The Last Dance …การเริงระบำครั้งสุดท้ายของทีมบาสเกตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของศตวรรษ

(2020, Jason Hehir)

ไม่เกินเลยนักหากเราจะบอกว่า ท่ามกลางสารคดีสำรวจโลกกีฬา The Last Dance -ที่ว่าด้วยความรุ่งเรืองและแตกดับของทีมบาสเกตบอล ชิคาโก บูลล์ส ช่วงยุค 90- น่าจะติดอันดับหนึ่งในสารคดีที่งดงามในฐานะที่สำรวจเส้นทางความสำเร็จอันเดือดดาลของบูลล์ส เท่าๆ กับที่มันอื้อฉาวเมื่อกระชากให้เห็นความดำมืด ความทะเยอทะยานและบาดแผลของนักกีฬาผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าแห่งโลกบาสเกตบอลอย่าง ไมเคิล จอร์แดน ถึงขั้นที่ว่า ภายหลังจากสารคดีฉายจบทั้งสิบเอพิโซด อดีตผู้จัดการจนถึงเพื่อนร่วมทีม ทั้งที่อยู่และไม่อยู่ในสารคดี ออกมาสาปแช่งทั้งตัวผู้กำกับและซับเจ็กต์ในหนังฐานพูดจาเลอะเทอะ บิดเบือนอดีต

นั่นก็อาจเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันต่อไปบนฐานข้อเท็จจริง แต่ที่ปฏิเสธได้ยากคือ The Last Dance ทำหน้าที่เป็นสารคดีอย่างทรงพลังและงดงาม ภายใต้การกำกับอันแสนทุ่มเทของ เจสัน แฮห์ร คนทำหนังสารคดีที่แจ้งเกิดจาก 30 for 30 ว่าด้วยช่องกีฬาชื่อดังอย่าง ESPN และสังเวียนการต่อสู้ของลีกต่างๆ

The Last Dance มินิซีรีส์ความยาวสิบตอนจบที่ออกฉายทางช่อง ESPN จับจ้องไปยังห้วงเวลาอันสุกปลั่งของบูลล์ส ภายใต้การนำทัพของไมเคิล จอร์แดน นักกีฬาผู้ได้ชื่อว่าเก่งกาจและทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลกบาสเกตบอลตลอดกาล และเหล่าเพื่อนร่วมทีมกับโค้ชที่ได้ชื่อว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ ที่สุดแห่งยุคสมัย จนเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่ส่งให้บูลล์สคว้าแชมป์ได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1991 -ภายหลังจากจอร์แดนเข้ามาร่วมทีมได้เจ็ดปี- ตัดสลับไปยังเส้นเรื่องดราม่าฉาวโฉ่ระหว่างนักกีฬากับผู้จัดการ นักกีฬากับแฟนๆ ตลอดจนนักกีฬากับนักกีฬาด้วยกันเอง 

ไมเคิล จอร์แดน (ซ้าย) กับผู้กำกับ เจสัน แฮห์ร (ขวา)

ทั้งหมดนี้ กลไกสำคัญอย่างหนึ่งที่ส่งให้ The Last Dance เป็นหนึ่งในสารคดีที่ประสบความสำเร็จในการเก็บเกี่ยวช่วงเวลาทองได้มากที่สุด คือการที่ทีมงานจาก ESPN ได้สิทธิ์ถือบัตรทองในการตามถ่ายสมาชิกทีมบูลล์สในยุค 90 ตลอดจนการฝึกซ้อมและการลงแข่งทุกนัดแบบริงไซด์ ซึ่งแม้ด้านหนึ่งจะทำให้พวกเขาได้ข้อมูลลึกลับที่เก็บดองเตรียมมาทำเป็นสารคดีนานกว่ายี่สิบปี แต่อีกด้านหนึ่ง มันคือฟุตเตจจำนวนมหาศาลที่เฮห์รต้องคัดเลือกมาเล่าให้ได้เฉลี่ยตอนละหกสิบนาที โดยให้ครบเส้นเรื่องและไม่เถลไถลออกนอกโครงที่วางไว้แต่แรก

แฮห์รพบว่า สิ่งที่รอให้เขาสะสางคือฟุตเตจความยาว 500 กว่าชั่วโมง อันเกิดจากการตามถ่ายไมเคิล จอร์แดนและชาวบูลล์สช่วงปี 1997 แบบใกล้ชิดสุดขีด และเพื่อจะได้ไม่ให้มันกลายเป็นสารคดีที่ยืดเยื้อ ฟุ้งถึงความยิ่งใหญ่ของจอร์แดนและชิคาโก้ บูลล์ส แฮห์รจึงต้องร่างเส้นเรื่องที่เขาอยากเล่าขึ้นมาจากการไล่ทำความรู้จักซับเจ็กต์แต่ละคนที่ทั้งอยู่และไม่ได้อยู่ในเรื่อง โดยเฉพาะหัวใจสำคัญอย่างจอร์แดน “เขาเล่าว่า เขาไม่เคยจินตนาการเห็นตัวเองในสภาพที่ไม่อยู่ในจุดรุ่งเรืองที่สุดได้เลย” แฮห์รเล่า และนั่นจึงเป็นใจกลางของ The Last Dance ที่ประกอบด้วยความทะเยอทะยานอันไร้ขีดจำกัดของนักกีฬา ความดำมืด ความบ้าระห่ำมุทะลุและความอารีอารอบที่เราได้เห็นในสารคดี ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากว่าแฮห์รไม่เข้าใจและไม่รู้จักซับเจ็กต์ได้ละเอียดมากพอ

ใจกลางของ The Last Dance ประกอบด้วยความทะเยอทะยานอันไร้ขีดจำกัดของนักกีฬา ความดำมืด ความบ้าระห่ำมุทะลุและความอารีอารอบ ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากว่าหนังไม่เข้าใจและไม่รู้จักซับเจ็กต์ละเอียดมากพอ

สารคดีเปิดด้วยการแนะนำสมาชิกทีมบูลล์สยุครุ่งเรืองสุดขีดในปี 1997 -อันเป็นปีสุดท้ายที่พวกเขาคว้าแชมป์มาได้ก่อนแตกสลายจากการเป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในลีก- ไมเคิล จอร์แดน ชายผู้เป็นเสมือนแม่ทัพของทีม, สก็อตตี พิพเพน ‘พระรอง’ ที่เป็นเสมือนหนึ่งลมใต้ปีกของจอร์แดน และ เดนนิส ร็อดแมน ราชารีบาวด์จอมมุทะลุผู้ให้ความเคารพจอร์แดนยิ่งกว่าใคร โดยท่ามกลางความสำเร็จอันเรืองรองนี้ ตัวละครหนึ่งที่หลายคนไม่ค่อยรู้จักคือ  เจอร์รี เคราส์ ผู้จัดการทีมร่างเล็กที่ฉลาดเป็นกรดและมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพาทีมให้มาถึงจุดสูงสุดนี้ได้ แต่ในทางกลับกัน เคราส์คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้บูลล์สชุดแข็งแกร่งที่สุดชุดนี้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเขาตั้งมั่นจะโยกย้ายผู้เล่นให้ไปอยู่ในทีมอื่นเพื่อเพิ่มมูลค่า นำมาสู่จุดแตกหักทั้งจากภายในทีมและระหว่างตัวเขากับนักกีฬาเอง

ส่วนตัวคิดว่าสิ่งหนึ่งที่แฮห์รและทีมงานทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ คือ การดึงเอาห้วงอารมณ์เปราะบางที่เราไม่ค่อยได้เห็นนัก ทั้งจากจอร์แดน, พิพเพน หรือแม้แต่โค้ชอย่าง ฟิล แจ็คสัน เองก็ตามออกมาได้ทรงพลังเหลือเกิน เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือการที่แม้แต่ละคนจะเล่าไปแตะประเด็นส่วนตัวอันอ่อนไหว (ครอบครัวที่ต้องกัดฟันดิ้นรนของพิพเพน หรือพ่อผู้จากไปของจอร์แดน) แต่หนังเลือกให้คนดูเห็นช่วงเวลาที่อารมณ์ของซับเจ็กต์สั่นคลอนมากที่สุดเมื่อพวกเขาเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาต้องแลกมากับความรุ่งโรจน์และความสำเร็จใจอดีต ชัดเจนที่สุดคือเมื่อจอร์แดนในปัจจุบัน -วัย 57 ปี- เล่าถึงความเอาเป็นเอาตายของเขาในช่วงยุค 90 อันเป็นช่วงเวลาทองของเขา ภายใต้ชื่อเสียงและชัยชนะ เขายอมรับว่าเขาแลกกับมันไปมหาศาล ไม่ใช่แค่การฝึกซ้อมอย่างบ้าระห่ำ แต่มันหมายรวมถึงมิตรภาพและความบาดหมางระหว่างตัวเขาเองกับลูกทีม นำมาสู่เสียงหยาดน้ำตาที่เห็นได้ชัดว่าเขากลั้นมันไว้อย่างเต็มที่ก่อนจะเอ่ยปาก “ขอพัก” ซึ่งทีมงานตัดมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหนังได้อย่างทรงพลัง

คู่ขนานกันกับอารมณ์กันอ่อนไหว (ซึ่งไม่ค่อยปรากฏให้เห็นได้บ่อยๆ นักในนักกีฬาอาชีพ) คือด้านความแสบสันต์และดำมืดในแวดวงบาสเกตบอล ทั้งที่เป็นที่รู้กันอยู่แล้วและเป็น ‘ข่าวลือ’ ซุบซิบในหน้าหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะ ไอเซย์ โธมัส นักกีฬาไม้เบื่อไม้เมาของจอร์แดนที่ว่ากันว่า ถูกกีดกันไม่ให้ลงเล่นในนามทีมชาติโอลิมปิกเพราะไม่ถูกกับจอร์แดน นำมาสู่บทสัมภาษณ์อันเผ็ดร้อนของทั้งสองฝั่งเมื่อพวกเขาหวนรำลึกสู่อดีต

หนังไม่มีท่าทีประนีประนอมกับภาพลักษณ์ที่นักกีฬาแต่ละคนสั่งสมมานัก โดยเฉพาะกับจอร์แดนซึ่งเป็นเสมือนใจกลางบทสัมภาษณ์ ก่อนนี้โลกรู้จักเขาในนามนักกีฬาน้ำดีฝีมือเก่งกาจ และ The Last Dance อาจเป็นการฉีกภาพลักษณ์นั้น

หนังไม่มีท่าทีประนีประนอมกับภาพลักษณ์ที่นักกีฬาแต่ละคนสั่งสมมานัก โดยเฉพาะกับจอร์แดนซึ่งเป็นเสมือนใจกลางบทสัมภาษณ์ ก่อนนี้โลกรู้จักเขาในนามนักกีฬาน้ำดีฝีมือเก่งกาจ และ The Last Dance อาจเป็นการฉีกภาพลักษณ์นั้นเป็นครั้งแรกๆ ด้วยการเผยให้เห็นด้านมืดของความทะเยอทะยาน ความอยากเอาชนะจนข้ามขีดจำกัด เรื่อยไปจนถึงการยั่วเย้า กลั่นแกล้งคนในทีม ทั้งการล้อเลียนส่วนสูงของผู้จัดการที่เหม็นหน้ากันมาอย่างยาวนาน, การฉีกหน้าเพื่อนนักกีฬาจากยุโรปเพียงเพื่อจะทำให้เห็นว่าตนมีดีกว่า ตลอดจนความแค้นเคืองอันเกิดจากการคิดเล็กคิดน้อย (แน่นอนว่าหากมองผ่านสายตาคนนอก) จนไม่แปลกใจนักที่จอร์แดนจะเกริ่นไว้ตั้งแต่ก่อนสารคดีออกฉายว่า “หากคุณดูสารคดีเรื่องนี้จบแล้ว คุณอาจจะเกลียดผมไปเลยก็ได้”

ท้ายที่สุด ชิคาโก้ บูลล์ส ในฤดูกาล 1997 คือทีมที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย -ไม่แน่ว่าอาจจะดีเยี่ยมมากที่สุดเท่าที่เคยมีการก่อตั้งทีมบาสเกตบอลขึ้นมา- แต่สิ่งหนึ่งที่สารคดีนี้ทิ้งท้ายไว้ได้อย่างเหมาะเจาะและงดงามคือ ชิคาโก บูลล์ส ยุคนั้นกลายเป็นอดีตไปแล้ว และไม่อาจหวนกลับมาได้อีก ถ้วยแชมป์ปี 1998 คือถ้วยสุดท้ายที่บูลล์สได้ถือครอง นับจากนั้น ไม่ว่าจะพยายามฟอร์มทีมอีกเท่าไหร่ พวกเขาก็ยังไม่อาจหาสมาชิกและโค้ชที่ทรงพลังเท่าครั้งปลายยุค 90 นั้นได้ และมันก็กลายเป็นเพียงเรื่องราวที่เหล่านักกีฬาเกษียณอายุในวันนี้ เล่าถึงมันด้วยแววตารักใคร่ แค้นเคือง หรือแม้แต่โหยหาใน The Last Dance


ชม The Last Dance ได้ที่ Netflix

LATEST REVIEWS