ที่ผ่านมา Netflix ได้พัฒนาโปรเจกต์ร่วมกับนักทำหนัง-ซีรีส์ชาวฝรั่งเศส จนมีผลานยอดนิยมอย่าง Marianne และ Family Business มาแล้ว ทำให้ Netflix ยิ่งมั่นใจว่าปารีสจะเป็นฐานที่มั่นสำคัญในการเชื่อมต่อกับคนทำหนังจำนวนมากไปสู่สมาชิกกว่า 150 ล้านคนทั่วโลกได้อย่างเป็นสากล ซึ่ง La Revolution คือหนึ่งในโปรเจกต์ตั้งต้น และเป็นงานเดบิวต์สู่สายตาชาวโลกของ โอเรแล็ง โมลัส ครีเอเตอร์ผู้มีผลงานเป็นซีรีส์ยอดนิยมในฝรั่งเศส เรื่อง Crime Time และ Red Creek
เมื่อสัปดาห์ก่อนเราเพิ่งรายงานว่า โรงหนังเครือยักษ์ใหญ่ของอังกฤษและสหรัฐอเมริกาถึงขั้นต้องประกาศหยุดกิจการ หลังรู้ข่าวว่าหนังที่โรงฝากความหวังไว้มากที่สุดยามนี้อย่าง No Time to Die (หนังบอนด์ตอนล่าสุด) เลื่อนฉายไปปีหน้า (อ่านได้ที่นี่) …และวันนี้ก็มีข่าวล่าสุดที่สร้างความช็อกซีเนม่าไปทั่วยุโรปมาอีกแล้ว นั่นคือ ดิสนีย์ประกาศจะไม่นำ Soul (แอนิเมชั่นเรื่องใหม่ของค่ายพิกซาร์) เข้าฉายโรง แต่จะพุ่งตรงไปเปิดตัวบนช่องทางสตรีมมิ่ง Disney+ ในวันคริสต์มาสแทน
ข่าวนี้สร้างความไม่พอใจอย่างที่สุดแก่บรรดาโรงหนังในยุโรป ระดับที่สหภาพโรงภาพยนตร์ The International Union of Cinemas (UNIC) ต้องออกแถลงการณ์ว่า “การตัดสินใจครั้งนี้ของฮอลลีวูดสร้างความช็อคและผิดหวังแก่ผู้ประกอบการโรงหนังอย่างยิ่ง”
“When you live in the dark for so long, you begin to love it. And it loves you back, and isn’t that the point? You think, the face turns to the shadows, and just as well. It accepts, it heals, it allows. But it also devours.”
ใน Charlie and the Chocolate Factory เมื่อ วิลลี วองกา เจ้าของโรงงานช็อคโกแลตเปิดอาณาจักรให้เด็กๆ ที่ถูกเลือกได้ตื่นตะลึง เขาใช้โอกาสพิเศษนั้นสั่งสอนเด็กที่ทำตัวไม่น่ารักได้อย่างชวนขนหัวลุก ซึ่งหากแปรเป็นหนังสยองขวัญมันอาจเป็นฝันร้ายของน้องๆ ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งความสนุกเกินเบอร์ที่ว่าอาจถูกต้องแล้วเมื่อเจอกับผู้กำกับสุดพิลึกอย่าง ทิม เบอร์ตัน
ทั้ง Matilda และ Charlie and the Chocolate Factory คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าเด็กในวรรณกรรมของดาห์ลต้องผจญกับความเสียสติของผู้ใหญ่ขนาดไหน เพื่อจะปลุกให้เด็กลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นยานำ้เชื่อมรสหวานที่กล่อมเกลาให้น้องๆ ประพฤติตนอยู่ในร่องในรอยที่ผู้ใหญ่อยากให้เป็น
นั่นคือจุดเริ่มต้นให้ดาห์ลลุกขึ้นมาเขียนวรรณกรรมเด็ก James and the Giant Peach ที่เล่าเรื่องของหนูน้อยผู้หนีจากความโหดร้ายในครอบครัว เข้าไปผจญภัยในลูกพีชยักษ์ จนได้เพื่อนใหม่เป็นเหล่าสรรพสัตว์ใจดี โดยมันถูกนำมาทำเป็นหนังผสมสต็อปโมชั่น ออกฉายในปีเดียวกับ Matilda โดยผู้กำกับ เฮนรี เซลิก ในการควบคุมของ ทิม เบอร์ตัน ชุดเดียวกับที่ทำ The Nightmare Before Christmas นั่นเอง
มีอยู่สองสามเหตุผลว่าทำไม The Devil All the Time (2020) หนังดราม่า-ธริลเลอร์ความยาวสองชั่วโมงกว่าที่เน็ตฟลิกซ์นำมาลงฉายนั้นถูกจับตาจากคนดูหนังมากเป็นพิเศษ ข้อแรกๆ อาจเพราะมันรวมนักแสดงเบอร์ใหญ่เกือบสิบคนไว้ในเรื่องเดียวกัน ข้อถัดมาคือมันดัดแปลงจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันของ โดนัลด์ เรย์ พอลล็อค และข้อสุดท้าย นี่เป็นการหวนกลับมากำกับหนังยาวอีกครั้งในรอบสี่ปีของ อันโตนิโอ แคมโปส ภายหลังจากที่เขาสำรวจจิตใจอันซับซ้อนและเปราะบางของมนุษย์ใน Christine (2016) ก่อนจะหายหน้าหายตาไปกำกับซีรีส์และนั่งแท่นเป็นโปรดิวเซอร์ให้หนังเรื่องอื่นๆ
ที่ผ่านมา งานกำกับของแคมโปสนั้นมักเข้มข้นด้วยการจ้องมองความวิปริตของตัวละครหลักทั้งจาก Buy It Now (2005) ตามติดชีวิตเด็กสาววัย 16 ที่ขาย ‘เปิดบริสุทธิ์’ ของเธอทางอีเบย์โดยไม่มีจุดประสงค์ใดเป็นสำคัญ, Afterschool (2008) หนังยาวเรื่องแรกของแคมโปส แจ้งเกิด เอซรา มิลเลอร์ ในบทเด็กหนุ่มติดอินเทอร์เน็ตที่กลายมาเป็นพยานรู้เห็นการตายของเพื่อนสาวร่วมชั้นเรียน นำไปสู่ความคลั่งแค้นอันไร้ขีดจำกัด, Simon Killer (2012) ชายที่ออกเดินทางไปยังปารีสหลังเลิกกับแฟนจนได้เข้าไปพัวพันกับโสเภณีสาวอันค่อยๆ ทำให้เราได้เห็นเบื้องหลังอันดำมืดของทั้งคู่ และล่าสุดใน Christine ซึ่งดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของ คริสทีน ชับบัค นักข่าวสาวที่ยิงตัวตายออกอากาศเพื่อเสียดสีนโยบายโหยหาเรตติ้งของช่องโทรทัศน์
โดยทั่วไป -ตามประสาคนที่มี มิคาเอล ฮานาเกอ เป็นไอดอลในการทำหนัง- หนังของแคมโปสนั้นมักมีกลิ่นอายความเลือดเย็นและชวนขนลุก เขามักจะหยิบจับองค์ประกอบในหนังมากรีดชำแหละให้มันกลายเป็นเรื่องราวชวนบาดหัวใจ และนั่นเองที่ทำให้ The Devil All the Time น่าจับตาอย่างยิ่ง เพราะมันเต็มไปด้วยส่วนผสมที่จะทำให้เขาหยิบจับมาโหมกระพือให้มันบ้าคลั่งยิ่งกว่าที่ใครจะทำได้ผ่านเรื่องราวของความตาย ศรัทธา ความใคร่และพระเจ้า
ตามตำนานนั้นผีนางครวญมีหลายฉบับ ฉบับหนึ่งที่รู้จักกันคือผีของหญิงสาวที่อดรนทนไม่ได้ที่สามีรักลูกสาวลูกชายมากกว่าตัวเธอ ด้วยความคลั่งเธอจับลูกของตนกดน้ำจนตาย จากนั้นก็ฆ่าตัวตายตามด้วยการเดินลงแม่น้ำ วิญญาณของเธอปฏิเสธการไปสวรรค์จนกว่าจะเจอวิญญาณลูก ขณะเฝ้าวนเวียนหาลูกสาวลูกชายของตน หากเธอพบเด็กเธอจะลักพาไป เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ลูกตนก็จะฆ่าทิ้งเสีย ผีนางครวญเป็นหนึ่งในตำนานที่แพร่หลายในลาตินอเมริกา และเราอาจจะรู้จัก La Lllorona จากหนังผีน่าเบื่ออย่าง The Curse of La Llorona ที่ออกฉายในปีเดียวกันกับหนังเรื่องนี้ ในฐานะภาคแยกของหนังตระกูล The Conjuring แม้จะใช้ตำนานเดียวกันมาเล่าเรื่องแต่แน่นอนว่าหนังสองเรื่องนี้ไม่มีอะไรเหมือนกัน
La Llorona เต็มไปด้วยความเงียบงัน เชื่องช้า ผีนางครวญไม่ได้ถูกใช้เพื่อเขย่าขวัญผู้ชม อันที่จริง เราไม่อาจรู้ด้วยซ้ำว่ามีผีอยู่จริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงอาการประสาทหลอนของผู้เฒ่าที่เคยเป็นผู้นำแต่ตอนนี้เป็นอาชญากร ในขณะที่ตัวตำนานหลักอาจจะไม่ได้มีความเป็นการเมืองมากขนาดนี้ หนังกลับนำตำนานผีนางครวญมาปรับแปลงให้เห็นความเป็นการเมืองของมัน
Song My Brother Taught Me คือหนังเรื่องแรกของจ้าว เธอเล่าเรื่องของจอห์นนีและ จาชอน น้องสาวของเขา ที่อาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงเดี่ยวในห้องเช่าที่เซาธ์ดาโกตา วันหนึ่งเมื่อพ่อของทั้งคู่เสียชีวิตลง จอห์นนีต้องไปแสวงโชคในแอลเอแต่ก็อดเป็นห่วงน้องสาวไม่ได้
จ้าวทุ่มสุดตัวกับการทำหนังเรื่องแรกโดยเธอใช้ชีวิตกับชาวบ้านนานแรมเดือน โดยใช้นักแสดงท้องถิ่นมารับบทนำ และการฝังตัวอยู่ที่นั่นทำให้เธอได้เจอกับ แบรดี จันโดร คาวบอยหนุ่มที่ประสบอุบัติเหตุและฝังบาดแผลลงในจิตใจของเขา เกิดเป็นหนังเรื่องที่สอง The Rider ที่จันโดรรับบทเป็นตัวเอง
The Rider ทำให้จ้าวกลายเป็นที่จับจ้องมากยิ่งขึ้น (เธอได้เข้าชิงผู้กำกับยอดเยี่ยม เวทีอินดี้สปิริต และเจิดจรัสมากๆ ในซันแดนซ์) ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิงเอเชีย แต่เล่าวิถีคาวบอยแบบผู้ชายได้ละเอียดอ่อนและเจ็บปวด ราวกับเติบโตมากับม้าและความเวิ้งว้างในใจกลางของอเมริกา
เชื่อว่าพอเห็นซีนทรมานทาสในยุคสงครามกลางเมือง หลายคนคงนึกไปถึงพวก Django Unchained, 12 Years a Slave เท่าๆ กับที่สิ่งที่มาก่อน 12 Years ก็เคยมี Beloved (1998, Jonathan Demme) ขณะดู Beloved ก็นึกไปถึง The Color Purple (1987, Steven Spielberg) เท่าๆ กับที่ตัว The Color Purple เองก็พาคนดูเรโทรกลับไปหาทีวีซีรีส์, Roots เช่นเดียวกับที่ก่อนของก่อนหน้านี้ สายพันธ์ุหนังที่พูดถึงเรื่องการลุกฮือของทาสในเขตรัฐทางใต้ จนกระทั่งไปสุดเอาที่หนังเรื่องแรกๆ ที่ออกในยุคแนว blaxploitation กำลังบูมซึ่งเข้าไปแตะประเด็นเรื่องของทาสแรงงานเป็นหนังสองภาคต่อกันอย่าง Mandingo (1975, Tom Gries) + Drum (1976, Steve Carver) ซึ่งเป็นการพูดถึงทาสในแง่มุมที่ตรงกันข้ามกับ Gone with the Wind จนมาฉายเมืองไทยถึงมีชื่อว่า ‘วิมานเลือด’
ในหนังสือ Against Transmission: Media Philosophy and the Engineering of Time โดย Timothy Barker นักวิชาการด้านสื่อ ชวนให้เรามองถึงประวัติศาสตร์ของสื่อซึ่งมักจำกัดอยู่แต่สื่อสังเคราะห์ (synthetic media) ได้แก่ ภาพยนตร์และสิ่งพิมพ์ โดยกลับไปมองสื่อวิเคราะห์ (analytic media) ได้แก่ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ กล้อง และการถ่ายภาพ เพื่อทำความเข้าใจสื่อที่เกี่ยวข้องกับเราในชีวิตประจำวัน โดย Baker หันไปมองแนวคิดของ Alfred North Whitehead ผู้เสนอว่าสื่อเป็นเสมือน สภาพแวดล้อม (environment) มากกว่าที่จะมองว่าเป็นวัตถุ (object) ที่ตัดขัดจากมนุษย์
Barker มองว่าสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ล้วนแต่เป็นกระบวนการ (process) เช่นเดียวกับสื่อที่ไม่ได้หยุดนิ่งและตายตัว และเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนและมีพลวัตอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการก่อร่างทางประวัติศาสตร์ของสื่อที่เปลี่ยนผ่านจากอดีตของยุคสมัยใหม่ (past of the modernity) ไปสู่สภาวะปัจจุบันของกาลเวลาที่ดำเนินต่อเนื่อง (present of the contemporary) เขาเสนอว่าการเปลี่ยนยุคสมัยนั้นขึ้นอยู่กับการรับรู้และแสดงออกของเวลาที่สื่อในช่วงเวลานั้นสร้างขึ้น ด้วยความที่สื่อเป็นตัวกลางของมนุษย์ สื่อจึงกลายเป็นตัวกลางของเวลาไปด้วย
แต่ในยุคสมัยของสื่อวิเคราะห์กลับพาเราไปสู่สภาวะ หลังประวัติศาสตร์ (post-historical) ที่มาพร้อมกับเสรีนิยมประชาธิปไตยของโลกตะวันตกดังที่ฟูกุยามะ (Fukuyama) เสนอไว้ในหนังสือเรื่อง The End of History and the Last Man (1992) หรือจุดจบแห่งประวัติศาสตร์ กับมนุษย์คนสุดท้าย ว่า ประวัติศาสตร์ของโลกได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว โดยที่ระบอบเสรีประชาธิปไตยและทุนนิยมเสรีจะกลายเป็นระบอบการปกครองหลักที่เอาชนะทุกระบอบการปกครองได้ ภายหลังการล่มสลายค่ายคอมมิวนิสต์
ฉะนั้น เมื่อองค์ประกอบของเรื่องราวทั้งในและนอกจอนี้ถูกประกอบสร้างเข้าด้วยกัน Mirch Masala จึงกลายเป็น ‘หนังผู้หญิง’ ที่ถือเป็น ‘ตำนานหน้าสำคัญ’ ของโลกภาพยนตร์อินเดียไปโดยปริยาย
4
ผู้กำกับอย่างเมห์ตามักใช้หนังของเขาวิพากษ์สังคมอินเดียอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นหนังแจ้งเกิดเรื่องแรกอย่าง Bhavni Bhavai (The Tale of the Life, 1980) ซึ่งเป็นหนังภาษาคุชราต (ที่เราอาจเรียกว่าหนัง ‘ดอลลีวูด’ หรือ ‘กอลลีวูด’ ก็ได้) ที่ตีแผ่ความทุกข์ของคนชนชั้น ‘จัณฑาล’ หรือ ‘ดาลิต’ -อันเป็นพลเมืองชั้นต่ำสุดที่เกิดจากพ่อแม่ต่างวรรณะหรือเป็นคนไร้บ้าน- ผ่านเรื่องเล่าว่าด้วยบุตรผู้ถูกทอดทิ้งของกษัตริย์ที่กลับได้รับความเมตตาจากครอบครัวชนชั้นล่าง ซึ่งเป็นการวิพากษ์ปัญหาที่ยังคงยืดเยื้อมาจนปัจจุบัน หรือ Holi (The Festival of Fire, 1984) หนังภาษาฮินดีที่เล่าถึงวัยรุ่นที่ลุกฮือขึ้นประท้วงมหาวิทยาลัยเพราะมองระบบการศึกษาเป็นเพียง ‘โรงงานผลิตทาส’ — ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเด็นที่เขาสนใจมากเป็นพิเศษก็คือ ‘การถูกกดขี่’ หรือก็คือภาวะ ‘อำนาจนิยม’ ที่ส่งผลต่อชีวิต/ผู้คนในอินเดียนั่นเอง
และผลงานหนังยาวลำดับที่ 3 ของเขาอย่าง Mirch Masala ก็ยังคงพูดถึงประเด็นเดียวกัน
ส่วนที่น่าสนใจที่สุดของหนังคงจะเป็นคอนเซปต์ของคำว่า ‘เจตจำนงเสรี (free will)’ – คำถามก็คือ เราจะป้องกันสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วในอนาคตได้อย่างไร คำถามนี้อาจจะชัดเจนขึ้นถ้าเขียนในรูปของ Future Perfect Tense – ‘How can we prevent things that will have happened in the future?’ คำถามนี้ทำให้เกิดปฏิทรรศน์ (paradox) นั่นคือความขัดแย้งในตัวเองขึ้นมา เพราะว่า ถ้าสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นไปแล้ว เราย่อมแก้ไขมันไม่ได้ แต่มันก็อาจมีทางแก้ไขมันได้ เพราะมันอยู่ในอนาคต สรุปแล้วเรามีเจตจำนงเสรีที่จะแก้ไขมันจริงๆ หรือไม่ นั่นคือคำถามที่โนแลนทิ้งไว้ให้คนดูขบคิด
หากเลือกไม่ถูกว่าควรเริ่มจากเรื่องไหนก่อน ขอแนะนำให้เริ่มจาก Mee Pok Man (1995) และ Be with Me (2005) ซึ่งหนังทั้งสองเรื่องนี้มีจุดร่วมกันตรงที่มันเป็นหนังของผู้กำกับคนสำคัญของสิงคโปร์อย่างอีริค คู (Eric Khoo), เคยเข้าฉายในเทศกาลหนังหลายแห่งทั่วโลก, พูดถึงประเด็นเดียวกันอย่างเรื่อง ‘ความเหงาและความโดดเดี่ยวท่ามกลางเมืองใหญ่’ ซึ่งถือเป็นประเด็นสากลที่ไม่ว่าคนประเทศไหนก็เข้าใจและอินตามไปด้วยได้
Mee Pok Man รักเธอจวบจนสิ้นชีวาวาย
(บทความนี้เปิดเผยเนื้อเรื่องบางส่วนของหนัง)
Mee Pok Man บอกเล่าเรื่องราวของจอห์นนี่ หนุ่มขาย Mee Pok (บะหมี่ป๊อกป๊อก) ซึ่งรับหน้าที่ดูแลร้านต่อจากพ่อที่เสียไป เขาเป็นคนเงียบขรึม ขี้อาย เก็บกด สมองช้า ทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อน เขาตกหลุมรักบันนี่ – โสเภณีที่เป็นลูกค้าประจำร้านบะหมี่ แต่เธอกลับไม่เหลียวแลเขาเพราะเธอเฝ้ามองหาผู้ชายในฝันที่สามารถพาเธอหนีไปจากชีวิตเดิมๆ ได้ แต่เธอก็พบกับความผิดหวังอยู่เสมอ
Mee Pok Man เป็นผลงานหนังยาวเรื่องแรกของอีริค คู (1965 – ) สำหรับประวัติโดยย่อนั้น เขาเป็นลูกชายของ Khoo Teck Puat มหาเศรษฐีพันล้านซึ่งเคยติดอันดับคนรวยที่สุดของสิงคโปร์ อีริคถูกปลูกฝังความรักหนังจากแม่ซึ่งพาเขาไปโรงหนังทุกสัปดาห์และมอบกล้อง Super 8 ให้เขาลองทำหนังตั้งแต่อายุ 8-9 ขวบ หลังเรียนจบด้านถ่ายภาพจาก City Art Institute ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย เขาได้กำกับหนังสั้นทั้งหมด 7 เรื่องซึ่งได้เข้าฉายในเทศกาลหนังต่างประเทศ
ต่อมาเขาได้นำเงินสปอนเซอร์จากการที่หนังสั้นเรื่อง Pain (1994) ของเขาชนะรางวัลมาใช้เป็นทุนเพื่อสร้างหนังยาวอย่าง Mee Pok Man ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกใหม่และท้าทายอย่างมากในตอนนั้นเพราะอุตสาหกรรมหนังในสิงคโปร์ยังไม่เกิดขึ้น (มีการสร้างหนังตลาดเพียงปีละ 2 – 3 เรื่อง และไม่มีสตูดิโอที่สร้างหนังโดยตรง) ทำให้ทีมงานส่วนใหญ่ของหนังเรื่องนี้เป็นมือใหม่หรือไม่ก็มาจากวงการทีวี การถ่ายทำเน้นวิธีแบบกองโจรที่ใช้เวลารวดเร็ว โดยถ่ายทำแค่ไม่กี่เทคเพราะหนังมีงบประมาณจำกัดมาก
ผู้ชมจะเห็นถึงความเป็นหนังเรื่องแรกของ Mee Pok Man ได้จากความขาดๆ เกินๆ ไม่ลงตัวของหนัง โดยเฉพาะงานด้านเทคนิคที่เต็มไปด้วยจุดบกพร่อง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงพลังอันพุ่งพล่านของหนังซึ่งยังคงสัมผัสได้ตอนนี้แม้ว่าหนังจะมีอายุ 25 ปีแล้ว
‘So in Love’ เรื่องราวของหญิงสาวมัธยมสองคนที่รู้จักกันทางออนไลน์และได้สานสัมพันธ์แบบคู่รัก แต่ความรักต้องจบลงเมื่อฝ่ายหนึ่งปันใจไปหาชายหนุ่มคนใหม่ (Be With Me เป็นหนังสิงคโปร์เรื่องแรกที่แสดงถึงความสัมพันธ์แบบเลสเบี้ยน)
Be With Me พูดถึงประเด็น ‘ความเหงาและความโดดเดี่ยวท่ามกลางเมืองใหญ่’ เช่นเดียวกับ Mee Pok Man แต่ด้วยสไตล์การเล่าที่แตกต่างกัน โดยสไตล์ของ Be With Me มีลักษณะสงบ เรียบนิ่ง เชื่องช้า ไม่บีบคั้นฟูมฟาย เต็มไปด้วยความเงียบและมีบทสนทนาน้อยมาก (หนังมีบทพูดรวม 2 นาทีครึ่ง จากความยาวหนัง 93 นาที) เน้นสื่อสารด้วยการใช้ภาพและภาษากายของนักแสดงมากกว่า
กล่าวคือถ้า Mee Pok Man เป็นเหมือนเพลงพั้งค์ร็อค หนังเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนเพลงบรรเลงเปียโนซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ใช้จินตนาการล่องลอยไปกับตัวหนัง
อีริค คูกล่าวว่า “ผมเจอเทเรซ่าที่งานแต่งงานและได้นั่งโต๊ะจีนร่วมกับเธอ พอได้รู้จักก็พบว่าเธอมีความน่าสนใจอย่างมาก ผมชักชวนให้เธอมาแสดงในหนังของผมแบบไม่คิดอะไรแต่เธอก็ตอบตกลงอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้ผมพยายามเขียนบทหนัง Be With Me มาสองปีแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะขาดจิ๊กซอว์ที่จะทำให้ภาพสมบูรณ์ จนกระทั่งผมเจอเธอและได้อ่านสิ่งที่เธอเขียน ทำให้พบว่าเธอเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่หายไปและทำให้โปรเจคต์หนังที่ค้างคามานานเรื่องนี้เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งแผนการแรกผมตั้งใจจะเขียนตัวละครฟิคชั่นให้เธอเล่น แต่ก็พอได้อ่านสิ่งที่เธอเขียนทำให้คิดว่าไม่มีเรื่องแต่งไหนที่เทียบเคียงกับเรื่องจริงของเธอได้เลย ผมจึงทำพาร์ตของเธอเป็นสารคดีแล้วนำไปผสมกับพาร์ตฟิคชั่นในตอนอื่นๆ”
หนังประสบความสำเร็จทั้งรายได้และเสียงวิจารณ์ หนังได้เข้าฉายในสาย Director’s Fortnight ของเทศกาลหนังเมืองคานส์และถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของสิงคโปร์ในการเข้าชิงออสการ์หนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม (แต่ไม่ผ่านคุณสมบัติเพราะว่าบทพูดที่มีอยู่น้อยนิดนั้นส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ) หนังเข้าฉายในไทยที่ House RCA ซึ่งได้รับการพูดถึงอย่างมากจากคอหนังชาวไทยในตอนนั้น
หมายเหตุ 1 – อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจากบทความ “I do not have anything against commercial films”- Interview with Eric Khoo โดย Tilman Baumgartel ในหนังสือ Southeast Asia Independent Cinema (Hong Kong University Press 2012)