The Devil All the Time ศรัทธาบาปในนามของอเมริกาและความรุนแรง

(2020, Antonio Campos)

มีอยู่สองสามเหตุผลว่าทำไม The Devil All the Time (2020) หนังดราม่า-ธริลเลอร์ความยาวสองชั่วโมงกว่าที่เน็ตฟลิกซ์นำมาลงฉายนั้นถูกจับตาจากคนดูหนังมากเป็นพิเศษ ข้อแรกๆ อาจเพราะมันรวมนักแสดงเบอร์ใหญ่เกือบสิบคนไว้ในเรื่องเดียวกัน ข้อถัดมาคือมันดัดแปลงจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันของ โดนัลด์ เรย์ พอลล็อค และข้อสุดท้าย นี่เป็นการหวนกลับมากำกับหนังยาวอีกครั้งในรอบสี่ปีของ อันโตนิโอ แคมโปส ภายหลังจากที่เขาสำรวจจิตใจอันซับซ้อนและเปราะบางของมนุษย์ใน Christine (2016) ก่อนจะหายหน้าหายตาไปกำกับซีรีส์และนั่งแท่นเป็นโปรดิวเซอร์ให้หนังเรื่องอื่นๆ

ที่ผ่านมา งานกำกับของแคมโปสนั้นมักเข้มข้นด้วยการจ้องมองความวิปริตของตัวละครหลักทั้งจาก Buy It Now (2005) ตามติดชีวิตเด็กสาววัย 16 ที่ขาย ‘เปิดบริสุทธิ์’ ของเธอทางอีเบย์โดยไม่มีจุดประสงค์ใดเป็นสำคัญ, Afterschool (2008) หนังยาวเรื่องแรกของแคมโปส แจ้งเกิด เอซรา มิลเลอร์ ในบทเด็กหนุ่มติดอินเทอร์เน็ตที่กลายมาเป็นพยานรู้เห็นการตายของเพื่อนสาวร่วมชั้นเรียน นำไปสู่ความคลั่งแค้นอันไร้ขีดจำกัด, Simon Killer (2012) ชายที่ออกเดินทางไปยังปารีสหลังเลิกกับแฟนจนได้เข้าไปพัวพันกับโสเภณีสาวอันค่อยๆ ทำให้เราได้เห็นเบื้องหลังอันดำมืดของทั้งคู่ และล่าสุดใน Christine ซึ่งดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของ คริสทีน ชับบัค นักข่าวสาวที่ยิงตัวตายออกอากาศเพื่อเสียดสีนโยบายโหยหาเรตติ้งของช่องโทรทัศน์

โดยทั่วไป -ตามประสาคนที่มี มิคาเอล ฮานาเกอ เป็นไอดอลในการทำหนัง- หนังของแคมโปสนั้นมักมีกลิ่นอายความเลือดเย็นและชวนขนลุก เขามักจะหยิบจับองค์ประกอบในหนังมากรีดชำแหละให้มันกลายเป็นเรื่องราวชวนบาดหัวใจ และนั่นเองที่ทำให้ The Devil All the Time น่าจับตาอย่างยิ่ง เพราะมันเต็มไปด้วยส่วนผสมที่จะทำให้เขาหยิบจับมาโหมกระพือให้มันบ้าคลั่งยิ่งกว่าที่ใครจะทำได้ผ่านเรื่องราวของความตาย ศรัทธา ความใคร่และพระเจ้า

ปี 1945 พลทหาร วิลลาร์ด (บิลล์ สการ์สการ์ด) เข้าประจำการในสงครามโลกครั้งที่สองที่เกาะโซโลม่อน และเป็นประจักษ์พยานที่เห็นเพื่อนร่วมทัพถูกทหารญี่ปุ่นตรึงกางเขนทั้งเป็น แม้วิลลาร์ดจะรอดชีวิตจากสงครามนั้นกลับมายังอเมริกาได้ แต่บางอย่างในตัวเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล เขาไม่ยอมแต่งงานกับ เฮเลน (มีอา วาชิโควสกา) -สาวชาวบ้านเคร่งศาสนาที่แม่อุตส่าห์จับคู่ไว้ให้เนื่องจากอธิษฐานกับพระเจ้าไว้ว่าหากวิลลาร์ดกลับมาอย่างปลอดภัย เธอจะให้เขาแต่งงานกับเฮเลน- แต่กลับไปตกหลุมรักสาวเสิร์ฟใจบุญที่เมืองอื่น ขณะที่เฮเลนแต่งงานกับ รอย (แฮร์รี เมลลิง) นักเทศน์หนุ่มผู้เลื่อมใสในพระเจ้าหมดหัวใจ

อย่างไรก็ตาม ชีวิตของพวกเขาทั้งหมดไม่ได้สงบสุขนัก วิลลาร์ดและภรรยาให้กำเนิดลูกชาย อาร์วิน (ทอม ฮอลแลนด์) ท่ามกลางพายุเคราะห์กรรมห่าใหญ่ที่ซัดเข้ามาในครอบครัวและบีบคอให้วิลลาร์ดกลายเป็นคนบ้าคลั่งพระเจ้าต่อหน้าลูกชาย, เฮเลนและรอยทิ้ง เลอนอรา ลูกสาวคนเดียวของทั้งคู่ไว้กับแม่ของวิลลาร์ด เพื่อที่อีกไม่กี่ปีต่อมา แม่ของวิลลาร์ดจะต้องรับเอาอาร์วินเข้ามาอยู่ด้วยเมื่อเด็กชายเหลืออยู่ตัวคนเดียว จนเมื่อทั้งสองเติบโตขึ้นมาได้พบกับ พริสตัน (โรเบิร์ต แพตตินสัน) นักเทศน์หนุ่มจากแดนไกลกับความเลื่อมใสในพระเจ้าอันน่าพรั่นพรึง

และทั้งหมดนี้ ลี (เซบาสเตียน สแตน) นายอำเภอที่ข้องเกี่ยวกับวงการใต้ดินสกปรก เป็นพยานรู้เห็นความตาย การเปลี่ยนแปลงและความบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดภายในชุมชนเล็กๆ แห่งนี้ นำมาสู่โศกนาฏกรรมที่แม้แต่เขาเองก็หยุดยั้งมันไม่ได้

เรื่องราวทั้งหมดวางอยู่บนบริบทความบ้าคลั่งในช่วงรอยต่อของสงครามในอเมริกา ทั้งปลายยุคสงครามโลกครั้งที่สองและเคลื่อนเข้าสู่สงครามเย็น ตามมาด้วยระเบิดขึ้นของลัทธิประหลาดทั่วโลก และปิดท้ายด้วยการที่สหรัฐฯ เดินหน้าเข้าสู่สงครามเวียดนามเต็มตัว “หนังมันเริ่มขึ้นที่จุดจบของสงครามใหญ่ที่นำมาสู่ประสบการณ์เลวร้ายของนายทหารที่เข้าร่วมรบ และปิดท้ายด้วยการที่อีกตัวละครอีกตัวหนึ่งอาจตัดสินใจเข้าร่วมรบในสงครามครั้งใหม่อีกเช่นกัน” แคมโปสบอก “มันคือประเทศที่เพิ่งจะเผชิญจุดจบของสงครามมาแล้วก็ยังจะผลักเราให้ไปสู่สงครามครั้งใหม่ สงครามที่เราไม่ได้อยากเข้าไปร่วมต่อสู้และแลกมาด้วยชีวิตของคนหนุ่มชาวอเมริกันจำนวนมหาศาล ซึ่งนี่เองที่ทำให้คนอเมริกันรุ่นต่อไปเติบโตมาอย่างหวาดหวั่นและเต็มไปด้วยบาดแผลทางใจ”

สิ่งที่น่าสนใจคือสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงทั้งทางการเมืองและทางสังคม แม้พวกเขาจะได้รับชัยในสงครามโลกครั้งที่สองแต่ก็แลกมากับกลุ่มคนที่ได้รับการทารุณทางจิตใจและร่างกายอย่างรุนแรงกลับมาบ้านเกิด พวกเขาสะบักสะบอมและเคว้งคว้าง กลายเป็นทหารผ่านศึกที่ไม่มีใครจดจำล่องลอยไปในสังคมในฐานะคนไร้บ้าน เดินดุ่มไปตามคาเฟ่เพื่อขอทานแลกเศษเหรียญหรืออาหารประทังชีวิต อย่างเช่นที่วิลลาร์ดซึ่งเพิ่งออกมาจากกรมเฝ้ามองชายแขนพิการรับเงินจากสาวเสิร์ฟไป เขาอวยพรหล่อนด้วยพระวจนะของพระเจ้า และหล่อนตอบรับ วิลลาร์ด -ที่เพิ่งมีภาพจำเป็นร่างของเพื่อนที่ถูกตรึงกางเขน- ตกหลุมรักหล่อนนับแต่วินาทีนั้น และปฏิเสธจะแต่งงานกับเฮเลน หญิงสาวผู้เคร่งครัดในศาสนาที่แม่จัดหาให้เพื่อมาอยู่กินกับสาวเสิร์ฟ ปล่อยให้เฮเลนแต่งงานกับรอย นักเทศน์ที่คลั่งในตัวพระเจ้าและเชื่อว่าพระเจ้าสื่อสารมายังเขาโดยตรง

แม้พวกเขาจะได้รับชัยในสงครามโลกครั้งที่สองแต่ก็แลกมากับกลุ่มคนที่ได้รับการทารุณทางจิตใจและร่างกายอย่างรุนแรงกลับมาบ้านเกิด พวกเขาสะบักสะบอมและเคว้งคว้าง กลายเป็นทหารผ่านศึกที่ไม่มีใครจดจำล่องลอยไปในสังคมในฐานะคนไร้บ้าน 

ความคลั่งในศรัทธาที่ประจวบเหมาะกับห้วงเวลาที่สังคมอเมริกากำลังคลอนแคลนด้วยการขาดที่พึ่งทางใจ ส่งให้ลัทธิแปลกประหลาดกระจายตัวไปทั่ว รอย -ซึ่งเป็นนักเทศน์ที่มีพี่ชายขาพิการจากการอุทิศตนทดสอบศรัทธาของพระเจ้า- เชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่าพระองค์สื่อสารมายังเขาโดยตรง จนนำไปสู่ความลุ่มหลงที่ว่าเขาอาจจะฟื้นคืนชีพคน แบบที่พระเจ้ามอบชีวิตคืนให้พระเยซูคริสต์ได้อีกครั้ง และในทางกลับกัน ศรัทธาของรอยก็ไม่ง่อนแง่นแม้ในห้วงเวลาที่เขากำลังเผชิญหน้ากับความเป็นความตายที่เป่าลมหายใจรดต้นคอ มันจึงเป็นความน่าสมเพชที่อดเห็นใจไม่ได้

และหากมองในภาพกว้าง เราคงพบว่าในประเทศที่โหยหาความรุนแรงเช่นนี้ อาร์วินมีแนวโน้มจะเดินตามรอยวิลลาร์ดผู้เป็นพ่อ ทั้งการตบเท้าเข้าสู่การเป็นทหารในสงครามครั้งใหม่ ภาวะจิตใจแหลกสลายจากความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตอกย้ำด้วยความเคว้งคว้างและปรารถนาหาที่ยึดเหนี่ยวในการมีชีวิตหลังถูกศรัทธาหักหลัง ครั้งหนึ่งที่วิลลาร์ดเห็นเพื่อนถูกตรึงกางเขนทั้งเป็นหรือเมื่ออาร์วินเป็นพยานเห็นความเน่าเฟะของนักเทศน์ผู้ที่คนทั้งชุมชนเลื่อมใส หรือกระทั่งการที่ตัวละครที่เป็นสัญลักษณ์ของกฎหมายและผู้พิทักษ์อย่างนายอำเภอลีก็คาบเส้นด้วยการรับเงินจากมาเฟียใต้ดินและมีน้องสาวที่ทำงานเป็นโสเภณีอยู่กินกับชายซึ่งต้องสงสัยว่าจะเป็นฆาตกรต่อเนื่อง หนังจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศความบาปทั้งในเชิงศีลธรรมและความผิดในเชิงกฎหมายอยู่เต็มไปหมด และสองอย่างนี้เองที่มันค่อยๆ ชักพาเอาคนเหล่านี้ให้ทาบทับกันในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของชีวิต นำมาสู่ความรุนแรงหรือความโศกเศร้าในท้ายที่สุด

อย่างไรก็ตาม ความเข้มข้นและดุดันของหนังบางลงไปอย่างน่าเศร้าใจเมื่อมันถูกกลบด้วยพลังดารานักแสดงระดับแถวหน้าของฮอลลีวูด หลายครั้งที่พลังดาราของพวกเขาชักจูงและหันเหความสนใจของคนดูไปอย่างช่วยไม่ได้และน่าเสียดายมากๆ จนในด้านหนึ่งเราอาจจะกล่าวได้ว่านี่อาจเป็นจุดบอดไม่กี่จุดที่ทำให้ความเข้มข้นของหนังอ่อนตัวลงไปถนัดโดยที่ผู้กำกับอาจไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ

LATEST REVIEWS