จากอิสระของ Ema สู่ Reggaeton จิตวิญญาณแห่งความเป็นขบถของละตินอเมริกา

หากใครยังไม่ได้ดูหนังเรื่อง Ema ขอแนะนำว่าให้ไปหาดูก่อน ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะพลาดหนังน้ำดีประจำปีนี้ไปได้

แต่ถ้าใครที่ได้ดูแล้ว จะพบว่าองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของหนังที่เลือกใช้คือเพลงแนว Reggaeton ที่เอม่าใช้เต้นเพื่อปลดปล่อยอารมณ์และทัศนคติของเธอ

ปัจจุบัน Reggaeton เป็นแนวเพลงที่นิยมของมหาชนไม่แพ้ดนตรีแนวฮิปฮอปและ EDM ศิลปินป๊อบสตาร์ระดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Ed Sheeran, Justin Bieber หรือ Madonna ล้วนนำองค์ประกอบของเพลงแนวนี้มาใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่กว่าที่ Reggaeton จะมาเป็นดนตรีที่ครองใจทุกคนได้ขนาดนี้ ก็มีชีวิตอย่างระห่ำและล้มลุกคลุกคลานไม่แพ้ตัวละคร Ema เลยทีเดียว

แต่ถึงแม้จะยังไม่ได้ดูหนัง ก็สามารถอ่านบทความนี้ได้ โดยไม่เสียอรรถรสของหนังแต่อย่างใด

ตัวอย่างภาพยนตร์ Ema (2019, Pablo Larraín)

หากจะหาถึงต้นกำเนิดของแนวเพลง Reggaeton นั้น ต้องย้อนไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ณ ทวีปแอฟริกา กลุ่มคนชาวจาไมกาได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล เป็นแรงงานขุดคลองปานามาเพื่อขยายเส้นทางการเดินเรือ เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศนี้ นอกจากพวกเขาจะหอบร่างกายมาแล้ว พวกเขายังหอบเอาวัฒนธรรมท้องถิ่นของพวกเขามาเผยแพร่คือดนตรีแนวแดนซ์ฮอลล์ (Dancehall) ซึ่งพัฒนามาจากดนตรีเรกเก้ รวมกับการเกิดการผสมผสานกับดนตรีของคนละตินท้องถิ่น ทั้งเมเรงเก้, บอมบา, เพลน่าจากเปอร์โตริโก โซคาจากตรินิแดด ไปจนถึงซัลซา แถมยังลากดนตรีฮิปฮอปจากอเมริกามาด้วย

เพลง Dem bow ของ Shabba Ranks

มาในยุค 1970 ศิลปินในประเทศได้ทำเพลงที่มีเนื้อเพลงเป็นภาษาสเปนในทำนองเพลงเรกเก้ และค่อยๆเปลี่ยนแปลงเป็นการแร็ปในยุค 1980 แต่ยังอยู่ในทำนองเพลงเรกเก้ และ่มาถึงยุค 1990 ที่มีการพัฒนาทำนองจนกลายเป็น Reggaeton ที่มีแบบแผนอย่างแข็งแรงต่อมา จุดเด่นของ Reggaeton คือเสียงจังหวะของกลองที่เป็นเอกลักษณ์อย่างมาก ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “Dembow” มาจากเพลงที่ชื่อเดียวกันของ Shabba Ranks ศิลปินชาวจาไมกาในปี 1991 ที่เมื่อพอได้ยินแล้วจะคุ้นเคยกับจังหวะกลองแบบบีทแบบนี้ทันที จังหวะนี้กลายเป็นต้นแบบที่เพลง Reggaeton แทบทุกเพลงจะใช้โดยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

ช่วงต้นยุค 1990 แนวเพลง Reggaeton เริ่มเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจมากขึ้น จากแนวเพลงที่แปลกใหม่และทำนองที่ร่วมสมัยโดนใจวัยรุ่น หนึ่งในบุคคลที่สำคัญต่อวงการ DJ Negro ผู้ต้องการสถานที่ที่ได้แสดงความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ และสร้างชุมชนของคนที่รักเพลง Reggaeton รวมถึงเสาะหาดีเจแร็ปเปอร์หน้าใหม่ดาวรุ่งขึ้นมา จึงเริ่มเปิดคลับ The Noise ขึ้นในปี 1992 จนสามารถสร้างชื่อกลายเป็นศูนย์กลางของคนรักเพลง Reggaeton ตั้งแต่นั้น กลายเป็นสถานที่ที่โด่งดังและสำคัญที่สุดอีกหนึ่งที่ในหน้าประวัติศาสตร์

ศิลปินละตินที่โด่งดังและขึ้นชื่อเป็นตำนานในปัจจุบัน ล้วนต้องผ่าน The Noise มาแล้วทั้งนั้น ทั้ง Don Chezina, Las Gaunabanas รวมไปถึง Daddy Yankee ที่ไปอาละวาดด้วยการแร็ปในคลับตั้งแต่อายุ 16 ก่อนที่จะโชว์ความอัจฉริยะ จนปัจจุบันเขาได้กลายเป็น “King of Reggaeton” ภายหลัง The Noise ได้รวมตัวกลุ่มดีเจ และแรร็ปเปอร์ที่เล่นอยู่ในคลับ มีอนาคตไกล เปลี่ยนจากคลับกลายเป็นกลุ่มศิลปินที่ทำเพลงเป็น compilation album ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

เพลง Corrupto Oficial ของ Daddy Yankee

สิ่งที่ทำรากฐานของดนตรีแนว Reggaeton ที่ทำให้มันแข็งแรงและแผ่กิ่งก้านสาขาไปไกลทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคือการเป็นเครื่องมือทางการเมืองของประเทศเปอร์โตริโกในช่วงนั้น ในยุคแรกนั้นชะตากรรมของ Reggaeton นั้นไม่ต่างจากวัฒนธรรมฮิปฮอปในอเมริกา (จนถึงขั้นมีการเรียกกันว่าเป็นสแปนิชฮิปฮอป) เพลง Reggaeton นั้นเป็นเพลงที่ถูกเขียนขึ้นมาจากวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชนชั้นแรงงานในเปอร์โตริโก บางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับ “ธุรกิจใต้ดิน” เนื้อหาของเพลงสะท้อนกับชีวิตที่วนเวียนอยู่กับอาชญากรรม เรื่องเพศ ความรุนแรง ยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย การใช้ความรุนแรงเกินความจำเป็นโดยตำรวจ จนทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่รัฐเริ่มไม่พอใจ

Pedro Rosselló ผู้ว่าการเปอร์โตริโกในตอนนั้น จึงใช้ไม้แข็งด้วยการออกมาตรการ “mano dura contra el crimen (Iron Fist Against Crime)” เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 1993 – 1999 กวาดล้างกลุ่มชนชั้นแรงงานที่ข้องเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมายและธุรกิจใต้ดินทั้งหลายให้สิ้นซาก และเพลง Reggaeton ก็ติดหนึ่งในธุรกิจที่ควรกำจัดเช่นเดียวกัน

ตามนโยบาย Iron Fist Against Crime ตำรวจในท้องที่สามารถทำการค้นหาสิ่งของที่ผิดกฎหมาย ยึดของเถื่อน จับกุมผู้ต้องสงสัย และสอบสวนผู้ต้องสงสัยที่คิดว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายได้ทันที โดยสามารถเรียกกองกำลังเสริมกรณีที่เกิดเหตุจำเป็น โดยการเรียกทหารพร้อมอาวุธ เฮลิคอปเตอร์ ยานพาหนะของทหาร เพื่อควบคุมชุมชนให้ขาวสะอาดและเป็นการประกาศถึงการไม่ยอมอ่อนข้อให้กับสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ส่งผลเสียให้กับผู้บริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ในย่านนั้น พวกเขาถูกมองว่าเป็นบุคคลอันตรายและกลายเป็นอาชญากร เกิดการใช้กำลังเกินควรโดยเจ้าหน้าที่

กลุ่มศิลปินเริ่มใช้เพลงเป็นเครื่องมือในการต่อต้านอำนาจของรัฐมากขึ้น โดยการบอกเล่าการถูกกดขี่ข่มเหงจากรัฐผ่านเนื้อเพลง

ในส่วนของเพลง Reggaeton นั้น ถูกลากเข้ามามีส่วนร่วมในปี 1995 เมื่อตำรวจได้บุกเข้าร้านขายเทปเพลง โดยทำการยึดซีดีและเทปคาสเซ็ตเพลง Reggaeton นับร้อยแผ่น พร้อมทั้งจับคนขายแผ่นซีดีเนื่องจากสนับสนุนสิ่งที่ทำให้เกิดความรุนแรงและการใช้ยาเสพติดในสังคม แต่นั่นไม่ได้ทำให้วงการเพลงซบเซาลงไป กลับกันกลุ่มศิลปินเริ่มใช้เพลงเป็นเครื่องมือในการต่อต้านอำนาจของรัฐมากขึ้น โดยการบอกเล่าการถูกกดขี่ข่มเหงจากรัฐผ่านเนื้อเพลง สิ่งนี้จึงเป็นการแก้ต่างว่าถึงแม้พวกเขาจะเป็นผู้กระทำผิดที่ทำงานนอกกฎหมายจริง แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่ทำความผิดตามที่ทางการกล่าวอ้างให้เกินจริง

เพลง “Señor Oficial” (Mr. Police Officer) ของ Eddie Dee

ตัวอย่างเช่นเพลง Corrupto Oficial ของราชาเพลง Reggaeton Daddy Yankee ที่เล่าถึงความอยุติธรรมของตำรวจที่สามารถยัดข้อหาเพียงเพราะเขาอยู่ในชุมชนนั้น จนคนที่อยู่ในนั้นไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ เพราะไม่รู้ว่าจะโดนจับและโดนยัดวันไหน หรืออย่างเพลงของ Eddie Dee ที่ชื่อ “Señor Oficial” (Mr. Police Officer) ที่ระเบิดความอัดอั้นที่เขาเหมือนถูกตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐจับผิดตลอดเวลา เพียงแค่เขาอยู่ในชุมชนแห่งนี้เท่านั้นหรือ หรืออย่างในเพลง Censor Me ที่เขาเริ่มเปลี่ยนจากความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นความโกรธเกรี้ยวและท้าทายรัฐที่คอยห้ามคนอย่างพวกเขา ด้วยการบอกว่า เซ็นเซอร์กูเลย! เซ็นเซอร์กูเลยเหมือนเซ็นเซอร์เสียงของเมืองนี้นั่นแหละ! เนื้อหาในหลายๆ เพลงนั้น พวกเขายอมรับว่าตัวเองนั้นทำธุรกิจที่ไม่ดี แต่การกระทำในช่วงนั้น มันทำให้พวกเขากลายเป็นคนเลวที่ไม่มีทางกลับใจได้ เป็นอาชญากรที่สมควรถูกลงโทษไปตลอดชีวิต และไม่มีทางที่จะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนในสังคมธรรมดาได้อีกต่อไป

เพลง Censurarme (Censor Me) ของ Eddie Dee

ถึงแม้ Reggaeton จะถูกควบคุมไม่ให้ออกมาจากแสงสว่าง แต่ก็เหมือนยิ่งห้ามยิ่งยุ เหล่าคนรุ่นใหม่ๆ เริ่มเข้าถึงเพลง Reggaeton มากขึ้น และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้าน กระแสเหล่านี้ทำให้การกีดกันเริ่มซาลง จนกระทั่งเมื่อปี 2002 Reggaeton ตกเป็นเป้าของทางการอีกครั้ง เมื่อวุฒิสมาชิก Velda González เริ่มเห็นว่าสื่อบางชนิดมีเนื้อหาทางเพศที่โจ๋งครึ่ม ท่าเต้นที่ยั่วยวนอารมณ์ทางเพศ และเป็นอันตรายต่อเยาวชน จึงต้องทำการแบนออกจากช่องทางการเผยแพร่ทั่วไป ซึ่งเป้าหมายหลักที่ต้องทำการแบนออกจากสื่อคือเอ็มวีเพลงแนว Reggaeton ที่แพร่หลายในช่วงนั้น แต่ก็ไม่อาจต้านทานความนิยมที่กลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ในประเทศไปได้ ซึ่งอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้กระแสต่อต้านนั้นลดลง คือการที่นักการเมืองท้องถิ่นในยุคนั้นเริ่มใช้เพลง Reggaeton เป็นเครื่องมือในการหาเสียง เพื่อเข้าหาและดึงฐานเสียงที่เป็นวัยรุ่น รวมถึงวุฒิสมาชิก Gonzalez ก็ยังหันมาใช้แผนนี้กับเขาด้วย

นอกจากความคล้ายคลึงกับฮิปฮอปในแง่การเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการต่อสู้ทางการเมืองแล้ว ภาพลักษณ์ของผู้หญิงในเพลงแนว Reggaeton ก็ยังเหมือนกันอย่างไม่มีผิด โดยศิลปินส่วนใหญ่ที่มีชื่อเสียงในแนวเพลงนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาย การมีส่วนร่วมของผู้หญิงนั้นยังคงเป็นได้เพียงแค่การขายเรือนร่างและกระตุ้นเร้าอารมณ์ทางเพศ หรือร้องเป็นคอรัสที่มีเนื้อหาส่อเสียดไปในทางเพศ ซึ่งเป็นการกดขี่อำนาจของผู้หญิง

แต่ในกระแสดนตรีที่มีภาพลักษณ์ของชายเป็นใหญ่ นั้นยังมีการปรากฏตัวของ Ivy Queen ศิลปินหญิงแนว Reggaeton คนแรกที่มีความสามารถในการแร็ปที่ยอดเยี่ยมทัดเทียมกับแร็ปเปอร์ชายจนคนทั่วไปให้การยอมรับ ทำให้เธอได้เข้าไปอยู่ในกลุ่ม The Noise และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก กลายเป็นตำนานอีกหนึ่งหน้าของวงการ จนเธอสามารถใช้เพลงของเธอส่งสาส์นไปถึงผู้หญิงทุกคนให้เห็นคุณค่าและภาคภูมิใจในร่างกายของตัวเอง การเป็นอิสระออกจากกรอบที่อำนาจของเหล่าชายวางไว้ เธอกลายเป็นไอคอนแร็ปเปอร์หญิงรุ่นใหม่ที่กล้าพูดในเรื่องราวของผู้หญิงในแถบละตินอเมริกาในเวลาถัดมา รวมไปถึงแร็ปเปอร์ที่ไปโด่งดังในอเมริกาอย่าง Cardi B อีกด้วย

หลังจากนั้น Reggaeton ยังคงอยู่ในเพลงกระแสหลักเรื่อยมา แต่ยังไม่อยู่ในขั้นยอดนิยมที่ทุกคนบนโลกจะจดจำและให้ความสนใจ จนกระทั่งมาถึงการกำเนิดของเพลง Despacito ของ Luis Fonsi ที่สร้างปรากฏการณ์ความนิยมไปทั่วโลก กลายเป็นเพลงที่เขย่าวงการดนตรีที่ไม่ว่าที่ไหนก็ต้องเปิด ยอดวิวของเพลงนี้ในยูทูปรวมแล้วประมาณ 6 พันล้านวิว (รวมทั้งประเทศไทยเช่นกัน ในช่วงนั้นไปที่ร้านไหนก็ต้องได้ยินเพลงนี้)

ทำให้เพลง Reggaeton กลายเป็นแนวดนตรีที่ยอดนิยมที่ศิลปินทั่วโลกนำมาใส่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของเพลง อย่าง Ed Sheeran ในเพลง Shape of You ที่เมื่อฟังจังหวะแล้วอาจมีความคุ้นเคยอยู่บ้าง หรืออย่าง Justin Beiber ที่มีส่วนร่วมในเพลง Despacito เวอร์ชั่น Remix และหยิบกลิ่นอายจังหวะของเพลงเข้าไปอยู่ในเพลง Sorry ซึ่งผลการตอบรับที่ดีมาก กลายเป็นสิ่งที่การันตีว่า Reggaeton ตอนนี้กำลังครองวงการ และไต่ขึ้นไปเป็นอีกหนึ่งหน้าตาของวัฒนธรรมละตินอเมริกาเลยทีเดียว

เพลง Despacito ของ Luis Fonsi ft. Daddy Yankee

ถึงแม้ Reggaeton จะเป็นเพลงที่ก้าวไกลไปสู่กระแสหลักแล้ว แต่ปัจจุบันก็ยังคงเป็นดนตรีแห่งความขบถอยู่เสมอ เมื่อปีที่แล้วชาวเปอร์โตริโกนับแสนคนเข้าร่วมการประท้วงเพื่อขับไล่ Ricardo Rosselló ผู้นำประเทศในตอนนั้น เรื่องการมีคอร์รัปชั่น การเหยียดเพศ โฮโมโฟเบีย ความไร้ความสามารถในการบริหารประเทศ และไม่ให้เกียรติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เฮอร์ริเคนมาเรียอีกด้วย (ถ้าคุ้นๆนามสกุล เขาคือลูกชายของ Pedro Rosselló ที่กวาดล้างชนชั้นแรงงานคนนั้นแหละ) มีผู้เข้าร่วมการประท้วงนับห้าแสนคน ซึ่งถือว่าเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศที่เคยมีมา

การประท้วงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง 12 วัน ศิลปินนักร้องในประเทศก็เข้าร่วมการประท้วงในครั้งนี้ด้วย ทั้ง Daddy Yankee, Ricky Martin, Bad Bunny และอีกมากมาย แถมเพลง Reggaeton ก็ถูกนำมาใช้ร้องเพื่อสร้างสีสันในการประท้วงเช่นกัน ด้วยการแปลงเพลงจากเพลงดังในอดีต ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการขับไล่ Ricardo จากตำแหน่ง รวมไปถึงการเต้นแบบ Perreo ซึ่งเป็นท่าเต้นที่มาพร้อมกับเพลง Reggaeton ที่ถึงแม้อาจจะมองแล้วเหมือนการเต้นแบบยั่วอารมณ์ทางเพศ แต่นี่เป็นท่าเต้นที่ให้ผู้หญิง และชาว LGBTQ+ สามารถนำเต้นได้ ถือเป็นการท้าทายต่อตัวเหล่าผู้นำที่เป็นโฮโมโฟเบีย

เพลง Te Boté

และเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของชาวเปอร์โตริโกครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อ Ricardo Rosselló ได้ประกาศว่าตัวเองลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการเปอร์โตริโกอย่างเป็นทางการ ผู้ประท้วงต่างร้องรำทำเพลงเพื่อฉลองชัยชนะ พวกเขาต่างกู่ร้องด้วยเพลง “Te Boté” (I Dumped You) ซึ่งจริงๆแล้ว เป็นเพลงที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการบอกเลิกของคู่รัก แต่ในที่นี้ พวกเขาร้องเพื่อบอกว่า พวกเราประชาชนเป็นคนที่ทิ้ง Rosselló ออกไปจากชีวิตของพวกเขา เพื่อจะได้พบกับอนาคตของประเทศที่ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่

ในฉากหนึ่งของหนัง Gaston ผู้เป็นสามีและนักออกแบบท่าเต้น บอกกับ Ema ตัวละครหลักและภรรยาของเขาว่า Reggaeton เป็นเพียงแค่ทำนองน่าเบื่อ มีแต่จังหวะเดิมวนเวียนไปซ้ำมาไม่รู้จบ มันไม่มีอิสระ ทำให้คนที่เต้นกลายเป็นเพียงแค่วัตถุทางเพศ มันอาจเป็นสิ่งที่แย่ของ Gaston ผู้ที่ศึกษาและมากับการเต้นแบบร่วมสมัย เขาศึกษาการเต้นเป็นศิลปะขั้นสูง มีความภาคภูมิใจอยู่ในการออกแบบท่าเต้นเหล่านั้น ซึ่งการเต้นเพลง Reggaeton นั้นทำให้ตัวเธอถอยห่างจากตัวเขา ลงไปอยู่กับกลุ่มคนที่ขบถ ดูควบคุมไม่ได้ มันอาจทำให้อำนาจของเขาอาจถูกสั่นคลอน เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเธอให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้น นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

หนึ่งในเพลงประกอบหนัง Ema

แต่นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ Ema ต้องการก็เป็นได้ คือการเต้นแบบอิสระ ไร้การกำหนดทิศทาง ปล่อยใจไปกับทำนองของเพลง เป็นโลกที่เธอสามารถกำหนดการเต้นได้เป็นตัวของตัวเอง Reggaeton กำเนิดมาจากความติดดินที่เป็นอิสระเท่านั้นเอง

RELATED ARTICLES