำหนังทริลเลอร์ในแวดวงช่างภาพแฟชั่นอังกฤษ ที่มาพร้อมสไตล์อันจัดจ้านของ Swinging London อย่างสมบูรณ์ จนเป็นหนึ่งในหนังที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการแฟชั่นโลกในเวลาต่อมา 

ทวิกกี้ นางแบบไอคอนของ Swinging London
Blow-Up โดย มิเกลอันเจโล อันโตนิโอนี
เดอะ บีเทิลส์ ไอคอนแห่ง Swinging London

ขณะที่ Blow-Up เป็นหนังซึ่งสะท้อนสภาพแวดล้อมและแฟชั่นแห่งยุค หนังที่วิพากษ์วิจารณ์สังคม Swinging London ได้แสบที่สุดคือ Darling ของ จอห์น ชเลซิงเกอร์ ที่ส่งให้ จูลี่ คริสตี้ คว้าออสการ์มาได้ เธอรับบทเป็นนางแบบที่ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของวงการแฟชั่นที่กำลังฟูเฟื่องด้วยความหิวกระหาย ฉากเปิดของหนังคือภาพบิลบอร์ดของเด็กผู้ยากไร้ที่ถูกแปะทับด้วยภาพสุดหรูของคริสตี้ ก่อนที่จะมีการประมูลวิกผมเครื่องประดับของเธอเพื่อไปช่วยเด็กในประเทศโลกที่สามอีกที มันสะท้อนมุมมองความฟู่ฟ่าแบบไม่แคร์โลกของยุคนั้นได้อย่างดี 

Darling โดย จอห์น ชเลซิงเกอร์

อย่างไรก็ตาม Darling ยังเป็นหนังแค่ไม่กี่เรื่องในยุคนั้นที่แสดงความร้ายกาจของผู้หญิงซึ่งสามารถกำหนดหนังทั้งเรื่องได้ นี่คือกุญแจสำคัญของยุค Swinging London ที่นอกจากจะเป็นความเบ่งบานทางแฟชั่นและศิลปะแล้ว มันยังสะท้อนเสรีภาพของผู้หญิงที่ลุกขึ้นมามีวิถีเป็นของตัวเอง ทั้งการทำงานและการแต่งตัว ดังจะเห็นได้ว่าแฟชั่นของผู้หญิงยุคนี้แสบไส้และหลากหลายกว่าฝั่งของผู้ชายนัก 

ย้อนกลับมาที่ Austin Powers ที่แม้จะฉาบหน้าด้วยความสัปดน และมุกตลกแบบเหยียดเพศ แต่มันก็สะท้อนจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยได้อย่างดีทั้งแฟชั่นและการพยายามคัดง้างของเพศชายที่จะดำรงไว้ซึ่งความเป็นใหญ่ มันจึงไม่ใช่หนังที่มอบเพียงความบันเทิงแต่ยังชุบชีวิตและจิตวิญญาณของ Swinging London ได้อย่างคมคายอีกด้วย 


ค่ายหนังและสตรีมมิ่งยืนหยัดเคียงข้างผู้ประท้วง Black Lives Matter

หลัง จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองมินนิแอโพลิส รัฐมินนิโซตา เข้าจับกุมที่ร้านสะดวกซื้อ และใช้เข่ากดลงที่คอจนเสียชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความโกรธแค้นแก่ประชาชนวงกว้าง และลุกลามจนเกิดจลาจลขึ้นในหลายเมืองของสหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ ตามมาด้วยการประกาศเคอร์ฟิวในหลายเมือง เหตุการณ์นี้กลายเป็นการขับเคลื่อนครั้งใหญ่ของอเมริกาเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ฟลอยด์ และกลายเป็นการต่อสู้เพื่อต่อต้านการเหยียดผิวอีกครั้งภายใต้แคมเปญ Black Lives Matter หรือ “ทุกชีวิตคนดำสำคัญ”

ในสถานการณ์เช่นนี้ ค่ายหนังและสตรีมมิ่งหลายรายพร้อมใจประกาศร่วมเคียงข้างผู้ประท้วงที่กำลังลุกฮือทั่วอเมริกาในขณะนี้

Netflix ทวีตข้อความว่า “การนิ่งเฉยคือการยอมรับ เรามีช่องทางของเรา เรามีคนดำเป็นสมาชิก, พนักงาน, นักคิด และศิลปิน อยู่มากมาย ดังนั้นเราจึงสนับสนุนให้พวกเขาได้แสดงจุดยืน”

Youtube ทวีตข้อความว่า “เรายืนหยัดหนักแน่นที่จะต่อต้านการเหยียดชาติพันธุ์และความรุนแรง เมื่อมีคนในครอบครัวเราเจ็บ เราจะเจ็บไปด้วยกัน ดังนั้นเราขอสมทบทุน 1 ล้านเหรียญฯ เพื่อต่อสู้กับความอยุติธรรมนี้ในสังคม”

Hulu ค่ายสตรีมมิ่งในเครือของดิสนีย์ก็ทวีตว่า “เราสนับสนุนคนดำทุกชีวิต ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน เรามองเห็น เรารับฟัง และเราอยู่กับคุณเสมอ”

HBO, HBO Max, TBS และ TNT พร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อทวิตเตอร์เป็น #BlackLivesMatter โดย HBO ทวีตข้อความว่า “‘ความรักและความหวาดกลัวไม่เคยทำให้เรามืดบอด แต่ความนิ่งเฉยต่างหากที่ทำให้เรามืดบอด’ – เจมส์ บาลด์วิน…ขอยืนหยัดกับเพื่อนผิวสีของเรา ทั้งเพื่อนร่วมงาน คนดู และคนทำหนังทุกคน ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงไร้สตินี้”

Amazon Studio ขึ้นทั้งทวิตเตอร์และอินสตาแกรมว่า “เราขอร่วมเคียงข้างกับเพื่อนผิวดำทุกคน ทั้งศิลปิน, นักเขียน, นักเล่าเรื่อง, โปรดิวเซอร์, ผู้ชม และพันธมิตรทั้งหมดของเรา เพื่อต่อสู้กับการเหยียดชาติพันธุ์และการใช้ความรุนแรง”

Starz ช่องเคเบิลในเครือ Liongates ออกแถลงการณ์ผ่านอินสตาแกรมว่า “เราไม่สามารถนิ่งเฉยได้เมื่อเพื่อนคนดำของเราถูกกระทำอย่างรุนแรง ถูกเลือกปฏิบัติ และไม่ได้รับความเป็นธรรม Color of Change กับ NAACP คือองค์กรที่เป็นแกนนำต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เราขอสนับสนุนในภารกิจของพวกเขา และคุณก็ร่วมกับเราได้เช่นกัน”

Quibi แพลตฟอร์มวิดีโอในอเมริกา เปลี่ยนข้อมูลในทวิตเตอร์ตัวเองเป็น “เราขอต่อสู้กับความอยุติธรรมไปด้วยกัน #BlackLivesMatter”

TikTok แถลงผ่านทวิตเตอร์ว่า “ที่ TikTok เราให้ค่ากับเสียงที่หลากหลายของผู้ใช้งาน, นักคิด, ศิลปิน, คู่ค้า และพนักงาน เรายืนเคียงข้างคนดำและภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมขับเคลื่อน #blacklivesmatter กับ #georgefloyd อันทรงพลังจนมีผู้ชมกว่า 1 พันล้านวิว เรายืนหยัดที่จะสร้างพื้นที่เพื่อการแสดงออกให้ทุกคนเห็นและได้ยิน”

Twitch ทวีตข้อความว่า “คนดำทนทุกข์กับการกดทับทางชาติพันธุ์มานานเกินไปแล้ว เราไม่สามารถมีความสุขในชุมชน Twitch ของเราได้ และไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ถ้ายังมีคนเจ็บปวดอยู่ ขอให้คุณมารวมตัวกันและยืนหยัดเพื่อชีวิตคนดำ อย่าปล่อยให้ความอยุติธรรมในวันนี้ขัดขวางการสร้างอนาคตที่ดีกว่าของเรา”

ขณะที่เยาวชนของเราเรียนรู้ว่าเราเป็นประเทศที่ “เสรีและเท่าเทียมสำหรับทุกคน” แต่สิ่งที่เราเห็นจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และหากเราสัตย์ซื่อต่อตัวเองมากพอ ก็จะเห็นช่องว่างของความเท่าเทียมที่มีอยู่จริง

และ จิม เกียโนปูลอส ประธานสตูดิโอพาราเมาท์ ส่งจดหมายเวียนภายในองค์กรด้วยเนื้อหาดังต่อไปนี้

“ถึงเพื่อนร่วมงานทุกคน

สิ่งที่เกิดขึ้นทั่วประเทศในขณะนี้ เรากำลังเป็นสักขีพยานแห่งการแสดงออกซึ่งความเจ็บปวดที่พวกเขาทนทุกข์มาปีแล้วปีเล่า การเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์, อาห์มอด อาร์เบอรี่ และ บรีออนน่า เทย์เลอร์ ที่ถูกสังหารเพราะความแตกต่างของสีผิว นำไปสู่ความโกรธแค้นทางสังคมอันเนื่องมาจากความไม่เป็นธรรมในเชื้อชาติ

ขณะที่เยาวชนของเราเรียนรู้ว่าเราเป็นประเทศที่ “เสรีและเท่าเทียมสำหรับทุกคน” แต่สิ่งที่เราเห็นจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และหากเราสัตย์ซื่อต่อตัวเองมากพอ ก็จะเห็นช่องว่างของความเท่าเทียมที่มีอยู่จริง ดังที่ ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้กล่าวไว้ “ความอยุติธรรมเป็นภัยคุกคามโดยสมบูรณ์ต่อความยุติธรรม” คำพูดดังกล่าวยังใช้เตือนใจเราได้เสมอว่าเราต้องต่อสู้แค่ไหนเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับทุกคนอย่างแท้จริง เพราะทุกวันนี้ยังมีคนดำอีกมากมายที่ถูกขโมยลมหายใจไปจากพวกเขา

ในฐานะเพื่อนร่วมชาติ ความเจ็บปวดและโกรธแค้นยังไม่สาสม โครงสร้างทางสังคมของเราที่ก่อร่างขึ้นมาเพื่อรองรับความเท่าเทียมได้ถูกทำลายลง เป็นความรับผิดชอบของพวกเราทุกคน จงเปล่งเสียงให้ดังยิ่งขึ้นเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสที่จะได้ตั้งคำถามต่อตัวเองถึงความเชื่อมั่นในตัวตนของเรา สำรวจตัวเองว่าเราจะเป็นพลเมืองที่ดีขึ้นได้อย่างไร เราต้องดีขึ้นด้วยการนำทางของความรักและมนุษยธรรม

ผมเข้าใจดีว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากของทุกคน เพราะท่ามกลางการระบาดของเชื้อโรคที่ยังคงไม่คลี่คลาย จงมั่นใจว่าเราจะยังอยู่ตรงนี้เพื่อคุณ เป็นชุมชนและบริษัทที่มั่นคง และจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยการยึดมั่นในความหลากหลายและเป็นธรรม

ขอให้ทุกท่านดูแลตัวเองและครอบครัว แล้วเราจะผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน

ด้วยความจริงใจ

จิม”


ที่มา : Netflix, Hulu, Amazon, HBO and Paramount Take a Stand in Support of Black Lives Matter Movement Amid George Floyd Protests

The Last Dance …การเริงระบำครั้งสุดท้ายของทีมบาสเกตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของศตวรรษ

ไม่เกินเลยนักหากเราจะบอกว่า ท่ามกลางสารคดีสำรวจโลกกีฬา The Last Dance -ที่ว่าด้วยความรุ่งเรืองและแตกดับของทีมบาสเกตบอล ชิคาโก บูลล์ส ช่วงยุค 90- น่าจะติดอันดับหนึ่งในสารคดีที่งดงามในฐานะที่สำรวจเส้นทางความสำเร็จอันเดือดดาลของบูลล์ส เท่าๆ กับที่มันอื้อฉาวเมื่อกระชากให้เห็นความดำมืด ความทะเยอทะยานและบาดแผลของนักกีฬาผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าแห่งโลกบาสเกตบอลอย่าง ไมเคิล จอร์แดน ถึงขั้นที่ว่า ภายหลังจากสารคดีฉายจบทั้งสิบเอพิโซด อดีตผู้จัดการจนถึงเพื่อนร่วมทีม ทั้งที่อยู่และไม่อยู่ในสารคดี ออกมาสาปแช่งทั้งตัวผู้กำกับและซับเจ็กต์ในหนังฐานพูดจาเลอะเทอะ บิดเบือนอดีต

นั่นก็อาจเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันต่อไปบนฐานข้อเท็จจริง แต่ที่ปฏิเสธได้ยากคือ The Last Dance ทำหน้าที่เป็นสารคดีอย่างทรงพลังและงดงาม ภายใต้การกำกับอันแสนทุ่มเทของ เจสัน แฮห์ร คนทำหนังสารคดีที่แจ้งเกิดจาก 30 for 30 ว่าด้วยช่องกีฬาชื่อดังอย่าง ESPN และสังเวียนการต่อสู้ของลีกต่างๆ

The Last Dance มินิซีรีส์ความยาวสิบตอนจบที่ออกฉายทางช่อง ESPN จับจ้องไปยังห้วงเวลาอันสุกปลั่งของบูลล์ส ภายใต้การนำทัพของไมเคิล จอร์แดน นักกีฬาผู้ได้ชื่อว่าเก่งกาจและทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลกบาสเกตบอลตลอดกาล และเหล่าเพื่อนร่วมทีมกับโค้ชที่ได้ชื่อว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ ที่สุดแห่งยุคสมัย จนเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่ส่งให้บูลล์สคว้าแชมป์ได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1991 -ภายหลังจากจอร์แดนเข้ามาร่วมทีมได้เจ็ดปี- ตัดสลับไปยังเส้นเรื่องดราม่าฉาวโฉ่ระหว่างนักกีฬากับผู้จัดการ นักกีฬากับแฟนๆ ตลอดจนนักกีฬากับนักกีฬาด้วยกันเอง 

ไมเคิล จอร์แดน (ซ้าย) กับผู้กำกับ เจสัน แฮห์ร (ขวา)

ทั้งหมดนี้ กลไกสำคัญอย่างหนึ่งที่ส่งให้ The Last Dance เป็นหนึ่งในสารคดีที่ประสบความสำเร็จในการเก็บเกี่ยวช่วงเวลาทองได้มากที่สุด คือการที่ทีมงานจาก ESPN ได้สิทธิ์ถือบัตรทองในการตามถ่ายสมาชิกทีมบูลล์สในยุค 90 ตลอดจนการฝึกซ้อมและการลงแข่งทุกนัดแบบริงไซด์ ซึ่งแม้ด้านหนึ่งจะทำให้พวกเขาได้ข้อมูลลึกลับที่เก็บดองเตรียมมาทำเป็นสารคดีนานกว่ายี่สิบปี แต่อีกด้านหนึ่ง มันคือฟุตเตจจำนวนมหาศาลที่เฮห์รต้องคัดเลือกมาเล่าให้ได้เฉลี่ยตอนละหกสิบนาที โดยให้ครบเส้นเรื่องและไม่เถลไถลออกนอกโครงที่วางไว้แต่แรก

แฮห์รพบว่า สิ่งที่รอให้เขาสะสางคือฟุตเตจความยาว 500 กว่าชั่วโมง อันเกิดจากการตามถ่ายไมเคิล จอร์แดนและชาวบูลล์สช่วงปี 1997 แบบใกล้ชิดสุดขีด และเพื่อจะได้ไม่ให้มันกลายเป็นสารคดีที่ยืดเยื้อ ฟุ้งถึงความยิ่งใหญ่ของจอร์แดนและชิคาโก้ บูลล์ส แฮห์รจึงต้องร่างเส้นเรื่องที่เขาอยากเล่าขึ้นมาจากการไล่ทำความรู้จักซับเจ็กต์แต่ละคนที่ทั้งอยู่และไม่ได้อยู่ในเรื่อง โดยเฉพาะหัวใจสำคัญอย่างจอร์แดน “เขาเล่าว่า เขาไม่เคยจินตนาการเห็นตัวเองในสภาพที่ไม่อยู่ในจุดรุ่งเรืองที่สุดได้เลย” แฮห์รเล่า และนั่นจึงเป็นใจกลางของ The Last Dance ที่ประกอบด้วยความทะเยอทะยานอันไร้ขีดจำกัดของนักกีฬา ความดำมืด ความบ้าระห่ำมุทะลุและความอารีอารอบที่เราได้เห็นในสารคดี ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากว่าแฮห์รไม่เข้าใจและไม่รู้จักซับเจ็กต์ได้ละเอียดมากพอ

ใจกลางของ The Last Dance ประกอบด้วยความทะเยอทะยานอันไร้ขีดจำกัดของนักกีฬา ความดำมืด ความบ้าระห่ำมุทะลุและความอารีอารอบ ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากว่าหนังไม่เข้าใจและไม่รู้จักซับเจ็กต์ละเอียดมากพอ

สารคดีเปิดด้วยการแนะนำสมาชิกทีมบูลล์สยุครุ่งเรืองสุดขีดในปี 1997 -อันเป็นปีสุดท้ายที่พวกเขาคว้าแชมป์มาได้ก่อนแตกสลายจากการเป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในลีก- ไมเคิล จอร์แดน ชายผู้เป็นเสมือนแม่ทัพของทีม, สก็อตตี พิพเพน ‘พระรอง’ ที่เป็นเสมือนหนึ่งลมใต้ปีกของจอร์แดน และ เดนนิส ร็อดแมน ราชารีบาวด์จอมมุทะลุผู้ให้ความเคารพจอร์แดนยิ่งกว่าใคร โดยท่ามกลางความสำเร็จอันเรืองรองนี้ ตัวละครหนึ่งที่หลายคนไม่ค่อยรู้จักคือ  เจอร์รี เคราส์ ผู้จัดการทีมร่างเล็กที่ฉลาดเป็นกรดและมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพาทีมให้มาถึงจุดสูงสุดนี้ได้ แต่ในทางกลับกัน เคราส์คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้บูลล์สชุดแข็งแกร่งที่สุดชุดนี้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเขาตั้งมั่นจะโยกย้ายผู้เล่นให้ไปอยู่ในทีมอื่นเพื่อเพิ่มมูลค่า นำมาสู่จุดแตกหักทั้งจากภายในทีมและระหว่างตัวเขากับนักกีฬาเอง

ส่วนตัวคิดว่าสิ่งหนึ่งที่แฮห์รและทีมงานทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ คือ การดึงเอาห้วงอารมณ์เปราะบางที่เราไม่ค่อยได้เห็นนัก ทั้งจากจอร์แดน, พิพเพน หรือแม้แต่โค้ชอย่าง ฟิล แจ็คสัน เองก็ตามออกมาได้ทรงพลังเหลือเกิน เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือการที่แม้แต่ละคนจะเล่าไปแตะประเด็นส่วนตัวอันอ่อนไหว (ครอบครัวที่ต้องกัดฟันดิ้นรนของพิพเพน หรือพ่อผู้จากไปของจอร์แดน) แต่หนังเลือกให้คนดูเห็นช่วงเวลาที่อารมณ์ของซับเจ็กต์สั่นคลอนมากที่สุดเมื่อพวกเขาเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาต้องแลกมากับความรุ่งโรจน์และความสำเร็จใจอดีต ชัดเจนที่สุดคือเมื่อจอร์แดนในปัจจุบัน -วัย 57 ปี- เล่าถึงความเอาเป็นเอาตายของเขาในช่วงยุค 90 อันเป็นช่วงเวลาทองของเขา ภายใต้ชื่อเสียงและชัยชนะ เขายอมรับว่าเขาแลกกับมันไปมหาศาล ไม่ใช่แค่การฝึกซ้อมอย่างบ้าระห่ำ แต่มันหมายรวมถึงมิตรภาพและความบาดหมางระหว่างตัวเขาเองกับลูกทีม นำมาสู่เสียงหยาดน้ำตาที่เห็นได้ชัดว่าเขากลั้นมันไว้อย่างเต็มที่ก่อนจะเอ่ยปาก “ขอพัก” ซึ่งทีมงานตัดมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหนังได้อย่างทรงพลัง

คู่ขนานกันกับอารมณ์กันอ่อนไหว (ซึ่งไม่ค่อยปรากฏให้เห็นได้บ่อยๆ นักในนักกีฬาอาชีพ) คือด้านความแสบสันต์และดำมืดในแวดวงบาสเกตบอล ทั้งที่เป็นที่รู้กันอยู่แล้วและเป็น ‘ข่าวลือ’ ซุบซิบในหน้าหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะ ไอเซย์ โธมัส นักกีฬาไม้เบื่อไม้เมาของจอร์แดนที่ว่ากันว่า ถูกกีดกันไม่ให้ลงเล่นในนามทีมชาติโอลิมปิกเพราะไม่ถูกกับจอร์แดน นำมาสู่บทสัมภาษณ์อันเผ็ดร้อนของทั้งสองฝั่งเมื่อพวกเขาหวนรำลึกสู่อดีต

หนังไม่มีท่าทีประนีประนอมกับภาพลักษณ์ที่นักกีฬาแต่ละคนสั่งสมมานัก โดยเฉพาะกับจอร์แดนซึ่งเป็นเสมือนใจกลางบทสัมภาษณ์ ก่อนนี้โลกรู้จักเขาในนามนักกีฬาน้ำดีฝีมือเก่งกาจ และ The Last Dance อาจเป็นการฉีกภาพลักษณ์นั้น

หนังไม่มีท่าทีประนีประนอมกับภาพลักษณ์ที่นักกีฬาแต่ละคนสั่งสมมานัก โดยเฉพาะกับจอร์แดนซึ่งเป็นเสมือนใจกลางบทสัมภาษณ์ ก่อนนี้โลกรู้จักเขาในนามนักกีฬาน้ำดีฝีมือเก่งกาจ และ The Last Dance อาจเป็นการฉีกภาพลักษณ์นั้นเป็นครั้งแรกๆ ด้วยการเผยให้เห็นด้านมืดของความทะเยอทะยาน ความอยากเอาชนะจนข้ามขีดจำกัด เรื่อยไปจนถึงการยั่วเย้า กลั่นแกล้งคนในทีม ทั้งการล้อเลียนส่วนสูงของผู้จัดการที่เหม็นหน้ากันมาอย่างยาวนาน, การฉีกหน้าเพื่อนนักกีฬาจากยุโรปเพียงเพื่อจะทำให้เห็นว่าตนมีดีกว่า ตลอดจนความแค้นเคืองอันเกิดจากการคิดเล็กคิดน้อย (แน่นอนว่าหากมองผ่านสายตาคนนอก) จนไม่แปลกใจนักที่จอร์แดนจะเกริ่นไว้ตั้งแต่ก่อนสารคดีออกฉายว่า “หากคุณดูสารคดีเรื่องนี้จบแล้ว คุณอาจจะเกลียดผมไปเลยก็ได้”

ท้ายที่สุด ชิคาโก้ บูลล์ส ในฤดูกาล 1997 คือทีมที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย -ไม่แน่ว่าอาจจะดีเยี่ยมมากที่สุดเท่าที่เคยมีการก่อตั้งทีมบาสเกตบอลขึ้นมา- แต่สิ่งหนึ่งที่สารคดีนี้ทิ้งท้ายไว้ได้อย่างเหมาะเจาะและงดงามคือ ชิคาโก บูลล์ส ยุคนั้นกลายเป็นอดีตไปแล้ว และไม่อาจหวนกลับมาได้อีก ถ้วยแชมป์ปี 1998 คือถ้วยสุดท้ายที่บูลล์สได้ถือครอง นับจากนั้น ไม่ว่าจะพยายามฟอร์มทีมอีกเท่าไหร่ พวกเขาก็ยังไม่อาจหาสมาชิกและโค้ชที่ทรงพลังเท่าครั้งปลายยุค 90 นั้นได้ และมันก็กลายเป็นเพียงเรื่องราวที่เหล่านักกีฬาเกษียณอายุในวันนี้ เล่าถึงมันด้วยแววตารักใคร่ แค้นเคือง หรือแม้แต่โหยหาใน The Last Dance


ชม The Last Dance ได้ที่ Netflix

เมื่อการเมืองถูกลากเข้าสู่วงการหนัง เรื่องวุ่นๆ ที่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างฮอลลีวูดกับประเทศจีนก็เกิดขึ้น

ข่าวคราวที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการธุรกิจภาพยนตร์ในช่วงเวลานี้ คงไม่มีข่าวไหนเกินรายงานที่ว่า เท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกัน ได้ออกมาประกาศเมื่อเดือนที่แล้วว่า จะเร่งผลักดันกฎหมายที่ห้ามไม่ให้ภาพยนตร์อเมริกันที่ได้รับการสนับสนุนจากทางกระทรวงกลาโหม (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังสงครามที่ต้องใช้อุปกรณ์ของกองทัพเข้าฉาก รวมถึงทุนสร้างบางส่วน) ได้เข้าฉายในจีนหากต้องถูกเซ็นเซอร์จากทางการจีน ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา ครูซได้ขยายขอบเขตการสนับสนุนจากแค่กระทรวงกลาโหมไปเป็นทุกกระทรวงของรัฐบาลอเมริกัน

มูลเหตุของความยั้วะของครูซ (ซึ่งไม่มีความเกี่ยวพันกับ ทอม ครูส) เกิดจากการที่เขาพบว่าหนังเรื่อง Top Gun: Maverick ซึ่งเป็นหนังร่วมสร้างระหว่างพาราเมาท์พิคเจอร์สกับบริษัท Tencent ของจีน และแน่นอนว่าต้องได้รับการอนุเคราะห์จากกองทัพเรือสหรัฐด้วย ผู้สร้างต้องลบธงชาติไต้หวันและญี่ปุ่นออกเพื่อไม่ให้ระคายเคืองต่อกองเซ็นเซอร์ของจีน “สิ่งที่สื่อออกมาอย่างชัดเจนก็คือ มาเวอร์ริค (ชื่อตัวละครของ Top Gun ที่เล่นโดยพี่ทอมของเรา) ซึ่งเป็นไอคอนของคนอเมริกันต้องหงอจีนคอมมิวนิสต์ อย่างนั้นหรือ?” ครูซถามในวุฒิสภาอย่างมีอารมณ์

เท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกัน

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ เรื่องธุรกิจหนัง (ซึ่งใครๆ ก็รู้กันดีว่า จีนเป็นตลาดสำคัญของอเมริกา) ถึงถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองได้ แต่ถ้าใครได้ติดตามการเมืองระหว่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะความขัดแย้งรอบใหม่ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาที่เริ่มมาจากการกล่าวหาไปมาว่าใครกันแน่เป็นผู้แพร่เชื้อโรคโควิด 19 ลามมาจนถึง เรื่องชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ ตามมาด้วยเรื่องไต้หวัน และฮ่องกง จะพบว่าการลากทุกอย่างให้เป็นการเมืองของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมพ์นั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และการเมือง

อีกทั้งการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ที่ดูเหมือนทรัมพ์จะแบเบอร์มาโดยตลอด ก็เริ่มจะไม่สดใสเสียแล้ว เมื่ออเมริกันชนจำนวนไม่น้อยซึ่งรวมถึงผู้ที่สนับสนุนเขา เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำของเขา เมื่อเป็นดังนี้ทรัมพ์จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหาศัตรูร่วมของคนทั้งชาติเพื่อสร้างจิตสำนึกความเป็นหนึ่งเดียวในประเทศอีกครั้ง 

อย่างไรก็ตาม ท่าทีอันเกรี้ยวของครูซ รวมถึงข้อเสนอที่ถึงขั้นออกเป็นกฎหมายใช้บังคับ ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จากสตูดิโอของฮอลลีวูด แถมยังถูกสัพยอกอย่างไม่ไยดี “พวกเขาจะทำอะไรกันน่ะ เรียกร้องให้เราต้องส่งบทให้ตรวจก่อนงั้นหรือ? ไม่เอาน่า” ผู้บริหารสตูดิโอรายหนึ่งกล่าว “ถ้าคุณต้องบีบให้สตูดิโอเลือกระหว่าง การสนับสนุนจากรัฐบาล หรือ เงินจากนายทุนจีน” ฟิลลิป แฟง นักสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นแสดงทัศนะ “แน่นอนพวกเขาต้องเลือกอย่างหลังอย่างไม่ต้องสงสัย”

เหตุใดตลาดจีนจึงมีความสำคัญต่อฮอลลีวูด

แน่นอนว่า คำตอบแรกคือ ความใหญ่ในระดับมหึมาของตลาดภาพยนตร์จีน จากรายงานของสมาคมภาพยนตร์อเมริกา (Motion Picture Association) ระบุว่าในปี 2019 รายได้บ็อกซ์ออฟฟิศของจีนตลอดทั้งปีคิดเป็นจำนวนเงิน 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นรองแค่สหรัฐอเมริกาที่ยอดขายบัตรในปีเดียวกันคิดเป็น 11,000 ล้านเหรียญ ขณะที่จำนวนคนดูในประเทศจีน จากการสำรวจของ สถาบันภาพยนตร์อังกฤษ (British Film Institute) ในปี 2018 สูงกว่าทุกที่ในโลกนี้ด้วยจำนวนเกือบ 1,800 ล้านคน (จำนวนคนดูหนังตลอดทั้งปีในอเมริกามีเพียงแค่ 1,200 ล้านคนเท่านั้น ดังนั้น ตลาดภาพยนตร์จีนจึงเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ล้ำค่าที่บริษัทภาพยนตร์ในอเมริกาไม่สามารถเมินเฉยได้

นอกจากนี้ ระบบการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศจีนยังมีความซับซ้อน เนื่องจากตามกฎหมายของจีน รัฐบาลกำหนดโควตาสำหรับภาพยนตร์ต่างประเทศที่จะฉายในจีนเพียงแค่ 36 เรื่องเท่านั้น และมีเพียงแค่สองบริษัทที่มีสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ต่างประเทศได้ ประกอบด้วย บริษัท China Film Group และ บริษัท Huaxia Distribution ซึ่งทั้งสองบริษัทเป็นของรัฐบาล ดังนั้น ถ้าจะทำให้หนังได้มีโอกาสฉายแน่นอนโดยไม่ต้องผ่านระบบโควตา มีอยู่ทางเดียวก็คือ ทำให้หนังได้มีสัญชาติจีนเสียด้วยการหาพาร์ตเนอร์จีนมาร่วมลงทุนซะ

ด้วยเหตุนี้บริษัทสตูดิโอหลายแห่งจึงจับมือกับบริษัทผลิตภาพยนตร์รายใหญ่ของจีน ร่วมกันผลิตภาพยนตร์ขึ้นมา เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Transformer: Age of Extinction ซึ่งเป็นการร่วมทุนสร้างระหว่างบริษัท พาราเมาท์ พิคเจอร์ส กับ บริษัท Jiaflix Enterprise และ China Movie Channel จากประเทศจีน ภาพยนตร์เรื่อง Warcraft (2016) ซึ่งร่วมทุนระหว่าง บริษัทยูนิเวอร์แซล กับบริษัท Huayi แห่งประเทศจีน (หนังล้มเหลวในอเมริกา แต่ทำรายได้มากมายในจีน) และล่าสุด Top Gun : Maverick ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทพาราเมาท์ พิคเจอร์สกับ บริษัท Tencent ประเทศจีน  

เซ็นเซอร์ เงื่อนไขที่ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้ว่าบริษัทอเมริกันสามารถหาทางเลี่ยงกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนของระบบโควตาไปได้ แต่พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกเซ็นเซอร์ไปได้ เพราะตามกฎของรัฐบาลจีน ภาพยนตร์ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์จีนหรือภาพยนตร์ต่างประเทศ ต้องผ่านการตรวจพิจารณาโดยสำนักบริหารสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ ภาพยนตร์และโทรทัศน์ หรือ The State Administration of Radio, Film and Television (SARFT) เสียก่อนถึงจะมีโอกาสได้ฉาย ดังนั้นการที่ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Top Gun: Maverick  จะต้องลบธงชาติไต้หวัน หรือ ญี่ปุ่น ก็คงไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากทำให้หนังผ่านเซ็นเซอร์ให้ได้ อนึ่ง นอกจาก Top Gun: Maverick ที่โดนบีบให้ต้องแก้ไขรายละเอียดก่อนยืนให้เซ็นเซอร์พิจารณาแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีหนังฮอลลีวูดฟอร์มใหญ่ที่ถูกสั่งให้แก่ไขบางส่วนของหนังหลายเรื่องเหมือนกัน อาทิ Iron Man 3 ที่ผู้สร้างต้องเพิ่มฉากเกี่ยวกับประเทศจีนที่ยาวประมาณ 4 นาที หรือหนังเรื่อง Cloud Atlas ที่ถูกสั่งตัดฉากร่วมรักระหว่างตัวละครเพศเดียวกัน เป็นต้น แม้ว่าการเซ็นเซอร์จะขัดกับหลักการประชาธิปไตยตามมุมแบบอเมริกัน แต่สตูดิโอหลายแห่งไม่ได้มองเป็นเรื่องสำคัญเท่ากับรายได้ที่จะเกิดขึ้น

วกกลับมาที่เท็ด ครูซ อีกครั้ง แม้ว่าจุดยืนในการแบนประเทศจีนเรื่องเซ็นเซอร์หนังของเขาจะฟังดูน่าขบขัน แต่คนในวงการหนังก็ประมาทไม่ได้ เพราะหลังๆ ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับจีนบางร่าง ก็ผ่านสภาอย่างเป็นเอกฉันท์มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีน กรณีปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยในมณฑลซินเจียง หรือล่าสุดกับการเพิกถอนบริษัทต่างชาติออกจากตลาดหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ที่ว่ากันว่าออกมาเพื่อเล่นงานจีนโดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจภาพยนตร์ หากสุดท้ายร่างกฎหมายที่ชื่อว่า พระราชบัญญัติหยุดยั้งการเซ็นเซอร์ ฟื้นฟูบูรณภาพ และปกป้องภาพยนตร์ (Stopping Censorship, Restoring Integrity and Protecting Talkies Act) ผ่านสภาได้ ถึงตอนนั้น เราอาจเห็นสิ่งที่ ฟิลลิป แฟง นักสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นทำนายเอาไว้ว่า “ถ้าหากกฎหมายผ่านได้ ก็เท่ากับว่าในอนาคตเราคงได้เห็นหนังอเมริกันที่สร้างด้วยทุนจีน โดยที่รัฐอเมริกันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็เป็นได้ เป็นจริงก็ได้

อ้างอิง

ครบรอบ 10 ปี Alan Wake : เกมสยองขวัญกับการเล่าเรื่องแบบทีวีซีรีส์

14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 คือวันที่เกม Alan Wake วางจำหน่ายเป็นครั้งแรก ในวาระครบรอบ 10 ปี ทางแชนเนลยูทูบ Ars Techinca ได้ลงคลิปชื่อ “How Alan Wake Was Rebuilt 3 Years Into Development” เล่าเบื้องหลังเกี่ยวกับการสร้างเกมทั้งเก่าและใหม่

มีการสัมภาษณ์ Sam Lake มือเขียนบทของค่ายเกม Remedy (เป็นนักเขียนบทเกมที่ผมชื่นชอบมากๆ คนหนึ่ง ผลงานสร้างชื่อของเขาคือ Max Payne) เขาเล่าเบื้องหลังการสร้างเกม Alan Wake ซึ่งเป็นเกมที่ผมชอบมากๆ เกมหนึ่ง เนื่องจากมันมีวิธีเล่าเรื่องที่น่าจดจำ เกมเพลย์ที่สนุก มีบรรยากาศที่คล้ายซีรีส์ Twin Peaks ของ David Lynch และเรื่องสยองขวัญสไตล์ Stephen King

เกมจะให้เราสวมบทบาทเป็น Alan Wake นักเขียนนิยายสยองขวัญระดับเบสต์เซลเลอร์ที่เกิดภาวะสมองตัน เขียนหนังสือไม่ได้มาสองปีแล้ว เขาจึงพาภรรยาไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศที่เมืองเล็กๆ ชื่อ Bright Fall แต่ระหว่างทางเขาก็ฝันร้ายว่าเขาตกอยู่ในมิติมืดอันน่ากลัว มีบางอย่างในความมืดพยายามจะทำร้ายเขา สิ่งเดียวที่ช่วยให้เขาเอาตัวรอดได้มีแต่แสงไฟจากไฟฉายและหลอดไฟเท่านั้น และเมื่อเขาตื่นขึ้นก็พบว่าฝันร้ายนั้นไม่ได้เป็นเพียงฝันร้าย ภรรยาของเขาหายตัวไปและมีพลังงานลึกลับบางอย่างที่จะชิงแสงสว่างไปจากเมืองจริงๆ ที่น่าตกใจคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายอย่างนั้นคล้ายกับนิยายที่เขาเขียน เขาจึงต้องต่อสู้กับอำนาจมืดลึกลับที่ทำให้เรื่องแต่งของเขากลายเป็นจริง

ความโดดเด่นของ Alan Wake คือการเล่าเรื่องที่หยิบยืมสไตล์ของซีรีส์โทรทัศน์ในอเมริกามาใช้ในการเล่าเรื่องโดยแบ่งเป็น Episode โดยในแต่ละ Episode นั้นก็จะมี Previously on Alan Wake, Intro Title, Ending Title, Next on Alan Wake รวมถึงโครงสร้างการเล่าเรื่องที่มี Plot ของ Episode มีต้น-กลาง-จบของตอน และท้ายตอนก็จะจบแบบ Cliffhanger เพื่อให้คนดูลุ้นติดตามต่อใน Episode ต่อไป

และไม่ได้หยิบมาแค่ฟอร์มของทีวีซีรีส์ แต่ทั้งบรรยากาศและตัวละครต่างๆ ก็คล้ายกับกับซีรีส์อเมริกา ทั้งบรรยากาศเมืองเล็กๆ แบบใน Twin Peaks หรือมีตัวละครขาประจำของซีรีส์ที่เน้น setting ในเมืองอย่าง นายอำเภอ สาวเสิร์ฟร้านกาแฟ เจ้าของโรงแรม เจ้าของร้านชำ ทำให้เราได้มีโอกาสสำรวจตัวเมืองในเกม ค่อยๆ รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองตอนกลางวัน ก่อนจะเข้าสู้เพื่อเอาตัวรอดในช่วงกลางคืน ไม่มีการสร้างบรรยากาศความน่ากลัวแบบตุ้งแช่หรือ Jump Scare ในเกม แต่จะให้ผู้เล่นตกอยู่ในสภาวะกดดันและดิ้นรนเอาตัวรอดจากความมืดที่ตามล่า ไฟฉายที่ฉายนานๆ ก่อนจะอ่อนกำลังลงจนทำอะไรศัตรูไม่ได้ หรือเมื่อกระสุนหมดก็ต้องวิ่งหาแสงไฟเพื่อเอาชีวิตรอด Alan Wake จึงเป็นประสบการณ์การเล่นและเล่าเรื่องที่ค่อนข้างสดใหม่และไม่มีใครเหมือน โดยทาง Remedy ได้ให้คำจำกัดความเกมของเขาไว้ว่า “the mind of a psychological thriller and the body of a cinematic action game put together.”

จากการที่ดูคลิปสัมภาษณ์ Sam Lake ก็ได้รู้ว่าการเขียนบทให้วิดีโอเกมส์นั้นต้องคิด Story Telling ควบคู่ไปพร้อมๆ กับ Mechanic Design ของเกม เขาใช้เวลาลองผิดลองถูกในการวางคอนเสปต์ของเรื่องมามากมายหลายทาง จนไปเจอคีย์เวิร์ด “แสงสว่างและความมืด” ที่เป็นแก่นสำคัญของ Story และ Gameplay เมื่อพัฒนาต่อไปอีกถึงจะหาเจอว่า Genre หลักของเกมนี้คือเกม Action Horror เพราะเป็น Genre ที่เหมาะสมสุดสำหรับผู้เล่นที่จะได้รับประสบการณ์การเล่าเรื่องตามคอนเซปต์หลักที่วางเอาไว้

สิ่งหนึ่งที่ชอบมากๆ ใน Alan Wake คือความเป็นซีรีส์ซ้อนซีรีส์อยู่ในเกม กล่าวคือจะมีบางจังหวะที่เราไปเจอทีวี ซึ่งเราสามารถเปิดทีวีในเกมเพื่อดูซีรีส์ที่ชื่อว่า Night Spring ซีรีส์สั้นๆ จบในตอน ตอนละ 2-3 นาทีที่ใช้การถ่ายทำแบบภาพยนตร์คนแสดงจริง เล่าเรื่องสั้นไซไฟที่มีความลี้ลับพิศวง ถ้าได้ดูก็จะรู้ทันทีว่า มันคือซีรีส์ที่ล้อ Twilight Zone อันโด่งดัง โดยตัว Alan Wake เป็นคนเขียนบท Night Spring เอง และเอาจริงๆ มันก็เป็นซีรีส์ทุนต่ำดูเหมือนมือสมัครเล่นทำ แม้แต่ตัว Alan Wake เองก็ยังอายกับงานบทที่เขาเขียน ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นกิมมิคที่น่าสนใจ และทำให้ผู้เล่นลองเปิดทีวี (ในเกม) ทุกครั้งที่เจอ เพื่อจะได้ดู Night Spring ให้ครบทุก Episode (มีด้วยกันทั้งหมด 9 ep หาดูได้ไม่ยากใน Youtube)

น่าเสียดายที่ Alan Wake ไม่ได้มีภาคต่ออย่างที่ตั้งใจไว้ มีเพียงภาคเสริมที่ชื่อ American Nightmare ที่เหมือนเป็น Spin off ไม่ใช่ภาคต่ออย่างเป็นทางการ แต่อย่างไรก็ดีทางค่าย Remedy ก็ยังสร้างสรรค์เกมที่ขายการเล่าเรื่องที่ไฮคอนเสปต์และมีความเป็นภาพยนตร์ตลอดมา ไม่ว่าจะ Quantum Break หรือเกมล่าสุดของค่ายอย่าง Control ก็ยังเป็นเกมที่สร้างสรรค์และเขียนบทโดย Sam Lake เช่นเคย ก็ได้แต่หวังว่าซักวันจะมีการสร้าง Alan Wake 2 ขึ้นมา

ผ่านไป 10 ปีชื่อของ Alan Wake นั้นเกือบจะเลือนหายไปกับกาลเวลา แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ก็มี Caster หลายคนหยิบ Alan Wake ขึ้นมาเล่นใหม่ รวมถึงมีการทำคลิป VDO Essay เกี่ยวกับ Alan Wake มากมาย หลายคนยกย่องว่ามันคือมาสเตอร์พีซที่ถูกลืม ใครอยากลองประสบการณ์เกมที่มีการเล่าเรื่องแบบอเมริกันซีรีส์ และชอบบรรยากาศแบบ David Lynch และ Stephen King ก็ไปหาซื้อมาเล่นกันได้เพราะตอนนี้ Alan Wake ลดราคา 90% เหลือ 0.69 usd (ประมาณ 22 บาท!!) อยู่ใน Epic Games store (ลดราคาถึงวันที่ 11 มิถุนายน)

ลุงบุญมีระลึกชาติ : ‘น้ำผึ้ง’ ล่องหนกลางวงพาข้าวแลง …ความหวานอมส้มปนขมขื่นของชีวิตที่ถูกลืม

‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) อาจมีสถานะเป็นถึงหนังไทยและหนังจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรื่องแรก-ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นเพียงเรื่องเดียว-ที่สามารถคว้า ‘ปาล์มทอง’ (Palme d’Or) อันเป็นรางวัลใหญ่สุดจากเทศกาลหนังนานาชาติเมืองคานส์มาครองได้เมื่อปี 2010 (พ.ศ. 2553) – ซึ่งหลายคนมองว่ามันคือความสำเร็จที่ดูช่าง ‘หอมหวาน’ เสียเหลือเกินในแวดวงภาพยนตร์โลก

ทว่าหากลองพิจารณาจากความรู้สึก ‘เข้าถึงยาก’ ที่ผู้ชมส่วนใหญ่มีต่อบรรดาเรื่องเล่าเหนือจริงที่แวดล้อมตัวละครอย่าง ลุงบุญมี และสถานะที่ยังคง ‘ลับแล’ สำหรับคนทั่วไปของผู้กำกับหัวก้าวหน้าอย่าง เจ้ย – อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล แล้ว …‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ ก็น่าจะถือเป็นผลงานหนังไทยที่ยังห่างไกลจากคำว่า ‘ความสำเร็จอันหอมหวาน’ อยู่ไม่น้อย

และก็ดูจะเป็นระยะห่างที่ถ่างไกลพอๆ กับการที่ตัวละครชาวบ้านในหนังเรื่องนี้ยังคงเฝ้ารอและพยายามเสาะแสวงหาช่วงเวลาแห่ง ‘ความหอมหวานของชีวิต’ -ดุจเดียวกับที่พวกเขาได้สัมผัสจากการลิ้มรส ‘น้ำผึ้ง’ สดๆ ในไร่ และการรวมญาติอันไม่คาดฝันกลางวง ‘พาข้าวแลง’ ที่บ้านของลุงบุญมี ซึ่งเกิดขึ้นแบบนานทีปีหน- จากการอาศัยในประเทศนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน


1

ลุงบุญมี (รับบทโดย ธนภัทร สายเสมา) กำลังป่วยหนักด้วยโรคไตเรื้อรัง และรู้ตัวดีว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ลุงจึงเดินทางกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านกลางไร่มะขามและฟาร์มผึ้งในภาคอีสาน พร้อมด้วย ป้าเจน (เจนจิรา พงพัศ) และ โต้ง (ศักดิ์ดา แก้วบัวดี) ผู้เป็นน้องสะใภ้และหลานชายที่ติดสอยห้อยตามมาจากเมืองหลวง

บนโต๊ะอาหารริมระเบียงที่ถูกห้อมล้อมด้วยผืนไร่อันแสนมืดมิดของบ้านหลังนั้น พวกเขาสามคนได้พบกับสมาชิกครอบครัวที่เคยพลัดพรากและตายจากไป ทั้งภรรยาเก่าของลุงบุญมี/พี่สาวของป้าเจนที่เสียชีวิตไปเมื่อ 19 ปีก่อน ซึ่งมาปรากฏกายในรูปของวิญญาณโปร่งแสง และลูกชายของลุงที่เคยหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยในอีกไม่กี่ปีถัดจากนั้น ซึ่งบัดนี้ได้กลายร่างเป็น ‘ลิงผี’ -ผู้มีขนยาวเฟื้อยดกดำและดวงตาแดงก่ำ- ไปแล้วเรียบร้อย — ทั้งหมดจึงนั่งลงสนทนาปราศรัย แลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตแต่หนหลัง เปิดดูอัลบั้มรูปภาพเก่าๆ และถ่ายเททุกข์-สุขร่วมกันอย่างอ้อยอิ่งเนิ่นนานกลางวงอาหารนั้นเอง

ในวัฒนธรรมการกินอยู่ของคนไทย การล้อมวงรับประทานอาหารร่วมกันถือเป็นกิจวัตรประจำวันที่ช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกภายในครอบครัวมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะการล้อมวงกินข้าวในช่วงเวลาเย็นย่ำ-ที่ผู้คนแถบอีสานเรียกกันว่า ‘พาข้าวแลง’ หรือ ‘พาแลง’ (คำว่า ‘พาข้าว/พา’ หมายถึง สำรับกับข้าว ส่วน ‘แลง’ หมายถึง เวลาเย็น) ซึ่งในความหมายที่เป็นทางการขึ้นมาอีกหน่อย พาข้าวแลงคืออาหารเย็นมื้อพิเศษในงานมงคลทั้งหลายที่เชื่อมประสานผู้คนต่างบ้านต่างถิ่นเข้าด้วยกัน ดังนั้น การล้อมวงกินข้าว-ไม่ว่าจะในแง่ใด-จึงมักมีความหมายในเชิงบวกเสมอมา — ช่วงเวลา ‘พาข้าวแลง’ ในค่ำคืนนั้นของลุงบุญมีและครอบครัว จึงเป็นเสมือนช่วงเวลาแห่ง ‘ความหอมหวาน’ ที่ต่างคนต่างส่งมอบความสุขใจให้แก่กันในท่ามกลางวิถีชีวิตรายวันอันยากลำบากของพวกเขา …แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

ความสุขชั่วยามนี้เกิดขึ้นอีกครั้งที่ไร่มะขามในวันถัดมา เมื่อลุงบุญมียกรังผึ้งออกมาจากกล่องแล้วยื่น ‘น้ำผึ้ง’ ที่เก็บไว้ขายให้ป้าเจนได้ลองชิมแบบสดๆ พร้อมเล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า มันเป็นการผสมผสานกันระหว่าง ‘น้ำต้อย’ (น้ำหวานตามธรรมชาติจากพืช) จากเกสรดอกข้าวโพดกับเกสรดอกมะขามภายในไร่ของตน รสชาติน้ำผึ้งที่ได้จึงทั้ง ‘หวาน’ และ ‘ส้ม’ (ส้ม ในภาษาอีสานแปลว่า เปรี้ยว) แถมยังมีเนื้อสัมผัสที่เหนียวหนึบหนับน่ารับประทาน จนป้าเจนถึงกับเอ่ยชมออกมาเป็นภาษาถิ่นว่า “ย่างมาเมื่อยๆ แล้วกินนี่ปานขึ้นสวรรค์” เลยทีเดียว

อาจเป็นเพราะความผูกพันที่มีต่อความทรงจำวัยเยาว์และประวัติศาสตร์ส่วนตัวในจังหวัดขอนแก่น ประกอบกับความหลงใหลในการเดินทางข้ามพรมแดนตลอดเส้นแม่น้ำโขง อภิชาติพงศ์จึงมักถ่ายทอด ‘ภาพชีวิตธรรมดาสามัญ’ ของชาวบ้านที่ทั้งเรียบเฉย สุขสม และหม่นเศร้า ท่ามกลางทัศนียภาพเฉพาะตัวของจังหวัดภาคอีสาน-อย่างขอนแก่นหรือหนองคาย-ในผลงานหนังหลายเรื่องเสมอมา ไม่ว่าจะเป็น ‘สัตว์ประหลาด!’ (Tropical Malady), ‘แสงศตวรรษ’ (Syndromes and a Century) หรือ ‘รักที่ขอนแก่น’ (Cemetery of Splendour) — เช่นเดียวกับในหนังปาล์มทองเรื่องนี้ ที่ช่วงเวลาแสนสุขในชีวิตประจำวันของชาวบ้านไม่ได้มีอยู่แค่ในฉากพาข้าวแลงและฉากชิมน้ำผึ้ง หากแต่ยังถูกฉายชัดออกมาในอีกหลายฉาก ทั้งการพูดคุยเล่นหัวกันของคนในบ้าน, การหยอกล้อระหว่างนายจ้างกับคนงานข้ามชาติ, การเดินเล่น-นอนแคร่คุยกันในไร่อันเงียบสงบ และการเด็ดมะขามสดๆ จากต้นมาป้อนสุนัขในวันที่มีแสงแดดเจิดจ้า

เหล่านี้คืออารมณ์ขันและความเรียบง่ายอันงดงามตามวิถีชาวบ้านที่ดูจะ ‘หอมหวาน’ ไม่ต่างไปจากรสชาติของ ‘น้ำผึ้ง’ ที่ลุงบุญมีและป้าเจนได้ลิ้มลองร่วมกันเลย


2

บนเวทีประกาศรางวัลที่เมืองคานส์ปี 2010 อภิชาติพงศ์ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ขณะรับปาล์มทองว่า “ผมขอขอบคุณผีและวิญญาณทั้งหลายในเมืองไทยที่ทำให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้” ซึ่งก็สะท้อนชัดว่า เขาสร้าง ‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ และหนังหลายเรื่องก่อนหน้าจากความสนใจอันแรงกล้าที่เจ้าตัวมีต่อ ‘เรื่องเล่าตามความเชื่อทางศาสนา’ โดยเฉพาะเรื่องภูตผีวิญญาณ ดังจะเห็นได้จากการที่เขารับเอาแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากหนังสือ ‘คนระลึกชาติได้’ ของ พระศรีปริยัติเวที แห่งวัดป่าแสงอรุณ จ.ขอนแก่น ซึ่งถูกแปลงมาเป็นเรื่องราวการระลึกชาติของลุงบุญมี รวมถึงการสร้างตัวละคร ‘วิญญาณภรรยาเก่า’ ผู้กลับมาจากความตาย และ ‘ลูกชายในร่างลิงผี’ ผู้กลายสภาพจากคนเป็นสัตว์ ที่กลับมาเยี่ยมเยือนลุงกันอย่างพร้อมหน้าในวงพาข้าวแลง

และเรื่องเล่าของอภิชาติพงศ์ที่เกาะเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาเหล่านี้ ก็ดูจะสอดคล้องกับการเลือก ‘น้ำผึ้ง’ มาใช้เป็น ‘เครื่องมือเล่าเรื่อง’ ในหนังของเขา-ไม่ว่าเจ้าตัวจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เพราะไม่เพียงน้ำผึ้งจะเป็น ‘อาหารให้ความหวาน’ ตามธรรมชาติที่ตกทอดมาจากโลกยุคเก่าเท่านั้น (ก่อนที่น้ำตาล-สารให้ความหวานที่มักสกัดจากอ้อย-จะกลายมาเป็นที่นิยมมากกว่า) แต่มันยังเป็น ‘สัญลักษณ์’ ที่พัวพันกับ ‘ศาสนา’ มานมนานอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในเทพนิยายกรีก น้ำผึ้งคือ ‘อาหารทิพย์’ ที่นำพาความเป็นอมตะมาสู่เหล่าทวยเทพ, ในศาสนาฮินดู น้ำผึ้งคือ 1 ใน 5 อาหารบูชาเทพที่เรียกว่า ‘ปัญจามฤต’ ซึ่งช่วยประสาทพรให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดี และในศาสนาพุทธ น้ำผึ้งคือ ‘ทิพยโอสถ’ ของพระพุทธเจ้าที่สามารถต่อชีวิตพุทธศาสนิกชนให้ยืนยาวได้ — นอกจากนี้ น้ำผึ้งยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์โดยทั่วไปของ ‘ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง’ หรือแม้แต่ ‘รักแท้อันหวานหยด’ ซึ่งก็สะท้อนชัดอยู่ในคำเรียกธรรมเนียม ‘การเดินทางไปเฉลิมฉลองชีวิตรักของคู่แต่งงานใหม่’ ว่า ‘การดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์’ (Honeymoon) นั่นเอง

ไม่เพียงน้ำผึ้งจะเป็น ‘อาหารให้ความหวาน’ ตามธรรมชาติที่ตกทอดมาจากโลกยุคเก่าเท่านั้น แต่มันยังเป็น ‘สัญลักษณ์’ ที่พัวพันกับ ‘ศาสนา’ มานมนานอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ ‘น้ำผึ้งรสหวานอมส้ม’ ที่ป้าเจนเปรยว่าอร่อยเหาะ ‘ปานขึ้นสวรรค์’ ใน ‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ จึงอาจสื่อความได้ถึงช่วงเวลาแห่ง ‘ความสุข’ อันแสน ‘บริสุทธิ์’ ในวิถีชีวิตของชาวบ้านที่สามารถช่วย ‘เยียวยา’ ซึ่งกันและกันได้ — ช่วงเวลาที่ทำให้ผู้คนตัวเล็กๆ ในสังคมอย่างลุงบุญมี ป้าเจน โต้ง หรือแม้แต่คนงานข้ามชาติในไร่มะขาม กลับมารู้สึกกระชุ่มกระชวยและมีเรี่ยวแรงที่จะไขว่คว้า ‘อนาคตที่ดีกว่า’ ต่อไป

…ก่อนที่รสชาติของความ ‘ขมขื่น’ จะหวนกลับมาอีกครา เมื่อทุกคนได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่าอนาคตที่ดีกว่านั้น เป็นเพียงแค่ภาพฝันอันเหลวไหลและเลื่อนลอยสำหรับพวกเขา – ประชาชนที่ถูกชนชั้นปกครองแบ่งแยกด้วย ‘คำนิยาม’ ต่างๆ มานานเกินไป


3

ภาพจากโครงการ Primitive จาก kickthemachine

พ้นไปจากเรื่องเล่าตามความเชื่อทางศาสนา อภิชาติพงศ์ก็ยังก่อร่างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาจากความสนใจที่เขามีต่อเรื่องเล่าของ ‘คอมมิวนิสต์’ ในอดีตอีกด้วย

‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ ถูกต่อยอดมาจากโครงการศิลปะชุด ‘ดึกดำบรรพ์’ (Primitive) อันมีที่มาจากการที่เขาเดินทางไปพูดคุยกับชาวบ้านนาบัว อ.เรณูนคร จ.นครพนม ผู้เคยใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่รัฐออกมาเปิดศึกกับประชาชน-ที่มีแนวคิดแหกคอกจนถูกแปะป้ายว่าเป็น ‘ผู้ก่อการร้าย’ ของชาติ-อย่างดุเดือด นับจาก ‘วันเสียงปืนแตก’ ที่สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เปิดฉากโจมตีกองกำลังของรัฐบาลในหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ. 2508 ก่อนที่ความขัดแย้งดังกล่าวจะลากยาวมาอีกกว่าสองทศวรรษ โดยอภิชาติพงศ์ต้องการฉายภาพสะท้อนถึงช่วงเวลาที่ภาครัฐพยายามต่อต้านและปราบปรามคอมมิวนิสต์ให้สิ้นซาก ทั้งจากการจัดฉายภาพยนตร์ชวนเชื่อเพื่อให้ชาวบ้านเกลียดกลัว ไปจนถึงการใช้กำลังทหารเข้าห้ำหั่นกลางป่าเขา – ซึ่งทั้งหมดนั้น คือหลักฐาน ‘ความเลวร้ายของชนชั้นปกครอง’ ที่อภิชาติพงศ์ไม่ต้องการให้คนไทยในปัจจุบันหลงลืมไป

ความสนใจนี้ของอภิชาติพงศ์ยังเข้ากันได้ดีกับตัวละครภูติผีและการระลึกชาติของลุงบุญมีในหนัง เมื่อผู้ชมบางคนออกมาตีความกลุ่มตัวละคร ‘ลิงผี’ ว่าอาจเป็นภาพแทนของ ‘คนชายขอบ’ อย่างพรรคคอมมิวนิสต์-ผู้เป็นเหมือนคนนอกวงสังคมกระแสหลักที่ดูแปลกประหลาดและน่าหวาดกลัวไม่ต่างกัน ซึ่งการกลายร่างเป็นลิงผี-หลังสมสู่กับลิงผีอีกตนในป่า-ของลูกชายลุงบุญมี ก็อาจแทนค่าได้กับการที่คนหนุ่มสาวในยุคนั้นพากันหลบหนีเข้าป่าไปในฐานะของคอมมิวนิสต์ที่ถูกรัฐไล่ล่า ขณะที่ตัวละครลุงบุญมีเองก็ถูกอภิชาติพงศ์เขียนบทขึ้นมาให้มีความเชื่อว่า อาการป่วยไข้อันทุกข์ทรมานที่ช่องท้องของเขานั้น เป็นผลมาจาก ‘กรรมเก่า’ ในอดีตที่เขาเคยร่วมมือกับรัฐบาลสังหารสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ไปเป็นจำนวนมาก 

อย่างไรก็ดี หลังจากที่ความพยายามในการกวาดล้างคอมมิวนิสต์ของรัฐได้เบาบางลงไป ประเทศไทยก็เดินหน้าเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางสังคมและเศรษฐกิจ เมื่อกระแสทุนนิยมจากโลกตะวันตกได้ถาโถมเข้ามาครอบงำวิถีชีวิตของผู้คนในวงกว้าง ภาคอุตสาหกรรมเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญเหนือภาคเกษตรกรรม ซึ่งทำให้คนต่างจังหวัดจำนวนมากเริ่มโยกย้ายเข้ามาหางานทำในเมืองหลวง นิยามของสังคม ‘ชนบท’ กับสังคม ‘เมือง’ จึงค่อยๆ ถูก ‘ความเจริญ’ ถ่างให้ห่างออกจากกัน สังคมเมืองกลายเป็นศูนย์กลางความเจริญเพียงหนึ่งเดียวของประเทศที่ผู้คนต่างกรูกันเข้ามาแก่งแย่งช่วงชิงทรัพยากร แตกต่างจากสังคมชนบทที่กลับถูกผู้คนทิ้งร้างและกลายมาเป็นภาพแทนของความ ‘ล้าสมัย’ ไปเสียฉิบ และมันก็คงอยู่เช่นนั้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน — ซึ่งกลางวงพาข้าวแลงในหนัง ลุงบุญมีก็ยังบ่นระบายออกมาว่า กรุงเทพฯ ที่ป้าเจนกับโต้งเลือกอาศัยอยู่นั้น ดูจะเป็น ‘มหานรก’ มากกว่าที่จะเป็น ‘มหานคร’ ตามชื่อเรียกของมันไปเสียแล้ว และนั่นก็อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ลุงปฏิเสธการใช้ชีวิตอันบีบคั้นร่วมกับคนแปลกหน้าในเมืองหลวง แล้วหันมาทำไร่มะขามและฟาร์มผึ้งร่วมกับคนงานที่เป็นเหมือนครอบครัวในต่างจังหวัดแทน

นิยามของสังคม ‘ชนบท’ กับสังคม ‘เมือง’ จึงค่อยๆ ถูก ‘ความเจริญ’ ถ่างให้ห่างออกจากกัน สังคมเมืองกลายเป็นศูนย์กลางความเจริญเพียงหนึ่งเดียวของประเทศที่ผู้คนต่างกรูกันเข้ามาแก่งแย่งช่วงชิงทรัพยากร แตกต่างจากสังคมชนบทที่กลับถูกผู้คนทิ้งร้างและกลายมาเป็นภาพแทนของความ ‘ล้าสมัย’ ไปเสียฉิบ

และก็ยังเป็นความถ่างห่างระหว่างเมืองกับชนบท-ซึ่งกินเวลามาหลายทศวรรษ-นี่เอง ที่ทำให้ตัวละครชาวบ้านอย่างลุงบุญมีและครอบครัวต้องมีชีวิตที่ ‘ไร้ตัวตน’ หรือกระทั่ง ‘น่ารังเกียจ’ ในสายตาของสังคมคนเมืองหลวงกระแสหลัก — ไม่ต่างจาก ‘วิญญาณ’ หรือ ‘ลิงผี’ ที่พวกเขาเองก็เคยตกใจกลัวเมื่อได้เห็นในแวบแรกกลางวงพาข้าวแลงเลย


4

ย้อนกลับไปในช่วงวัยเยาว์ของอภิชาติพงศ์ พื้นถิ่นทุรกันดารอย่าง ‘อีสาน’ ไม่ใช่ภูมิภาคที่ใครๆ ในสมัยนั้นอยากย้ายครอบครัวมาตั้งรกรากหรือแม้แต่รู้สึกภูมิใจที่ได้ใช้ชีวิตอยู่สักเท่าไหร่ เพราะแม้แต่ตัวเขาก็ยังเคย ‘อับอาย’ จนไม่กล้าบอกใคร-ตอนเข้ามาเรียนกวดวิชาภาคสถาปัตย์ที่กรุงเทพฯ-ว่า ตัวเองเป็นเด็กขอนแก่น เนื่องจากกลัวเด็กชาวกรุงหัวเราะเยาะ ก่อนที่ในเวลาต่อมา เขาจะเริ่มตระหนักว่า เรื่องราวและวิถีชีวิตอันแสนธรรมดาของคนอีสานนั้นมีเสน่ห์งดงามมากเพียงใด และเขาก็อยากนำเสนอมันออกมาผ่านศิลปะภาพยนตร์ที่เขาหลงใหล — เหมือนกับที่สุดท้ายแล้ว ‘วิญญาณ’ และ ‘ลิงผี’ -อันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ผู้คนไม่เคยเข้าใจ- ได้ถูกตัวละครชาวบ้านในวงพาข้าวแลงของอภิชาติพงศ์ต้อนรับขับสู้อย่างอบอุ่นในฐานะสมาชิกธรรมดาๆ คนหนึ่งของครอบครัว

หลังชัยชนะจากเมืองคานส์ แม้ ‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ จะทำเงินในบ้านเราไปได้มากถึง 1 ล้านบาทจากการเข้าฉายที่โรงภาพยนตร์ในวงจำกัด แต่เมื่ออภิชาติพงศ์เป็นเพียง ‘คนทำหนังอิสระ’ ไม่ใช่นางงามจักรวาลหรือนักกีฬาเหรียญทองที่คนทั่วไปมีโอกาสทำความรู้จักได้ง่ายกว่า เขาจึงไม่ได้ถูกจดจำและรับฟังมากนักในสังคมกระแสหลัก แถมตัวเขาและเพื่อนร่วมวงการก็ยังคงต้องกระเสือกกระสนทำหนังสักเรื่องด้วยตัวเองไม่ต่างไปจากเดิม จนดูเหมือนรางวัลระดับโลกของเขาจะไม่ได้ช่วยกระตุ้นให้ประเทศนี้-ที่ชนชั้นปกครองพร่ำบอกเสมอว่า ภาพยนตร์คือ ‘อุตสาหกรรม’-หันมาสนับสนุนคนทำหนังและสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมได้เลย — นี่จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อภิชาติพงศ์ตัดสินใจเลิกทำหนังในเมืองไทยแล้วหันไปผลิตผลงานในต่างแดนแทน (หนังยาวเรื่องใหม่ของเขาที่ชื่อ Memoria ถ่ายทำในประเทศโคลอมเบีย พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก และใช้บริการนักแสดงที่ชาวโลกรู้จักอย่าง ทิลดา สวินตัน)

และภาวะไร้ตัวตนของรางวัลปาล์มทองนี้ ก็คงไม่ต่างไปจากความพยายามในการถ่ายทอด ‘ชีวิตคนอีสาน’ ผ่านสื่อหนังของเขา ที่มักถูก ‘มองข้าม’ จากผู้ชมส่วนใหญ่ เพราะขณะที่หนังไทยร่วมสมัยมักบอกเล่า ‘ความเป็นอีสาน’ ผ่านตัวละครและเรื่องราวที่ ‘ตลกขบขัน’ เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้ชมหมู่มากและทำเงินได้ง่ายขึ้น ทว่าอภิชาติพงศ์กลับเลือกเล่าถึงชีวิตคนอีสานเหล่านั้นด้วยท่าทีที่แสนธรรมดา เนิบช้า หรือแม้แต่น่าพิศวง ซึ่งปราศจากเทคนิคการเร้าอารมณ์ตามสูตรสำเร็จของหนังไทย อีกทั้งยังพยายามสอดแทรก ‘สาร’ ที่ผู้ชมทั่วไปไม่เคยได้เห็น-ไม่อยากเห็น หรือที่คนทำหนังส่วนใหญ่ไม่กล้านำเสนอบนจอหนังไทย โดยเฉพาะประเด็นเปราะบางชวนดราม่าที่ไม่น่าแตะต้องอย่างเรื่องเพศ การเมือง ศาสนา หรือแม้แต่สถาบัน

ขณะที่หนังไทยร่วมสมัยมักบอกเล่า ‘ความเป็นอีสาน’ ผ่านตัวละครและเรื่องราวที่ ‘ตลกขบขัน’ เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้ชมหมู่มากและทำเงินได้ง่ายขึ้น ทว่าอภิชาติพงศ์กลับเลือกเล่าถึงชีวิตคนอีสานเหล่านั้นด้วยท่าทีที่แสนธรรมดา เนิบช้า หรือแม้แต่น่าพิศวง

การนำเสนอภาพชีวิตคนอีสานด้วยท่าทีที่หลายคนมองว่า ‘ยืดยาด’ และ ‘ย่อยยาก’ เช่นนี้ ทำให้หนังของเขาไม่ค่อยเป็นที่ต้อนรับมากนักในหมู่ผู้ชมชาวไทยส่วนใหญ่ เนื่องด้วย ‘ภาพยนตร์’ ยังคงเป็นสื่อบันเทิงที่ถูกครอบงำโดยแนวคิด/รสนิยมกระแสหลักแบบคนเมืองหลวง เรื่องเล่าหรือตัวละครที่ผิดแปลกไปจากขนบอันคุ้นเคยจึงมักถูกกีดกันออกไปอยู่เสมอ ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องน่าขมขื่นสำหรับบรรดา ‘คนชายขอบ’ ในสังคมไทย -ไม่ว่าจะเป็นคนทำหนังอิสระอย่างอภิชาติพงศ์หรือประชาชนคนอีสานอย่างลุงบุญมี- ที่อยู่ยั้งยืนยงมานานจนดูจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่พวกเขาไม่สามารถหนีพ้นไปได้เสียแล้ว

บางที ‘ความหอมหวานของชีวิต’ ตามวิถีทางของคนชายขอบนั้น อาจเป็นเพียงช่วงเวลาแห่งความสุขจอมปลอมที่ ‘ผู้มีอำนาจมากกว่า’ ในสังคม ‘อนุญาต’ ให้พวกเขาลิ้มรสได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม ก่อนที่จะถูกไล่ให้กรูกลับเข้าไปอยู่ในรูรังของตนอย่างเจียมตัวอีกครั้ง

หรือบางที ‘น้ำผึ้ง’ ที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขาอาจไม่เคยมี ‘ที่ทาง’ ปรากฏอยู่จริงในวงพาข้าวแลงหรือวงไหนๆ ของสังคมไทยกระแสหลักมาตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้

Business Update : เกาหลีเปิดโรง, อินเดียเปิดกอง และก้าวต่อไปของ Tik Tok

ท่ามกลางบรรยากาศที่คลี่คลายของภาวะโรคโควิด ธุรกิจภาพยนตร์ก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่ง แม้ว่าบางภาคส่วนจะต้องปรับตัวเข้ากับมาตรฐานในการดำเนินชีวิตใหม่ก็ตาม เรามาติดตามความเคลื่อนไหวในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมากัน

Post Covid screening : สัญญาณบวกที่ยังไม่เกิดขึ้น

แม้ว่าหลายประเทศจะยังคงปิดโรงหนังอยู่ แต่ก็มีบางประเทศที่เริ่มต้นฉายหนังมาระยะหนึ่งแล้ว เช่น ประเทศเกาหลีใต้ที่บริษัทจัดจำหน่ายหลายแห่งนำหนังทั้งเก่าและใหม่มาฉายเพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมกลับมาโรงอีกครั้ง ก่อนที่จะปูพรมฉายหนังใหญ่ในช่วงซัมเมอร์ แต่ดูเหมือนผลตอบรับยังไม่ดีเท่าที่ควร เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมา รายได้ของหนังที่เปิดตัวนั้นทำได้เพียง 7% ของรายได้ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยหนังที่ทำรายได้เป็นอันดับหนึ่งก็คือ The Greatest Showman ที่เก็บไปเพียง 205,600 เหรียญจากฉายห้าวันแรก ตามด้วยหนังที่เคยฉายโรงมาแล้วอย่าง The Hitman’s Bodyguard Weathering With You ของ มาโกโตะ ชินไค และ Farewell to My Concubine (ที่เพิ่งฉายในบ้านเราก่อนเกิดวิกฤติโควิดไม่นาน)

ผู้เขียนมีโอกาสพูดคุยกับคนรู้จักที่ทำงานในธุรกิจหนังเกาหลี เขาให้เหตุผลว่า สาเหตุที่คนยังกลับมาดูหนังไม่เต็มที่เป็นเพราะความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ยังมีอยู่ อีกทั้งการระบาดใหม่ที่อีแตวอน (ซึ่งเป็นศูนย์กลางความบันเทิงยามค่ำคืน) ก็ยิ่งตอกย้ำว่าโรคโควิดยังไม่หายไปไหน

การที่บ็อกซ์ออฟฟิศในเกาหลียังไม่มีแนวโน้มดีขึ้นนี้ สร้างความกังวลใจให้กับผู้จัดจำหน่ายหลายรายที่ตั้งใจเปิดตัวหนังฟอร์มใหญ่ในช่วงซัมเมอร์ที่จะมาถึง หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็น่าสนใจว่าอุตสาหกรรมหนังเกาหลีจะรับมือกับภาวะซึมเซาอย่างไร


เมื่อบิ๊กในวงการหนังย้ายค่ายมาเป็นผู้บริหารในธุรกิจสตรีมมิ่ง

ข่าวที่สร้างความฮือฮาข่าวหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ ข่าวการย้ายค่ายของ เควิน เมเยอร์ อดีตประธานฝ่าย Direct to Consumer ของบริษัทดิสนีย์ มารับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) ให้บริษัท Byte Dance และขณะเดียวกันเขาก็รับตำแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุด (CEO) ของแพล็ตฟอร์มยอดนิยมในขณะนี้อย่าง Tik Tok (ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Byte Dance)

เควิน เมเยอร์สำคัญอย่างไร? ในอดีตเขาเคยเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของดิสนีย์ถึงขนาดได้รับการคาดหมายว่า จะได้ขึ้นเป็นประธานบริษัทหลังจากอดีตประธาน บ็อบ อีเกอร์ ตัดสินใจวางมือ ดังนั้นการย้ายมาดำรงตำแหน่งสำคัญในบริษัท Bytedance (ที่เพิ่งสร้างความฮือฮาให้กับอุตสาหกรรมหนังจีน ด้วยการลงทุนซื้อหนัง Lost in Russia จากผู้สร้างในราคาถึง 85 ล้านเหรียญแล้วมาฉายแบบสตรีมมิ่งบนแพล็ตฟอร์มโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ชม) จึงเป็นที่น่าสนใจว่า ก้าวต่อไปของ Bytedance จะเป็นอย่างไร จะเข้ามาเป็นผู้เล่นอีกรายหนึ่งในอุตสาหกรรมหนังจีนหรือไม่ และ แอพ Tik Tok จะมีลูกเล่นใหม่ๆ อย่างไรต่อไป …คงต้องรอเขาพิสูจน์ตัวเองหลังจากที่เคยสร้างความสำเร็จที่ดิสนีย์มาแล้ว


อินเดียได้ฤกษ์กลับมาถ่ายหนัง แต่…

เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศที่รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับหนัง ได้ออกแนวทางให้ผู้สร้างหนังต้องปฏิบัติตาม (ประเทศไทยก็รวมอยู่ด้วย) วงการหนังอินเดียก็เช่นกันที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดซึ่งออกโดยสมาคมผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์แห่งอินเดีย (Producer Guild of India) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยข้อกำหนดที่สำคัญประกอบด้วย
1. ต้องล้างมืออย่างสม่ำเสมอ
2. ต้องสวมหนากากหนาสามชั้นตลอดการทำงาน
3. หลีกเลี่ยงการจับมือ และการสูบบุหรี่มวนเดียวกัน
4. รักษาระยะทางสังคมตลอดเวลา
5. ให้ผู้สร้างจัดหาแพทย์และพยาบาลมาประจำกองในช่วง 3 เดือนแรก
6. จัดหารถพยาบาลเพื่อกรณีฉุกเฉิน
7. สำหรับหน้าที่ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่หน้ากอง ก็ให้ทำงานอยู่ที่บ้าน

อนึ่ง อินเดียเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิด 19 เป็นอันดับ 10 ของโลก เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทสำรวจรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศชื่อ Ormax Media ได้เผยรายงานการวิจัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ชาวอินเดียจะกลับเข้าโรงหนังอีกครั้งหลังจากวิกฤติคลี่คลาย ผลการสำรวจออกมาว่า คนอินเดียร้อยละ 28 ยืนยันว่าจะกลับไปดูหนังในโรงทันทีที่โรงเปิด, ร้อยละ 47 ตอบว่าจะรอ 2-3 สัปดาห์ก่อน และ ร้อยละ 19 ระบุว่าจะรอประมาณ 2-3 เดือน

โรงหนังเท็กซัสชิงเปิดก่อน พวกเขารับมือโควิดอย่างไร?

ในขณะที่อเมริกายังเป็นประเทศซึ่งมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 รุนแรงที่สุดในโลกขณะนี้ แต่ เกร็ก แอ็บบ็อตต์ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส กลับประกาศให้เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา ร้านอาหาร, ห้างสรรพสินค้า และโรงหนัง สามารถกลับมาให้บริการได้แล้ว เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจหยุดนิ่งจนเกินไป

การประกาศปลดล็อคของรัฐก่อนที่สถานการณ์จะคลี่คลาย ทำให้ผู้ประกอบการแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน คือกลุ่มโรงหนังที่เปิดทันที ซึ่งกลุ่มนี้ได้แก่โรงหนังท้องถิ่นในเท็กซัส อย่างเครือ ซานติโกส์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่มีสาขาอยู่ในซานแอนโตนิโอเท่านั้น

โรงหนังเครือซานติโกส์ให้เหตุผลหลักๆ ในการกลับมาเปิดบริการอีกครั้งหลังจากรัฐปลดล็อค (โรงหนังปิดตั้งแต่ 16 มี.ค. และเลิกจ้างพนักงานไปแล้วกว่า 700 คน) อยู่สองประการคือ 1) เพื่อยังสามารถจ้างพนักงานได้ต่อไป และ 2) คือการกลับมาทำหน้าที่ผู้ให้ความบันเทิงกับผู้ชมที่ต้องการหลบหนีจากโลกความเป็นจริงชั่วคราว

ทั้งนี้การกลับมาเปิดใหม่ก็มาพร้อมมาตรการละเอียดยิบที่ต้องขอความร่วมมือจากทั้งพนักงานและผู้ชม ดังนี้

  • ทีมงานต้องล้างมืออย่างต่ำชั่วโมงละครั้งระหว่างเปลี่ยนถุงมือ
  • ทุกพื้นผิวสัมผัสต้องได้รับการทำความสะอาดทุกครึ่งชั่วโมง
  • รักษาระยะห่างอย่างเคร่งครัด
  • ทีมงานคนไหนป่วยต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้าน
  • เคร่งครัดการสวมหน้ากากอนามัย
  • ใช้คูปองเพื่อลดการสัมผัสเงินสด
  • ฉายหนังแค่วันละสามรอบต่อโรง เพื่อให้เวลาสำหรับการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อระหว่างรอบฉาย
  • มาด้วยกันนั่งด้วยกันได้ แต่ต้องเว้นอย่างน้อยสองที่นั่งกับผู้ชมคนอื่น
  • เปิดแค่ 25% ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด (ตามข้อกำหนดของรัฐ)
  • โรงที่มีบริการเสิร์ฟอาหารถึงที่นั่งจะงดให้บริการชั่วคราว
  • งดให้บริการอาหารและเครื่องดื่มรีฟิล
  • วัดไข้ก่อนเข้าใช้บริการทุกคน
  • อยู่ภายใต้การดูแลของ CDC หรือศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของอเมริกา อย่างเข้มงวด

อันที่จริงมาตรการของซานติโกส์แทบไม่ต่างจากมาตรการของห้างสรรพสินค้าในเมืองไทยหลังได้รับการปลดล็อค แต่สิ่งที่โรงแห่งนี้ทำคือการสร้างความเชื่อมั่นผ่านช่องทางการสื่อสารของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแถลงการณ์จากผู้บริหารระดับสูง ทิม เฮนเดรน ผ่านยูทูบและเว็บไซต์ รวมไปถึงตีพิมพ์หนังสือคู่มือการเข้ารับบริการในโรงหนังทุกสาขา

อันที่จริงมาตรการของซานติโกส์แทบไม่ต่างจากมาตรการของห้างสรรพสินค้าในเมืองไทยหลังได้รับการปลดล็อค แต่สิ่งที่โรงแห่งนี้ทำคือการสร้างความเชื่อมั่นผ่านช่องทางการสื่อสารของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแถลงการณ์จากผู้บริหารระดับสูง ทิม เฮนเดรน ผ่านยูทูบและเว็บไซต์ รวมไปถึงตีพิมพ์หนังสือคู่มือการเข้ารับบริการในโรงหนังทุกสาขา

“ผมจะทำทุกอย่างที่แสดงความรับผิดชอบอย่างถึงที่สุดในการเปิดให้บริการในครั้งนี้ มันไม่เร็วไปหรอก มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้ทุกคนมีทางเลือกหากอยากออกจากบ้านมาหาความบันเทิง”

แต่ในขณะเดียวกัน โรงหนังอิสระบางแห่งกลับเลือกที่จะยังไม่เปิดให้บริการ อย่าง Alamo Drafthouse โรงหนังอิสระที่มี 40 สาขาทั่วอเมริกา และมีสาขาอยู่ในเท็กซัสด้วย ทางโรงออกแถลงการณ์มาว่า “การจะทำให้โรงหนังปลอดภัยมันมีความซับซ้อน ต้องเกี่ยวข้องกับขั้นตอนและอุปกรณ์ใหม่ๆ นับไม่ถ้วน ซึ่งต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นสิ่งที่เรายังทำไม่ได้ในเร็ววันนี้แน่ๆ เราจะกลับมาเมื่อมั่นใจแล้วว่าจะสร้างความปลอดภัยให้พนักงานและผู้มาใช้บริการของเราร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วเท่านั้น”

เช่นกันกับ สโมสรภาพยนตร์ออสติน (AFS – สโมสรหนังทางเลือกที่ก่อตั้งโดย ริชาร์ด ลิงเคลเตอร์) ที่ยังคงไม่เปิดให้บริการ รีเบ็คกา แคมป์เบลล์ ผู้บริหาร AFS คนปัจจุบัน บอกว่า “เราค่อนข้างตกใจกับการตัดสินใจของผู้ว่าฯ พอสมควร เพราะผู้ติดเชื้อที่ ทราวิสเคาน์ตี้ ก็ยังเพิ่มขึ้นอยู่เลย หลายคนก็ส่งสัญญาณเตือนแล้วแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เรายังยืนยันที่จะไม่ให้บริการจนกว่าเราจะมีแผนป้องกันการแพร่เชื้อที่รัดกุมแล้วเท่านั้น”


ข้อมูลอ้างอิง :
Santikos will be first movie theater chain to reopen in San Antonio this weekend
Alamo Drafthouse Won’t Reopen Texas Theaters This Weekend
What It’s Like To Go to the Movies During a Pandemic
Santikos Reopening Message to Public

ขอบคุณโควิดที่ทำให้คนได้ดูหนังผม… นี่คือแง่งามด้านเดียวของมัน

สำหรับ โครีย์ ฟินลีย์ แล้ว โรคระบาดโควิด 19 อาจเป็นประโยชน์สำหรับเขา เพราะมันทำให้ Bad Education หนังเรื่องที่สองในชีวิตกลายเป็นที่พูดถึงอย่างรุนแรง หลังจากที่มันเปิดตัวในเทศกาลหนังโตรอนโตเมื่อปีกลาย และ HBO ก็ซื้อสิทธิหนังมาฉายแบบไม่ง้อโรง แต่นั่นอาจเป็นเรื่องดีเรื่องเดียวของโควิด อย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องถูกแยกออกจากแฟนสาวนักจิตเวชที่ต้องลงพื้นที่ในช่วงโรคระบาดนี้

Bad Education สร้างเสียงฮือฮาตั้งแต่ในเทศกาลโตรอนโต นอกจากเสียงชื่นชมอื้ออึงแล้วมันคว้าดีลยักษ์สุดในเทศกาล เพราะ HBO เสนอซื้อหนังมาในราคาที่สูงถึง 17.5 ล้านเหรียญฯ ส่วนหนึ่งคือมันเป็นหนังที่ผู้ชมสรรเสริญว่านี่เป็นการแสดงที่ดีที่สุดของ ฮิวจ์ แจ็คแมน เสริมด้วยพลังการแสดงสุดทำลายล้างของ อัลไลสัน แจนนีย์ และมันยังเล่าเหตุการณ์ทุจริตในโรงเรียนรัฐที่อื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา

หนังเล่าจากเรื่องจริงของโรงเรียนมัธยมรอสลิน โรงเรียนรัฐบาลเล็กๆ ในลองไอส์แลนด์ ซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดอันดับ 4 ของอเมริกาเมื่อปี 2002 และด้วยศักดิ์ศรีนี้เลยทำให้ผู้บริหารอย่างแฟรงก์ (แจ็คแมน) กับ แพม (แจนนีย์) ผู้ช่วยของเขา ทำทุกวิถีทางเพื่อให้โรงเรียนทะยานสู่อันดับที่ดีกว่า อันเป็นช่องว่างให้ทั้งคู่ยักยอกเงินโรงเรียนจากภาษีประชาชนไปนับล้านเหรียญฯ

โครีย์ ฟินลีย์ (กลาง) / Courtesy of JoJo Whilden/HBO.

สื่อบางสำนักเทียบให้หนังเป็นคู่เคียงกับ The Wolf of Wall Street ของ มาร์ติน สกอร์เซซี ที่แฉกระบวนการยักยอกทรัพย์ครั้งใหญ่ของอเมริกา อันมีทั้งอารมณ์ขันและความเดือดดาลไม่ต่างกัน เพียงแต่ย่อบริบทให้อยู่ในสังคมของโรงเรียนรัฐเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งฟินลีย์ผู้กำกับวัยเพียง 33 ปี ตะครุบเรื่องเล่านี้จากบทของ ไมค์ มาโคว์สกี ชาวรอสลินโดยกำเนิด กับมุมมองที่ว่าการฉ้อโกงในรั้วโรงเรียนรัฐนี้เป็นภาพจำลองของประเทศที่บ้าชัยชนะบนตารางสถิติอย่างอเมริกาได้อย่างดี

“มันเป็นภาพสะท้อนของสังคมที่ผมอยากจะเห็นในหนังสักเรื่องมานานแล้ว ระบบของโรงเรียนรัฐเป็นหน่วยย่อยที่แสดงค่านิยมของอเมริกาและมีลักษณะเฉพาะบางอย่างของสังคมโรงเรียนอเมริกัน…อย่างโรงเรียนเอกชนมันจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาลจากครอบครัวคนรวยอย่างชัดเจน แต่สำหรับโรงเรียนรัฐแล้ว เม็ดเงินเหล่านั้นมันมาจากภาษีประชาชน ฉะนั้นภายใต้ระบบเหล่านี้ โรงเรียนเลยกลายเป็นที่ทำกินของใครบางคน โดยเฉพาะในเขตชานเมืองที่ผู้ปกครองอยากให้ลูกหลานได้เข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ ผมเลยคิดว่าการแสดงภาพใหญ่ของวงจรอุบาทว์เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญของหนังมากๆ มันทำให้ไม่มีใครเป็นตัวร้ายที่ชัดเจน แต่ตัวละครมีแรงขับที่แตกต่างกัน

“หากพ้นไปจากเรื่องปัจเจก บางที่ตัวร้ายที่แท้จริงมันคือระบบที่ใหญ่กว่าแค่ในโรงเรียนก็เป็นได้”

** เสริม : โครีย์ ฟินลีย์ เป็นคนทำหนังที่น่าจับตาในขณะนี้ เพราะเขากระโดดข้ามจากวงการละครเวทีมาทำหนังเรื่องแรก Thoroughbreds ก็ปังเลย ขณะนั้นเขาอายุแค่ 30 ปีเท่านั้น ในหนังเรื่องแรกฟินลีย์เล่าด้านมืดของลูกคุณหนูที่กระทำการฆาตกรรมเพื่อแก้ไขความเปราะบางในจิตใจ พอมาถึงเรื่องที่สอง Bad Education เขายังนำเสนอเรื่องโสมมในสังคมไฮสคูล ทำให้ฟินลีย์คือความหวังของนักทำหนังรุ่นใหม่ที่เป็นปากเป็นเสียงแทนคนรุ่นใหม่ยุคต่อไปในทันที


ดู Bad Education ได้ทาง HBO GO
ดู Thoroughbreds ได้ทาง Netflix


Out หนังเกย์เรื่องแรกของพิกซาร์

ขึ้นชื่อว่า พิกซาร์ แล้ว แอนิเมชั่นค่ายนี้มักไม่พลาดเป้าจากการรีดน้ำตาผู้ชมด้วยความอิ่มเอมใจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ล่าสุดหนังสั้น Out ก็ยังทำหน้าที่นั้นได้อย่างดี แต่ที่น่าตื่นเต้นกว่าคือมันเป็นหนังเรื่องแรกจากค่ายนี้ที่มีเนื้อหา LGBTQ เต็มตัว

Out เล่าเรื่องของ เกร็ก ชายที่อาศัยอยู่กับ มานูเอล แฟนหนุ่มโดยไม่กล้าเปิดตัวให้ที่บ้านรู้ เขาทั้งคู่มีแผนจะย้ายไปอยู่ต่างเมืองร่วมกัน แล้ววันหนึ่งพ่อแม่ของเขาก็โผล่มาเซอร์ไพรซ์ที่หน้าประตูบ้านเพื่อช่วยเก็บกระเป๋า ความว้าวุ่นของเกร็กยิ่งทวีคูณเมื่อเขาสลับร่างกับน้องหมา อันเป็นนัยยะแห่งการหลบซ่อนตัวตนเอาไว้

Out เป็นแอนิเมชั่นสั้นผลงานการกำกับเรื่องแรกของ สตีเวน เคลย์ ฮันเตอร์ ที่ไม่ใช่คนแปลกหน้าของพิกซาร์อะไร เพราะเขาเป็นหนึ่งในทีมทำแอนิเมชั่นของที่นี่มาหลายเรื่องแล้ว เช่น Finding Nemo, WALL-E, Brave และ Toy Story 4 เพียงแต่ Out เป็นการแยกออกมาทำเองภายใต้โครงการ SparkShorts ที่พิกซาร์จะคัดเลือกโปรเจกต์จากคนทำแอนิเมชั่นอิสระมาพัฒนาต่อจนสำเร็จ

จิม มอร์ริส ประธานพิกซาร์พูดถึงโครงการ SparkShorts เอาไว้ว่า “เราสร้างโครงการนี้มาเพื่อค้นหานักเล่าเรื่องใหม่ๆ วิธีและเทคนิคใหม่ๆ ในขั้นตอนการผลิตที่ไม่ยึดติดกับระบบสตูดิโอของเรา มันทำให้หนังเหล่านี้แตกต่างจากหนังที่พิกซาร์ผลิตเอง มันเป็นการปลดล็อคศักยภาพของคนทำแอนิเมชั่นแต่ละคน”

กล่าวคือโครงการนี้เป็นการปลดปล่อยอีกด้านของการเล่าเรื่องด้วยเทคนิคที่แตกต่างออกไปจากขนบเดิมๆ ของพิกซาร์ที่มีกรอบทางการตลาดครอบอยู่ ซึ่งนั่นทำให้เกิดแอนิเมชั่นที่หลากหลายมากขึ้นภายใต้แบรนด์พิกซาร์ อย่าง Purl หนังเรื่องแรกของโปรเจกต์ที่เล่าเรื่องไหมพรมไจน้อยผู้เริ่มงานในบริษัทใหญ่เป็นวันแรก และ Kittbull ว่าด้วยการผจญภัยของแมวจรจัดผู้โดดเดี่ยวกับหมาพิตบูลหลงทางในโลกอันสกปรก ซึ่งเรื่องหลังนี้จี๊ดใจจนได้ชิงออสการ์แอนิเมชั่นสั้นยอดเยี่ยมด้วย

Out เริ่มฉายทาง Disney+ ไปเมื่อวันศุกร์ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา และในชั่วข้ามคืน มันก็ได้แฟนคลับหนาแน่นทันตา โดยคนดูส่วนใหญ่ยกให้มันเป็นหนังสั้นเรียกน้ำตาสุดอิ่มเอม ซึ่งหากไม่ใช่โปรเจกต์ SparkShorts พิกซาร์อาจมองไม่เห็นพลังมหาศาลของตลาดนี้เลยก็เป็นได้

หัวใจที่คนมอบให้ Out มากล้นจน เคลย์ ฮันเตอร์ ทวีตข้อความว่า “ขอบคุณทุกความรักที่มอบให้หนังเล็กๆ เรื่องนี้นะครับ”

(Out เป็นหนัง LGBTQ เรื่องแรกของพิกซาร์ แต่ไม่ใช่หนังเรื่องแรกที่มีตัวละคร LGBTQ ก่อนหน้านี้มีตัวละครเล็กๆ ใน Onward ที่เป็นหญิงรักหญิงมาแล้ว)


ดู Purl ได้ที่ Youtube

ดู Kittbull ได้ที่ Youtube

จอมโหดมนุษย์ซีอิ้ว+ : เมื่อภาพยนตร์พักผ่อนในเวลาว่าง

ชายหนุ่ม 3 คนนั่งถองเหล้ากันอยู่ที่ชานบ้านในยามค่ำคืนในวันว่าง นี่ดูเป็นการสังสรรค์ประจำสัปดาห์หรือเดือนของเพื่อนกลุ่มนี้ พวกเขาหน้าแดงกึ่ม ๆ ประหนึ่งเริ่มเมาได้ที่ พูดคุยกันด้วยเรื่องราวที่จับหาสาระได้ยากพอ ๆ กับหาแท็กซี่คันว่างที่จะรับเราในคืนวันศุกร์ที่ฝนตก หัวข้อสนทนาเดินทางไปมาจากเรื่องเพื่อนในกลุ่ม พูดเรื่องวิธีการพูด เรื่องการเลี้ยงดูลูก การดูแลพี่น้อง ความเมามายทำให้เราไม่แน่ใจว่าเราจะถือบทสนทนานี่จริงจังเพียงไหนและเสียงอื้ออึงทำให้คนดูบางส่วนต้องพึ่งพาซับไตเติ้ลอังกฤษแม้ว่าหนังจะเป็นภาษาไทยก็ตาม กล้องส่ายไหวระยะแคบจับจดเพียงใบหน้าของตัวละครที่พร้อมจะหลุดพริ้วหล่นหายไปจากขอบเฟรมยิ่งทำให้ตัวหนังแลดูเหมือนงานโฮมวิดีโอที่เพื่อน ๆ ถ่ายเล่นกันก่อนตอนเมา แม้ความเข้มข้นทางอารมณ์ของบทสนทนาจะทบทวีขึ้นเรื่อย ๆ ตามปริมาณแอลกอฮอลล์ที่ไหลลงคอไป แต่ทุกอย่างก็ยังดูผ่อนคลายเพราะนี่คือเวลาแห่งการพักผ่อน

ฉากข้างต้นเป็นหนึ่งในซีนหนังเรื่อง จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+ (ต่อไปขอเรียกว่า จอมโหดฯ) ภาพยนตร์อิสระไทยที่สำคัญที่คุณไม่เคยรู้จัก ผู้กำกับ ไพสิฐ พันธุ์พฤกษชาติ หรือ เคี้ยงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะของคนทำเสียงในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยแต่ในขณะเดียวกันเขาเองก็เป็นผู้กำกับที่หาเวลาว่างออกมารังสรรค์งานของตัวเองด้วยเช่นกัน

ความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงของการทำงานกับเวลาว่างเป็นโครงสร้างเงื่อนไขสำคัญของภาพยนตร์โดยทั่วไปอยู่แล้ว ในมุมมองคนทั่วไปภาพยนตร์เป็นเรื่องของเวลาว่างการพักผ่อน เราเดินทางไปดูหนังในยามว่าง หลังเลิกงานหรือวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ในขณะเดียวกันในมุมของคนทำงาน หนังคืองาน คือสิ่งที่อยู่ในเวลางาน เราต้องผลิตมันขึ้นมาเพื่อให้เกิดงานและรายได้ แต่กับหนังอิสระทุนต่ำเงื่อนไขอาจซับซ้อนขึ้นไปอีก นั่นคือ คนทำหนังที่ในเวลาปกติทำงานแบบหนึ่ง (เช่นในกรณีนี่คือทำเสียง) ต้องหาเวลาว่างมาทำหนังอิสระซึ่งเป็นหนังที่แตกต่างจากหนังทั่วไปในระบบสตูดิโออันเป็นงานปกติ คนทำงานจึงต้องใช้เวลาว่างเพื่อจะมาทำหนัง และความซับซ้อนทวีขึ้นเมื่อหนังที่ว่าก็เป็นหนังที่เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของตัวละครกำลังพักผ่อนด้วยการร่ำสุราอาหารบุหรี่กับเพื่อนพ้อง

People on Sunday (1930)

แต่ก่อนที่เราจะลองไปสำรวจลึกถึงการพักผ่อนในจอมโหด ฯ เราอาจกลับไปดูหนังเรื่องสำคัญของประวัติศาสตร์หนังโลกที่ว่าด้วยการทำงานและเวลาว่างอย่าง People on Sunday (1930) ของ Robert Siodmak และ Edgar G. Ulmer เมื่อปี 1929 เขาทั้งคู่ในฐานะผู้กำกับได้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงฤดูร้อน ณ กรุงเบอร์ลิน โดยจุดเด่นสำคัญของหนังเรื่องนี้คือเป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้นเพราะนักแสดงว่างแค่วันนั้น นักแสดงหลักทั้ง 5 คนเป็นนักแสดงสมัครเล่นที่ต่างคนต่างมีงานประจำอย่างอื่นอยู่แล้วเช่น คนขับรถ นางแบบ คนขายแผ่นเสียง ฯลฯ การถ่ายทำจึงถ่ายกันเฉพาะวันอาทิตย์ไปตลอดทั้งฤดูร้อน เนื้อหาของหนังก็ว่าด้วยคนหนุ่มสาว 2 คู่เดินทางไปพักผ่อนกันที่สวนแห่งหนึ่งในวันอาทิตย์ที่ประชาชนชาวเยอรมันในยุคนั้นก็ไปพักผ่อนกันในวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นกัน แต่เนื้อหาบนจอหนังปะปนไปด้วยเรื่องรักหลายเส้าและภาพผู้คนจริง ๆ ในยุคนั้นพักผ่อนหย่อนใจ ไปเล่นน้ำในทะเลสาบ พ่อแม่พาลูกมาปูเสื่อนอนเล่น คนทะยอยไปต่อคิวถ่ายรูป ฯลฯ จนผลสรุปสุดท้ายได้หนังที่ก้ำกึ่งผสมระหว่างเรื่องแต่งและสารคดี หนังมีชื่อรองว่า A Film without Actors หนังที่ไม่มีนักแสดง

หนังถ่ายในวันว่างว่าด้วยเวลาว่างกลายเป็นเทรดมาร์คที่หนังเงียบเรื่องนี้เป็นที่จดจำ ความน่าสนใจต่อมาคือในปี 2019 คนทำหนังชาวไทย ตุลพบ แสนเจริญ ได้ “รีเมค” People on Sunday ขึ้นมาในรูปแบบของภาพยนตร์สั้นเชิงทดลองที่พานักแสดงไทยกลุ่มหนึ่งไป “พักผ่อน” ที่สวนในประเทศไทย แล้วทำการแสดงซ้ำเรื่องราวในหนังต้นฉบับอีกครั้ง แต่สิ่งที่หนังเวอร์ชั่นตุลพบตั้งคำถามกลับไปก็คืออะไรคืองาน อะไรคือเวลาว่าง การที่นักแสดงต้องใช้เวลาว่างจากงานประจำมาถ่ายหนังเรื่องหนึ่งนี่คือเขากำลังไปทำงานหรือกำลังพักผ่อน ? การที่นักแสดงต้องไปแสดงว่าตัวเองพักผ่อนอยู่ด้วยการนอนโพสบนพื้นหญ้าหรือโขดหินหรือบนเรือพาย การจัดท่าทางว่าตัวเองสบายมันสบายจริงไหม ? และเมื่อท่าพักยังต้องประดิดประดอยมันจะเป็นการพักได้จริงหรือไม่ ?

People on Sunday ฉบับเยอรมันทำงานผ่านการเล่าเรื่องชีวิตรักหลายเส้าในบ่ายวันอาทิตย์อันรื่นรมย์ People on Sunday ฉบับไทยไม่ได้ทำงานผ่านการเล่าเรื่องของนักแสดงกลุ่มใหม่ แต่ทำงานผ่านการตั้งคำถามกลับไปยังต้นฉบับถึงเบื้องหลังกระบวนการของฉบับเยอรมันว่าด้วยประเด็นการทำงานและการพักผ่อน หนังทั้ง 2 เรื่องในชื่อเดียวกันมีการทำงานกันคนละแบบ หนึ่งคือการเล่าเรื่อง สองคือการตั้งคำถาม โดยเราอาจจะมองหาการทำงานแบบที่ 3 ที่อยู่ระหว่าง 2 ขั้วนี้ผ่านภาพยนตร์พักผ่อนอีกเรื่อง นั่นคือ จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+

จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+ เป็นหนังเกี่ยวกับอะไรกันแน่ เราอาจจะตอบอย่างง่ายที่สุดว่ามันเกี่ยวกับวุฒิ ชายหนุ่มวัย 35 ปีคนหนึ่งกับชีวิตประจำวันของเขาที่ทำงานเกี่ยวกับการดูแลขนส่งสินค้า แต่สิ่งที่ดูเป็นกิจกรรมหลักของวุฒิในแต่ละวันคือการไปร่ำสุราดูดบุหรี่กับผองเพื่อนอย่างเฮียใหญ่ ทอแสง คุณ มุ่ย ฯลฯ และเนื้อหาสาระของสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันก็ล้วนมโน่สาเร่สารพันหลากหลายและไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเอกภาพถ้วนทั่วกันตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่เรื่องพฤติกรรมขี้แล้วไม่ราดส้วม นักปรัชญาศตวรรษที่ 18 การดูดวงจากไพ่ ทำไมซีอิ๊วชอบมีชื่อยี่ห้อเป็นนกเพนกวิน ฯลฯ วุฒิดูเป็นชายหนุ่มฉลาดอ่านหนังสือเยอะพอประมาณมีการอ้างอิงความรู้ปรัชญาทั้งตะวันตกและจีน แต่การพูดคุยแลกเปลี่ยนของวุฒิกับเพื่อนรอบข้างก็เป็นไปเพื่อการโต้เถียงแลกเปลี่ยนเพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้มากกว่าจะเพื่อไปถึงข้อสรุปจุดหมายใด ๆ (หรือกล่าวอย่างง่ายคือ คุยเพื่อให้ได้คุยต่อ มากกว่าคุยเพื่อให้ได้จุดหมาย)

แต่เมื่อพินิจเนื้อหาในหนังดี ๆ แล้ว จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+ มิได้มีเนื้อเรื่องในลักษณะของหนังปกติทั่วไปที่เล่าเรื่องของตัวละครผู้ทำภารกิจเพื่อบรรลุสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยมีอุปสรรคขัดขวาง ในทางตรงข้ามเนื้อเรื่องของจอมโหด ฯ แม้จะมีตัวละครที่ยืนเรื่อง (วุฒิ) แต่เขามิได้มีความต้องการที่ชัดเจนว่าต้องการอะไร และเขาก็ไม่ได้มีอุปสรรคมาขัดขวางชีวิตของเขา เนื้อหาในแต่ละช่วงของหนังก็ไม่แตกต่างจากตัวบทสนทนาของวุฒินัก นั่นคือเป็นความเรื่อยเปื่อยเอื้อยเจื้อยของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เว้นว่างจากภาระการงานในชีวิตประจำวันมาหย่อนใจกันเฉย ๆ ในเวลาหัวค่ำและวันหยุด แม้แต่กระบวนการทำหนังเองก็เหมือนกำกวมอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นว่านี่เป็นหนังที่มีบทภาพยนตร์ตายตัวซึ่งนักแสดงและทีมงานต้องดำเนินไปตามกำหนดการ หรือเป็นการถ่ายหนังในเวลาว่างของทีมงาน นักแสดง ที่ผู้กำกับไปถ่ายบรรดานักแสดงในคราบตัวละครตอนหลังเลิกงานพักผ่อนและพูดคุย

เนื้อหาในแต่ละช่วงของหนังก็ไม่แตกต่างจากตัวบทสนทนาของวุฒินัก นั่นคือเป็นความเรื่อยเปื่อยของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เว้นว่างจากภาระการงานในชีวิตประจำวันมาหย่อนใจกันเฉย ๆ ในเวลาหัวค่ำและวันหยุด แม้แต่กระบวนการทำหนังเองก็เหมือนกำกวมอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นว่านี่เป็นหนังที่มีบทภาพยนตร์ตายตัวซึ่งนักแสดงและทีมงานต้องดำเนินไปตามกำหนดการ หรือเป็นการถ่ายหนังในเวลาว่างของทีมงาน นักแสดง ที่ผู้กำกับไปถ่ายบรรดานักแสดงในคราบตัวละครตอนหลังเลิกงานพักผ่อนและพูดคุย

หนังเปิดซีนแรกมาเป็นวุฒิคุยกับชายหนุ่มอีกคนที่ร้านอาหารว่าด้วยการหาคนมาช่วยงานขับรถ หลังจากนั้นเราเห็น วุฒิ ทำงานบ้างในบางเวลา ขับรถส่งของหรือการตระเตรียมลูกน้องในการขนส่งเวลาเจอปัญหากับเจ้าหน้าที่ แต่เวลาส่วนใหญ่จริง ๆ ของหนังไม่ได้สนใจวุฒิในฐานะคนทำงาน แต่เป็นวุฒินอกเวลางานแทน แม้เนื้อหาของหนังจะมีความประพิมพ์ประพายคล้ายกับ People on Sunday ที่มีทั้งการพูดถึงวันทำงานและวันหยุดในจอ (ตัวละครไปเที่ยว) และนอกจอ (ถ่ายในวันว่างของนักแสดง) แต่จอมโหด ฯ กลับขยายขอบเขตของการพักผ่อนไปอีกชั้น นั่นคือ ในขณะที่ People on Sunday ฉบับเยอรมัน นักแสดงต้องรับบทบาทสมมติเรื่องรักวุ่น ๆ จนดูออกว่าเป็นเรื่องแต่ง นักแสดงใน จอมโหดฯ นี่กลับทำให้คนดูดูแล้วกังขาว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ? นี่เป็นการแสดงหรือไปถ่ายคนกินเหล้ากันเฉย ๆ ? ถ้านักแสดง People on Sunday ทำงานขณะแสดง นักแสดงใน จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+ เหมือนทำในสิ่งที่ตรงข้าม พวกเขาพักผ่อนขณะแสดง และสิ่งที่ไปไกลยิ่งกว่านักแสดงพักผ่อนขณะแสดงก็คือ ภาพยนตร์พักผ่อนจากการเป็นภาพยนตร์

หนังที่ไม่มีเนื้อเรื่องให้จับต้องแบบภาพยนตร์ในขนบคลาสสิกทั่วไป ไม่ได้แฝงสาระหรือตั้งใจจะบอกกล่าวประเด็นสาระใหญ่อึ้งแบบหนังข่าวหรือสารคดี อีกทั้งยังไม่มีความวูบวาบดูดยอดวิวแบบสื่อออนไลน์สมัยใหม่ จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+ คือบทบันทึกความอ้อยอิ่งในยุคเปลี่ยนผ่านสหัสวรรษที่น่าใคร่ครวญ จอมโหดมนุษย์ซีอิ้ว+ เป็นเหมือนหนังที่สร้างขึ้นด้วยสุนทรียะแบบสุรุ่ยสุร่าย กล้องของหนังถ่ายดะไปหมด เก็บบันทึกห้วงขณะต่าง ๆ อย่างปนเป มีทั้งช่วงตอนที่ทั้งดีและไม่ดี น่าเบื่อและเพลิดเพลิน มีเรื่องราวและไม่มีเรื่องราว ลึกซึ้งและตื้นเขิน มันไม่มีลำดับชั้นของเหตุการณ์ ไม่มีการคัดกรองว่าหนังต้องมีแต่โมเมนต์ที่ “ดี” ไม่มีการเรียงลำดับอารมณ์ไปสู่จุดไคลแมกซ์แบบปกติ ทุกซีนไม่ได้มีอันใดสำคัญกว่าซีนไหน มีแต่ซีนที่คนดูชอบไม่ชอบมากน้อยต่างกันไป อีกทั้งยังไม่แก่นแกนกลางที่จะให้คนดูยึดจับได้ เราปล่อยให้แต่ละนาทีของหนังไหลผ่านเราไปอย่างเรื่อยรื่น

ขณะที่เราดูจอมโหดฯ เราอาจะต้องปรับตัวเองให้อยู่ในโหมดเดียวกับตัวละครในเรื่อง คืออาการกึ่งเมานิด ๆ กับเพื่อน พูดคุยเลี้ยวเลาะสนทนาแบบไม่ประสงค์จะจับสารจับแก่นอะไรให้เป็นชิ้นอัน วงสนทนาของคนเมาที่อาจจะประสมกันทั้งความไร้สาระ มุขตลกและปรัชญา แต่ถึงที่สุดเราก็ไม่ได้คาดหวังจะได้อะไรจากมันนอกจากความรื่นรมย์ในโมงยามหลังงานเหนื่อย ลักษณะภาษาภาพของหนังที่ไม่สมบูรณ์แบบตามขนบก็ช่วยสะท้อนภาวะตรงนี้ของมัน การเคลือนกล้องอย่างมีข้อจำกัด ถ่ายติดตัวละครบ้าง หลุดบ้าง ชัดบ้าง เบลอบ้าง กลายเป็นความดิบที่หลุดพ้นจากความพยายามจะทำตามขั้นตอนของหนังทั่วไป

จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+ คือบทบันทึกความอ้อยอิ่งในยุคเปลี่ยนผ่านสหัสวรรษที่น่าใคร่ครวญ เป็นเหมือนหนังที่สร้างขึ้นด้วยสุนทรียะแบบสุรุ่ยสุร่าย กล้องของหนังถ่ายดะไปหมด เก็บบันทึกห้วงขณะต่าง ๆ อย่างปนเป ไม่มีการคัดกรองว่าหนังต้องมีแต่โมเมนต์ที่ “ดี” ไม่มีการเรียงลำดับอารมณ์ไปสู่จุดไคลแมกซ์แบบปกติ อีกทั้งยังไม่แก่นแกนกลางที่จะให้คนดูยึดจับได้ เราปล่อยให้แต่ละนาทีของหนังไหลผ่านเราไปอย่างเรื่อยรื่น

โดยทั่วไป หนังของไพสิฐอาจหาดูได้ไม่ง่ายนักนอกบริบทเทศกาลหนังด้วยว่ามันไม่ได้ถูกผลิตขึ้นในระบบภาพยนตร์พานิชย์ทั่วไปที่เอาเข้าฉายโรงภาพยนตร์ใกล้ – หรือไกลบ้านท่าน แล้วแต่ว่าท่านมีบ้านเลขที่อยู่ที่ไหน – ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ท่านจะไม่เคยได้ยินหรือได้ดูหนังเรื่องนี้มาก่อน และด้วยความที่เป็นหนังนอกกระแส การจดบันทึกของตัวหนังเองก็ตกหล่นสูญหายเหลือไว้แต่ความทรงจำประหนึ่งเกร็ดเรื่องเล่ามุขปาฐะให้สืบสาวกันไป ตัวผู้กำกับเล่าว่าหลังจากหนังสร้างเสร็จได้ฉายครั้งแรกที่งานฉายหนังดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์ด้วยม้วนเทปวิดีโอและหลังจากนั้นก็มีโอกาสฉายในงานเล็กงานน้อยก่อนจะมีการฉายเวอร์ชั่นตัดสั้นหนึ่งชั่วโมงในงานเทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพ ฯ แล้วหนังก็ประหนึ่งจะหายสาปสูญและปรากฏเป็นเพียงชื่อ (ที่ติดหู) ตามหน้ากระดาษบทความเขียนถึงภาพยนตร์อิสระของไทย ดังนั้นถึงแม้คุณจะเคยได้ยินชื่อหนังมาก่อนก็อาจจะหาโอกาสดูได้ยากอยู่ดี จนเมื่อปี 2019 มีการนำภาพยนตร์เรื่องนี้กลับมาฉายแบบพานิชย์อีกครั้งที่ Doc Club Theatre ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะลองมาทำความรู้จักและร่วมหย่อนใจไปกับเสน่ห์รสแปร่งของภาพยนตร์เรื่องนี้


ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่ Doc Club on Demand

Business Update : ศึกสตรีมมิ่งในอินเดีย & มาตรการอุ้มหนังในจีน

ขณะที่สถานการณ์โรคโควิด เริ่มเข้าสู่ภาวะคลี่คลายในหลายประเทศ ความเคลื่อนไหวของธุรกิจภาพยนตร์โลกเริ่มมีความชัดเจนขึ้น ผู้เขียนขอรวบรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมาดังนี้

อินเดีย อีกหนึ่งสมรภูมิการแข่งขันของธุรกิจสตรีมมิ่ง

สำหรับผู้ประกอบการสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ อย่าง Netflix หรือ Amazon Prime สองตลาดสำคัญที่ยังเจาะไม่ได้คือ ประเทศจีน และอินเดีย สำหรับประเทศจีน เหตุผลสำคัญคือที่นั่นมีผู้เล่นหลักอยู่แล้ว อย่าง Iqiyi หรือ Tencent อยู่แล้ว ซึ่งแค่ผู้ประกอบการสองรายหลักก็มีสมาชิกรวมกันกว่า 170 ล้านคนแล้ว (ขณะที่ Netflix มีจำนวนสมาชิกในอเมริกา 60.6 ล้านคน และอีก 97.8 ล้านคนทั่วโลก รวมเป็น 158.4 ล้านคนเท่านั้น) ส่วนอินเดีย ด้วยความที่คนยังผูกพันกับการชมภาพยนตร์ในโรง ประกอบกับ ระบบอินเทอร์เน็ตยังไม่เสถียร เลยทำให้ธุรกิจสตรีมิ่งยังไม่เติบโตเท่าที่ควร เปรียบเทียบง่ายๆ จากรายได้ โดยรายได้จากขายบัตรชมภาพยนตร์ในอินเดียเมื่อปี 2019 สูงถึง 1,600 ล้านเหรียญ ขณะที่รายได้ของธุรกิจสตรีมมิ่งในอินเดีย 267 ล้านเหรียญเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับธุรกิจสตรีมมิ่งในอินเดียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อ Disney Plus Hotstar ซึ่งเกิดจากการควบรวบของบริษัท Hoststar ซึ่งเป็นสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ของอินเดียนำเสนอคอนเทนต์ทั้งหนังซีรีส์ และกีฬา กับ Disney Plus ซึ่งเป็นกิจการสตรีมมิ่งของบริษัท Disney ได้วางแผนที่จะนำเสนอคอนเทนต์ที่หลากหลายและแข็งแรง (แน่นอนว่าในจำนวนนี้ต้องรวมถึงหนังของดิสนีย์หลากหลายแนวด้วย) มีการคาดหมายกันว่า ภายในปี 2020 น่าจะมีรายได้จากค่าสมาชิกและค่าโฆษณารวมกัน 174 ล้านเหรียญ และจะเพิ่มเป็น 900 ล้านเหรียญในปี 2025 เท่ากับว่า Disney Plus Hotstar จะกลายเป็นเบอร์หนึ่งของธุรกิจสตรีมมิ่งในอินเดีย เหนือกว่าคู่แข่งอย่าง Amazon Prime และ Netflix เสียอีก

แม้ว่าการแข่งขันของธุรกิจสตรีมมิ่งในอินเดียเป็นไปอย่างเข้มข้น จริงจัง แต่ก็สร้างความกังวลใจให้กับผู้ประกอบการโรงหนังในอินเดียอยู่ไม่น้อย เพราะผู้ประกอบการเหล่านี้ ทั้ง Disney Plus Hotstar Amazon Prime และ Netflix ต่างแย่งกันซื้อสิทธิ์หนังอินเดียมาครอบครอง ทำให้หนังเหล่านี้จะไม่มีโอกาสฉายในโรงภาพยนตร์ ร้อนไปถึงสมาคมโรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ต้องออกแถลงการณ์ดักคอ “เราขอกระตุ้นเตือนต่อ บริษัทสร้างภาพยนตร์ โปรดิวเซอร์ ศิลปินดารา และผู้สร้างคอนเทนต์ ให้เคารพต่อ ช่องทางการฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งถือเป็นหลักปฏิบัติกันมานานหลายทศวรรษไม่เพียงเฉพาะแค่ในอินเดีย แต่รวมถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก” เชื้อไฟแห่งความขัดแย้งเริ่มต้นจากบริษัท Amazon Prime ได้ซื้อสิทธิ์หนังอินเดียชื่อหนัง Gulabo Sitabo จนทำให้หนังไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ สร้างความไม่พอใจแก่ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เป็นอย่างมากจนนำมาสู่แถลงการณ์จากสมาคมโรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์

ผู้เขียนเชื่อว่า การเติบโตของธุรกิจสตรีมมิ่ง และความขัดแย้งระหว่างผู้ประกอบการสตรีมมิ่งกับโรงภาพยนตร์ จะต้องบานปลายเข้าไปในหลายประเทศแน่นอน และจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ (new norm) ที่อาจทำให้เราให้โครงสร้างการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปในเวลาไม่ช้า

อ้างอิง :


รัฐบาลจีนอุ้มธุรกิจภาพยนตร์หลังจากเสียหายหนักเพราะพิษโควิด 19

รัฐบาลจีนได้ออก 2 มาตรการสำคัญ เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมภาพยนตร์จีนที่ต้องประสบปัญหาจากวิกฤตโรคโควิด 19 ได้แก่ มาตรการยกเว้นภาษีให้กับผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ทุกประเภทในปีนี้ ถ้าผู้ประกอบการชำระไปแล้วก็สามารถเรียกคืนได้ หรือไม่ก็เก็บไว้เพื่อหักภาษีที่จะถูกจัดเก็บในปีถัดไป โรงภาพยนตร์ในจีนอย่างน้อย 2,300 โรงทั่วประเทศต้องหยุดกิจการนับตั้งแต่โรคโควิด 19 ระบาด และมีการคาดการณ์ว่าปีนี้ รายได้ของบ็อกซ์ออฟฟิศในประเทศจีนจะหายไปกว่า 4.2 พันล้านเหรียญ

อีกมาตรการที่รัฐบาลได้ออกเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมภาพยนตร์คือการอนุญาตให้บริษัทสร้างภาพยนตร์ในประเทศจีนไม่ต้องจ่ายเงินสมทบรายเดือนเข้ากองทุนพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งชาติ โดยรัฐจะงดจัดเก็บตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนสิงหาคม ยกเว้นบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดหูเป่ยซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดของโรคโควิด 19 ทางรัฐบาลจะงดจัดเก็บเงินสมทบตลอดทั้งปี

อ้างอิง :

จากอิสระของ Ema สู่ Reggaeton จิตวิญญาณแห่งความเป็นขบถของละตินอเมริกา

หากใครยังไม่ได้ดูหนังเรื่อง Ema ขอแนะนำว่าให้ไปหาดูก่อน ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะพลาดหนังน้ำดีประจำปีนี้ไปได้

แต่ถ้าใครที่ได้ดูแล้ว จะพบว่าองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของหนังที่เลือกใช้คือเพลงแนว Reggaeton ที่เอม่าใช้เต้นเพื่อปลดปล่อยอารมณ์และทัศนคติของเธอ

ปัจจุบัน Reggaeton เป็นแนวเพลงที่นิยมของมหาชนไม่แพ้ดนตรีแนวฮิปฮอปและ EDM ศิลปินป๊อบสตาร์ระดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Ed Sheeran, Justin Bieber หรือ Madonna ล้วนนำองค์ประกอบของเพลงแนวนี้มาใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่กว่าที่ Reggaeton จะมาเป็นดนตรีที่ครองใจทุกคนได้ขนาดนี้ ก็มีชีวิตอย่างระห่ำและล้มลุกคลุกคลานไม่แพ้ตัวละคร Ema เลยทีเดียว

แต่ถึงแม้จะยังไม่ได้ดูหนัง ก็สามารถอ่านบทความนี้ได้ โดยไม่เสียอรรถรสของหนังแต่อย่างใด

ตัวอย่างภาพยนตร์ Ema (2019, Pablo Larraín)

หากจะหาถึงต้นกำเนิดของแนวเพลง Reggaeton นั้น ต้องย้อนไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ณ ทวีปแอฟริกา กลุ่มคนชาวจาไมกาได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล เป็นแรงงานขุดคลองปานามาเพื่อขยายเส้นทางการเดินเรือ เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศนี้ นอกจากพวกเขาจะหอบร่างกายมาแล้ว พวกเขายังหอบเอาวัฒนธรรมท้องถิ่นของพวกเขามาเผยแพร่คือดนตรีแนวแดนซ์ฮอลล์ (Dancehall) ซึ่งพัฒนามาจากดนตรีเรกเก้ รวมกับการเกิดการผสมผสานกับดนตรีของคนละตินท้องถิ่น ทั้งเมเรงเก้, บอมบา, เพลน่าจากเปอร์โตริโก โซคาจากตรินิแดด ไปจนถึงซัลซา แถมยังลากดนตรีฮิปฮอปจากอเมริกามาด้วย

เพลง Dem bow ของ Shabba Ranks

มาในยุค 1970 ศิลปินในประเทศได้ทำเพลงที่มีเนื้อเพลงเป็นภาษาสเปนในทำนองเพลงเรกเก้ และค่อยๆเปลี่ยนแปลงเป็นการแร็ปในยุค 1980 แต่ยังอยู่ในทำนองเพลงเรกเก้ และ่มาถึงยุค 1990 ที่มีการพัฒนาทำนองจนกลายเป็น Reggaeton ที่มีแบบแผนอย่างแข็งแรงต่อมา จุดเด่นของ Reggaeton คือเสียงจังหวะของกลองที่เป็นเอกลักษณ์อย่างมาก ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “Dembow” มาจากเพลงที่ชื่อเดียวกันของ Shabba Ranks ศิลปินชาวจาไมกาในปี 1991 ที่เมื่อพอได้ยินแล้วจะคุ้นเคยกับจังหวะกลองแบบบีทแบบนี้ทันที จังหวะนี้กลายเป็นต้นแบบที่เพลง Reggaeton แทบทุกเพลงจะใช้โดยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

ช่วงต้นยุค 1990 แนวเพลง Reggaeton เริ่มเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจมากขึ้น จากแนวเพลงที่แปลกใหม่และทำนองที่ร่วมสมัยโดนใจวัยรุ่น หนึ่งในบุคคลที่สำคัญต่อวงการ DJ Negro ผู้ต้องการสถานที่ที่ได้แสดงความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ และสร้างชุมชนของคนที่รักเพลง Reggaeton รวมถึงเสาะหาดีเจแร็ปเปอร์หน้าใหม่ดาวรุ่งขึ้นมา จึงเริ่มเปิดคลับ The Noise ขึ้นในปี 1992 จนสามารถสร้างชื่อกลายเป็นศูนย์กลางของคนรักเพลง Reggaeton ตั้งแต่นั้น กลายเป็นสถานที่ที่โด่งดังและสำคัญที่สุดอีกหนึ่งที่ในหน้าประวัติศาสตร์

ศิลปินละตินที่โด่งดังและขึ้นชื่อเป็นตำนานในปัจจุบัน ล้วนต้องผ่าน The Noise มาแล้วทั้งนั้น ทั้ง Don Chezina, Las Gaunabanas รวมไปถึง Daddy Yankee ที่ไปอาละวาดด้วยการแร็ปในคลับตั้งแต่อายุ 16 ก่อนที่จะโชว์ความอัจฉริยะ จนปัจจุบันเขาได้กลายเป็น “King of Reggaeton” ภายหลัง The Noise ได้รวมตัวกลุ่มดีเจ และแรร็ปเปอร์ที่เล่นอยู่ในคลับ มีอนาคตไกล เปลี่ยนจากคลับกลายเป็นกลุ่มศิลปินที่ทำเพลงเป็น compilation album ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

เพลง Corrupto Oficial ของ Daddy Yankee

สิ่งที่ทำรากฐานของดนตรีแนว Reggaeton ที่ทำให้มันแข็งแรงและแผ่กิ่งก้านสาขาไปไกลทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคือการเป็นเครื่องมือทางการเมืองของประเทศเปอร์โตริโกในช่วงนั้น ในยุคแรกนั้นชะตากรรมของ Reggaeton นั้นไม่ต่างจากวัฒนธรรมฮิปฮอปในอเมริกา (จนถึงขั้นมีการเรียกกันว่าเป็นสแปนิชฮิปฮอป) เพลง Reggaeton นั้นเป็นเพลงที่ถูกเขียนขึ้นมาจากวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชนชั้นแรงงานในเปอร์โตริโก บางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับ “ธุรกิจใต้ดิน” เนื้อหาของเพลงสะท้อนกับชีวิตที่วนเวียนอยู่กับอาชญากรรม เรื่องเพศ ความรุนแรง ยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย การใช้ความรุนแรงเกินความจำเป็นโดยตำรวจ จนทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่รัฐเริ่มไม่พอใจ

Pedro Rosselló ผู้ว่าการเปอร์โตริโกในตอนนั้น จึงใช้ไม้แข็งด้วยการออกมาตรการ “mano dura contra el crimen (Iron Fist Against Crime)” เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 1993 – 1999 กวาดล้างกลุ่มชนชั้นแรงงานที่ข้องเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมายและธุรกิจใต้ดินทั้งหลายให้สิ้นซาก และเพลง Reggaeton ก็ติดหนึ่งในธุรกิจที่ควรกำจัดเช่นเดียวกัน

ตามนโยบาย Iron Fist Against Crime ตำรวจในท้องที่สามารถทำการค้นหาสิ่งของที่ผิดกฎหมาย ยึดของเถื่อน จับกุมผู้ต้องสงสัย และสอบสวนผู้ต้องสงสัยที่คิดว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายได้ทันที โดยสามารถเรียกกองกำลังเสริมกรณีที่เกิดเหตุจำเป็น โดยการเรียกทหารพร้อมอาวุธ เฮลิคอปเตอร์ ยานพาหนะของทหาร เพื่อควบคุมชุมชนให้ขาวสะอาดและเป็นการประกาศถึงการไม่ยอมอ่อนข้อให้กับสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ส่งผลเสียให้กับผู้บริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ในย่านนั้น พวกเขาถูกมองว่าเป็นบุคคลอันตรายและกลายเป็นอาชญากร เกิดการใช้กำลังเกินควรโดยเจ้าหน้าที่

กลุ่มศิลปินเริ่มใช้เพลงเป็นเครื่องมือในการต่อต้านอำนาจของรัฐมากขึ้น โดยการบอกเล่าการถูกกดขี่ข่มเหงจากรัฐผ่านเนื้อเพลง

ในส่วนของเพลง Reggaeton นั้น ถูกลากเข้ามามีส่วนร่วมในปี 1995 เมื่อตำรวจได้บุกเข้าร้านขายเทปเพลง โดยทำการยึดซีดีและเทปคาสเซ็ตเพลง Reggaeton นับร้อยแผ่น พร้อมทั้งจับคนขายแผ่นซีดีเนื่องจากสนับสนุนสิ่งที่ทำให้เกิดความรุนแรงและการใช้ยาเสพติดในสังคม แต่นั่นไม่ได้ทำให้วงการเพลงซบเซาลงไป กลับกันกลุ่มศิลปินเริ่มใช้เพลงเป็นเครื่องมือในการต่อต้านอำนาจของรัฐมากขึ้น โดยการบอกเล่าการถูกกดขี่ข่มเหงจากรัฐผ่านเนื้อเพลง สิ่งนี้จึงเป็นการแก้ต่างว่าถึงแม้พวกเขาจะเป็นผู้กระทำผิดที่ทำงานนอกกฎหมายจริง แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่ทำความผิดตามที่ทางการกล่าวอ้างให้เกินจริง

เพลง “Señor Oficial” (Mr. Police Officer) ของ Eddie Dee

ตัวอย่างเช่นเพลง Corrupto Oficial ของราชาเพลง Reggaeton Daddy Yankee ที่เล่าถึงความอยุติธรรมของตำรวจที่สามารถยัดข้อหาเพียงเพราะเขาอยู่ในชุมชนนั้น จนคนที่อยู่ในนั้นไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ เพราะไม่รู้ว่าจะโดนจับและโดนยัดวันไหน หรืออย่างเพลงของ Eddie Dee ที่ชื่อ “Señor Oficial” (Mr. Police Officer) ที่ระเบิดความอัดอั้นที่เขาเหมือนถูกตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐจับผิดตลอดเวลา เพียงแค่เขาอยู่ในชุมชนแห่งนี้เท่านั้นหรือ หรืออย่างในเพลง Censor Me ที่เขาเริ่มเปลี่ยนจากความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นความโกรธเกรี้ยวและท้าทายรัฐที่คอยห้ามคนอย่างพวกเขา ด้วยการบอกว่า เซ็นเซอร์กูเลย! เซ็นเซอร์กูเลยเหมือนเซ็นเซอร์เสียงของเมืองนี้นั่นแหละ! เนื้อหาในหลายๆ เพลงนั้น พวกเขายอมรับว่าตัวเองนั้นทำธุรกิจที่ไม่ดี แต่การกระทำในช่วงนั้น มันทำให้พวกเขากลายเป็นคนเลวที่ไม่มีทางกลับใจได้ เป็นอาชญากรที่สมควรถูกลงโทษไปตลอดชีวิต และไม่มีทางที่จะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนในสังคมธรรมดาได้อีกต่อไป

เพลง Censurarme (Censor Me) ของ Eddie Dee

ถึงแม้ Reggaeton จะถูกควบคุมไม่ให้ออกมาจากแสงสว่าง แต่ก็เหมือนยิ่งห้ามยิ่งยุ เหล่าคนรุ่นใหม่ๆ เริ่มเข้าถึงเพลง Reggaeton มากขึ้น และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้าน กระแสเหล่านี้ทำให้การกีดกันเริ่มซาลง จนกระทั่งเมื่อปี 2002 Reggaeton ตกเป็นเป้าของทางการอีกครั้ง เมื่อวุฒิสมาชิก Velda González เริ่มเห็นว่าสื่อบางชนิดมีเนื้อหาทางเพศที่โจ๋งครึ่ม ท่าเต้นที่ยั่วยวนอารมณ์ทางเพศ และเป็นอันตรายต่อเยาวชน จึงต้องทำการแบนออกจากช่องทางการเผยแพร่ทั่วไป ซึ่งเป้าหมายหลักที่ต้องทำการแบนออกจากสื่อคือเอ็มวีเพลงแนว Reggaeton ที่แพร่หลายในช่วงนั้น แต่ก็ไม่อาจต้านทานความนิยมที่กลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ในประเทศไปได้ ซึ่งอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้กระแสต่อต้านนั้นลดลง คือการที่นักการเมืองท้องถิ่นในยุคนั้นเริ่มใช้เพลง Reggaeton เป็นเครื่องมือในการหาเสียง เพื่อเข้าหาและดึงฐานเสียงที่เป็นวัยรุ่น รวมถึงวุฒิสมาชิก Gonzalez ก็ยังหันมาใช้แผนนี้กับเขาด้วย

นอกจากความคล้ายคลึงกับฮิปฮอปในแง่การเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการต่อสู้ทางการเมืองแล้ว ภาพลักษณ์ของผู้หญิงในเพลงแนว Reggaeton ก็ยังเหมือนกันอย่างไม่มีผิด โดยศิลปินส่วนใหญ่ที่มีชื่อเสียงในแนวเพลงนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาย การมีส่วนร่วมของผู้หญิงนั้นยังคงเป็นได้เพียงแค่การขายเรือนร่างและกระตุ้นเร้าอารมณ์ทางเพศ หรือร้องเป็นคอรัสที่มีเนื้อหาส่อเสียดไปในทางเพศ ซึ่งเป็นการกดขี่อำนาจของผู้หญิง

แต่ในกระแสดนตรีที่มีภาพลักษณ์ของชายเป็นใหญ่ นั้นยังมีการปรากฏตัวของ Ivy Queen ศิลปินหญิงแนว Reggaeton คนแรกที่มีความสามารถในการแร็ปที่ยอดเยี่ยมทัดเทียมกับแร็ปเปอร์ชายจนคนทั่วไปให้การยอมรับ ทำให้เธอได้เข้าไปอยู่ในกลุ่ม The Noise และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก กลายเป็นตำนานอีกหนึ่งหน้าของวงการ จนเธอสามารถใช้เพลงของเธอส่งสาส์นไปถึงผู้หญิงทุกคนให้เห็นคุณค่าและภาคภูมิใจในร่างกายของตัวเอง การเป็นอิสระออกจากกรอบที่อำนาจของเหล่าชายวางไว้ เธอกลายเป็นไอคอนแร็ปเปอร์หญิงรุ่นใหม่ที่กล้าพูดในเรื่องราวของผู้หญิงในแถบละตินอเมริกาในเวลาถัดมา รวมไปถึงแร็ปเปอร์ที่ไปโด่งดังในอเมริกาอย่าง Cardi B อีกด้วย

หลังจากนั้น Reggaeton ยังคงอยู่ในเพลงกระแสหลักเรื่อยมา แต่ยังไม่อยู่ในขั้นยอดนิยมที่ทุกคนบนโลกจะจดจำและให้ความสนใจ จนกระทั่งมาถึงการกำเนิดของเพลง Despacito ของ Luis Fonsi ที่สร้างปรากฏการณ์ความนิยมไปทั่วโลก กลายเป็นเพลงที่เขย่าวงการดนตรีที่ไม่ว่าที่ไหนก็ต้องเปิด ยอดวิวของเพลงนี้ในยูทูปรวมแล้วประมาณ 6 พันล้านวิว (รวมทั้งประเทศไทยเช่นกัน ในช่วงนั้นไปที่ร้านไหนก็ต้องได้ยินเพลงนี้)

ทำให้เพลง Reggaeton กลายเป็นแนวดนตรีที่ยอดนิยมที่ศิลปินทั่วโลกนำมาใส่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของเพลง อย่าง Ed Sheeran ในเพลง Shape of You ที่เมื่อฟังจังหวะแล้วอาจมีความคุ้นเคยอยู่บ้าง หรืออย่าง Justin Beiber ที่มีส่วนร่วมในเพลง Despacito เวอร์ชั่น Remix และหยิบกลิ่นอายจังหวะของเพลงเข้าไปอยู่ในเพลง Sorry ซึ่งผลการตอบรับที่ดีมาก กลายเป็นสิ่งที่การันตีว่า Reggaeton ตอนนี้กำลังครองวงการ และไต่ขึ้นไปเป็นอีกหนึ่งหน้าตาของวัฒนธรรมละตินอเมริกาเลยทีเดียว

เพลง Despacito ของ Luis Fonsi ft. Daddy Yankee

ถึงแม้ Reggaeton จะเป็นเพลงที่ก้าวไกลไปสู่กระแสหลักแล้ว แต่ปัจจุบันก็ยังคงเป็นดนตรีแห่งความขบถอยู่เสมอ เมื่อปีที่แล้วชาวเปอร์โตริโกนับแสนคนเข้าร่วมการประท้วงเพื่อขับไล่ Ricardo Rosselló ผู้นำประเทศในตอนนั้น เรื่องการมีคอร์รัปชั่น การเหยียดเพศ โฮโมโฟเบีย ความไร้ความสามารถในการบริหารประเทศ และไม่ให้เกียรติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เฮอร์ริเคนมาเรียอีกด้วย (ถ้าคุ้นๆนามสกุล เขาคือลูกชายของ Pedro Rosselló ที่กวาดล้างชนชั้นแรงงานคนนั้นแหละ) มีผู้เข้าร่วมการประท้วงนับห้าแสนคน ซึ่งถือว่าเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศที่เคยมีมา

การประท้วงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง 12 วัน ศิลปินนักร้องในประเทศก็เข้าร่วมการประท้วงในครั้งนี้ด้วย ทั้ง Daddy Yankee, Ricky Martin, Bad Bunny และอีกมากมาย แถมเพลง Reggaeton ก็ถูกนำมาใช้ร้องเพื่อสร้างสีสันในการประท้วงเช่นกัน ด้วยการแปลงเพลงจากเพลงดังในอดีต ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการขับไล่ Ricardo จากตำแหน่ง รวมไปถึงการเต้นแบบ Perreo ซึ่งเป็นท่าเต้นที่มาพร้อมกับเพลง Reggaeton ที่ถึงแม้อาจจะมองแล้วเหมือนการเต้นแบบยั่วอารมณ์ทางเพศ แต่นี่เป็นท่าเต้นที่ให้ผู้หญิง และชาว LGBTQ+ สามารถนำเต้นได้ ถือเป็นการท้าทายต่อตัวเหล่าผู้นำที่เป็นโฮโมโฟเบีย

เพลง Te Boté

และเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของชาวเปอร์โตริโกครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อ Ricardo Rosselló ได้ประกาศว่าตัวเองลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการเปอร์โตริโกอย่างเป็นทางการ ผู้ประท้วงต่างร้องรำทำเพลงเพื่อฉลองชัยชนะ พวกเขาต่างกู่ร้องด้วยเพลง “Te Boté” (I Dumped You) ซึ่งจริงๆแล้ว เป็นเพลงที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการบอกเลิกของคู่รัก แต่ในที่นี้ พวกเขาร้องเพื่อบอกว่า พวกเราประชาชนเป็นคนที่ทิ้ง Rosselló ออกไปจากชีวิตของพวกเขา เพื่อจะได้พบกับอนาคตของประเทศที่ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่

ในฉากหนึ่งของหนัง Gaston ผู้เป็นสามีและนักออกแบบท่าเต้น บอกกับ Ema ตัวละครหลักและภรรยาของเขาว่า Reggaeton เป็นเพียงแค่ทำนองน่าเบื่อ มีแต่จังหวะเดิมวนเวียนไปซ้ำมาไม่รู้จบ มันไม่มีอิสระ ทำให้คนที่เต้นกลายเป็นเพียงแค่วัตถุทางเพศ มันอาจเป็นสิ่งที่แย่ของ Gaston ผู้ที่ศึกษาและมากับการเต้นแบบร่วมสมัย เขาศึกษาการเต้นเป็นศิลปะขั้นสูง มีความภาคภูมิใจอยู่ในการออกแบบท่าเต้นเหล่านั้น ซึ่งการเต้นเพลง Reggaeton นั้นทำให้ตัวเธอถอยห่างจากตัวเขา ลงไปอยู่กับกลุ่มคนที่ขบถ ดูควบคุมไม่ได้ มันอาจทำให้อำนาจของเขาอาจถูกสั่นคลอน เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเธอให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้น นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

หนึ่งในเพลงประกอบหนัง Ema

แต่นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ Ema ต้องการก็เป็นได้ คือการเต้นแบบอิสระ ไร้การกำหนดทิศทาง ปล่อยใจไปกับทำนองของเพลง เป็นโลกที่เธอสามารถกำหนดการเต้นได้เป็นตัวของตัวเอง Reggaeton กำเนิดมาจากความติดดินที่เป็นอิสระเท่านั้นเอง

The Half of It จดหมาย(แอบ)สารภาพรัก

เพียงไม่กี่วันก่อนจะปล่อยฉายทั่วโลกใน Netflix ภาพยนตร์เรื่อง The Half of It ก็ชนะรางวัล Best Narrative Feature จาก Tribeca Film Festival ทำให้มันเป็นหนังอีกเรื่องที่เด่นขึ้นมาท่ามกลางมหาสมุทรคอนเทนต์มากมายในสตรีมมิ่งเซอร์วิสช่วงนี้

      โดยภายใต้หน้าหนังเรียบเชียบคล้ายจะตามสูตรของมัน หนังแนวก้าวพ้นวัย (coming-of-age) เรื่องนี้กลับมีความโดดเด่นน่าสนใจอยู่หลายประการที่ควรค่าแก่การพูดถึง ตั้งแต่การเล่าเรื่องความรักวัยรุ่นเอเชียนอเมริกันที่เป็นเควียร์ ไปจนถึงการอ้างอิงถึงศิลปะและวรรณคดีที่อัดแน่นมาเต็มเรื่อง

* เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์

      หนังเล่าเรื่องของเอลลี่ ชู เด็กสาวหัวดีเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่กับพ่อผู้ทำงานเป็นนายสถานีรถไฟในเมืองเล็กๆ ไกลปืนเที่ยงชื่อสควอเฮมิช ชีวิตของเธอเรียบง่ายจนเกือบจะเรียกได้ว่าเงียบเหงา ปฏิสัมพันธ์ที่พอจะมีกับคนในโรงเรียนถ้าไม่ใช่รับจ้างเขียนรายงานให้เพื่อนร่วมชั้น ก็มีแค่กับคุณครูที่รู้ทันแต่ปล่อยให้เธอทำธุรกิจลับๆ นี้ต่อไปเพราะไม่อยากอ่านงานเขียนที่ไม่ได้เรื่อง จนวันหนึ่ง หนุ่มนักกีฬาท่าทางเด๋อด๋าอย่าง พอล มันสกี้ มาวานจ้างให้เธอช่วยเขียนจดหมายสารภาพรักให้หญิงในดวงใจของเขาอย่างแอสเทอร์ …ซึ่งทั้งหมดนี้คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ถ้าเอลลี่ไม่ได้กำลังมีใจให้แอสเทอร์อยู่เหมือนกัน!

      The Half of It เป็นผลงานกำกับของคนทำหนังอเมริกันเชื้อสายจีนอย่าง อลิซ วู (Alice Wu) ที่หลังเปิดตัวด้วย Saving Face ในปี 2004 -ว่าด้วยตัวละครหญิงรักหญิงชาวเอเชียนอเมริกันกับแรงกดดันที่เธอต้องเผชิญจากวงสังคมคนจีนในมหานครนิวยอร์ก- ก็เว้นช่วงยาวถึง 16 ปีกว่าจะเข็นผลงานลำดับ 2 เรื่องนี้ออกมาได้ โดยวูหยิบโครงเรื่องจากบทละครฝรั่งเศสอายุร้อยกว่าปีอย่าง Cyrano de Bergerac (1897) มาใส่เรื่องราวก้าวพ้นวัยและความรักของเลสเบี้ยนเข้าไป เจือด้วยความแปลกแยกของการเป็นชาวจีนพลัดถิ่นในเมืองที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นคนขาวเคร่งศาสนา

      หนังให้เอลลี่สวมรองเท้าเดียวกับซีราโนที่ต้องเขียนจดหมายจีบผู้หญิงที่ตนรักให้กับผู้ชายอีกคน โดยการทำภารกิจพร่ำคำรักผ่านข้อความในนามของผู้อื่นนี่เองที่ทั้งคู่ได้แถลงความในใจของตัวเองออกไปด้วย แต่สิ่งที่ The Half of It เพิ่มเติมเข้ามา (นอกจากมีแชทกันผ่านไอโฟน) ก็เห็นจะเป็นการขับเน้นตัวละครผู้เป็นวัตถุแห่งความหลงใหลอย่างแอสเทอร์ให้มีมิติตื้นลึกหนาบางขึ้นมา รวมทั้งยังสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอลลี่กับเพื่อนผู้ร่วมชะตาอย่างพอลด้วย

      ในขณะที่นิยามของความรักค่อยๆ ได้รับการขัดเกลาจากการโต้ตอบจดหมายระหว่างเอลลี่กับแอสเทอร์ ผ่านความชื่นชอบที่พวกเธอมีร่วมกันในนิยาย The Remains of the Day (1989) ของคาซุโอ อิชิกุโร และหนัง Wings of Desire ของวิม เวนเดอร์ส (1987) หนุ่มนักกีฬาที่ไม่ประสาเรื่องศิลปะหรือวรรณคดีอย่างพอลจึงต้องเข้าคอร์สศิลปะวัฒนธรรมแบบเร่งรัดจากเอลลี่ (เพื่อไม่ให้แอสเทอร์จับผิดได้เมื่อนัดเดตกัน) ทำให้ทั้งคู่ได้สานสัมพันธ์ของพวกเขาเองไปด้วยในตัว หนังจึงแสดงให้เห็นความซับซ้อนของความสัมพันธ์อีกแบบที่เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักผ่านภาพยนตร์ ซึ่งก็คือมิตรภาพ (และความรัก?) ระหว่างผู้หญิงเกย์กับชายสเตรท

      เราจะเห็นได้ว่าหนังจมตัวเองอยู่ในหมุดอ้างอิงทางศิลปะมากมาย โดยเป็นทั้งการคารวะที่ตัววูมีต่อภาพยนตร์/วรรณกรรมเหล่านี้ และเป็นทั้งเครื่องมือที่วูเอามาใช้เป็นประโยชน์ต่อการเล่าเรื่อง เช่น การเกริ่นถึงแนวคิดเรื่องคู่แท้ของเพลโตเพื่อนำเสนอภาพความสัมพันธ์ในปัจจุบันที่ซับซ้อนยุ่งเหยิงกว่าแค่การหา ‘อีกครึ่งหนึ่งที่หายไป’ ของเรามาก หรือการใช้ประโยค “ฉันไม่ได้อยากถูกเทอดทูน ฉันอยากถูกรัก” ของแคทเธอรีน เฮปเบิร์นในหนัง The Philadelphia Story (1940) เพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดของแอสเทอร์ สาวสวยผู้เป็นที่ปรารถนาของทุกคนแต่เจ้าตัวกลับยังคงโหยหาความรักที่แท้จริง ไปจนถึงการอ้างอิงถึงบทละคร No Exit (1944) ของฌอง-ปอล ซาตร์ -เล่าถึงตัวละครสามตัวที่ติดอยู่ในนรกด้วยกันชั่วกัลป์อันเป็นที่มาของประโยคดัง “นรกคือคนอื่น”- ซึ่งสะท้อนภาวะติดแหง็กที่ตัวละครในหนังต้องเผชิญอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างสควอเฮมิช รวมทั้งความรู้สึกแปลกแยกโดดเดี่ยวที่พวกเขาแบกรับต่างกันออกไป

ตัวอย่าง Saving Face (2004)

      หากมองย้อนกลับไปที่ Saving Face วูได้วางตัวละครไว้ในบริบทเมืองใหญ่อย่างมหานครนิวยอร์กซึ่งเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ไม่รู้จบ แต่อนาคตและความฝันของผู้หญิงในชุมชนจีน-อเมริกันกลับถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบธรรมเนียมอันดีงาม ตัวละครต่างมีภาระต่อสู้ที่หนักหนาไม่ว่าจะเป็นตัวลูกสาวที่ชอบผู้หญิงด้วยกัน หรือตัวแม่ที่อยู่ๆ ก็ท้องโดยไม่มีพ่อ แต่ใน The Half of It วูกลับหัวกลับหางเงื่อนไขทางสังคมเสียใหม่ให้กลายเป็นเมืองเงียบเหงาที่แรงกดดันทางสังคมแบบจีนๆ แผ่ขยายมาไม่ถึง ภาระที่ตัวละครแบกรับจึงต่างออกไป (แม้ที่ทางของเควียร์ก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยอยู่ดี) สำหรับเอลลี่ มันกลายเป็นความเปลี่ยวดายของการเป็นคนนอกในเมืองที่ไม่มีใครหน้าตาหรือสีผิวเหมือนเธอ เป็นภาระทางอารมณ์ที่สืบทอดมาจากคนรุ่นพ่อผู้แบกฝันข้ามน้ำข้ามทะเลมาแต่กลับต้องหยุดชะงักอยู่แค่ในเมืองเล็กๆ เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง แม้เอลลี่จะเป็นนักเรียนหัวกะทิที่ดูเหมือนจะมีอนาคตไกล แต่ความฝันที่พังพาบของพ่อ การจากไปของแม่ และการไม่รู้ตำแหน่งแห่งหนของตนบนโลกกลับตรึงเธอไว้อยู่ที่เมืองแห่งนี้ ทำได้เพียงเฝ้ามองดูขบวนรถไฟเดินทางผ่านมาแล้วผ่านไปในทุกวี่วัน

ฉากที่ตัวละครป่าวประกาศความรักของตนออกมาในสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดใจ มันล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำ ไม่ใช่แค่เพื่อเอาชนะหัวใจของอีกฝ่าย แต่เป็นการก้าวข้ามกรอบเกณฑ์บางอย่างที่ตนยึดถือ

      ในขณะที่เรื่องราวที่วูสนใจถ่ายทอดนั้นยังบอกเล่าผ่านตัวละครเชื้อสายเอเชียกับความรักของเลสเบี้ยน แต่ใจความสำคัญจริงๆ ในหนังของวูคือเรื่องสากลของการหยัดยืนเพื่อความรัก ว่าความรักที่ไร้ซึ่งความกล้าหาญที่จะป่าวประกาศมันออกมานั้นช่างสูญเปล่าและไม่อาจทำให้เราเติบโตขึ้นมาได้ หนังทั้ง 2 เรื่องของวูจึงมีฉากที่ตัวละครป่าวประกาศความรักของตนออกมาในสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดใจ (เรื่องหนึ่งคือในอีเวนต์ธรรมเนียมจีน อีกเรื่องคือในโบสถ์คริสต์) แต่มันล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำ ไม่ใช่แค่เพื่อเอาชนะหัวใจของอีกฝ่าย แต่เป็นการก้าวข้ามกรอบเกณฑ์บางอย่างที่ตนยึดถือ -ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่ว่าผู้หญิงที่ดีควรทำอย่างไร การแสดงออกถึงความรักนั้นทำได้แค่ไหน หรือทางเลือกใดๆ ก็ตามที่ ‘ปลอดภัย’ มากกว่าสิ่งที่ต้องการทำจริงๆ- เพื่อที่จะยืนยันความรู้สึกซึ่งลุกโพลงอยู่ในใจของพวกเขาโดยไม่มัวพะวงถึงผลที่ตามมา เพื่อที่พวกเขาจะได้เติบโตและก้าวเดินต่อไปกับชีวิตได้

      ใน Cyrano de Bergerac ซีราโนไม่เคยเอ่ยปากบอกความจริงต่อร็อกซานน์-หญิงสาวที่เขารัก-เลยจนกระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิต เพราะแม้มีวาทศิลป์เป็นเลิศเพียงไรแต่ก็เชื่อฝังใจว่าจมูกอันใหญ่โตแสนอัปลักษณ์ของตนเป็นสิ่งที่ทำให้ตนไม่ควรค่าพอที่จะถูกรัก โศกนาฏกรรมของซีราโนจึงถูกเขียนใหม่ กลายเป็นอนาคตที่เอลลี่หาญกล้าพอที่จะเลือกทางเดินให้กับตัวเอง เธอกล้าบอกความจริงต่อหญิงสาวที่เธอรัก และกล้าขึ้นขบวนรถไฟคันนั้นออกจากเมืองที่รั้งเธอมาทั้งชีวิต ดูเหมือนว่าคำถามที่เธอถามกับแอสเทอร์ในโบสถ์ว่า “นี่คือฝีแปรงที่แน่ที่สุดเท่าที่เธอทำได้แล้วจริงๆ เหรอ” จะเป็นคำถามที่เธอถามตัวเองด้วยเช่นกัน การไม่กล้าลองลงฝีแปรงเลือกสิ่งที่หัวใจปรารถนาจริงๆ นั้นอาจทำให้เราปลอดภัยอยู่ในรั้วรอบขอบชิดที่คุ้นชิน แต่ราคาค่างวดที่อาจต้องจ่ายคือยอมให้คำถามนั้นหลอกหลอนเราไปชั่วชีวิต

      แม้ในแง่ของงานคราฟต์หนังและกลวิธีการเล่าเรื่องแล้ว The Half of It จะยังติดอยู่ในขนบของหนังก้าวพ้นวัยทั่วไป แต่ตัวหนังกลับเต็มไปด้วยประเด็นที่จริงจัง รายละเอียดลึกซึ้งกินใจ และความเข้าอกเข้าใจในตัวละครอย่างเปี่ยมล้น นั่นยิ่งทำให้น่าเสียดายที่หนังยังอาศัยพลังในการเล่าเรื่องจากแหล่งอื่นอยู่มาก (ทั้งจากฟอร์มของหนังวัยรุ่น และจากการอ้างอิงถึงศิลปะอย่างมากมายในหนังที่หลายครั้งก็โจ่งแจ้งเสียเหลือเกิน) ชวนให้กังขาว่าหนังอาจไปได้ไกลอีกเพียงไรหากวูกล้าลงฝีแปรงที่ ‘แน่’ กว่านี้ในแบบที่เรารู้ว่าเธอทำได้

      อย่างไรก็ดี The Half of It ก็เป็นหมุดหมายอันดีของการถ่ายทอดเรื่องราวตัวละครหญิงรักหญิงและเอเชียนอเมริกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ไม่มาก-และยิ่งน้อยลงเข้าไปอีกสำหรับกรณีที่ทั้งสองประเภทดังกล่าวมาซ้อนทับกัน-ในภาพยนตร์กระแสหลัก แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่แน่นอนคือหนังได้พาชื่อของ อลิซ วู ให้กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ชวนให้เราตั้งตารอผลงานชิ้นต่อไปของเธอในอนาคต (ที่หวังว่าจะไม่ใช่อนาคตอันไกลเกินไปนัก)

ดู The Half of It ได้ใน Netflix

มูลค่าทางธุรกิจที่หายไปของหนังอาร์ตเฮ้าส์ เมื่อเทศกาลหนังงดจัด

สำหรับผู้ซื้อหนังส่วนใหญ่ หนังอาร์ตจะถูกคิดถึงเป็นลำดับท้ายๆ เมื่อต้องเดินตลาดหนัง เพราะพวกเขามักต้องให้ความสำคัญกับหนังที่มีศักยภาพทางธุรกิจเสียก่อน สำหรับหนังอาร์ตเฮ้าส์ หรือ ‘หนังทางเลือก’ บ่อยครั้งผู้ซื้อจะรอให้เทศกาลใหญ่ๆ ที่หนังเหล่านี้เข้าประกวดประกาศผลไปแล้วถึงจะตัดสินใจว่าจะเสนอราคาหรือไม่ เหตุผลสำคัญมาจากหนังเหล่านี้ (โดยเฉพาะหนังจากผู้กำกับที่คนไม่คุ้นเคย) ไม่มีแรงผลักดันใดๆ ที่จะกระตุ้นให้ผู้ชมวงกว้างสนใจมาดูได้เท่ากับหนังที่ได้รับรางวัล ยิ่งเป็นรางวัลใหญ่ โอกาสที่หนังจะถูกปั้นให้ ”ขายได้” ก็มีสูง

ด้วยเหตุนี้ การที่เทศกาลใหญ่ๆ อย่างคานส์ เวนิซ หรือแม้แต่โตรอนโต้ ต้องเลื่อนงานออกไปอย่างไม่มีกำหนด จากผลกระทบของโรคโควิด 19 จึงทำให้มูลค่าของหนังอาร์ต หรือหนังทางเลือกต้องลดลงด้วย

ถึงตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนังทุกประเภทล้วนแต่ถูกทำให้มีมูลค่าทางการตลาดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหนังเชิงพาณิชย์ ที่ต้นทุนการสร้าง และชื่อนักแสดง คือดัชนีชี้วัดความสำเร็จ ขณะที่หนังอาร์ตเฮ้าส์ เทศกาลที่ได้รับเลือกให้เข้าประกวด รางวัลที่ได้รับ ตลอดจนเสียงแซ่ซ้องจากนักวิจารณ์ เหล่านี้คือมูลค่าทางการตลาดที่ฝ่ายการตลาดของบริษัทจัดจำหน่ายทั่วไปต้องนำมาเป็นกลยุทธ์ในการหาจุดขาย

ดังนั้นคำถามที่ตามมาก็คือ หากปีนี้เทศกาลที่มีผลต่อการตลาดของหนังอาร์ตทั้งหลายมีอันต้องงดจัด จะมีผลอย่างไรกับหนังที่ได้รับการคาดหมายว่าจะต้องทำผลงานที่โดดเด่นทั้งรายได้ รางวัล และเสียงชื่นชม ผู้เขียนขอเสนอมุมมองดังนี้

1. #Buzz หรือ เสียงอื้ออึงที่มีต่อหนังจะหายไป เสียงอื้ออึงที่ว่าคืออะไร? มันคือเสียงตอบรับต่อหนังในแง่บวก ทั้งจากคนดูและนักวิจารณ์ เสียงอื้ออึงมีผลอย่างไรต่อคนซื้อหนัง? คำตอบคือ มีผลมาก เพราะยิ่งเสียงอื้ออึงเชิงบวกดังมากเท่าไหร่ ความสนใจของผู้ซื้อซึ่งแต่เดิมอาจจะยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับหนังเหล่านั้นจะเพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Parasite ของ บงจุนโฮ เสียงอื้ออึงที่ดังต่อเนื่องตั้งแต่รอบแรกที่ฉายไปจนถึงรอบสุดท้าย มีผลสำคัญที่ทำให้บริษัทซีเจฯ ผู้ที่ขายหนังเรื่องนี้ หัวกระไดไม่แห้งตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้ายของตลาด แถม Buzz ของหนังเรื่องนี้ยังถูกขยี้อย่างต่อเนื่องจนส่งผลให้หนังได้รับรางวัลจากทุกสถาบันของการประกวด และยังทำเงินทั่วโลกได้มากกว่า 100 ล้านเหรียญฯ ดังนั้นการไม่มี Buzz อาจส่งผลให้การวางกลยุทธ์ทางการตลาดนั้นมีความยากขึ้น ฝ่ายการตลาดอาจต้องหาตำแหน่งทางสินค้า (positioning) ของหนังใหม่ แต่หนังอาร์ตไม่เหมือนกับหนังพาณิชย์ การจะหามุมอื่นมาขยาย ถ้าไม่มีจุดที่แข็งแรงจริง เช่น เนื้อเรื่อง หรือวิธีการนำเสนอ โอกาสที่จะปั้นหนังให้เกิดก็เป็นเรื่องยาก

2. โอกาสเกิดของหนังดีที่กำกับโดยผู้กำกับที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก แทบจะเป็นไปได้ยาก เพราะหากคุณไม่ใช่ อภิชาติพงศ์, ลูก้า กัวดาญิโน่ หรือ เปโดร อัลโมโดวา ที่ชื่อของพวกเขาช่วยให้ตัวแทนขายหนังสามารถปิดดีลได้ก่อนที่หนังจะเสร็จสมบูรณ์ (หรือบางกรณีก่อนหนังจะเริ่มถ่ายเสียอีก) โอกาสที่หนังจะขายได้ด้วยตัวมันเองก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เทศกาลที่คัดเลือกหนังเหล่านี้มาแล้วแต่ไม่ได้ฉายแบบปกติ ยอมให้หนังเหล่านี้ติดโลโก้ของเทศกาลก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก แล้วยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ด้วย โอกาสที่หนังเหล่านี้จะถูกลืมนั้นมีสูงมาก

3. หนังอาร์ต หรือหนังทางเลือก คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมถูกฉายในช่องทางสตรีมมิ่งซึ่งอาจจัดขึ้นโดยเทศกาลเอง ที่เรียกว่า Virtual Festival หรือเทศกาลหนังเสมือน หรือในบางกรณี อาจะถูกบริษัทสตรีมมิ่งรายใหญ่ๆ ซื้อไปจัดจำหน่ายในช่องทางของตัวเอง ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่า ผู้สร้างยอมตัดโอกาสที่หนังจะได้ฉายในโรงปกติ เพราะไม่มีผู้จัดจำหน่ายรายใดต้องการฉายหนังในโรงปกติ หลังจากที่ออนไลน์ไปทั่วโลกแล้ว หรือแม้แต่โรงเอง หากได้รับรู้ว่าหนังเรื่องนั้นเคยผ่านการฉายแบบสตรีมมิ่งก็อาจปฏิเสธที่จะไม่รับฉายก็ได้

“ถ้าหนังของคุณเป็นหนังสั้น หรือเป็นหนังที่เก่าค้างปี หรือมีผู้จัดจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว … คำตอบของผมคือ ‘ลุยเลย’ แต่ถ้าหนังของคุณยังไม่ถูกเปิดตัว และยังไม่มีผู้จัดจำหน่ายซื้อไปฉาย ผมไม่แนะนำให้คิดถึงเทศกาลออนไลน์เหล่านี้”

ไบรอัน นิวแมน ผู้อำนวยการสร้างหนัง (The Outside Story) และผู้ก่อตั้ง Sub-Genre บริษัทให้คำปรึกษาเรื่องการจัดจำหน่ายหนัง ได้ให้คำแนะนำต่อนักทำหนังถึงการตัดสินใจเข้าร่วมเทศกาลหนังเสมือนจริงไว้ว่า “ถ้าหนังของคุณเป็นหนังสั้น หรือเป็นหนังที่เก่าค้างปี หรือมีผู้จัดจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว (ซึ่งผู้จัดจำหน่ายต้องเห็นควรด้วยนะ) หรือว่าคุณตั้งใจจะหาช่องทางฉายด้วยตัวเอง คำตอบของผมคือ ‘ลุยเลย’ แต่ถ้าหนังของคุณยังไม่ถูกเปิดตัว และยังไม่มีผู้จัดจำหน่ายซื้อไปฉาย ผมไม่แนะนำให้คิดถึงเทศกาลออนไลน์เหล่านี้ เพราะคนซื้อหนังจะมองว่ามันเป็นการขัดกับแนวทางการจัดจำหน่ายของพวกเขา พวกเขาไม่มีวันมองหรอกว่า การฉายออนไลน์จะช่วยสร้างกระแสปากต่อปาก หรือจะเป็นประโยชน์สำหรับการทำพีอาร์หรือทดลองตลาด พวกเขามองว่ามันจะสร้างความไขว้เขวแก่คนดู ทำให้เสียรายได้ที่ควรจะได้ และทำให้สูญเสียสถานะความสดใหม่ของหนัง”

กล่าวโดยสรุป ปีนี้อาจไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับผู้สร้างหนังอิสระและผู้สร้างหนังอาร์ตเฮ้าส์ ที่ต้องการใช้เทศกาลหนังระดับท็อปอย่างคานส์ เวนิซ และโตรอนโต้ เป็นเวทีสำหรับการสร้างความน่าสนใจในวงกว้าง เพราะถ้ามองโลกอย่างเป็นจริง วิกฤติการณ์โควิดคงจะอยู่ไปอีกสักพัก และคงสร้างผลกระทบต่อวงการหนังไปอีกระยะใหญ่ๆ สิ่งที่ผู้สร้างควรจะทำคือยืนหยัดที่จะสร้างผลงานที่ ‘ตนเองเชื่อ’ ต่อไป เพราะสุดท้ายแล้ว ‘เสียงอื้ออึง’ (buzz) จะเกิดขึ้นไม่ได้ โลโก้เทศกาลปะหัวหนังก็จะไม่มีความหมาย ตราบใดที่หนังไม่มีคุณค่าในตัวเอง

อ้างอิง
https://www.indiewire.com/2020/05/filmmakers-questions-virtual-film-festivals-1202229623/

ปรากฏการณ์ ‘ดึงฟ้าต่ำ’ ใน Close Encounters of the Third Kind

สตีเวน สปีลเบิร์ก เป็นคนทำหนังที่เราไม่รู้ว่าจะเลือกงานชิ้นไหนขึ้นมาเป็นที่สุดในวิชาชีพเขาดี เพราะต่างก็เป็นที่สุดในทางของมันแทบทั้งนั้น แต่สำหรับ Close Encounters of the Third Kind (1977) คงเป็นหนังระเบิดฟอร์มที่เผยวิญญาณของพ่อมดฮอลลีวูดให้โลกได้เห็นเป็นครั้งแรก

เพราะหลังความสำเร็จของ Jaws สปีลเบิร์กในวัยปริ่ม 30 ปี ก็เริ่มผยองในการทลายขีดจำกัดทางภาพยนตร์ เขาเลยเติมเต็มจินตนาการในวัยเด็กด้วยการเนรมิตสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ นั่นคือ ‘เอเลี่ยนบุกโลก’ ด้วยความทะเยอทะยานสุดแรงเกิด และเป็นชนวนให้เขาสานต่อไปสู่ E.T. the Extra-Terrestrial

เพราะหลังความสำเร็จของ Jaws สปีลเบิร์กในวัยปริ่ม 30 ปี ก็เริ่มผยองในการทลายขีดจำกัดทางภาพยนตร์ เขาเลยเติมเต็มจินตนาการในวัยเด็กด้วยการเนรมิตสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ นั่นคือ ‘เอเลี่ยนบุกโลก’ ด้วยความทะเยอทะยานสุดแรงเกิด และเป็นชนวนให้เขาสานต่อไปสู่ E.T. the Extra-Terrestrial

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1977 ที่หนังออกฉาย มันเป็นปีเดียวกับการอุบัติขึ้นของ Star Wars ซึ่งในขณะที่ตำนานของ จอร์จ ลูคัส พาคนดูเตลิดไปกับสงครามในจักรวาลอันไกลโพ้น Close Encounters ก็คือหนังที่ดึงจักรวาลลงมาอยู่บนโลกมนุษย์ และเช่นกันกับ Star Wars คือมันเป็นเทคนิคทำมือแทบทั้งสิ้น

ทั้ง Close Encounters of the Third Kind และ Star Wars มีจุดร่วมกันคือทั้งคู่ต่างมี จอห์น วิลเลียมส์ ทำสกอร์ให้ ต่อมาวิลเลียมส์เข้าชิงออสการ์จากทั้งสองเรื่อง และชนะจาก Star Wars ขณะที่งานของวิลเลียมส์ใน Close Encounters ก็ถึกไม่เบา โดยเฉพาะ 5 โน้ตเพื่อการสื่อสารระหว่างมนุษย์และเอเลี่ยนอันติดหูนั้น ไม่ใช่ว่าจับโน้ตมาวางมั่วๆ เขาใช้นักคณิตศาสตร์มาคำนวนความเป็นไปได้ว่า 5 โน้ตนั้นจะมีกี่ชุด และมันก็ออกมานับ 100 ชุด กว่าจะเหลือแค่ชุดเดียวอย่างที่อยู่ในหนัง วิลเลียมส์กับสปีลเบิร์กก็ตบกันหลายยก

สปีลเบิร์กกับลูคัสยังไปเที่ยวกองถ่ายของกันและกันด้วย จนเกิดการเดิมพันขึ้น เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าหนังของตัวเองจะได้เงินน้อยกว่า ฉะนั้นถ้าหนังของใครได้เงินมากกว่าหมายความว่าคนนั้นจะแพ้พนัน ต้องจ่ายเงินให้อีกฝ่าย 2.5% ของรายได้หนังตัวเอง …ตอนพนันกันพวกเขายังคิดว่าตัวเองทำหนังเล็กจ้อยอยู่ แต่ผลคือ Close Encounters ทำเงิน 303 ล้านเหรียญฯ ส่วน Star Wars ได้ไป 775 ล้านเหรียญฯ เคาะเครื่องคิดเลขไปมา ลูคัสต้องจ่ายสปีลเบิร์กถึงเกือบ 20 ล้านเหรียญฯ เลยทีเดียว

Close Encounters เป็นหนังแก้มือของสปีลเบิร์ก จากหนังเรื่องแรก Firelight ที่เขาทำเมื่อตอนอายุ 17 ปี ทั้งไปฉายเอง เก็บเงินเอง และได้กำไรมา 1 เหรียญฯ แต่หลังจากนั้นหนังก็เสียหายเกือบทั้งเรื่อง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่า UFO ลักพาตัวผู้คนและสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านไป

เดิมทีสปีลเบิร์กจะใช้คอมพิวเตอร์สร้างภาพเอเลี่ยนและยานสุดยิ่งใหญ่ขึ้นมา ที่จริงร่างแบบเอาไว้แล้วด้วย จนเกือบจะเป็นหนังเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่ใช้ซีจีสร้างภาพขึ้นมา พวกเขาทำกันอยู่สามสัปดาห์ก็พบว่ามันไม่เวิร์ค

ฉากยานแม่ลง ที่มี 5 โน้ตติดหูของ จอห์น วิลเลียมส์ และ ฟรังซัวส์ ทรุฟโฟต์ ในฐานะนักแสดง

สปีลเบิร์กต้องการภูเขาที่จะใช้เป็นที่จอดยานแม่ ทีมงานก็หามาเยอะมาก สุดท้ายมาลงที่ภูเขาหัวตัด Devil’s Tower ในไวโอมิง ซึ่งโปรดักชั่นดีไซเนอร์ โจ อัลเวส บอกว่าเดิมทีชาวบ้านไม่พอใจมากที่กองถ่ายมาลง แต่ตอนนี้กลายเป็นที่ท่องเที่ยวมีเงินหมุนเวียนจากการขายของที่ระลึกเพียบ

แต่พอถึงฉากที่ยานแม่ลงจอดจริงๆ พวกเขาก็หาที่ถ่ายทำไม่ได้ แม้แต่สตูดิโอที่ใหญ่ที่สุดในฮอลลีวูดก็ให้ไม่ได้ สุดท้ายได้โรงจอดเฮลิคอปเตอร์ร้างของฐานทัพอากาศในอลาบามา (ใหญ่ขนาดที่ว่าเซ็ตฉากขึ้นมาแล้วคนเหลือตัวนิดเดียว)

หากใครได้ดูจะรู้ว่าบ้านของเนียรี (ริชาร์ด ดรัยฟัสส์) เละเทะไม่มีชิ้นดี ทีมงานลงทุนซื้อบ้านหลังหนึ่งราคา 35,000 เหรียญฯ จะได้ตกแต่งให้สาแก่ใจสปีลเบิร์ก พอถ่ายเสร็จก็ขายทอดตลาดในราคา 50,000 เหรียญฯ

สปีลเบิร์กชวนนักทำหนังเบอร์ใหญ่ ฟรังซัวส์ ทรุฟโฟต์ มารับบทนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ทรุฟโฟต์ก็อ้อมแอ้มรับปากบอกกำลังทำวิจัยเรื่องการแสดงพอดี แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่เคยเขียนมันออกมา

สปีลเบิร์กยังมีวิธีกำกับเด็กที่เหนือชั้นด้วย ความมหัศจรรย์ในฉากเปิดตัวหนูน้อยแบร์รี่ที่น้องเดินสำรวจบ้านที่ข้าวของกระจัดกระจาย จนเห็นสิ่งผิดปกติน้องก็ยิ้มออกมา คิวเป๊ะเว่อร์ เคล็ดลับคือสปีลเบิร์กให้ทีมงานที่สนิทกับน้องสวมชุดกอริลล่าเดินไปรอบๆ ให้หนูน้อยสนใจ และจุดที่สปีลเบิร์กอยากให้น้องยิ้ม ทีมงานก็ถอดหัวกอริลล่าออก… ผู้รับบทแบร์รี่คือ แครี่ กัฟฟี่ ปัจจุบันเป็นนักวางแผนทางการเงิน (เพราะงี้สปีลเบิร์กเลยดึงธรรมชาติ ดรูว์ แบรี่มอร์ วัยเด็กจนทุกคนหลงรักใน E.T. ได้ เพราะก็สรรหาวิธีหลอกล่อสารพัดมาเหมือนกัน)

สิ่งที่ยืนยันความเนิร์ด UFO ของสปีลเบิร์ก นอกจากมันจะเป็นโปรเจกต์ที่อยากทำตั้งแต่เด็กแล้ว เขายังอ้างอิงข้อมูลจาก Project Blue Book งานวิจัยเรื่องมนุษย์ต่างดาวของ US Air Force และชื่อเรื่อง Close Encounters of the Third Kind (การเผชิญหน้าระยะประชิดในขั้นที่ 3) ก็มาจากเกณฑ์การยืนยันว่ายูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวมีจริงของ เจ อัลเลน ฮายเน็ก โดยแบ่งออกเป็นสามขั้น ซึ่งขั้นที่ 3 ก็คือการติดต่อสื่อสารกับพวกเขาได้นั่นเอง

ดู Close Encounters of the Third Kind ฉบับรีมาสเตอร์ 4K อันสวยสดได้ใน Netflix

Business Update : เมื่อค่ายสตรีมมิ่งขยายพื้นที่ใหม่ไปในดินแดนต้องห้ามที่เรียกว่า โรงภาพยนตร์

ข่าวที่สร้างความฮือฮาให้แก่แวดวงธุรกิจภาพยนตร์โลกในช่วงเวลานี้ คงไม่มีข่าวไหนเกินข่าวลือที่ว่า บริษัท Amazon ซึ่งเป็นเว็บไซต์ขายของที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความสนใจที่จะเข้าซื้อกิจการโรงหนัง AMC ซึ่งกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจจากการที่ต้องปิดโรงหนังจากพิษของโควิด 19 ทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัดออกไป หุ้นของ AMC ที่ตกต่ำเรี่ยดินตลอดสองเดือนที่ผ่านมาก็พุ่งทะยานราวพลุไฟฉลองวันชาติเลยทีเดียว อันที่จริง การที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งจะเข้าเทคโอเวอร์กิจการของบริษัทที่กำลังเข้าสู่ภาวะล้มละลาย มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าบริษัทที่เข้าเทคโอเวอร์ ไม่มีบริษัทลูกที่เป็นผู้ประกอบการสตรีมมิ่งที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอเมริกา อย่าง Amazon Prime VDO

ความขัดแย้งระหว่างโรงหนัง กับสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ ดำเนินต่อเนื่องมาตลอด นับตั้งแต่โรงภาพยนตร์เริ่มรู้สึกว่าลูกค้าลดจำนวนลง ขณะที่ความนิยมในแพล็ทฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง Netflix และ Amazon Prime VDO มีแต่ขึ้นเอาๆ โรงจึงดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อกดดัน เช่นห้ามไม่ให้ค่ายหนัง ฉายหนังบนช่องทางออนไลน์ก่อนฉายโรง ซึ่งบริษัทยูนิเวอร์ซัลได้ทำไปแล้วกับหนังแอนิเมชันเรื่อง Trolls World Tour และโดนตอบโต้จากโรงหนังเครือใหญ่อย่าง AMC ด้วยการประกาศว่าจะไม่รับฉายหนังจากค่ายยูนิเวอร์ซัลอีกต่อไป ส่วนค่ายสตรีมิ่งเอง หากต้องการฉายหนังที่โรงเพื่อให้ผ่านเกณฑ์การประกวดรางวัลออสการ์ ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขต่างๆ นานา เช่นหนังต้องเปิดตัวที่โรงอย่างน้อย 90 วันถึงจะฉายออนไลน์ได้ หากไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ ก็ต้องไปหาโรงหนังเล็กๆ ฉายแทน ยกตัวอย่างกรณีของ The Irishman เป็นต้น

แต่จุดสมดุลของโรงหนังได้เปลี่ยนไปหลังจากโรคโควิดได้ระบาดไปทั่วโลก ส่งผลให้สถานที่ที่รวมคนมากๆ หลายแห่ง ซึ่งรวมถึงโรงหนังต้องหยุดกิจการโดยไม่ทันตั้งตัว ผลก็คือโรงหนังเครือใหญ่ในสหรัฐฯ ทั้ง AMC และ Regal (เปรียบได้กับ เครือเมเจอร์ฯ และ เอสเอฟฯ) ต้องสูญเสียรายได้มหาศาล โดยเฉพาะ AMC ที่มีข่าวมาตลอดว่าขาดสภาพคล่องทางการเงินจนส่งผลให้อาจต้องล้มละลายในไม่ช้า อย่างไรก็ดี สถานการณ์เดียวกันกลับทำให้ธุรกิจบันเทิงออนไลน์ ทั้งแบบชำระค่าชมต่อหนังหนึ่งเรื่อง ที่เรียกว่า Transactional VOD หรือ Premium VOD ก็ว่าไป และแบบบอกรับสมาชิกหรือ Subscription VOD เฟื่องฟูคึกคักเนื่องจากตอบโจทย์วิถีชีวิตรูปแบบใหม่ของคนที่ต้องหมกตัวซ่อนโรคร้ายอยู่ภายในที่พักตลอดทั้งวันทั้งคืนได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข่าวลือที่ Amazon จะเทคโอเวอร์โรงหนังค่าย AMC ยังคงยืนยันไม่ได้ แต่จากปรากฏการณ์หุ้นพุ่งแรงของ AMC ก็น่าจะทำให้พอมีเค้าลางอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ทีนี้ก็เลยทำให้ต้องคิดต่อว่า “สมมุติ” ถ้า AMC ยอมขายกิจการให้กับ Amazon จริงๆ ซีนารีโอที่จะเกิดขึ้นน่าจะมีอะไรบ้าง ผู้เขียนขอประมวลความเป็นไปได้ดังนี้

1) วินโดว์ หรือ ระยะห่างระหว่างโรงภาพยนตร์กับช่องทางวิดีโออนดีมานด์อาจสั้นลง เดิมที (หรือแม้แต่ตอนนี้) หนังที่เข้าฉายในโรงจะมีระยะยืนโรงได้ประมาณ 90 วัน หลังจากนั้นจึงสามารถไปฉายในช่องทางจัดจำหน่ายอื่นอย่าง ดีวีดี หรือ วิดีโอออนดีมานด์ได้ แต่การที่ผู้ประกอบการวิดีโอออนดีมานด์อย่าง Amzon Prime VOD สามารถเข้าไปมีบทบาทในดินแดนที่เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามมาก่อน อย่างโรงภาพยนตร์ได้ ก็อาจผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เช่น ต่อไปหนังอาจไม่จำเป็นต้องฉายโรงนานขนาด 3 เดือนก็ได้ บางทีอาจฉายพร้อมกันทั้งโรง กับช่องทางวิโอดี (ปรากฏการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับโรงเครือใหญ่มาก่อน)

2) หนังลุงทุนสูงของค่ายสตรีมมิ่งจะมีโอกาสได้ฉายในโรงที่มีระบบภาพและเสียงที่สมบูรณ์เสียที ลองถึงการได้ดูหนังเแบบ Extraction ในโรงด้วยระบบเสียง Atmos นอกจากนี้การได้มีโอกาสฉายหนังทุนสูงในโรงจะช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดทุนของค่ายได้ไม่น้อย เดี๋ยวนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้นทุนการผลิตหนังของค่ายสตรีมมิ่งสูงระดับน้องๆ ค่ายสตูดิโอฮอลลีวูดเลยทีเดียว (ยกตัวอย่าง The Irishman ที่ลงทุนร้อยกว่าล้านเหรียญฯ แต่ได้ฉายไม่กี่โรงในอเมริกา) การพึ่งพิงรายได้จากค่าสมาชิกรายเดือนแต่เพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องอาศัยช่องทางอื่นด้วย

3) แน่นอนว่าหนังเต็งรางวัลออสการ์จากค่ายสตรีมมิ่ง ซึ่งแต่เดิมมักถูกฉายในโรงหนังเล็กๆ แบบจำกัดโรง ก็จะมีโอกาสได้ฉายในวงกว้างอย่างเต็มภาคภูมิเสียที ถึงตอนนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า นอกจากช่วงซัมเมอร์ที่ถือเป็นช่วงเวลาทำเงินของหนังบล็อกบัสเตอร์ ช่วงไตรมาสที่สี่ต่อช่วงไตรมาสแรกของปีถัดไป คือช่วงเวลาทำเงินของหนังชิงรางวัลออสการ์อย่างแท้จริง และหลังๆ หนังจากค่ายสตรีมมิ่งทั้ง Netflix และ Amazon Prime VDO แถมด้วย Hulu ก็ขโมยซีนหนังค่ายสตูดิโออย่างต่อเนื่อง

4) เราอาจได้เห็นซีรีส์ฟอร์มยักษ์มีโอกาสฉายในโรงมากขึ้น โดยรูปแบบการฉายอาจเป็นแบบมาราธอนที่ผู้ชมสามารถเลือกชมซีรีส์ทั้งสิบเอพิโซดในโรงภาพยนตร์ถ้าอยากได้ประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบ หรือ จะเลือกดูอยู่ที่บ้านก็ได้ (ลองจินตนาการว่ากำลังดู Game of Thrones ในโรงภาพยนตร์ด้วยระบบเสียงอลังการไปด้วย)

5) ซีนารีโอนี้อาจทำให้ความหวังของซีนารีโอทั้งสี่ก่อนหน้านี้ต้องดับไป ถ้าหากใครสักคนมองว่าการควบรวมกิจการของ Amazon เป็นการผูกขาดทางธุรกิจเข้าข่ายผิดกฎหมาย anti trust law ซึ่งบริษัทฮอลลีวูดอย่างยูนิเวอร์ซัลเคยได้รับบทเรียนมาแล้วในปี 1947 หลังจากถูกตัดสินว่าการที่สตูดิโอเป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ด้วย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการผูกขาดทางธุรกิจแบบครบวงจร ซึ่งถ้าล็อตเตอรีออกเบอร์นี้ ทุกคนก็คงแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน

แต่ไม่ว่าซีนารีโอไหนจะมีความเป็นไปได้มากกว่ากัน (หรืออาจไม่มีเลยก็ได้ ถ้าข่าวลือการเทคโอเวอร์ไม่เป็นจริง) โรงหนังก็ยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป ผู้เขียนได้อ่านบทความของ สตีเฟน แมคไบรด์ นักวิเคราะห์การเงิน แห่ง RiskHedge ที่เขียนไว้ในนิตยสารฟอร์บส์ว่า โรงหนังจะเป็นหนึ่งภาคอุตสาหกรรมที่หายไปเพราะวิกฤตการณ์โควิด 19 ผู้เขียนขอแย้งแบบหัวชนฝา เพราะไม่ว่าอย่างไร โรงหนังก็จะยังคงอยู่ แน่นอนมันต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะที่เปลี่ยนไปเท่านั้นเอง

10 ปีปาล์มทองแรกของไทย ในมุมมองอภิชาติพงศ์

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มันเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉิดฉายในระดับโลกของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล และหนังของเขา ‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ ที่ เทศกาลหนังเมืองคานส์ ครั้งที่ 63 ก่อนที่ต่อมาหนังเรื่องนี้จะนำรางวัลปาล์มทองกลับมายังประเทศไทยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ

หลังจากการกลับมาพร้อมปาล์มทองของ ‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ มันก็เข้าฉายหนึ่งโรง และทำรายได้ไปถึง 1 ล้านบาท นับเป็นความน่าตื่นเต้นของวงการหนังอิสระไทยเป็นอย่างยิ่ง จนเกิดความหวังว่าความสำเร็จนั้นจะสามารถสร้างที่ทางใหม่ๆ ให้กับหนังอิสระไทยได้เสียที ในฐานะที่หนังสามารถเป็นที่ยอมรับของทั้งภาครัฐและประชาชน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิบปี อภิชาติพงศ์มองว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่เย้ายวนสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว

“จากการที่เราไปวุ่นอยู่กับงานศิลปะและย้ายมาอยู่เชียงใหม่ ความรู้สึกเรามันไม่น่าตื่นเต้นแล้ว เหมือนที่ผ่านมาคนทำหนังอิสระอย่าง พิมพกา (โตวิระ) หรือ อโนชา (สุวิชากรพงศ์) ก็ยังต้องดิ้นรนหาโรงฉาย จากมุมมองของเรากลับรู้สึกว่าความตื่นตัวในวงการละครมันน่าตื่นเต้นกว่า ส่วนวงการหนังสำหรับเรามัน settle แล้วว่ามันไม่ใช่ความหวังสำหรับหนังอิสระจริงๆ

เราไม่อยากวัดแค่จากโรงหนังเท่านั้น เราอยากวัดว่าหนังมันน่าตื่นเต้นแค่ไหน ถ้าเราไม่พูดถึงเรื่องการค้าเลย มันมีหนังที่น่าตื่นเต้นสำหรับเรารึเปล่า ไม่ใช่แค่หนังไทยด้วยนะ มันเป็นกันทั้งโลกเลย มันมีความเฉื่อยชาอยู่”

สำหรับอภิชาติพงศ์ นั่นหมายความว่ารางวัลปาล์มทองแรกของไทยไม่ได้ส่งผลในแง่ใดทั้งสิ้นต่อวงการหนังอิสระไทย เพราะสุดท้ายแล้วหนังอิสระก็ยังต้องดิ้นรนคงเดิม สถานะของมันที่มีต่อผู้ชม โรงหนัง และภาครัฐ ก็ไม่ต่างไปจากก่อนปาล์มทอง แต่เขามองว่ามันเป็นทิศทางที่ตรงกันข้ามกับความตื่นตัวของสังคมไทยที่มีต่อการเมือง ทว่ามันยังไม่ออกดอกผลมาในหนังไทยเท่าไหร่นัก “เห็นว่ามีความพยายามหาจุดเชื่อมโยงระหว่างหนังกับความตื่นตัวทางการเมืองในสังคมไทยอยู่ แต่มันยังไม่ลงตัว โดยเฉพาะช่วงโควิดยิ่งชี้ให้เห็นชัดถึงความล้มเหลวของรัฐบาลทหาร แต่เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ถ้าเรายังนำเสนอไม่ได้ ถ้ายังมีปัจจัยที่มีกำหนดให้เราไม่สามารถพูดได้ มันก็ยังไม่มีความน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น มันเลยเหมือนอยู่ในช่วงการปรับตัวในการนำเสนอ เป็นการฝึกวิทยายุทธผ่านเฟซบุ๊ก ผ่านทวิตเตอร์ รอให้เราเรียนรู้และเรียบเรียงมันยังไงให้น่าสนใจ”

ความพยายามของคนภาพยนตร์ญี่ปุ่นในการรักษาโรงภาพยนตร์อาร์ตเฮ้าส์ท่ามกลางวิกฤติ COVID-19 และหลังจากนี้

ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นไปถึง 15,000 ราย ขณะนี้ประเทศญี่ปุ่นกำลังสู้รบกับ COVID-19 จากในประเทศของตนเอง

การตอบสนองต่อสถานการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นอย่างเชื่องช้า หนึ่งคือรัฐบาลไม่อาจรู้เลยว่าจะจัดการกับวิกฤติในเรือสำราญ Diamond Princess อย่างไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและไม่มีตำราใดๆ ให้อ้างอิง (ซึ่งเป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นไม่ถนัด) สองคือวิกฤตินี้เริ่มต้นขึ้นในขณะที่พวกเขากำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมงานช่วงโค้งสุดท้ายก่อนโตเกียวโอลิมปิค ซึ่งจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และรัฐบาลพยายามทำทุกทางที่จะผลักดันให้โอลิมปิคเกิดขึ้นให้ได้ โดยประเมินวิกฤตินี้ต่ำกว่าความเป็นจริง ทั้งตรวจน้อยและไม่มีมาตรการกักกัน

กระทั่งในที่สุดพวกเขาก็ต้องเลือกการตัดสินใจที่เจ็บปวดด้วยการเลื่อนการจัดโอลิมปิค และเริ่มใช้มาตรการต่างๆ อย่างจริงจังในเวลาต่อมา – แต่มันก็สายเกินไป และในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกงและที่อื่นๆ สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เวทีการต่อสู้ของญี่ปุ่นนั้นเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น

ซึ่งมาตรการเหล่านั้นก็ประกาศใช้อย่างแปลกประหลาด – รัฐบาลไม่ได้บังคับให้มีการปิดกั้นอย่างเข้มงวด แต่เป็นเพียง “การขอ” ความร่วมมือจากสาธารณะหรือเรียกว่า “การขอให้ควบคุมตนเอง” ทั้งในเรื่องการล้างมือ, การสวมหน้ากาก, การอยู่บ้าน, ทำงานจากบ้าน, ปิดสถานที่ซึ่งผู้คนจะมารวมตัวกัน, ยกเลิกหรือเลื่อนการจัดงาน, ขอให้ไม่ไปปาร์ตี้ ฯลฯ คำขอนั้นคลุมเครือจนผู้คนต้องถามตัวเองหลายครั้งเช่น “ฉันควรยกเลิกการเดินทางหรือไม่?” “เราควรยกเลิกการแข่งขันชกมวยครั้งต่อไปหรือเปล่า?” และอื่นๆ ซึ่งวิธีนี้ของญี่ปุ่นก็ทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วโลกงงงวยไม่แพ้กับสื่อเลยทีเดียว

 รัฐบาลไม่ได้บังคับให้มีการปิดกั้นอย่างเข้มงวด แต่เป็นเพียง “การขอ” ความร่วมมือจากสาธารณะหรือเรียกว่า “การขอให้ควบคุมตนเอง”

สื่อไทยรายงานสิ่งนี้ว่ามันเป็นวิธีที่ ‘ใช้วิธีดูแลสุขลักษณะและการฝึกฝนแบบญี่ปุ่น’ ซึ่งก็จริงในระดับหนึ่งเพราะการล้างมือและสวมหน้ากากป็นสองสิ่งที่ญี่ปุ่นทำมานานหลายทศวรรษด้วยตัวเองโดยไม่เกี่ยวกับไวรัสโคโรน่า ถึงกระนั้นก็อาจมีอีกด้านหนึ่งของญี่ปุ่นที่รัฐบาลนำมาใช้ : คือการส่งสัญญาณการร้องขออย่างซ่อนนัย ซึ่งชาวญี่ปุ่นก็ต่างรับรู้ได้และเข้มงวดกับตนเอง เพื่อที่พวกเขาจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ ต่อสาธารณะ รักษาตัวเองเพื่อค้นหาว่ามี “ผู้กระทำผิด” คนอื่นใดในสายตาและกดดันผู้กระทำความผิดหรือผู้ที่คัดค้านให้ปฏิบัติตาม วิธีการนี้ใช้พลังแห่งการ “กดดันกันเอง” แบบญี่ปุ่น ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะทำงานได้ในระดับหนึ่งเนื่องจากจำนวนผู้เสียชีวิตยังคงต่ำมาก (ประมาณ 566 รายในขณะที่เขียนนี้)

หากนอกเหนือจากความพยายามส่วนบุคคลแล้วนั้น ยังมีกลุ่มของกิจการโรงละคร ภาพยนตร์ ดนตรี และเหล่ากิจกรรมบันเทิง ที่เดิมตอบสนองต่อ “คำขอ” ของรัฐ และยกเลิกกิจกรรมของพวกเขาโดยสมัครใจ รวมถึงการปิดสถานที่จัดงาน ผลก็คือพวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่ต้องประสบกับความยากลำบาก บางทีอาจจะมากที่สุดด้วยซ้ำ พวกเขาจึงเริ่มส่งเสียงทีละนิด เพื่อบอกว่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จะตายลงหากรัฐไม่ให้ความช่วยเหลือ และเพราะว่านี่ไม่ใช่การปิดกั้นอย่างเป็นทางการ หากเป็นการขอความร่วมมือโดยสมัครใจ รัฐบาลจึงไม่จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบใดๆ ต่อความสูญเสียที่เกิดจากการปิดทำการ

Image Forum หนึ่งในโรงภาพยนตร์อาร์ตเฮ้าส์ที่ญี่ปุ่น

คนดังคนแรกที่ออกมาพูดถึงความเสียหายนี้คือผู้กำกับและเขียนบทละครเวที Hideki Noda เขาตีพิมพ์แถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่าด้วยการปิดโรงละครลงในเวบไซต์ของเขา ระบุว่าการปิดโรงละครคือความตายของวัฒนธรรมการละคร เพราะหนทางเดียวที่โรงละครจะสมบูรณ์แบบได้คือต้องมีผู้ชม ซึ่งต่างไปจากกิจกรรมกีฬา นอกจากนี้ผู้คนที่ทำงานในอุตสาหกรรมการละครนั้นมีชีวิตอยู่ได้จากรายได้ของการขายตั๋ว คนดังอีกคนคือผู้กำกับและเขียนบทละครอย่าง Oriaz Hirata ก็แสดงความเห็นด้วยในเรื่องนี้ หากคำแถลงดังกล่าวทำให้เกิดการถกเถียงออนไลน์อย่างมาก โดยนักวิจารณ์บางคนกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นชนชั้นนำที่ดูถูกเรื่องกีฬาและกิจกรรมอื่นๆ ว่า “ไม่ใช่วัฒนธรรม” ขณะที่ทำให้หลายคนเริ่มคิดเกี่ยวกับบทบาทของผู้ชมระหว่างสิ่งที่เป็นและไม่เป็นวัฒนธรรมนั้นแตกต่างกันตรงไหน

การปิดโรงละครคือความตายของวัฒนธรรมการละคร เพราะหนทางเดียวที่โรงละครจะสมบูรณ์แบบได้คือต้องมีผู้ชม

จากนั้นก็มาถึงเสียงของฝั่งโรงภาพยนตร์ Takashi Asai ผู้บริหารของ ‘Uplink’ โรงภาพยนตร์อาร์ตเฮ้าส์ในโตเกียวและเกียวโตบอกว่า โรงภาพยนตร์อิสระ หรือที่เรียกกันในญี่ปุ่นว่า มินิเธียเตอร์ แบบเดียวกันกับโรงของเขากำลังจะตายเพราะให้ความร่วมมือกับคำขอจากรัฐบาล โรงภาพยนตร์ขนาดเล็กหลายแห่งในญี่ปุ่นที่ถูกปิดต่างก็ต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดจากการที่มีผู้ชมลดลง และเพื่อแก้ปัญหานี้ เจ้าของโรงเล็กและผู้สร้างภาพยนตร์อินดี้บางคนเกิดความคิดที่จะเปิดตัวแคมเปญระดมทุนเพื่อสนับสนุนโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กที่กำลังต่อสู้

ตัวอย่างภาพยนตร์ “Harmonium” กำกับโดย Koji Fukada หนึ่งในผู้ก่อตั้งกองทุน “Mini-Theatre AID”

หนึ่งในนั้นคือกองทุน “Mini-Theatre AID” ที่เริ่มต้นโดยผู้สร้างภาพยนตร์ Koji Fukada (“Harmonium” “A Girl Missing”) และ Ryusuke Hamaguchi (“Happy Hour” “Asako I & II”) ระดมทุนเพื่อสนับสนุนโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กทั่วญี่ปุ่นเพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่รอดได้ในช่วงเวลานี้ ทั้งในเวบไซต์ของกองทุน และในสื่อ พวกเขาต่างแสดงคำขอบคุณโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กทั่วประเทศญี่ปุ่นที่ให้การสนับสนุนผู้สร้างภาพยนตร์อิสระและอาร์ตเฮ้าส์และนี่คือเวลาที่ผู้สร้างภาพยนตร์จะต้องตอบแทนคืนกลับบ้าง

นอกจากนี้พวกเขายังเน้นว่าโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กเหล่านี้มีความสำคัญต่อผู้สร้างภาพยนตร์อย่างไรในการเรียนรู้ภาพยนตร์และวัฒนธรรมที่หลากหลายประเภทรวมทั้งชื่นชมความรักและความหลงใหลในภาพยนตร์ของพวกเขา กลุ่มคนทำหนังอิสระได้ให้การสนับสนุนโดยมอบหนังของพวกเขาตอบแทนผู้บริจาคซึ่งรวมถึง “Bangkok Nights” โดย Tomita Katsuya, “2 / Duo” โดย Nobuhiro Suwa และสารคดีเบื้องหลังการทำหนังเรื่อง “In This Corner of The World” มีโรงภาพยนตร์ 114 แห่ง และ 99 องค์กรเข้าร่วม โรงภาพยนตร์ที่เข้าร่วม ได้แก่ Uplink Shibuya และ Kichijoji, Image Forum, PorePore Highashi Nakano, Eurospace, Laputa Asagaya ในโตเกียว และ Kyoto Minami Kaikan, Demachiza ในเกียวโต ขณะที่เขียนบทความนี้ยังเหลือเวลาระดมทุนอีก 9 วัน โดยระดมได้แล้ว 230 ล้านเยน ซึ่งจะได้แจกจ่ายให้กับโรงภาพยนตร์และองค์กรต่างๆ ต่อไป

โปรเจกต์ ‘Temporary Cinema’

และยังมีความพยายามคล้ายๆ กันที่ริเริ่มโดยผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์อาร์ตเฮ้าส์อิสระอย่าง TOFOO Films โดยร่วมมือกับคนทำหนังสารคดีอย่าง Kazuhiro Souda (“Election” “The Big House”) Souda มีแผนที่จะฉาย Mental 0 หนังเรื่องล่าสุดของเขาซึ่งจัดจำหน่ายในญี่ปุ่นโดย TOFOO ในวันที่ 2 พฤษภาคม แต่ผลกระทบจากสถานการณ์ของ Corona Virus และวิกฤติการปิดโรงภาพยนตร์ ทำให้พวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะเลื่อนฉายออกไปหรือจะหาวิธีอื่น และพวกเขาตัดสินใจว่าจะปล่อยฉายออนไลน์ในราคาเท่ากับราคาตั๋วของโรงภาพยนตร์ และเงินที่ได้จากการขายตั๋วก็ส่งคืนกลับโรงภาพยนตร์ซึ่งที่จริงผู้ชมก็ต้องไปดูที่นั่น และสิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาเอาตัวรอดช่วงเวลานี้ไปได้ โปรเจกต์นี้ชื่อว่า ‘Temporary Cinema’ ซึ่งตัวมันทำงานแบบเดียวกับโรงหนังจริงๆ คุณเข้าไปเลือกโรง ซื้อตั๋ว และดูหนังออนไลน์ แต่ละโรงมีโฆษณาของตัวเอง มีคลิปขอให้ผู้ชมปิดโทรศัพท์มือถือ และงดถ่ายภาพจอภาพยนตร์ -คำขอแบบเดียวกับที่เห็นตามโรงหนังจริงๆ ต่างกันเพียงแค่ไม่มีการประกาศทางออกฉุกเฉิน และขอให้ผู้ชม ‘กลับไปชมภาพยนตร์ในโรงปกติอีกครั้งเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น’ ภาพยนตร์หลายเรื่องที่จัดจำหน่ายโดย TOFOO เช่น “Green Lie” “Tagore Songs” และ “Prison Circle” จะยังคงมีให้ชมใน Temporary Cinema สำหรับ “Mental 0” นั้นก็ฉายรอบปฐมทัศน์ทางออนไลน์เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมตามกำหนด และยังมี “การทักทายบนเวที” และถาม-ตอบโดยผู้สร้างภาพยนตร์เองอีกด้วย

Souda ได้เขียนไว้ในแถลงการณ์ของโครงการนี้ว่า

“เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถออกฉายในโรงจริง ผมหวังว่าทุกท่านที่ดูหนังเรื่องนี้ในแบบ ‘Temporary Cinema’ จะออกไปโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านท่าน และผมหวังให้ท่านได้รับประสบการณ์บางอย่างซึ่งแตกต่างไปจากการดูแบบออนไลน์โดยสิ้นเชิง และได้ค้นพบว่าโรงภาพยนตร์นั้นวิเศษอย่างไร เราตั้งใจจะจัดเสวนาเท่าที่มันจะเป็นไปได้ภายใต้การป้องความเสี่ยงของการติดเชื้อ เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกปลอดภัย แม้ขณะนี้เรายังคงไม่สามารถมารวมตัวในที่เดียวกันได้ ผมก็ยังคงเชื่อว่าถึงที่สุดมนุษย์ยังคงต้องการพบปะสังสรรค์กันอยู่นั่นเอง”

กระทั่งเมื่อข้อถกเถียงจากข้อเขียนของ Hideki Noda เริ่มรุนแรงขึ้น ผู้คนเริ่มตั้งคำถามถึงบทบาทของผู้ชมในความเป็น และไม่เป็นวัฒนธรรมของสิ่งต่างๆ ซึ่งแน่นอนการดูหนังก็เป็นหนึ่งในนั้น ต่างไปจากละคร การดูหนังอาจจะไม่จำเป็นต้องการผู้ชมใช่หรือไม่? ยิ่งกว่านั้น ขณะนี้มีผู้คนมากมายที่ดูหนังที่บ้าน ดูใน TV หรือแม้แต่ในโทรศัพท์ แล้วแบบนี้เรายังต้องการการ ‘พบปะสังสรรค์’ กันอย่างที่ Souda กล่าวไว้หรือเปล่า?

ขณะที่โครงการ Mini-Theatre AID มุ่งโฟกัสที่บรรยากาศของประสบการณ์รวมๆ ของการชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก กล่าวว่า

ไม่พักจำเป็นต้องกล่าวถึงการเลือกหนังมาฉายอย่างมีเอกลักษณ์ … หากยังรวมถึงแผ่นพับและสินค้าต่างๆ ที่ห้องขายตั๋ว ร้านค้า ของกินเล่น และบทความต่างๆ ที่แปะในลอบบี้เพื่อแนะนำหนังแต่ละเรื่อง ไปจนถึงใบปลิวและโปสเตอร์ของบรรดาหนังมาสเตอร์พีซที่เคยได้ฉายในอดีต การจัดแสดงในห้องโถงล้วนถูกทำขึ้นด้วยมือของสตาฟฟ์ในโรงนั้นๆ เอง และแน่นอน จอภาพยนตร์ ความรู้สึกของเก้าอี้ และสตาฟฟ์ที่สรรค์สร้างและควบคุมบรรยากาศของที่นั้นๆ… ทุกองค์ประกอบนี้ทำให้โรงภาพยนตร์เล็กๆ แต่ละแห่งเหล่านี้มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน เพราะความรักที่พวกเขามีต่อวัฒนธรรมภาพยนตร์ และมุมมองอันแตกต่างที่พวกเขามีต่อภาพยนตร์ นับตั้งแต่เราก้าวผ่านประตูเข้าไปเราก็สามารถที่จะได้ดูหนังในสถานที่อันแสนพิเศษ

โดยทั่วไปผู้ชมชาวญี่ปุ่นมักจะเงียบและไม่แสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผยในโรงภาพยนตร์ พวกเขาไม่เก่งนักในการสร้างประสบการณ์แบบมีส่วนร่วมกับผู้ชมด้วยกันเอง หากแม้ว่าจะไม่มีการสนทนา แต่ด้วยการอ่านบทความในลอบบี้เงียบๆ ดูโปสเตอร์ หรือกินขนม ผู้ชมชาวญี่ปุ่นก็ได้สร้างประสบการณ์ร่วมของการไปชมภาพยนตร์ในแบบของตนเอง และต้องขอบคุณวิกฤติ COVID ที่ทำให้ผู้คนได้ตระหนักว่านี่คือความหมายของการ ‘พบปะสังสรรค์’

ตัวอย่างหนัง One Cut of the Dead

และการพบปะสังสรรค์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะในโรงภาพยนตร์ บรรดาคนทำหนังก็ปรารถนาจะกลับไปยังกองถ่ายและสตูดิโอเช่นกัน ในวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีการฉายรอบปฐมทัศน์ออนไลน์ของโปรเจกต์หนังสั้นที่ทำโดยทีมงานที่เคยทำ ‘One Cut of the Dead’ ในชื่อ ‘Mission Remote!’ ซึ่งว่ากันว่าเป็น ‘หนังที่ทำขึ้นโดยนักแสดงไม่เคยเจอกันเลย’ ทีมงานใช้เวลาเพียง 18 วันเพื่อจะทำหนังทั้งเรื่อง โดยส่วนของสารคดีเบื้องหลังและฉากที่อยู่ไม่อยู่ในหนังสั้นเรื่องนี้นั้น ถูกรวมอยู่ในโครงการ Mini-Theater AID ด้วย ซึ่งตัวโปรเจกต์หนังสั้นนี้ก็ตั้งใจทำขึ้นเพื่อร่วมในการช่วยเหลือโรงภาพยนตร์อิสระเช่นกัน

หนังสั้น One Cut of the Dead: Mission Remote ของ Shinichirô Ueda

อันที่จริง ในตอนที่ ‘One Cut of the Dead’ สร้างเสร็จนั้น ไม่มีโรงภาพยนตร์เครือใหญ่โรงไหนอยากจะฉาย เว้นแต่โรงภาพยนตร์อิสระ 2 โรง ที่ตกลงจะฉายหนังเรื่องนี้ จนเมื่อมันเริ่มได้รับความนิยมจากแรงเชียร์แบบปากต่อปาก และตัวหนังก็เกิดฮิตไปทั่วโลกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนและทำลายสถิติของอัตราส่วนของรายรับเทียบกับทุนสร้าง (ในระดับมากกว่าพันเท่า) ซึ่งหากปราศจากโรงภาพยนตร์อิสระ “One Cut of the Dead” คงไม่แคล้วถูกกลบฝังในหลุมศพไร้ชื่อแบบเดียวกับหนังทุนต่ำอีกนับพันเรื่อง

ตอนที่ ‘One Cut of the Dead’ สร้างเสร็จนั้น ไม่มีโรงภาพยนตร์เครือใหญ่โรงไหนอยากจะฉาย เว้นแต่โรงภาพยนตร์อิสระ 2 โรงที่ตกลงจะฉายหนังเรื่องนี้

ผู้กำกับ Shinichirô Ueda ได้อธิบายถึงโครงการเอาไว้ดังนี้

เมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง ผมเริ่มคิดว่าจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ผมจะทำอะไรได้บ้าง และตัดสินใจที่จะทำหนังอย่างปัจจุบันทันด่วน ความตั้งใจของผมคือการทำหนังที่มันตลกและสนุกซึ่งจะทำให้ผู้ชมมีความสุขไม่ว่าจะยังไงก็ตาม!…กระนั้นมั้นก็มีสองฉากที่ผมอดร้องให้ไม่ได้ตอนที่กำลังตัด ก่อนหน้านี้ผมรู้ดีว่าหนังเรื่องนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่ไปไกลเกินกว่าความคาดหวังของผมเอง ผมคิดว่าผมได้ทำหนังที่ส่วนหนึ่งจะมอบความบันเทิงให้ผู้ชม และส่วนหนึ่งเป็นการเยียวยาตัวผมเอง ผมคิดว่าผมได้สร้างบางสิ่งที่ผมสามารถจะทำได้เฉพาะในเวลา ‘ขณะนี้’ เท่านั้น โปรดดูหนังเรื่องนี้ ‘ตอนนี้’ บางทีหนังเรื่องนี้อาจะช่วยอารมณ์ของคุณสว่างไสวขึ้นได้บ้างตามที่ผมหวังไว้…

เช่นเดียวกันกับ ‘One Cut of the Dead’ หนังเริ่มจากเรื่องของผู้กำกับ Takayuki Higure (เล่นโดย Takayuki Hamatsu นักแสดงคนเดิม) ผู้ซึ่งนิยมทำหนังเกรดบีทุนต่ำทำเร็วๆ ครั้งนี้เขาได้รับข้อเสนออันไร้เหตุผลจากโปรดิวเซอร์ ให้ทำหนังดรามาอาชญากรรมโดยที่ทีมงานทั้งหมดต้องทำงานจากระยะไกล และต้องให้เสร็จภายในสิ้นเดือน แล้วก็เช่นเดียวกับหนังเรื่องก่อนหน้า ครอบครัวของผู้กำกับก็ต้องลงมาให้ความช่วยเหลือผู้กำกับเจ้าปัญหาอีกครั้ง ลูกสาวเจ้าปัญญามาพร้อมกับไอเดียที่จะไปขอให้ใครก็ได้ส่งวิดีโอเซลฟี่มาและบอกให้พ่อใช้ฟุตวิดีโอเซลฟี่นี้เป็นวัตถุดิบในการทำหนัง แล้วหนังก็ประกอบขึ้นจากสามโครงสร้างใหญ่นี้ กระบวนการทำหนัง หนังที่เป็นเส้นเรื่องหลัก และวิดีโอเซลฟี่ของจริงที่ถูกขอให้ส่ง SMS ไปยังโปรดิวเซอร์ของหนัง (ซึ่งมาจากวิดีโอ 305 ชิ้นจากทั่วญี่ปุ่นรวมไปถึงจากเกาหลี แคนาดา และ กัมพูชา)

นอกจากเรื่องของการที่คนทำหนังสามารถก้าวข้ามวิกฤติอย่างไร และเราจะสามารถทำหนังจากระยะไกลกันได้อย่างไรแล้วนั้น หนังยาว 27 นาทีเรื่องนี้ ได้แตะสัมผัสความจริงของสังคมญี่ปุ่นที่มีอยู่มายาวนาน ยาวนานก่อนการเกิดวิกฤติ Covid อย่างเรื่องของ สภาพการทำงานของเหล่าฟรีแลนซ์ -สำหรับรัฐบาลที่ฝักใฝ่เสรีนิยมใหม่ มันได้ทำให้เกิดภาะวะที่แรงงานนับล้านถูกแทนที่ด้วยลูกจ้างชั่วคราวที่ไม่ได้รับสวัสดิการใดๆ จากบริษัท และเฉพาะเพียงในโตเกียวที่เดียวก็มีคนอย่างน้อย 4,000 คนที่ถูกเรียกว่า ‘ผู้ลี้ภัยชาวร้านเนต’ ซึ่งคือบรรดาคนไร้บ้าน อาศัยในร้านเนตตลอดคืน และต้องไปไล่หาที่นอนหลังจากร้านเนตปิด – นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวของชาวญี่ปุ่นเองก็ได้กลายเป็นความสัมพันธ์ ‘ระยะไกล’ มากขึ้นเรื่อยๆ ครอบครัวที่มีชีวิตแยกขาดจากกันและกัน และพ่อที่ได้กลายเป็นคนแปลกหน้าของครอบครัวที่เหลือทั้งหมดเพราะเขามีเวลาให้ครอบครัวน้อยเหลือเกิน และเมื่อเราเห็น หน้าจอ ZOOM ในหนังที่แตกเป็นกรอบขีดกั้นแบ่งแยกคนแต่ละคน เราก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า – ประเทศญี่ปุ่นนี้เป็นประเทศของฮิคิโคโมริ (คนที่แยกตัวออกจากสังคม) อยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีโคโรนาไวรัสหรือเปล่า?

นอกจากเรื่องของการที่คนทำหนังสามารถก้าวข้ามวิกฤติอย่างไร และเราจะสามารถทำหนังจากระยะไกลกันได้อย่างไรแล้วนั้น หนังยาว 27 นาทีเรื่องนี้ ได้แตะสัมผัสความจริงของสังคมญี่ปุ่นที่มีอยู่มายาวนานก่อนการเกิดวิกฤติ Covid อย่างเรื่องของ สภาพการทำงานของเหล่าฟรีแลนซ์

ในทางหนึ่ง การที่ญี่ปุ่นต่างไปจากอิตาลีและสเปนที่ซึ่งครอบครัวและความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน วิกฤติ Covid-19 ได้กลายเป็นช่วงเวลาที่คนญี่ปุ่นเพิ่งจะเริ่มค้นพบว่า มันดีแค่ไหนที่จะได้ ‘พบปะสังสรรค์’ กัน และมันดีเพียงไรที่ได้มีการมีประสบการณ์ในกิจกรรมทุกประเภทร่วมกับคนอื่นๆ ทั้งในและนอกพื้นที่ส่วนรวม

ในตอนจบของ ‘Mission Remote!’ ภรรยาของผู้กำกับ Higure ถามลูกสาวของเธอว่าอยากทำอะไรหลังจากวิกฤตินี้สิ้นสุดลง และลูกสาวเธอตอบว่า

หนูอยากไปโดดไปเต้นในคอนเสิร์ต แล้วก็อยากไปดูละคร อยากไปหัวเราะในงานเดี่ยวไมโครโฟน อยากไปผับแล้วดื่มทั้งคืนกับเพื่อนๆ แล้วก็ไปดูหนังข้ามคืนในโรง ดูแบบเรื่องต่อเรื่องต่อเรื่องต่อเรื่อง… และที่สุดก็คือ หนูอยากออกไปข้างนอกแลัวไปถ่ายหนัง…อยากไปดูหนังโรงแล้ว…

แล้วน้ำตาเธอก็ไหลออกมาเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอทำไมเธอถึงร้องไห้ แต่เธอก็ร้อง…

หนังจบลงด้วยผู้กำกับ Higure กล่าวขอบคุณผู้มีส่วนร่วมในภาพยนตร์และผู้ชม ‘พบกันใหม่ที่กองถ่าย’ และหลังจากหนังจบลง ผู้กำกับ Ueda ก็ปรากฏตัวขึ้นบนจอ และพูดกับบรรดาผู้ชมที่ได้ร่วมกันช่วยเหลือโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กไว้ ก่อนจะลงท้ายด้วยประโยคเดียวกันว่า ‘แล้วพบกันใหม่ที่กองถ่าย’

ด้วยรอยยิ้ม

10 สารคดีจาก Visions du Réel 2020 ที่เราอยากให้คุณได้ดู

Visions du Réel (“วิสัยทัศน์แห่งความจริง” – และคำว่าความจริงในภาษาฝรั่งเศสก็เล่นล้อกับ Reel ในภาษาอังกฤษที่หมายถึงม้วนฟิล์ม) คือเทศกาลภาพยนตร์สารคดีระดับนานาชาติที่จัดเป็นประจำทุกเดือนเมษายนในเมือง Nyon ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1969 ภายใต้ชื่อ Nyon International Documentary Film Festival ก่อนเปลี่ยนเป็นชื่อปัจจุบันในปี 1995

ในปีนี้ Visions du Réel ไม่สามารถดำเนินเทศกาลได้ตามปกติเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 (และสวิตเซอร์แลนด์คือหนึ่งในประเทศยุโรปที่เจอผลกระทบหนัก) ทีมงานจึงย้ายเทศกาลทั้งหมดมาจัดออนไลน์ ภาพยนตร์บางเรื่องเปิดให้เข้าชมฟรีทั่วโลก (โดยจำกัดจำนวนผู้ชม 500 ที่นั่งแรก) บางส่วนดูได้เฉพาะในสวิตเซอร์แลนด์หรือประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป และบางเรื่องรับชมได้ในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่เป็นพันธมิตรอย่าง Doc Alliance ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายนถึง 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

แม้เทศกาลจะจบลงแล้ว ผลการตัดสินรางวัลได้ประกาศอย่างเป็นทางการเรียบร้อย (ติดตามได้ที่นี่) และหนังเหล่านี้จะหมดช่วงเวลาที่สามารถเข้าชมฟรีได้แล้วในขณะนี้ แต่ Film Club ก็ขอรวบรวมหนังที่เราได้ดูในเทศกาลผ่านโรงหนังเสมือนออนไลน์ในช่วงเทศกาลมาแนะนำไว้ เพราะเราเชื่อเหลือเกินว่าสารคดีเหล่านี้จะเป็นชื่อที่คุณรู้จักและได้ยินโลกภาพยนตร์กล่าวถึงเรื่อยไปในอนาคตอันใกล้


Punta Sacra (2020, Francesca Mazzoleni)

สารคดีว่าด้วยหมู่บ้านคนจนที่ตั้งอยู่บนแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลย่านชานเมืองของกรุงโรม หมู่บ้านอยู่มานานหลายสิบปี แต่ตอนนี้รัฐต้องการไล่รื้อชุมชนออกไป หนังติดตามชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านนี้ โฟกัสไปยังคุณยายที่ในบ้านมีผู้หญิงสามรุ่น ตัวเธอเอง ลูกสาว และหลานสาวสองคน กับบรรดาเพื่อนๆ ของหลานสาวคนโต บาทหลวงประจำหมู่บ้าน และชีวิตอื่นๆ เช่น ไอ้หนุ่มแร็ปเปอร์ที่เคยใช้ชีวิตในชิลี หรือคนงานก่อสร้าง

แต่นี่ไม่ใช่หนังชุมชนประท้วง หนังตัดเอาการต่อสู้ของคนในชุมชนออกไปจนเกลี้ยง ผลักไปไว้เป็นฉากหลัง แล้วโฟกัสชีวิตอันสุดแสนจะมีชีวิตชีวาของผู้คน ชุมชนถูกถ่ายออกมาอย่างหมดจดงดงาม ภาพของเด็กๆ ที่ไปเดินเล่นริมทะเลตอนเช้า คุณยายที่เล่าว่าเธอแต่งกับตาแล้วย้ายมานี่ ทำบ้านกันทีละนิด จนพอตาตายทุกอย่างก็หยุดชะงัก หลานสาวคนโตกับแก๊งเพื่อนที่มีรักกันชอบกันอิจฉากันแบบเด็กวัยรุ่น บาทหลวงกับชายหนุ่มเร่ร่อนที่มานั่งคุยเล่นกัน

ภาพชีวิตในหนังธรรมดาสามัญแต่มันงดงามมาก มีเรื่องเยอะแยะที่ตัวละครคุยกันโดยผู้ชมไม่รู้ที่มาที่ไป เพราะพวกเขามีชีวิตอยู่นอกโลกของหนังด้วย ชีวิตของพวกเขาเองที่มีทั้งทุกข์และสุข มีขัดแย้งตบตีหรือกอดคอร่วมใจ ชีวิตมันงดงามและเป็นปัญญาชนมากๆ ตามประสาคนที่ผ่านความคิดทางการเมืองมา

หนังมีฉากที่แจ๋วสุดๆ คือยายเถียงกับเพื่อนลูกสาว ที่ลูกของพวกเขาสนิทกัน เรื่องการเป็นคอมมิวนิสต์ ฟาสซิสต์ และความสำคัญของ Pier Paolo Pasolini ในสังคมอิตาลี ถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนถึงกับด่ากันว่าแบบนี้ก็ออกจะฟาสซิสต์ เป็นการถกเถียงของสามัญชนที่จุดยืนทางการเมืองหนักแน่นกว่าปัญญาชนจอมปลอมคุยกัน หรืออีกฉากที่ไม่รู้ถ่ายมาได้ยังไงคือคุณแม่ของเพื่อนหลานยาย เธออยากให้ลูกเรียนหนังสือ แต่เด็กสาวอยากออกไปทำร้านเสริมสวย แม่บอกว่าฉันมีแต่แก ไม่ใช่พ่อเฮงซวยของแก เราติดกันอยู่ที่นี่โดยที่ฉันมีแต่แกคนเดียว ฉันรู้ว่าวันหนึ่งแกจะไปจากที่นี่แล้วทิ้งเราสองคนไว้ แต่ช่วยทำให้มันดีหน่อยเถอะ

หนังให้เห็นการประท้วงเพียงช่วงสั้นๆ โดยเน้นไปที่การดีเบตถกเถียงระหว่างเตรียมการ และให้เวลามากมายมหาศาลกับงานคริสต์มาสในชุมชน การนอนดูทีวีเป็นหมู่คณะ การก้าวพ้นวัยของเด็กๆ โดยมีผู้ใหญ่ในชุมชน ชายหาด กำแพงหินกั้นคลื่น และถนนสกปรกคอยดูแลให้พวกเขาเติบโต


Of Land and Bread (2019, Ehab Tarabieh)

B’Tselem หรือ The Israeli Information Center for Human Rights in the Occupied Territories คือศูนย์ข้อมูลที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1989 เพื่อบันทึกข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงค์และฉนวนกาซ่า โดยนอกจากรายงานสถิติ บันทึกคำให้การ เผยแพร่รายงานในประเด็นเกี่ยวเนื่อง ที่นี่ยังรวบรวมภาพเคลื่อนไหวเหตุการณ์จริงจากชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ไว้ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะในฐานะคลิปนักข่าวพลเมือง วิดีโอประจำวันอย่างภาพกล้องวงจรปิด หรือสารคดีการเมืองที่ทรงพลัง

B’Tselem โปรดิวซ์ Of Land and Bread ในวาระครบรอบ 30 ปี ด้วยภาวะความขัดแย้งที่ซับซ้อนกว่าเดิม เมื่อรัฐบาลอิสราเอลยุคหลังค่อยๆ ยึดครองพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งด้วยกำลังทหารอาวุธครบมือ กฎหมาย และให้ชาวอิสราเอลไป “ตั้งรกราก” เป็น settler ในปาเลสไตน์ หนังไม่ได้ทำอะไรมากกว่าแค่ร้อยเรียงภาพเคลื่อนไหวชิ้นสำคัญๆ ต่อกันไปเรื่อยตั้งแต่ต้นจนจบ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะทุกอย่างหนักหน่วงในระดับต้องเบือนหน้าหนี

ทางผ่านแดนที่แบ่งแยกเชื้อชาติ / กล้องวงจรปิดบันทึกภาพเจ้าของร้านชาวปาเลสไตน์ถูกซ้อมหรือคุกคามโดยทหาร / ทหารอิสราเอลพร้อมอาวุธครบมือนับสิบบุกบ้านชาวปาเลสไตน์ยามวิกาล เรียกพ่อไปปลุกเด็กผู้ชายอายุไม่ถึงสิบขวบทุกคนในบ้านให้มารายงานตัว / ทหารอิสราเอลพร้อมอาวุธครบมือแห่ขึ้นมาถ่ายรูปเล่นบนดาดฟ้าบ้านชาวปาเลสไตน์ / settler ชาวอิสราเอลเข้าไปยึดที่ดินทำเกษตรของชาวปาเลสไตน์ แล้วอ้างดื้อๆ ว่าทุกตารางนิ้วที่นี่เป็นของพวกกู ส่วนพวกมึงเป็นแค่ทาส เพราะพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น / ทหารร่วมมือกับ settler ทุบเตาอบขนมปังอายุครึ่งศตวรรษ / ทหารอิสราเอลจับเด็กที่ปาหินใส่รถฮัมวี่ขึ้นรถ / ทหารอิสราเอลแย่งจักรยานเด็กเล็กไปโยนทิ้ง / ทหารอิสราเอลตั้งลำกล้องปืนขู่กล้อง กระทืบชาวปาเลสไตน์ต่อหน้ากล้อง / settler ชาวอิสราเอลออกมาเต้นเยาะเย้ยคนปาเลสไตน์ที่มีเรื่องกับทหาร / settler ชาวอิสราเอลเปิดเครื่องเสียงเพลงหมิ่นศาสนา แล้วรุมเขวี้ยงหินใส่บ้านชาวปาเลสไตน์ตั้งแต่เช้ายันค่ำ โดยที่รถทหารก็จอดอยู่ตรงนั้นแหละ

แน่นอนว่าภาพที่เห็นไม่ใช่ทั้งหมดของความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ (ข้อมูลของ B’Tselem ก็บันทึกความรุนแรงที่ประชาชนอิสราเอลถูกกระทำโดยชาวปาเลสไตน์ด้วย) แต่ความเหือดแห้งของมนุษยธรรมที่ปรากฏในภาพเคลื่อนไหวนี้ก็ทำให้เกิดคำถามสำคัญ – อุดมคติหนึ่งในการต่อสู้ทางการเมือง มักกล่าวถึงประชาชนคนละสีหรือเจ้าหน้าที่ (ตำรวจ-ทหาร) ชั้นผู้น้อยว่าไม่ใช่ขั้วตรงข้ามหรือศัตรูแบบรัฐหรือเจ้าของอำนาจกดขี่ที่แท้จริง และผู้ถูกกดขี่ต้องพยายามโน้มน้าวให้คนเหล่านี้หันมาเป็นพวกเดียวกัน

แต่ในสถานการณ์ที่ความชั่วร้ายทั้งขี้ปะติ๋วและรุนแรงเกิดขึ้นจากคนเหล่านั้น เพียงเพราะมีระบบให้ท้าย และทำให้พวกเขาทำเรื่องชั่วร้ายทั้งหมดเพียงเพราะมันทำได้ อุดมคติที่ว่าจะทำงานอย่างไร


A Rifle and A Bag (2019, Arya Rothe, Cristina Hanes, Isabella Rinald)

หนังเล่าเรื่องครอบครัวของ Somi และสามีที่อายุน้อยกว่าเธอห้าปี ทั้งคู่พบรักกันขณะเข้าป่าไปเป็นคอมมิวนิสต์ในกลุ่มเหมาอิสต์ Naxalite ที่มีพื้นเพเป็นชนกลุ่มน้อย ต่อต้านรัฐด้วยการจับอาวุธ เพื่อสู้ในสิทธิที่ดินทำกินและอื่นๆ ทั้งคู่ออกจากป่าหลังรัฐประกาศนิรโทษกรรมให้คนที่มอบตัว แล้วมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของ Somi มีลูกเล็กหนึ่ง กำลังท้องอีกหนึ่ง

ครึ่งแรกของหนังจับภาพชีวิตประจำวันของสองผัวเมีย ซึ่งถ่ายออกมาอย่างหมดจดงดงาม หนังติดตามการเดินเท้าไปตักน้ำ เลี้ยงลูก หุงหาอาหาร หรือการนั่งสนทนารอบกองไฟยามค่ำคืน การไปตรวจครรภ์ และหนังตามจนลูกคนที่สองคลอดและคนโตต้องเข้าโรงเรียน โรงเรียนแจ้งว่าปัญหาใหญ่คือพวกเขาไม่มีใบระบุวรรณะของฝั่งพ่อ ทำให้จัดวรรณะที่แท้ให้ลูกไม่ได้ เมื่อจัดไม่ได้เด็กก็อาจไม่มีสิทธิ์เข้าเรียน และหากพ่อต้องกลับไปเอาใบรับรองวรรณะก็ไม่ต่างอะไรจากการกลับไปตาย เพราะเขาอาจถูกฆ่าทิ้งถ้ากลับไปบ้านเก่า โรงเรียนยอมรับลูกเข้าเรียนไปก่อนแต่ก็ทวงถามเรื่องนี้เรื่อยๆ นั่นยิ่งทำให้ฝันของผัวเมียยากจนที่ว่าลูกๆ จะมีชีวิตดีกว่าตัวเอง ไม่ต้องไปเข้าป่าจับปืน ดูจะเป็นไปได้ยากยิ่ง

หนังตามไปที่โรงเรียน ที่นั่นพวกเขาสอนร้องเพลง ฝึกให้เด็กเล็กรักชาติอยากเป็นทหาร จะได้ปราบอริราชศัตรูซึ่งเด็กยังไม่รู้ว่ามันอาจหมายรวมถึงพ่อแม่ตน

หนังเต็มไปด้วยประเด็นที่รุนแรงแหลมคม กล้องทำหน้าที่ได้เหลือเชื่อเมื่อถ่ายบรรดาการพูดคุย small talk ได้งดงามหยดย้อยจนดูเหมือนเซ็ตอัพฉาก บทสนทนาเหล่านี้ค่อยๆ อธิบายชีวิตของ Somi อย่างละมุนละม่อม เรื่องที่ว่าทำไมเธอต้องเข้าป่า เห็นตอนเธอคุยกับหมอที่เอ็นดูลูกชายคนเล็กเธอไม่น้อย บทสนทนากับพ่อแม่ของเธอเองที่เล่าเรื่องตลกแล้วย้อนมาถึงความทุกข์ยากในช่วงที่ลูกสาวหายตัวไป บทสนทนากับสามีว่าเราออกจากป่ามาทำไม หรือที่หนักที่สุด Somi พาลูกไปเล่นริมน้ำ ลูกบอกอยากเป็นทหาร เธอเลยบอกว่าแม่เคยจับปืน พ่อก็ด้วย เราเป็นนักรบในป่า มันรุนแรงมากเมื่อเรานึกย้อนไปถึงสิ่งที่ลูกชายเธอเรียนในโรงเรียน

สวยงามเชื่องช้าจนเกือบจะเป็นหนังชีวิตเงียบสงบของชาวป่าชาวดง แต่ในความเงียบ มีความแหลมคม กล้าหาญ การที่หนังโฟกัสที่ผู้หญิง (ผู้กำกับสามคนก็เป็นผู้หญิงทั้งหมด) ทำให้บริบททางการเมืองอินเดียที่ซับซ้อนยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก ความแข็งแกร่งของ Somi และบทสนทนาของเธอกับคนรอบข้างทำให้หนังเป็นทั้งหนังชีวิตคนทุกข์ หนังการเมืองอินเดีย และหนังเฟมินิสต์ที่เปล่งประกาย


Purple Sea (2020, Amel Alzakout & Khaled Abdulwahed)

Amel Alzakout ลงเรือผู้ลี้ภัยที่อิสตันบูลโดยมีจุดหมายขึ้นฝั่งที่ประเทศกรีซ เหมือนผู้ลี้ภัยซีเรียกระแสหลักในหน้าข่าว ศิลปินหญิงตั้งเป้าไปหาคนรักที่ล่วงหน้าถึงเบอร์ลินเรียบร้อยแล้ว เธอตั้งใจบันทึกการเดินทางครั้งนี้ไปให้เขาดู คงชาร์จแบตโทรศัพท์ไว้เต็มที่ ใส่ซีลพลาสติกกันน้ำอย่างดี มัดไว้ที่ข้อมือแน่นหนาด้วยเทปกาว แล้วกดปุ่มถ่ายวิดีโอค้างไว้

แต่ก็คงเหมือนทุกคนที่ลงเรือลำเดียวกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าเรือจะรั่วกลางทาง

ตลอดเวลา 67 นาทีของหนังคือภาพลองเทคจากกล้องโทรศัพท์หลังเรือล่ม แต่ละเฮือกนาทีเนิ่นช้า อึดอัด หอบเหนื่อย ขาดอากาศหายใจ ภาพจากข้อมือที่กำลังเอาชีวิตรอดอยู่กลางทะเลนั้นจับความแทบไม่ได้ นอกจากบางช่วงที่พอมีจังหวะให้หายใจหายคอ เธอถึงพยายามถ่ายให้เห็นบรรยากาศโดยรอบนอกจากพื้นที่ไม่กี่เมตรรอบตัว แต่เวลาที่เหลือนั้นเลนส์กล้องได้เพียงดำผุดดำว่ายตามแรงมือ และแทบจะจมน้ำอยู่ตลอดเวลา บางช่วงคนดูเห็นแค่สีของน้ำทะเล สีของลำเรือกับเสื้อชูชีพ หรือขาใต้น้ำของคนอื่นๆ ที่แทบประมวลผลไม่ได้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่

Purple Sea คือบันทึกประสบการณ์เฉียดตายที่ร่วมสมัย สยดสยอง และกระชากผู้ชมเข้าสู่สถานการณ์ได้รุนแรงถึงขีดสุด (อดจินตนาการไม่ได้ว่าประสบการณ์นี้จะยิ่งสั่นสะเทือนแค่ไหน ถ้าหนังได้ฉายขึ้นจอใหญ่ในโรงภาพยนตร์) เสียงของ Amel ที่บรรยายความรู้สึกและความทรงจำของเธอต่อเหตุการณ์นี้ อาจฟังดูเรียบนิ่งสงบงามราวกับบทกวีไร้ฉันทลักษณ์ แต่พลังของถ้อยคำก็หนักแน่นพอจะช่วยฉุดคนดูให้กลับลงไปใต้ทะเลพร้อมๆ กับเธอและเพื่อนร่วมชะตากรรม พร้อมวาดภาพการเดินทางได้อย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่สีสันหลากหลายของเสื้อชูชีพ แรงสะเทือนของคลื่นก่อนเกิดเหตุไม่คาดฝัน และชุดกระโปรงพลิ้วลายผีเสื้อของหญิงสาวนิรนาม ที่ต่อมาเราพบว่ากำลังตีขาสุดชีวิตอยู่ใกล้ๆ กล้องนั้นเอง

อย่างไรก็ดี เสียงบรรยายของผู้รอดชีวิตที่เป็นศิลปิน ก็ไม่อาจกลบเสียงแห่งความโกลาหลในสถานการณ์จริงไปได้ ทั้งเสียงกรีดร้องของผู้คนเมื่อกล้องได้จังหวะผุดขึ้นเหนือน้ำ เสียงสสารทั้งมีและไม่มีชีวิตกระแทกน้ำไปมาที่ได้ยินเมื่อกล้องจมอยู่ใต้ทะเล แต่ที่แสบแก้วหูและเร่งเร้าความรู้สึกได้หนักหนาสาหัสที่สุด คือเสียงยางกับพลาสติกจากเสื้อชูชีพของคนนับร้อยที่เบียดเสียดกันไปมาไม่ยอมหยุด เสียงแห่งการดิ้นรนแออัดของคนนับร้อยที่กำลังขออากาศหายใจต่อชีวิต


NA China (2020, Marie Vognier)

สารคดีเปิดกะโหลกที่แท้ ว่าด้วยชุมชนคนดำทำธุรกิจในกวางโจว!

หนังติดตามสาวๆ จากแคเมอรูน เอธิโอเปีย รวันดา ที่เข้าไปทำธุรกิจในจีน พวกเธอจะเข้าไปเลือกเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หรือแม้แต่ผมปลอม ต่อรองกับโรงงานผู้ผลิต สำรวจตลาดและคุณภาพสินค้าอย่างถี่ถ้วน เพื่อส่งกลับไปขายในประเทศของตัวเอง บางคนก็แอดวานซ์กว่านั้น เช่น ซับเจคต์หลักของเรื่องที่มาจากแคเมอรูน เรียนในจีน พูดจีนได้ ฝรั่งเศสได้ อังกฤษก็ได้ เธอมาซื้อหาสินค้าเสื้อผ้าที่คุณภาพใช้ได้ในตลาดส่งไปขาย หาเองเลือกเอง แต่มันกว่านั้นคือเธอเช่าร้านในกวางโจวเพื่อเปิดซาลอน เพิ่งรู้ว่าทรงผมถักเปียใหญ่ๆ แบบแอฟริกันมันฮิตในสาวจีน เธอเลยมีทั้งลูกค้าคนดำ (ที่มีจำนวนหลายพันคน เป็นชุมชนอยู่ในเมือง) กับลูกค้าสาวจีน แต่จริงๆ เธอเปิดไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย

นี่คือสารคดีที่พูดถึงกลไกของทุนนิยม โดยเฉพาะทุนนิยมจีน พร้อมกับข้อมูลที่น่าตื่นเต้น เช่น พวกสินค้าเกรดดีๆ บางอันไม่ผลิตในจีนแล้ว แต่ไปผลิตในบังคลาเทศโดยคนจีนไปตั้งโรงงานในบังคลาเทศเพราะค่าแรงถูกกว่าจีนมาก หรือการที่ของก๊อปในจีนมีหลายเกรด โดยเกรดสูงสุดเรียก original copy ซึ่งหมายถึงใช้วัสดุเดียวกับของแท้ทั้งหมด เพียงแต่เป็นการผลิตนอกแบรนด์แล้วเอายี่ห้อมาติดทีหลัง ทำไมทำได้? เพราะแบรนด์พวกนี้มีโรงงานในจีน คนก็จะรู้ว่าผ้าหรือหนังแบบนี้สั่งจากที่ไหน ดีไซน์เป็นไง แล้วเอามาผลิตให้เหมือนกันเป๊ะแบบเดินในช็อปก็จับไม่ติด ของก๊อปเกรดถูกขาย 60หยวน ไต่ไปถึง 500 และ 1000 หยวนสำหรับ original copy แต่ถ้าเข้าห้างปุ๊บ 2000 หยวนทันที เนื่องจากแบรนด์ผลิตในจีนก็คนจีนนี่แหละเย็บ แล้วความออริจินัลมันต่างกันตรงไหน นอกจากการขายกับยี่ห้อ สำหรับเธอของแท้มีเพียงชิ้นเดียวคือใบแรกที่มันถูกผลิตขึ้น ที่เหลือเป็นแค่ของปลอมที่มีตรารับรองแตกต่างกันไป

หนังถ่ายในช่วงที่ทางการพยายามกำจัดคนดำออกจากวงจรธุรกิจ โดยให้คนดำไม่ต้องมาซื้อสินค้าที่ตลาดเอง แต่ติดต่อผ่านนายหน้าคนจีน เพราะจีนไม่ต้องการโปรโมตธุรกิจหรือสินค้าจีน แต่ต้องการโปรโมตนักธุรกิจจีน และนั่นทำให้ธุรกิจมันยุ่งยากมากขึ้น

หนังมีทั้งเนื้อเรื่องในส่วนซับเจคต์หลักกับซับเจคต์รองๆ ที่หนังแค่ตามพวกเธอไปซื้อเสื้อผ้าในตลาดจีน ฉายภาพผู้หญิง (หนังเลือกตามถ่ายผู้หญิงล้วน) กับการทำงานที่แข็งแกร่งมากๆ หนังถ่ายภาพการทำงานของพวกเธอ ร่างกายที่แข็งแกร่งของพวกเธอโดยไม่มีสายตาแบบ male gaze (ผู้กำกับก็เป็นผู้หญิง) แล้วมันออกมาเจ๋งมากๆ


Mirror, Mirror on the Wall (2020, Sascha Schöberl)

เมื่ออะไรๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่ก็ชวนเหวอจนซีรี่ส์ดิสโทเปียแบบ Black Mirror ยังต้องยอมแพ้ คำกล่าวที่ว่าถ้าคุณถือกล้องไปในเมืองจีน เลือกตามถ่ายใครสักคนหรือฝังตัวอยู่สักที่สักแห่ง คุณจะได้ผลลัพธ์เป็นหนังที่ถ้าไม่เพี้ยนประหลาดสุดขั้วก็กระชากอารมณ์สุดขีด ก็ยังมีสัดส่วนความจริงอยู่มากทีเดีย

ใครเคยรู้สึกประหลาดกับธุรกิจเอเยนต์ศัลยกรรมเกาหลีที่ฮิตในหมู่เซเล็บไทย คุณจะได้พบจุดสูงสุดของความรู้สึกประหลาดนั้นผ่านชีวิตของหมอฮาน หมอศัลยกรรมพลาสติกระดับซูเปอร์สตาร์ ผู้มีอนุสาวรีย์รูปตัวเองอยู่หน้าตึกที่เป็นอาณาจักรความงาม แพทย์พยาบาลลูกน้องต้องเรียงแถวปรบมือต้อนรับยามเช้าเข้าออฟฟิศ มีห้องผ่าตัดกระจกใสเป็นตู้ปลาให้คนมามุงดูปฏิบัติการทางการแพทย์ มีทีมงานพร้อมกล้องคอยไลฟ์ลงโซเชียล แล้วบรรดาเน็ตไอดอลจีนที่จองคิวมาทำหน้าทำนมก็มีทีมไลฟ์ประจำตัว หมอใส่ซิลิโคนไป พวกเธอก็ไลฟ์ร้องเพลงให้ทางบ้านฟังบนเตียงผ่าตัดนั่นแหละ!

พ้นไปจากการเป็นหมอคนดัง แกยังเป็น perfectionist ตัวพ่อที่พยายามควบคุมจัดแจงทุกสิ่งให้เข้ารูปเข้ารอย แสวงหาความสำเร็จใหม่มาคอยเติมเต็มให้ชีวิตที่ร่ำรวยโด่งดัง ที่จริงหมอฮานอยากเรียนวรรณกรรมแต่ครอบครัวยากจนเลยเรียนหมอตามพ่อแม่บอก ตอนนี้เขาอยากเป็นศิลปิน ในตึกโรงพยาบาลมีมิวเซียมที่รวบรวมภาพถ่ายเกี่ยวกับงานศัลยกรรมไว้เป็นคอลเลคชั่น ไปแสดง performance art กับสองสาวที่หน้าพังเพราะศัลยกรรมเกาหลี และบินไปอเมริกาเพื่อเรียนภาษาอังกฤษ ฟิตหุ่น และพยายามติดต่อขอ perform การผ่าตัดตัวเอง (!!) ที่มิวเซียมระดับโลกอย่าง MoMA

สายตาของหนังคือความตื่นเต้นในระดับใกล้เคียงกับอกสั่นขวัญแขวน อาจปนความเยาะหยันอยู่ในที และเมื่อคนทำเป็นฝรั่งเยอรมัน (แม้จะทำมาหากินอยู่ที่ปักกิ่ง) ความตื่นตาตื่นใจแบบคนนอกจึงแสดงออกชัดโดยไม่ปิดบัง เป็นวิธีมองเพื่อจับจ้องสิ่งประหลาดและพยายามจะเข้าใจแต่ไม่มีวันเข้าใจ และได้แต่ยิ่งตกใจเมื่อสาวอเมริกันที่หมอฮานจ้างเป็นผู้ช่วยส่วนตัวตอนอยู่อเมริกา ไปๆ มาๆ ก็เข้าสู่วงจรทำหน้าทำนมถ่ายไลฟ์กับเขาไปด้วยอีกคน – เหลือแค่ลูกสาวคนเดียวของหมอที่ห่างไกลจากทุกสิ่งที่หมอต้องการ เธอไม่สวย เธอเก้งก้าง เธอแขนย้อย เธอแพลงก์ไม่แข็งแรง เธอมองพ่อแบบเหนื่อยหน่าย (ทุกคนเห็นยกเว้นพ่อเธอ) และเป็นสิ่งเดียวที่แม้แต่หมอก็อาจไม่รู้ตัวว่าไม่สามารถควบคุมจัดแจงอะไรได้


Prière pour une mitaine perdue หรือ Prayer for a Lost Mitten (2020, Jean-François Lesage)

สารคดีขาวดำที่เริ่มจากคืนหิมะโปรยปรายในมอนทรีออล กล้องเริ่มต้นจากแผนกของหายในสถานีรถโดยสารประจำเมือง ถ่ายเก็บคนที่มาตามหาของ มีตั้งแต่พาสปอร์ต ถุงมือ กุญแจ หมวกใดๆ เจ้าหน้าที่ทำงานดีเรียบร้อยคอยช่วยเหลือ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้ของคืน คนที่ได้คืนก็ยินดี ที่ไม่ได้คืนก็จ๋อยๆ หน่อย มีทั้งคนมาเที่ยวและคนที่อยู่ บางคนก็มายืนเล่าเรื่อง เช่น สมุดหาย แต่จริงๆ ที่สำคัญคือรูปถ่ายพ่อแม่หลังสมุด อะไรแบบนั้น

จากนั้นกล้องก็ค่อยๆ ตามบางคนไป เช่น ป้าคนหนึ่งที่ถุงมือหายแล้วไม่ได้คืน เมื่อตามไปสัมภาษณ์ต่อ เธอก็เล่าว่ามันเป็นถุงมือที่ถักเอง ถักมาหลายคู่ แต่คู่นี้ดีสุด สีดำสวย อุ่น เข้ากับมือ ปกติไม่ยอมถอดเลย มาหายไปเสียแล้ว แล้วเรื่องก็ค่อยๆ เข้าสู่หัวข้อหลักคือ ‘การสูญเสียอันรื่นรมย์’

แต่หนังไม่ได้มานั่งคุยกับซับเจคต์เรื่อยเปื่อย มีบางฉากผู้กำกับก็ออกไปถามคนตามถนนว่าเคยทำอะไรหายไปบ้าง อยากได้อะไรคืนมาไหม? สายตาของหนังสนใจปฏิกิริยาของการระลึกถึงและค้นลิ้นชักความทรงจำของตนเองมากกว่าคำตอบ กล้องจ้องหน้าผู้คนตอนกำลังนึก มันช่างงดงาม

ไกลไปกว่านั้น กล้องตามไปถ่ายบทสนทนา โดยมากเป็นการสนทนาสบายๆ ของหมู่เพื่อนสนิทที่มากินข้าวกันแล้วนั่งคุย หรือบทสนทนาในครอบครัว ในวงเพื่อนฝูง คล้ายกับหนังโยนประเด็นนี้เข้าไป แล้วรอคอยเงียบๆ ให้คนในวงพูดเรื่องต่างๆ ออกมา จากข้าวของก็กลายเป็นผู้คน ความสัมพันธ์ อดีตที่เอาคืนไม่ได้ เช่น คุณป้าอยากให้ความสัมพันธ์กับครอบครัวเหมือนเดิม อีกคนก็คิดถึงคนรักเก่าที่รู้ว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว หรือบางคนพูดถึงแม่ที่ตายไปเฉยๆ ความสูญเสียมันเหมือนหลุมในใจที่จะเติมอะไรลงไปก็ไม่เต็มอีกแล้ว

บทสนทนาเหล่านี้งดงามและเป็นกันเองมากๆ เหมือนค่อยๆ รอให้ผู้คนเปิดเผยเรื่องตัวเองออกมา หนังมีฉากที่งดงาม เช่น ฉากการคุยปิดวันของพ่อแม่และลูกสองคน แม่ป่วยเป็นอะไรสักอย่างที่ทำให้ปวดหลังรุนแรง ลูกก็ถามแม่ว่าวันนี้เป็นไงบ้าง แม่บอกแล้วว่ามีอะไร แต่วันนี้มันดีหรือแย่ครับ ฉากสวยงามของบทสนทนาแบบคนในครอบครัวที่ราวกับกล้องไม่มีอยู่

อีกฉากหนึ่งที่ชอบคือการไปถามเกย์เฒ่าคนหนึ่งแล้วเขาเล่าว่า เขาอยากได้ soul mate ของเขาคืนมา เพราะจริงๆ เขาป่วย หมอบอกเขาว่าอยู่ได้หกเดือน เขาและคนรักเลยเตรียมงานศพของเขาเอาไว้แล้ว แต่เรื่องกลับตาลปัตร ตอนนี้เขาเสียทุกอย่าง บ้าน ธุรกิจ จิตวิญญาณของเขา และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะเตรียมการเพื่อที่จะตายไปด้วยกัน

เรื่องที่หนังเล่ามันเศร้ามากๆ เรื่องการสูญเสียที่ไม่อาจได้คืน แต่พอผ่านปากคำของมนุษย์ที่มีน้ำเนื้อ มีชีวิต ผ่านความเจ็บปวดมาแล้ว พวกเขาก็เล่ามันออกมาอย่างตรงไปตรงมา ไม่ฟูมฟายอีกต่อไป – หนังมีการลอบสังเกตผู้คนที่ออกมาเดินในคืนหิมะตกกับมิตรสหาย คุยเล่นยิ้มหัวกันในคืนหนาวเหน็บ เหมือนผู้คนก็มีวิธีกอดรัดกันและกันไว้ให้อบอุ่น แม้จะไม่อาจถมเต็มการสูญเสียได้ก็ตาม


El Father Plays Himself (2020, Mo Scarpelli)

Jorge Thielen Armand เป็นคนทำหนังเวเนซุเอลาที่เพิ่งดังจาก La Soladad (2016) เขาทำหนังใหม่ชื่อ La Fortaleza เป็นเรื่องของชายขี้เมาที่เข้าไปรักษาอาการติดเหล้าในป่าแอมะซอน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่เป็นเรื่องจริงของพ่อเขาเอง เพื่อให้หนังสมบูรณ์ เขาเลยเอาพ่อมาเล่นเป็นตัวเองในหนังเรื่องนี้ แล้วสารคดีเรื่องนี้เป็นเหมือนเบื้องหลัง ซึ่งเรียกว่างั้นก็ไม่ถูก เพราะมันเป็นสารคดีว่าด้วยการที่คนทำหนังเอาพ่อขี้เหล้าที่ห่างเหินกัน มาเล่นหนังที่เป็นเรื่องของพ่อเอง

ตัวสารคดีนั้นสุดขีดมาก เพราะดูเหมือนพ่อของผู้กำกับจะควบคุมตัวเองแทบไม่ได้ ลูกชายห่างเหินจากเขาเพราะย้ายไปแคนาดาตั้งแต่อายุ 15 แต่เป็นคนเดียวในกองถ่ายที่รับมือพ่อตัวเองที่เมาแล้วด่ากราดคนทั้งกองได้ ผู้กำกับใจเย็นมากๆ คอยดูแลทุกคนในกอง โดยเฉพาะพ่อที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ทันทีที่เหล้าเข้าปาก

เราไม่อาจฟันธงว่านี่คือพ่อกับลูกคืนดีกันผ่านการทำหนัง หรือจริงๆ มันคือการล้างแค้นพ่อที่ทำลายชีวิตตัวเอง มีฉากหนึ่งเขาดูฟุตเตจตัวเองถ่ายพ่อตอนเป็นบ้า ซึ่งเป็นฉากที่หนักหนามาก เพราะต้องถ่ายพ่อ (ในหนัง) โทร.ไปหาลูกชาย (ซึ่งคือเขา) แล้วไม่สามารถจะคุยกันรู้เรื่อง ในฉากนี้เขาซ้อมบทโดยเอาเสียงที่พ่อโทร.มาจริงๆ ให้พ่อฟัง แล้วให้พ่อเล่นตามสบาย แล้วพ่อก็เหมือนถูกโบยตีด้วยความทรงจำจริงๆ กับสิ่งที่บทบังคับให้ทำ แล้วก็หลุดไปต่อหน้ากล้อง พอเขานั่งดูฉากนี้กับผู้ช่วย ผู้ช่วยก็ถามว่า นายไม่คิดเหรอว่าหนังเสร็จแล้วพ่อจะเกลียดนาย นายทำให้พ่อดูแย่มากๆ แล้วเขาก็ตอบว่า มันเรื่องของเขา แล้วผู้กำกับก็ก้ำกึ่งว่าจะรู้สึกยังไง เพราะมันออกมายอดเยี่ยมมาก แต่มันก็ทำลายพ่อตัวเองในฐานะพ่อด้วย

หนังไปสุดทางจนถึงการถ่ายฉากจบ เขาสามารถคุมพ่อไปตลอดรอดฝั่งได้ แต่หนังยอดเยี่ยมมากๆ ที่ไม่ยอมให้คำตอบว่าสุดท้ายความสัมพันธ์ของเขากับพ่อเป็นอย่างไร


Becoming Animal (2018, Emma Davie & Peter Mettler)

พูดอย่างง่ายและสั้นที่สุด Becoming Animal คือสารคดีบันทึกภาพธรรมชาติที่สวยจับใจ (และอาจถือเป็นหนังที่ถ่ายภาพป่าไร้แสงยามค่ำคืนได้งดงามที่สุดเรื่องหนึ่ง) แต่นอกจากแมกไม้สิงสาราสัตว์ หนังเรื่องนี้คือผลลัพธ์สามประสานสุดท้าทายของ Emma Davie คนทำหนังชาวสก็อตติชที่ทำงานข้ามศาสตร์, Peter Mettler คนทำหนังชาวสวิส-แคนาเดียนยุคโตรอนโตนิวเวฟที่ทำลายขีดจำกัดของภาพยนตร์ (โดยเฉพาะสารคดี) อยู่ต่อเนื่องจนปัจจุบัน และ David Abram นักปรัชญาสิ่งแวดล้อมชาวอเมริกันผู้ทรงอิทธิพล

หนังเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่สารคดีอนุรักษ์ที่เน้นข้อเท็จจริงชวนช็อคกระแทกใจหรือปรุงอาหารตาด้วยทัศนียภาพ (แล้วหวังให้เรารักโลกขึ้นสักหน่อยเมื่อดูจบ) แต่หนังใช้ศักยภาพของเทคนิคด้านภาพและเสียงที่ละเอียดลึกซึ้ง พาเรากลับไปมองธรรมชาติด้วยอีกวิธีคิดหนึ่ง ด้วยสายตาและความรู้สึกที่กลับเข้าใกล้ผัสสะและการรับรู้อย่างสัตว์ ก่อนที่ “คน” จะกลายเป็น “มนุษย์” และเปลี่ยนโลกให้เป็นโลกของมนุษย์แบบที่เราคุ้นชินกันอยู่นี้

คำสำคัญจากแนวคิดของ Abram ที่สองผู้กำกับพยายามขับเคี่ยวให้เห็นเป็นภาพคือ animism – คำที่เราอาจนึกถึงภาพทำนองภูตผีวิญญาณ สัจนิยมมหัศจรรย์ หรือความผูกพันนับถือธรรมชาติอย่างชนพื้นเมือง ในแวบแรกที่ได้อ่าน – หนังอธิบายและเชื้อเชิญให้เรามองเห็นจิตวิญญาณ ไม่ใช่เพื่อเคารพบูชาหรือเป็นอุปมาเปรียบเปรยถึงสิ่งซึ่งยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์ แต่เพื่อกลับสู่ภาษาและการสื่อสารที่สะท้อนกันไปมาระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ไม่ได้มีเพียงมนุษย์ที่เคยอ่านภาษาของธรรมชาติ สรรพสัตว์พันธุ์พืชก็อ่านภาษาของมนุษย์ได้ไม่ต่างกัน

ฉากที่แสดงแนวคิดนี้ได้ทรงพลังที่สุดกลับไม่ใช่ภาพป่าเขา แต่คือเมื่อกล้องจ้องเข้าไปในป้ายโฆษณาหน้าปั๊มน้ำมันที่มีตัวหนังสือกะพริบวูบวาบ ซ้อนเข้ากับเสียงของ Abram ที่เสนอแนวคิดว่า การเรียนรู้ตัวอักษรของมนุษย์นี้เองคือ animism ในรูปแบบที่เข้มข้นที่สุด เพราะสัญลักษณ์ขีดเขียนที่ไร้ชีวิตเหล่านี้ “พูด” กับมนุษย์อย่างแจ่มแจ้ง แบบเดียวกับเมื่อครั้งที่ก้อนหินหรือแมงมุมเคยพูดกับมนุษย์ในระบบภาษาของธรรมชาติ (เมื่อครั้งที่มนุษย์ยังไม่พัฒนาถึงขั้นภาษาเขียน) – ภาษาเขียนและเทคโนโลยี (ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อรองรับโลกของมนุษย์) ได้เปลี่ยนการรับรู้ของคนที่มีต่อโลกรอบตัวไปอย่างสิ้นเชิง วิญญาณและการสื่อสารของมนุษย์ได้ขาดออกจากธรรมชาติ และเมื่อป้ายนั้นพูดกับคนดู นั่นคือข้อพิสูจน์

เราในปัจจุบันอาจไม่เข้าใจการสื่อสารในเสียงร้องของกวางเอลค์ยามค่ำคืน ภาษาของริ้วคลื่นควันไอเหนือน้ำพุร้อน ต้นไม้ใบหญ้าในอุทยานแห่งชาติเขียวชอุ่ม แต่หนังได้พยายามอย่างถึงที่สุด และทำได้อย่างยอดเยี่ยม ในการพาเรากลับเข้าสู่สภาวะนั้น เราอาจรับสารหรือแปลความไม่ได้ แต่สัมผัสได้ว่ามีการสื่อสารเกิดขึ้นจริง


Traverser หรือ After the Crossing (2020, Joël Akafou)

ในห้วงเวลาที่โลกเผชิญกับการลี้ภัยย้ายถิ่นฐานอันเข้มข้น การดิ้นรนที่ส่งทอดข้ามรุ่นของชาวแอฟริกันก็ยังคงดำเนินต่อไปเหมือนไม่มีวันจบสิ้น คนทำหนังรุ่นใหม่ชาวไอวอริโคสต์ Joël Akafou เคยบันทึกภาพวัยรุ่นแก๊งหลอกเงินฝรั่งในเน็ตไว้ด้วย Vivre Riche (2017) สามปีต่อมา เขาถือกล้องตามติดชีวิตของ Inza Touré หรือ “จูเนียร์” ชายหนุ่มเพื่อนร่วมชาติที่ตัดสินใจไปตายดาบหน้า แต่ตอนนี้กลับเคว้งอยู่กลางทางมาแล้วหลายเดือน (Traverser เวิลด์พรีเมียร์ในสาย Forum ที่เบอร์ลินเมื่อช่วงต้นปี ก่อนมาเข้าสายประกวดที่เทศกาลนี้)

จูเนียร์แหกเคอร์ฟิวแคมป์ผู้ลี้ภัยในอิตาลี (ซึ่งอนุญาตให้ออกนอกค่ายได้เป็นครั้งๆ แบบมีกรอบเวลาจำกัด) เตรียมลอบข้ามแดนเข้าฝรั่งเศสกับเพื่อน ปัญหาใหญ่ที่จูเนียร์ประสบพบเจอไม่ใช่ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือถูกฝรั่งเจ้าถิ่นเหยียดหยามเชื้อชาติสีผิว แต่คือนิสัยเสือผู้หญิงที่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันติดขัดค้างคา

เจ้าตัวเริ่มลังเลเพราะพัวพันกับสาวแอฟริกันลูกติดที่มีห้องให้ซุกหัวนอน แต่สาวอีกคนที่ฝรั่งเศสก็เคยช่วยจ่ายค่าไถ่ให้กองโจรอาหรับในลิเบียตั้งหลายหน จูเนียร์ถึงมีชีวิตรอดมาลงเรือข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาถึงอิตาลีได้ และความแน่นอนเรื่องเอกสารที่จะช่วยเรื่องทำมาหากินก็อยู่ที่เธอ พอแผนข้ามแดนยังไม่สำเร็จจนต้องประวิงเวลาไปอีกหลายเดือน ไอ้หนุ่มก็ดันมีหญิงใหม่เป็นป้าฝรั่งอายุห้าสิบกว่า คราวนี้ความลับแตกพินาศจนหลักประกันที่เคยมีก็เริ่มคลอนแคลน

กล้องถ่ายทั้งหมดที่ว่ามาแบบนิ่งสนิท ไม่ขยายดราม่า (ต่อให้หนังจะมีฉากจูเนียร์โทร.คุยกับครอบครัวที่อยู่ไอวอริโคสต์แล้วร้องห่มร้องไห้ หรือถูกสาวแอฟริกันชี้หน้าด่าหลังรู้เรื่องหญิงอื่น แล้วหลังไมค์ไปสาปป้าแบบพร้อมตบ) ไม่เล่าให้ลุ้นระทึก (การข้ามแดนคือแค่แอบในห้องน้ำรถไฟ ถูกจับได้ก็มีอาสาฯ โบสถ์คริสต์พาไปกินข้าวห่มผ้ารอส่งตัวกลับ) แทบไม่ทำอะไรเพิ่มให้เรื่องราวนอกจากบันทึกภาพที่เห็นตรงหน้า ตรงไปตรงมาจนอาจเรียกว่าทื่อไปเสียหน่อยด้วยซ้ำ

น่าสนใจที่สายตาของหนังไม่ได้พยายามจัดประเภทจูเนียร์ให้เข้าพวกคำอธิบายสำเร็จรูปสำหรับผู้อพยพต่างชาติ (เป็นเหยื่อน่าสงสาร เป็นคนบกพร่องบิดเบี้ยวด้วยบริบทสังคมที่เราควรเข้าอกเข้าใจ หรือเป็นชีวิตเปี่ยมสีสันดราม่าน่าติดตาม) แต่มองเขาเป็นชีวิตจริงๆ ไม่โรแมนติไซส์ด้วยสถานะ ซื่อสัตย์พอจะโฟกัสลักษณะที่ถือเป็นข้อด้อย และไม่ทำให้เขากลายเป็นภาพแทนผู้อพยพทั้งหมดทั้งมวล แต่หนังคงจะยอดเยี่ยมขึ้นมาก ถ้ามีสายตาที่เห็นชีวิตได้ลึกกว่าที่เป็นอยู่

1 คนเล่น | 1 โลเคชั่น | ทีมงานเกิน 5 คน

ชาวโปรดักชั่นตื่นเต้นกันทั้งวงการเมื่อ ศบค. แนะแนวทางการปฏิบัติของกองถ่ายเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ว่าไม่ควรมีทีมงานเกิน 5 คน… บางคนบอกทำหนังที่มีตัวละครเล่นคนเดียว อยู่ในสถานที่เดียว น่าจะพอไหว

แต่ในความเป็นจริง หนังเหล่านี้ก็เรียกร้องกำลังจากทีมงานไม่น้อยเลยเช่นกัน เรามาลองดูตัวอย่างของหนังที่เหมือนจะถ่ายกันเอง เล่นกันเอง แต่ความจริงมีทีมงานวิ่งกันวุ่นอยู่หลังกล้องกับหนัง 3 เรื่องนี้


BURIED (โรดริโก กอร์เตซ, 2010)

ไรอัน เรย์โนลด์ส รับบทคนขับรถบรรทุกในอิรัก ที่ตื่นขึ้นมาในโลงขนาดพอดีตัว มีไฟแช็คกับโทรศัพท์มือถือแบทเหลือ 3 ขีด ให้เป็นตัวช่วยหาทางเอาตัวรอดจากอากาศที่กำลังจะหมด หนังทั้งเรื่องเล่าอยู่ในโลงแค่นั้น และมีเรย์โนลด์สเล่นอยู่คนเดียว มันกลายเป็นกรณีศึกษาให้กับหนังที่พยายามลดต้นทุนแล้วใช้ไอเดียให้มากที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงหนังใช้เงินไป 3 ล้านเหรียญฯ ซึ่งก็ไม่น้อยอย่างที่คิด งบส่วนใหญ่นอกจากค่าตัวนักแสดงแล้วก็ไปอยู่กับการสร้างโลงมา 7 แบบเพื่อการถ่ายทำและการเคลื่อนกล้องที่ต่างกัน ดังนั้นหลังกล้องทีมกล้องกับทีมโปรดักชั่นวิ่งกันวุ่นเลยจ้า


ALL IS LOST (เจซี แชนดอร์, 2013)

หนังเรื่องเดียวในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ที่มีนักแสดงคนเดียว (โรเบิร์ต เรดฟอร์ด) ผู้กำกับและเขียนบทคนเดียว แต่มีโปรดิวเซอร์ถึง 11 คน หนังเรื่องนี้มีบทแค่ประมาณ 30 หน้า ไดอะล็อกก็ไม่มี ชื่อตัวละครก็ไม่มี แต่ทะเยอทะยานสุดขีด ว่าด้วยชายแก่ที่ฝ่าพายุบนเรือเพียงลำพังกลางทะเล หนังถ่ายทำที่สตูดิโอบาจา (ที่เดียวกับ Titanic) โดยใช้เรือถึงสามลำ เอาไว้ถ่ายภายนอก, ภายใน, และทำลาย เพราะฉะนั้นแค่ทีมงานที่ต้องควบคุมกระแสน้ำจำลอง และทีมงานที่ดูแลเรือทั้งสามลำก็มหาศาลแล้ว


LOCKE (สตีเวน ไนท์, 2013)

หนังเรื่องนี้อาจพอเป็นแนวทางสำหรับกองถ่ายที่ต้องรักษาระยะห่างต่อกันได้ ทอม ฮาร์ดี้ รับบท อิวาน ล็อก เขาอยู่หลังพวงมาลัยรถหรูคอยรับสายจากคนใกล้ตัวพร้อมปัญหาที่ถาโถมใส่เขาตลอดทั้งคืน หนังใช้เวลาถ่ายทำแค่ 6 คืนเท่านั้น พร้อมด้วยนักแสดงชื่อดังหลายคนอย่าง ทอม ฮอลแลนด์, โอลิเวีย โคลแมน และ รูธ วิลสัน ทุกคนออกกองหมดแต่มาแค่เสียง พวกเขาสนทนาปั่นประสาทฮาร์ดี้จากห้องพักส่วนตัวในโรงแรมที่อยู่ไม่ไกล บนรถมีเพียงฮาร์ดี้และกล้องสามตัวเท่านั้น

#คั่นกู เพราะเราคู่กัน : ถ้าหวงมาก ก็ถือให้ ‘พอดี’ …เมื่อ ‘บลู ฮาวาย’ มีความหมายในซีรีส์วาย

“หวงมากอะ ทำไมไม่ถือให้ดีๆ วะ”

ฟ่ง เพื่อนรักเอ่ยปากกับ ไทน์ หนุ่มหน้าใสสุดชิคที่ถูกกลุ่มนักศึกษาหญิงวิ่งชน จนทำให้เครื่องดื่มสีฟ้าสดใสในมือของเขาหล่นกระจายเต็มพื้น ไทน์ครุ่นคิด ก้มลงมองแก้วบุบบี้ที่เขาเก็บคืนมาด้วยความเสียดาย ก่อนหันไปทางชายหนุ่มหน้าตาดีที่เขาเริ่มมีใจให้มากขึ้นทุกวันอย่าง สารวัตร ผู้เป็นห่วงไทน์-ที่เพิ่งฟื้นจากการเป็นลมขณะเต้นลีดฯ เชียร์ฟุตบอล-มากถึงขนาดตามมาเฝ้าดูอาการในโรงพยาบาล แม้เจ้าตัวจะบาดเจ็บจากการแข่งฟุตบอลแมตช์เดียวกันจนต้องใส่เฝือกที่ขาก็ตาม

— นี่คือฉากหนึ่งของซีรีส์ ‘เพราะเราคู่กัน’ -ซึ่งมีชื่อเล่นเป็นแฮชแท็กติดเทรนด์ในโลกออนไลน์ว่า ‘คั่นกู’- ที่ GMMTV ดัดแปลงมาจากนิยายวายขายดีของ JittiRain และโด่งดังถล่มทลายข้ามประเทศในช่วงหลายเดือนมานี้ โดยฉากดังกล่าวถือเป็นดราม่าเล็กๆ ที่ช่วยเสริมแรงให้ผู้ชมรู้สึก ‘อิน’ กับซีรีส์เรื่องนี้ยิ่งขึ้นไปอีก หลังจากที่สองหนุ่มตัวละครเอกของพวกเขาได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันบ่อยเข้า จนมาถึงจุดที่อาจเรียกได้ว่าคือ ‘ความรัก’

และมันก็ยังเป็นฉากที่ทำให้เครื่องดื่มที่ไทน์ทำหกอย่าง ‘บลู ฮาวาย’ ดูจะมี ‘ความหมาย’ ต่อเรื่องเล่าในจอ-รวมถึงกระแสตอบรับนอกจอ-อย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย


1

หากมองจากองค์รวม ‘คั่นกู’ คือซีรีส์วาย (Y ที่ย่อมาจาก Yaoi ในภาษาญี่ปุ่น แปลได้คร่าวๆ ว่า Boy’s Love หรือ ‘เรื่องรักชาย-ชาย’) แบบหมดจด นับตั้งแต่พล็อตเรื่อง ตัวละคร ไปยันวิธีการนำเสนอ โดยเล่าถึงสัมพันธ์รักที่ค่อยๆ ก่อร่างขึ้นระหว่าง ไทน์ กับ สารวัตร (รับบทโดย วิน – เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร และ ไบร์ท – วชิรวิชญ์ ชีวอารี ตามลำดับ) สองหนุ่มนักศึกษาปีหนึ่งที่ฝ่ายแรกพยายามหนีเอาตัวรอดจากการตามตื๊อของเพื่อนเกย์ร่วมรุ่น จนต้องไหว้วานให้ฝ่ายหลังมาช่วย ‘แกล้งจีบเขา’ เพื่อเป็นไม้กันหมา ซึ่งด้วยภารกิจรักปลอมๆ นี้เองก็ทำให้ไทน์เริ่มรู้จัก ‘หัวใจ’ ตัวเองมากขึ้นทีละนิด

เนื้อหาดังกล่าวถูกนำเสนอผ่านลีลาการตัดต่อที่ฉึบฉับว่องไว, เพลงประกอบแสนติดหูจากวง Scrubb ที่ช่วยส่งเสริมบรรยากาศ และตัวบทดัดแปลงที่มุ่ง ‘ขยี้’ ความรู้สึกของผู้ชมในแต่ละฉาก โดยเฉพาะ ‘โมเมนต์’ ทั้งหลายที่ไทน์กับสารวัตรต้องเข้าคู่กันเพื่อเรียกความ ‘ฟิน’ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นมุกตลกโปกฮา หรือการถ่ายทอดความขัดแย้งในระดับพ่อแง่แม่งอนน่ารักน่าชัง ไปจนถึงระดับดราม่าน้ำตาไหล ซึ่งไปด้วยกันได้ดีกับวิธีการโปรโมตในหลากหลายช่องทางสื่อ ทั้งรูปและคลิปบางส่วนจากซีรีส์ที่ผู้สร้างเตรียมไว้แชร์เพื่อช่วยขยี้โมเมนต์เหล่านั้นอย่างถูกที่ถูกเวลา รวมถึงการร่วมด้วยช่วยกันของบรรดานักแสดงและทีมงานที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมหาศาลในโซเชียลมีเดีย ซึ่งทั้งหมดนั้นสามารถช่วยจุดกระแสซีรีส์ให้ลุกติดพึ่บพั่บอย่างร้อนแรงได้ในทุกสัปดาห์ – เราจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ‘คั่นกู’ คือผลงานที่ถูกต้องตรงตามหลักไวยากรณ์ของซีรีส์วายบ้านเราในแทบจะทุกมิติ

ทว่าภายใต้ความบันเทิงที่ดูเหมือนจะเบาสมองและเน้นหนักแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ นี้ ผู้สร้างก็ยังพยายามที่จะสอดแทรก ‘สาระ’ บางอย่างมาให้ผู้ชมอยู่เป็นระยะด้วย เช่นเดียวกับสิ่งที่ ฟ่ง (ข้าวตัง – ธนวัฒน์ รัตนกิจไพศาล) ฝากไว้ให้ไทน์ได้คิดในฉากข้างต้น

“มึงก็เลือกเอาละกัน ถ้าไม่อยากเสียใจทีหลังอะ ก็รักษามันไว้ดีๆ ดิ ตอนที่ยังมีโอกาสอยู่ หรือว่าจะปล่อยมันตกลงไปแล้วเก็บขึ้นมาใหม่ …แต่มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนะเว้ย”

คำพูดนี้ของฟ่งถือเป็นการส่งสารที่ทั้ง ‘แทงใจ’ และ ‘แทนใจ’ ผู้ชมซีรีส์ได้ค่อนข้างดี เมื่อภาพของ ‘คนที่ไทน์ชอบ’ อย่างสารวัตรผู้บาดเจ็บจนต้องเข้าเฝือก ถูกซ้อนทับให้กลายเป็นภาพเดียวกับ ‘เครื่องดื่มที่ไทน์ชอบ’ ซึ่งถูกทำหกไปจนเกือบหมดแก้ว

มัน ‘แทงใจ’ ผู้ชม เพราะเป็นความจริงของชีวิตที่พวกเขา-ซึ่งอาจเคยมีประสบการณ์รักที่ไม่สมหวังมาก่อน-สามารถรู้สึกเชื่อมโยงด้วยได้ และมันก็ ‘แทนใจ’ ผู้ชม เพราะเป็นความคิดที่พวกเขาอยากบอกเตือนให้ตัวละครอย่างไทน์ได้รับรู้ ก่อนที่ความลังเลในการตอบรับรักสารวัตรของเขาจะทำให้ทุกอย่างสายเกินแก้

เครื่องดื่มแก้วนั้นจึงมี ‘ความหมาย’ บนหน้าจอซีรีส์วายมากกว่าที่เคย


2

แม้จะไม่ได้เกี่ยวพันกับการตลาดของซีรีส์ ‘คั่นกู’ จนต้องถูกขายพ่วงอย่างเด่นชัดเหมือนบรรดาเครื่องดื่มมียี่ห้อชนิดอื่นๆ ทว่าเครื่องดื่มที่ดูจะมีบทบาทโดดเด่นไม่แพ้กัน ก็คือ ‘บลู ฮาวาย’ (Blue Hawaii) ที่ตัวละครไทน์ชอบดื่มเป็นชีวิตจิตใจ

โดยทั่วไป เราอาจรู้จักบลู ฮาวายในฐานะของค็อคเทลชนิดหนึ่งที่ถือกำเนิดบนเกาะฮาวายในยุค 50 และสามารถมีส่วนผสมได้หลากหลาย ทั้งเหล้ารัม วอดก้า น้ำเชื่อม น้ำมะนาว หรือแม้แต่น้ำผลไม้รสเปรี้ยวอย่างสับปะรด โดยมี ‘พระเอก’ ประจำสูตรเป็น Blue Curaçao หรือเหล้าหวานที่มี ‘สีฟ้า’ ดุจน้ำทะเลเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งหากลองพิจารณาจากภาพจำที่ปรากฏในหนังหรือซีรีส์ บลู ฮาวายก็น่าจะถือเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ ‘ขึ้นกล้อง’ จนมักถูกนำมาใช้ประกอบฉากอยู่เสมอ ทั้งเป็นของมึนเมาเจ้าประจำในฉากผับบาร์หรือปาร์ตี้ริมหาดที่ต้องการสีสัน หรือแม้แต่เป็นน้ำหวานผสมโซดาของตัวละครวัยใสในฉากสถานศึกษาหรือห้างสรรพสินค้า

ด้วยเหตุนี้ ‘ความสดชื่นรื่นเริง’ จึงเป็นความหมายที่มักจะถูกจับคู่กับบลู ฮาวายอยู่ร่ำไป ซึ่งก็ช่างเข้ากันดีเหลือเกินกับรอยยิ้มและบุคลิกอันสดใสของไทน์ที่สารวัตรประทับใจ

เครื่องดื่มสีฟ้าชนิดนี้ไม่เพียงปรากฏอยู่ในฉากที่ฟ่งร่ายคำคมกินใจใส่หูไทน์เท่านั้น แต่ผู้ชมยังได้เห็นมันอีกหลายครั้งระหว่างที่เรื่องราวดำเนินไป ไม่ว่าจะเป็นหลายฉากก่อนหน้าที่แสดงให้เห็นว่าไทน์ชอบดื่มบลู ฮาวายเป็นปกติ, ฉากที่สารวัตรพยายามเอาใจไทน์ด้วยการแอบซื้อบลู ฮาวายมาให้  หรือฉากที่ช่วยสร้างปมขัดแย้งให้กับทั้งคู่ในช่วงท้ายๆ เมื่อไทน์ได้เห็นบลู ฮาวายในมือของหญิงสาวผู้เป็นรักแรกสมัยมัธยมของสารวัตร และรู้สึกขุ่นข้องหมองใจว่าสารวัตรอาจเห็นเขาเป็นเพียง ‘ตัวแทน’ ของผู้หญิงคนนั้นที่ดันชอบเครื่องดื่มชนิดเดียวกันกับเขา เป็นต้น

บลู ฮาวายจึงถูกซีรีส์เรื่องนี้นำมาใช้เป็น ‘เครื่องมือในการเล่าเรื่อง’ ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย มากกว่าจะเป็นเพียงแค่ ‘เครื่องดื่มประกอบฉาก’ ที่ไร้ความหมายใดๆ

และแม้ว่าการใช้เครื่องดื่มของตัวละครเพื่อเล่าเรื่องในฉากนี้จะถูกถ่ายทอดด้วยท่าทีที่ ‘ตรงไปตรงมา’ จนอาจดูทื่อมะลื่อเกินไปสำหรับผู้ชมบางกลุ่ม แต่ด้วยความจริงใจใสซื่อของสารที่ถูกสื่อออกมานั้น ก็ทำให้มันยังคงเป็นฉากน่าประทับใจสำหรับผู้ชมอีกบางกลุ่ม

…ผู้ชมที่รัก ‘นักแสดงของพวกเขา’ มากพอๆ กับที่ไทน์รักสารวัตร-เจ้าความรักของเขาที่เปรียบได้กับบลู ฮาวายแก้วนั้น


3

วิน เมธวิน คือนักแสดงหนุ่มยิ้มสดใสที่มีรัศมีของ ‘ความสดชื่นรื่นเริง’ ไม่ต่างไปจากเครื่องดื่มสีฟ้าในมือของตัวละครไทน์ที่เขาตั้งใจถ่ายทอด

เขา-รวมถึง ไบร์ท วชิรวิชญ์ นักแสดงนำร่วมจอผู้รับบทสารวัตร-คือหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ซีรีส์ ‘คั่นกู’ ประสบความสำเร็จ เพราะนอกเหนือจากความแม่นยำในไวยากรณ์ของซีรีส์วายดังที่กล่าวไปแล้ว ทั้งรูปลักษณ์ชวนมองและการแสดงอันโดดเด่นของ ‘ไบร์ท-วิน’ ก็มีส่วนช่วยสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมได้อย่างอยู่หมัด ซึ่งทำให้นักแสดงหน้าใหม่อย่างวินกลายมาเป็นที่รู้จักในวงกว้างไม่แพ้ ‘คู่’ ของเขาอย่างไบร์ทที่เคยมีผลงานการแสดงมาบ้างแล้ว – พิสูจน์ได้จากยอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมของเขาที่พุ่งสู่หลักล้านภายในระยะเวลาอันสั้น และการที่ชื่อของเขาติดเทรนด์แฮชแท็กยอดนิยมในทวิตเตอร์ไม่เว้นแต่ละวัน

เมื่อตัวนักแสดงโด่งดังถึงเพียงนี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คำวิพากษ์วิจารณ์จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะในกรณีของวินที่เคยถูกแฟนนิยายต้นฉบับตั้งแง่ว่า ‘ไม่เหมาะสมกับบทนี้’ มาตั้งแต่ตอนปล่อยทีเซอร์ตัวทดลองเมื่อปลายปีก่อน เพราะตัวละครไทน์ในนิยายเป็นคนสูงโปร่ง ขณะที่วินในตอนนั้นมีรูปร่างหนากว่ามาก ซึ่งวินก็ได้พิสูจน์ตัวเองผ่านการลดน้ำหนักลงถึง 10 กิโลกรัมก่อนการถ่ายทำจริง และการพยายามศึกษานิสัยใจคอของตัวละครนี้จนทำให้เขากลายเป็นไทน์ที่ดู ‘ตัวเล็กน่ารัก’ ได้ในทุกครั้งที่ต้องเข้าฉากประกบคู่กับไบรท์ จนผู้ชมหลายคนเทใจให้หมดหน้าตัก

อย่างไรก็ดี แม้การแสดงของวินจะมีพัฒนาการที่น่าชื่นชมมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกเอพิโซด แต่คำวิจารณ์เชิงลบของผู้ชมบางส่วนก็ยังคงโผล่มาให้เห็นอยู่บ้างเป็นระยะ โดยส่วนใหญ่โฟกัสไปยัง ‘ความไม่เป็นธรรมชาติทางการแสดง’ ที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่ในบางฉากบางตอน ซึ่งคำวิจารณ์เหล่านี้เองที่ทำให้ผู้ชมอีกบางส่วน-ที่รักวิน-ออกอาการ ‘รับไม่ได้’ และออกมาตอบโต้กันอยู่เนืองๆ ในโลกโซเชียลฯ

เป็นเรื่องน่าปลาบปลื้มใจที่ผู้ชมเหล่านี้พร้อมจะออกมาปกป้องนักแสดงที่ตนรักอย่างสุดใจ และหวังให้เขาได้พบเจอแต่สิ่งดีงาม ทว่าในอีกมุมหนึ่ง มันก็อาจกลายเป็นเรื่อง ‘น่าเสียดาย’ ได้เหมือนกัน เมื่อการปกป้องนั้นเลยเถิดไปจนถึงขั้นปฏิเสธทุกคำวิจารณ์ที่เป็นด้านลบ และโจมตีคนที่เห็นต่างอย่างเผ็ดร้อนด้วยความไม่พอใจ-ไม่เห็นด้วย เพราะหลายครั้ง คำวิจารณ์เชิงลบเหล่านั้นก็เป็นการ ‘ติเพื่อก่อ’ ที่อาจนำประโยชน์มาสู่ตัวนักแสดงเองในการทำงานครั้งต่อๆ ไป

การปกป้องนักแสดงอย่างไม่ลืมหูลืมตาของผู้ชมทุกวันนี้ จึงดูคล้ายกับการถือแก้วบลู ฮาวายอย่างไม่ระวังของตัวละครไทน์ในฉากนั้น

ผู้ชมอย่างเราอาจกำลัง ‘ถือ’ ความรักที่มีต่อนักแสดงคนโปรดอย่างไม่ระวัง ถือมันเอาไว้ ‘แน่นเกินไป’ จนลืมเปิดโอกาสให้ ‘นักแสดงที่เรารัก’ ได้หัดรับฟังคำวิจารณ์ที่หลากหลาย ได้รู้จักพัฒนาตัวเอง และได้เติบโตอย่างมีภูมิคุ้มกันในแบบที่ ‘นักแสดงคุณภาพ’ สักคนควรจะเป็น

จะดีกว่าไหม หากเราลอง ‘ถือ’ ความรักนั้นเอาไว้ให้ ‘พอดี’ กว่าที่เป็นอยู่

ไม่หลวมเกินไปจนสิ่งนั้นหลุดมือหล่นร่วงแหลกลาญไป-เหมือนกับบลู ฮาวายของโปรดที่ไทน์ไม่ทันระวังรักษา และ ก็ไม่แน่นเกินไปจนสิ่งนั้นถูกบีบให้แบนบี้อยู่แค่ใต้ฝ่ามืออันเล็กแคบ-เหมือนกับนักแสดงที่ถูกผู้ชมอย่างเรา ‘ทำร้าย’ โดยไม่รู้ตัวด้วยการเฝ้าปกป้องจนไม่มีพื้นที่ให้เขาได้เติบโตด้วยตัวเอง

อย่าปล่อยให้ความรักที่เรามีต่อใครสักคนต้องกลายเป็นเรื่อง ‘น่าเสียดาย’ เหมือนกับบลู ฮาวายแก้วนั้นที่ไทน์เผลอทำตกพื้นเลย – นั่นคงเป็นสิ่งที่ฟ่งพยายามบอกกับเพื่อนรักของเขาและผู้ชมอย่างเราไปพร้อมกัน

Business Update : อัพเดทสถานการณ์โรงหนัง และความเศร้าของคานส์

กลับมาอีกครั้งกับ Business Update นะครับ สำหรับอาทิตย์ที่ผ่านมา สถานการณ์โรคโควิดในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย เช่นเดียวกับกิจกรรมทางด้านธุรกิจภาพยนตร์ที่เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง พอจะสรุปความเคลื่อนไหวได้ดังนี้

โรงหนังในจีนได้ฤกษ์กลับมาให้บริการ

หลังจากถูกสั่งปิดมาตั้งแต่เดือนมกราคม และมีโอกาสเปิดให้บริการแบบสั้น ๆ ก่อนถูกสั่งปิดอีกครั้งในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเดือนเมษายน ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่โรงหนังในประเทศจีนจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเสียที โดยทางการจีนได้ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (8 พ.ค.) ว่าจะอนุญาตให้โรงเปิด หากปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดอย่างเคร่งครัด อันได้แก่

1. จำกัดจำนวนผู้ชม
2. ลดความแออัดของฝูงชนด้วยการจัดระบบนัดจอง
3. จัดให้มีระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ
4. กำหนดระยะห่างทางสังคม

แม้จนถึงขณะนี้รัฐยังไม่ได้กำหนดวันเปิดโรงหนังที่ขัดเจน แต่ประชาชนที่ได้ยินข่าวดีนี้กว่า 340 ล้านคนได้โพสต์ข้อความยินดี พร้อมกับติดแฮชแท็กว่า “โรงหนังจะกลับมาเปิดอีกครั้ง” (Cinemas Are Going to Reopen) เรียบร้อยแล้ว

อนึ่ง จีนเป็นหนึ่งในหลาย ๆ ประเทศที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากโรคโควิด 19 โดยเมื่อปีที่แล้ว รายได้รวมบ็อกซ์ออฟฟิศของจีนคือ 9.2 พันล้านเหรียญ แต่มาปีนี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่ารายได้จะหดตัวลงกว่า 50% เหลือ 4.2 พันล้านเหรียญเท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้าจะเกิดวิกฤต อุตสาหกรรมหนังจีนได้รับการคาดหมายว่าจะโตแซงอุตสาหกรรมหนังอเมริกันภายในไม่เกินปี 2022

อ้างอิง :


เมื่อโรงหนังตามขนบต้องปรับตัวตามกระแสออนไลน์

หลังจากเกิดวิกฤตโรคโควิดระบาดไปทั่วโลก โรงหนังหลายแห่งพบว่าศัตรูสำคัญ นอกจากเชื้อโรคที่บีบให้ผู้ประกอบการต้องปิดตัวลงชั่วคราวแล้ว ก็คือ ระบบการฉายหนังแบบออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นแบบ pay per view ที่ผู้ชมต้องจ่ายค่าบริการก่อนชม หรือระบบ streaming แบบบอกรับสมาชิกที่ทำให้ผู้ชมเลือกดูหนังได้ตามที่ต้องการ

ผู้ประกอบการโรงหนังหลายแห่งเลือกแก้ปัญหาด้วยการบีบเจ้าของหนังให้เลิกคิดจะจัดจำหน่ายหนังทางออนไลน์ ด้วยการแบนไม่รับฉายหนังของค่ายเหล่านั้น (เช่น โรงเครือ AMC ประกาศจะไม่ฉายหนังของค่าย Universal หลังจากทางค่ายตัดสินใจฉายหนังแอนิเมชั่นเรื่อง Troll World Tour ผ่านช่องทาง premium VOD เมื่อเมษายนที่ผ่านมา) อย่างไรก็ตาม มีผู้ประกอบการโรงหนังอยู่รายหนึ่งคิดต่างออกไป โดยมองว่า แทนที่จะคิดว่าการจัดจำหน่ายออนไลน์เป็นภัยคุกคามของโรง ก็รับเอาแนวทางออนไลน์มาปรับใช้กับระบบการฉายไปซะเลยดีกว่า

ผู้ประกอบการที่ว่าคือ โรงหนังเครือ Alamo Drafthouse Cinema ซึ่งมีโรงในเครือจำนวน 41 โรงทั่วประเทศ

“แน่นอน เราต้องการเห็นผู้คนดูหนังในโรง แต่เราก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า ไม่ใช่ทุกคนจะมีเวลามาดูหนังที่อยากดูได้ตลอดเวลา” ทิม ลีก ผู้ก่อตั้งโรงกล่าวไว้ ด้วยเหตุนี้ Alamo Drafthouse Cinema จึงสร้างแพล็ตฟอร์มการฉายหนังออนไลน์ขึ้นมาเรียกว่า “Alamo on Demand” เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เลือกเช่าหรือซื้อหนังที่เคยผ่านการฉายในโรงไปแล้ว โดยหนังดัง ๆ ก็เช่น Knives Out, Parasite, Call Me By Your Name, RBG, Portrait of a Lady on Fire

สำหรับผู้ที่สนใจ (ต้องอาศัยอยู่ในอเมริกาเท่านั้น) เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ https://drafthouse.com

อ้างอิง : https://www.fastcompany.com/90502116/alamo-drafthouse-cinema-pivots-to-streaming-with-alamo-on-demand


เมื่อผู้จัดเทศกาลหนังเมืองคานส์เปิดอกถึงความเป็นไปได้ที่ปีนี้อาจไม่มีคานส์

เมื่อเร็ว ๆ นี้ Screen Daily นิตยสารออนไลน์ที่รายงานความเคลื่อนไหวแวดวงธุรกิจภาพยนตร์ ได้สัมภาษณ์ เธียรี เฟรโมซ์ ในหลายประเด็น ตั้งแต่ความรู้สึกที่เทศกาลที่ตนเองรักต้องถูกยกเลิก, การประกาศรายชื่อหนังที่ได้รับคัดเลือกให้ฉายในเทศกาลปีนี้, เสียงตำหนิว่าเทศกาลไม่มีความชัดเจนเรื่องการจัดงาน รวมถึงความคิดเห็นต่ออนาคตของภาพยนตร์

สำหรับความรู้สึกที่คานส์ปีนี้ต้องถูกงดจัด เฟรโมซ์เผยว่าเขาเศร้าใจมาก แม้เขาเคยกล่าวว่าจะหาทางเลือกอื่น แต่ดูเหมือนจากคำสัมภาษณ์ล่าสุด เเฟรโมซ์น่าจะทำใจแล้วว่าโอกาสจัดเทศกาลเมืองคานส์นปีนี้รางเลือนจนแทบมองไม่เห็น “เทศกาลเมืองคานส์ในฐานะที่เป็นสถาบันของโลก ก็เหมือนกับกิจกรรมทางสังคมอื่น ๆ ที่ไม่สามารถรอดพ้นการตกเป็นเหยื่อจากวิกฤตการณ์นี้ได้” เขาบอก

ส่วนคำถามที่ว่า เทศกาลยังคงคัดเลือกหนังเพื่อประกาศอย่างเป็นทางการหรือไม่ เฟรโมซ์กล่าวว่ากระบวนการยังดำเนินอยู่ และจะประกาศรายชื่อหนังที่ได้รับการคัดเลือกช่วงต้นเดือนมิถุนายน แต่เขายังไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะฉายอย่างไร เพียงยืนยันว่าหนังเหล่านี้จะไม่ถูกนำไปฉายในเทศกาลปีหน้า (2021) แน่นอน (ยกเว้น สไปค์ ลี ที่ได้รับเลือกเป็นกรรมการในปีนี้ อาจถูกเชิญไปเป็นกรรมการในปีหน้าต่อ)

ส่วนคำตำหนิที่เฟรโมซ์และทีมงานได้รับจากการที่ไม่แสดงความชัดเจนว่าจะทำอย่างไรกับเทศกาลช่วงโควิดระบาดในฝรั่งเศส เขาบอกว่าความจริงเขามีจุดยืนชัดเจนตลอดว่าเทศกาลต้องจัดเมื่อไหร่ แต่คำสั่งของรัฐบาลที่ห้ามจัดกิจกรรมชุมนุมต่างหาก ที่ทำให้ต้องเลื่อนเทศกาลออกไป และปิดท้ายด้วยคำถามที่ว่าเขามองอุตสาหกรรมหนังหลังจากวิกฤตคลี่คลายลงแล้วอย่างไร เฟรโมซ์ตอบอย่างเชื่อมันว่า มันต้องฟื้นตัวอีกครั้งอย่างแน่นอน โดยเขายกประโยคที่ ฌอง ปอล ซาร์ต เขียนในหนังสือ The Words ไว้ว่า “นับตั้งแต่ภาพยนตร์ถูกคิดค้นขึ้นมา ไม่มีใครสามารถอยู่ได้โดยปราศจากมัน”

อ่านบทสัมภาษณ์ เธียรี เฟรโมซ์ เพิ่มเติมได้ ที่นี่

เตรียมตัวคัลต์แบบ 4K กับ Flash Gordon ฉบับบูรณะสุดอลัง!

เราตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ข่าวว่าหนังเก่าได้รับการบูรณะทั้งภาพและเสียงระดับ 4K นั่นหมายความว่าหนังที่หายสาบสูญจากความทรงจำไปแล้วกำลังจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง แต่พอเป็น Flash Gordon หนังโคตรคัลต์ปี 1980 ของผกก. ไมค์ ฮ็อดเจส และโปรดิวเซอร์ ดิโน เดอ ลอเรนติส พร้อมแพคเกจอลังการที่พ่วงมาด้วยกันแล้ว เรายิ่งใจสั่น

Flash Gordon ดัดแปลงจากการ์ตูนชื่อเดียวกันที่ตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 1934 โดยมันคัลต์มาตั้งแต่ต้นฉบับแล้ว ที่ว่าด้วยนักฟุลบอลกับนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง จับพลัดจับผลูไปอยู่ดาวมองโก เพื่อต่อสู้กับเอเลี่ยนเผด็จการ ความเล่นใหญ่ของมันสร้างเนิร์ดมาหนึ่งคนผู้เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล นั่นคือ จอร์จ ลูคัส เขาเป็นแฟน Flash Gordon มาก และทำทุกทางเพื่อเคลมสิทธิทำหนังมาจากเดอ ลอเรนติส แต่พอไม่สำเร็จเขาก็เลยไปทำ Star Wars ซะเลย

โปสเตอร์ฉบับครบรอบ 40 ปี ออกแบบโดย Matt Ferguson

นอกจากลูคัสแล้ว Flash Gordon ยังผลิตบุคลากรอย่าง เอ็ดการ์ ไรท์ และการมะรุมมะตุ้มกันแย่งรีเมคทั้งจาก แม็ทธิว วอห์น และ ไทก้า ไวติติ ซึ่งแน่นอนว่าความจัดจ้านของมันก็หลงเหลือหลักฐานตามผลงานของคนทำหนังที่ว่ามานี้ทั้งหมด เอาจริงมันเป็นหนังทุนสูงเรื่องหนึ่งที่ตอนเข้าฉายในอเมริกามันทำเงินไปไม่เท่าไหร่ แต่ดันประสบความสำเร็จนอกอเมริกาถล่มทลายอย่างอังกฤษและอิตาลี ก่อนที่ความบ้าของมันจะสร้างแฟนอย่างต่อเนื่อง

เพียงแค่ Flash Gordon บูรณะเป็น 4K ก็แทบกรี๊ดแล้ว เพราะคุณภาพของภาพเสียงยังจัดจ้านราวกับหนังเกรดบีที่เพิ่งทำเสร็จก่อนโควิดไม่นาน มันยังมาพร้อมของแถมและฟีเจอร์ “ต้องมี” ที่ทำเอาเงินในบัญชีระริกระรี้จะหนีจากเราไปให้ได้ โดยเฉพาะแพ็คใหญ่สุด มันประกอบด้วยอะไรบ้าง ไปดูกัน…

– อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ โดยวง Queen (!)
– สารคดีปี 2017 เรื่อง Life After Flash
– Booklet 32 หน้า
– มินิบุคฉบับพิเศษ The Story of Flash Gordon
– การ์ตูน Flash Gordon ฉบับออริจินัล ตีพิมพ์ใหม่
– โปสเตอร์ออริจินัล ฉบับตีพิมพ์ใหม่
– อาร์ตการ์ดของโปสเตอร์หลากหลายเวอร์ชั่น

เบื้องต้นสำหรับผู้ที่ไม่เคยรู้จักความเฮี้ยนของ Flash Gordon ขอเชิญคลิกดูเทรลเลอร์ฉบับรีมาสเตอร์นี้

(4K UHD, Blu-ray และ DVD ฉบับรีมาสเตอร์จะวางขายในอังกฤษซัมเมอร์นี้)

‘ประธานาธิบดี’ สู่ ‘คนทำหนัง’ …บทบาทใหม่ของโอบามา

Higher Ground Production คือบริษัททำหนังที่กำลังน่าจับตา เพราะเพียงแค่สามเรื่องที่ผลิตออกมา มันคว้าออสการ์ได้หนึ่งเรื่อง และเป็นที่รักของผู้ชมทุกเรื่อง โดยผู้ก่อตั้งบริษัทก็คือ บารัก และ มิเชลล์ โอบามา อดีตประธานาธิบดีและสตรีหมายเลขหนึ่งของอเมริกานั่นเอง

หนังสามเรื่องที่อยู่ภายใต้การผลิตของ Higher Ground Production ประกอบด้วย American Factory เจ้าของออสการ์สารคดียอดเยี่ยมปีล่าสุด ว่าด้วยความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรมในโรงงานผลิตกระจกของจีนในอเมริกา, Becoming สารคดีที่บันทึกการเดินทางโปรโมทหนังสือของ มิเชลล์ โอบามา ผลลัพธ์คือหนังที่แสดงพลังความเป็นมนุษย์ และ Crip Camp สารคดีที่พาย้อนไปสัมผัสบรรยากาศอันครื้นเครงของค่ายฤดูร้อนผู้พิการในยุค 70 อันเป็นเชื้อเพลิงนำไปสู่การขับเคลื่อนกฎหมายผู้พิการในเวลาต่อมา ซึ่งหนังคว้ารางวัล Audience Awards จากเทศกาลหนังซันแดนซ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา (ทั้งสามเรื่องดูได้ใน Netflix) และที่ช่วยยืนยันว่าโอบามาไม่ได้เข้าสังเวียนนี้มาเล่นๆ คือเขามีโปรเจกต์รอไว้แล้ว 7 เรื่อง หนึ่งในนั้นคือหนังดราม่าผู้ลี้ภัย Exit West ของ มอร์เทน ทิลดัม ผกก. The Imitation Game

Crip Camp กำกับโดย นิโคล นิวแนห์ม และ จิม เลอเบรกท์ ซึ่งรายหลังคือหนึ่งในซับเจ็คต์หนัง ผลผลิตแห่งเสรีภาพของผู้พิการจากค่ายฤดูร้อนเจเนดที่หนังรวบรวมฟุตเตจเมื่อราวห้าสิบปีที่แล้วมาได้ ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมงานกันมานาน นิวแนห์มในฐานะคนนอกรู้สึกทึ่งกับฟุตเตจดังกล่าวที่ไม่เคยมีสื่อไหนนำเสนอผู้พิการในมุมนี้มาก่อน กล่าวคือมันถ่ายโดยผู้พิการด้วยกันในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ผู้พิการ สถานที่แห่งนี้มันจึงไม่มีความพิการมาเป็นอุปสรรคต่อการเป็นวัยรุ่นของพวกเขา ขณะที่เลอเบรชท์เข้ามากำกับร่วมเพราะเขาสามารถต่อยอดเรื่องราวให้ไกลไปกว่าเพียงบทบันทึกความทรงจำอันงดงามของผู้พิการ แต่มันส่งผลต่อพลังการขับเคลื่อนสังคมของผู้พิการเอง


เมื่อเป็นเช่นนั้น โอบามาจึงไม่ลังเลที่จะโอบอุ้มโปรเจกต์นี้ให้เกิดขึ้นในที่สุด เพราะมันสอดรับกับนโยบายการทำหนังของเขาเป็นอย่างดี “การสัมผัสกับปัญหาของชาติพันธุ์ ชนชั้น ประชาธิปไตย สิทธิพลเมือง และอื่น ๆ อีกมากมาย มันทำให้เราเชื่อว่าผลงานแต่ละชิ้นจะไม่เพียงแค่ให้ความบันเทิง แต่พลังการเล่าเรื่องจะทำให้สังคมเรียนรู้ไปพร้อมกับเรา”

“การสัมผัสกับปัญหาของชาติพันธุ์ ชนชั้น ประชาธิปไตย สิทธิพลเมือง และอื่น ๆ อีกมากมาย มันทำให้เราเชื่อว่าผลงานแต่ละชิ้นจะไม่เพียงแค่ให้ความบันเทิง แต่พลังการเล่าเรื่องจะทำให้สังคมเรียนรู้ไปพร้อมกับเรา”

ไม่ว่าจะเป็น American Factory ที่แม้จะฉาบหน้าด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมของสองประเทศมหาอำนาจ แต่สุดท้ายแล้วมันก็คือการพยายามเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยคนตัวเล็กๆ ขณะที่ Crip Camp ก็เล่าถึงการโอบกอดกันและกันของกลุ่มคนผู้ถูกลืมจากสังคมจนพวกเขาสามารถลุกขึ้นมาแก้ไขระบบอันไม่ชอบธรรมได้สำเร็จ หรือแม้แต่ Becoming ที่คล้ายจะเป็นสารคดีประชาสัมพันธ์ มิเชลล์ โอบามา แต่สิ่งที่ทำให้มันชนะใจผู้ชมจนกวาดคะแนนถล่มทลายใน Rotten Tomatoes ได้ ก็คือการที่มันแสดงพลังขับเคลื่อนของประชาชนอย่างเท่าเทียม

การทำหนังสำหรับโอบามาจึงคือการทำงานกับประชาชนต่อเนื่องมาจากสถานะประธานาธิบดี เพียงแต่เปลี่ยนเครื่องมือมาเป็น ‘หนัง’ “สิ่งที่ผมทำมาตลอด 20 ปี คือทำงานกับผู้คน การเล่าเรื่องก็เช่นกัน มันต้องเชื่อมโยงเรื่องเล่ากับมนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน” บารักกล่าว “เราทุกคนมีเรื่องส่งผลต่อชีวิตตัวเอง ถ้าคุณมีโอกาสได้พูดคุยกับใครก็ตาม เราจะสามารถเชื่อมโยงกันได้ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่เพียงแค่เปิดใจรับฟังเราก็จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน”


ดูหนังทั้ง 3 เรื่องได้ที่ Netflix : American Factory, Becoming, Crip Camp

Sweet Emma, Dear Böbe

ฮังการีในยุคที่คอมมิวนิสต์ล่มสลายและอิทธิพลของสงครามเย็นกำลังกัดกินไปทั่วยุโรป เอ็มมา (โยฮันนา เตอร์ สเตจ) กับ โบเบ (อีนิคุ บอร์ชซ็อค) หญิงสาวที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเด็กและย้ายมาอยู่ในบูดาเบส เมืองหลวงของฮังการีเพื่อแสวงหาโอกาสอันดีในชีวิตด้วยการเป็นคุณครูสอนภาษารัสเซียให้โรงเรียนมัธยม และต้องเช่าหอพักคับแคบของบรรดาคุณครูอยู่ด้วยกันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

หากแต่การณ์กลับพลิกคว่ำเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ล่มสลาย ภาษารัสเซียไม่ใช่ภาษาที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอีกต่อไป ทั้งเอ็มมาและโบเบถูกสั่งให้ไปเรียนภาษาอังกฤษเพื่อนำมาใช้สอนนักเรียน ท่ามกลางบรรยากาศการถกเถียงอันเคร่งเครียดของเหล่าคุณครูในห้องพักครูที่หวาดหวั่นต่อสังคมแบบเสรีนิยมจะทำให้นักเรียนเหิมเกริมและไม่ฟังผู้ใหญ่ มิหนำซ้ำ เอ็มมายังมีปัญหาชีวิตรักที่ชวนเจ็บปวดเมื่อเธอลอบเป็นชู้กับครูใหญ่ของโรงเรียนที่ไม่อาจตัดใจเลิกกับภรรยาและครอบครัวได้ เธอจึงต้องอยู่โยงเช่นนี้ในสถานะเมียเก็บต่อไป

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซาโบ -ผู้กำกับ- ใช้สงครามและภาวะตึงเครียดทางการเมืองเป็นฉากหลังในหนังของเขา ส่วนใหญ่แล้วเรื่องราวในหนังของเขานั้นเกิดขึ้นคาบเกี่ยวระหว่างสงครามเย็นและการปฏิวัติในปี 1956 ดังที่ปรากฏใน Age of Illusions (1965 -คู่รักที่ยืนกรานจะอยู่ในฮังการีท่ามกลางควันคลุ้งของการปฏิวัติขณะที่คนรอบตัวย้ายออก), Father (1966 -เด็กชายไร้พ่อที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความปั่นป่วนของการเมืองและมีแนวโน้มจะจดจำพ่อตัวเองอย่างผ่องแผ้วเกินจริง) หรือ Confidence (1980 -หญิงสาวที่ถูกส่งไปเป็นเมียปลอมๆ ของหน่วยต่อต้านรัฐบาล แต่เกิดรักกันจริงๆ ขึ้นมา) และใน Sweet Emma, Dear Böbe เองก็เช่นเดียวกัน แม้เส้นเรื่องหลักจะเล่าผ่านสายตาและชะตากรรมของเอ็มมา หญิงสาวหน้าตาสะสวยที่ก็ดูจะมี ‘ทางเลือก’ มากกว่าการเป็นครูต๊อกต๋อยและเป็นเมียน้อยครูใหญ่ แต่มันกลับซุกซ่อนฉากหลังอันรุนแรงที่เอ็มมาหรือก็คือประชาชนชาวฮังการีต้องเผชิญจากการรุกรานของสหภาพโซเวียต ที่รุกคืบเข้ามายึดครองยุโรปตะวันออกหลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลง กินเวลายาวนานก่อนจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้โลกเสรีนิยมอย่างอังกฤษและสหรัฐอเมริกา

เช่นเดียวกับคนหนุ่มสาวในยุคนั้น เอ็มมาและโบเบ รวมถึงคุณครูทุกคนในบูดาเปสต์ เติบโตมาท่ามกลางจักรวรรดิโซเวียตอันเรืองรองในฮังการี พวกเธอเรียนและพูดรัสเซียได้ดีจึงมาเป็นคุณครูสอนภาษา เพื่อจะพบว่าในเช้าวันหนึ่งเมื่อโซเวียตและคอมมิวนิสต์ล่มสลาย นักเรียนของเธอแห่เอาหนังสือเรียนรัสเซียไปเผาทิ้งหน้าโรงเรียนอย่างรื่นเริง ราวเป็นการประกาศการปลดแอกของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ โดยมีสายตาเจ็บปวดของเอ็มมาเป็นฉากหลัง

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ คือบรรยากาศความคุกคามและรุนแรงในหนัง แม้ไม่มีฉากใช้กำลังจนเลือดตกยางออก แต่ตัวละครอย่างเอ็มมากลับต้องเผชิญความรุนแรงอยู่เกือบตลอดเวลา โดยเฉพาะฉากที่เธอโดนชายโรคจิตลวนลามด้วยการใช้มีดจี้และโชว์อวัยวะเพศซึ่งแข็งตัวเต็มที่ (ที่แม้แต่คนดูเองก็ตระหนกอยู่เหมือนกันที่อยู่ดีๆ ก็ได้เห็นจู๋แข็งตัวบนจอแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย) และบังคับให้เธอถอดกางเกงในออก เอ็มมาจึงเข้าไปแจ้งความในโรงพักและพบว่า นายตำรวจมองเธอด้วยสายตาเย็นชาพลางพูดจาแทะโลมสิ่งที่เธอเพิ่งเจอมา ส่วนตัวเข้าใจว่าซาโบน่าจะเทียบเคียงการคุกคามของชายโรคจิตกับการมาเยือนอย่างรุนแรงและเด็ดขาดของสหภาพโซเวียตที่มีต่อฮังการีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และกดดันให้ฮังการีใช้รูปแบบการปกครองเดียวกันกับโซเวียต ก่อนจะกลายมาเป็นชนวนการปฏิวัติในปี 1956 ในท้ายที่สุด

มันกลับซุกซ่อนฉากหลังอันรุนแรงที่เอ็มมาหรือก็คือประชาชนชาวฮังการีต้องเผชิญจากการรุกรานของสหภาพโซเวียต ที่รุกคืบเข้ามายึดครองยุโรปตะวันออกหลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลง กินเวลายาวนานก่อนจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้โลกเสรีนิยมอย่างอังกฤษและสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ดี ทั้งเอ็มมา โบเบและคุณครูสาวคนอื่นๆ ต่างคือเหยื่อของการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น มีอยู่ฉากหนึ่งที่น่าสะเทือนใจมากๆ คือเมื่อตัวละครถามกันถึงเรื่องความฝันและเป้าหมายของชีวิต อันเป็นผลผลิตจากระบอบเสรีนิยมที่ค่อยๆ เยื้องกรายมาจากโลกอเมริกา เหล่าคุณครูสาวกลับตอบได้แบบครึ่งๆ กลางๆ และงุนงงกับคำถามนั้น โดยเฉพาะเอ็มมาที่เสมือนว่าเธอไม่มีฝันไหนไกลเป็นพิเศษแม้ว่าจะถูกมองว่ามีศักยภาพในการจะใช้ชีวิตดีเกินกว่าจะมาเป็นครู เป็นเมียน้อยอยู่ในเมือง ขณะที่โบเบนั้นดิ้นรนจะลองมีชีวิตเสรีตามแบบที่โลกสมัยใหม่บอกเธอ แต่ก็พบว่ามันไม่ง่ายเอาเสียเลย พวกเธอคือส่วนเกินของโลกใบใหม่ เป็นครูสอนภาษารัสเซียที่ไม่เป็นที่ต้องการอีกแล้ว เป็นคุณครูที่นักเรียนก็ไม่ใส่ใจจะฟัง เราจึงเห็นว่าพวกเธอกระตือรือร้นจะเข้ารับการทดสอบเป็นนักแสดงประกอบเข้าฉากเปลือยในหนังเรื่องหนึ่ง และพบว่าคนที่มาเข้ารับการทดสอบล้วนเป็นหญิงสาวที่มาจากสายอาชีพใกล้เคียงกัน ไร้เป้าหมาย ไร้ที่ไป และไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในอนาคต

เหตุนี้เอง ฉากท้ายเรื่องจึงน่าสะเทือนใจอย่างยิ่ง เมื่อเหล่าผู้คนซึ่งยังตกหล่มอยู่ในโลกใบเดิมไม่อาจปรับตัวกับสิ่งที่โลกสมัยใหม่เรียกร้อง -นั่นคือหนทางการใช้อิสรภาพและการรู้จักเจตจำนงเสรีของตัวเอง- จึงนำมาสู่โศกนาฏกรรมดังที่เอ็มมาคร่ำครวญว่า “มันต้องไม่ใช่ทางนี้” แต่ก็น่าตั้งคำถามว่าแล้วพวกเธอเลือกอะไรได้เล่า


หนังคว้ารางวัลหมีเงินจากเทศกาลหนังนานาชาติเบอร์ลิน ดูได้ที่ Vimeo