Home Blog

FILM CLUB YEAR LIST 2022 : ตอน 4

*อ่านตอน 1 ได้ที่ FILM CLUB YEAR LIST 2022 : ตอน 1
ตอน 2 ได้ที่ FILM CLUB YEAR LIST 2022 : ตอน 2
และตอน 3 ได้ที่ FILM CLUB YEAR LIST 2022 : ตอน 3

บดินทร์ เทพรัตน์ : นักวิจารณ์ภาพยนตร์ และผู้ก่อตั้งกลุ่มฉายหนัง ‘ปันยามูฟวี่คลับ’
No Bears (2022, Jafar Panahi)

หนังที่ผมประทับใจที่สุดแห่งปีได้แก่ หนังอิหร่านเรื่อง No Bears (ผู้กำกับ – จาฟาร์ ปานาฮี) และ Hit the Road (ปานาห์ ปานาฮี) ซึ่งเป็นผลงานของผู้กำกับสองพ่อลูก หนังสองเรื่องนี้เข้าฉายปีเดียวกันและได้รับเสียงชื่นชมจากเทศกาลหนังต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งถึงแม้แนวหนังกับองค์ประกอบต่าง ๆ จะแตกต่างกัน แต่ก็มีบางอย่างที่สอดคล้องกัน เช่น การพูดถึงการลี้ภัย และการสะท้อนถึงการเมืองของอิหร่านในปัจจุบัน

No Bears บอกเล่าเรื่องราวของผู้กำกับ (จาฟาร์ ปานาฮีรับบทเป็นตัวเขาเอง) ซึ่งฝังตัวอยู่ในหมู่บ้านชนบทติดชายแดนเพื่อกำกับหนังผ่านช่องทางออนไลน์กับทีมงานที่ตุรกี ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับคู่รักที่ต้องการลี้ภัย ต่อมาเขาได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องขัดแย้งในหมู่บ้านจนเกิดความวุ่นวายตามมา
จาฟาร์ ปานาฮีเป็นผู้กำกับรุ่นใหญ่ที่มีผลงานโด่งดังระดับนานาชาติ ในปี 2010 เขาโดนคำสั่งห้ามทำหนังเป็นเวลา 20 ปีจากรัฐบาลจนทำให้เขาต้องลักลอบทำหนังแบบใต้ดินหลายเรื่อง แต่หนังที่ออกมาล้วนมีคุณภาพและเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ เช่นเดียวกับ No Bears ซึ่งมีลักษณะเป็น Meta Cinema ซึ่งเล่นกับความพร่าเลือนของเส้นแบ่งระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องแต่งได้อย่างสนุกมือ นอกจากนั้นหนังยังมีเนื้อหาที่น่าสนใจอย่างการตั้งคำถามต่อความเชื่อกับประเพณี สังคมเคร่งจารีตและอำนาจนิยม รวมถึงการแสดงให้เห็นถึงความอยุติธรรม ความเศร้า ความโกรธ ความเจ็บปวดที่ประชาชนต้องพบเจอจากการอยู่ภายใต้รัฐเผด็จการ

Hit the Road บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งซึ่งประกอบด้วยพ่อแม่และลูกชายสองคน พวกเขาออกเดินทางไกลด้วยรถยนต์ท่ามกลางเส้นทางชนบทที่เวิ้งว้าง พวกเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์วายป่วงทั้งที่เกิดจากพวกเขากันเองและเหล่าผู้คนที่พวกเขาพบเจอ

หนังเรื่องนี้เป็นผลงานกำกับหนังยาวเรื่องแรกของปานาห์ ปานาฮี มันเป็นแนว Road Movie ซึ่งเนื้อเรื่องชวนให้คิดถึง Little Miss Sunshine แต่อบอวลไปด้วยบรรยากาศที่หนักอึ้งและแฝงประเด็นทางการเมืองชัดเจนกว่า โดยหนังเฉลยภายหลังว่าพวกเขาเดินทางไปชายแดนเพราะต้องการแอบพาลูกชายคนโตลี้ภัยโดยพวกเขาต้องขายข้าวของหาเงินมาใช้เพื่อการนี้เป็นจำนวนมาก

หนังสองเรื่องนี้สะท้อนถึงสภาพสังคมการเมืองของอิหร่านทุกวันนี้ ที่ชีวิตคนธรรมดาต้องได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากรัฐบาลเผด็จการซึ่งจำกัดเสรีภาพการแสดงออก และแทรกซึมการควบคุมบงการชีวิตของประชาชนในทุกระดับ ส่งผลให้หลายคนเลือกเสี่ยงหนีออกนอกประเทศทั้งที่ปลายทางข้างหน้ายังไม่เห็นแสงสว่าง อีกทั้งไม่ใช่หนทางที่ทำได้โดยง่ายและต้องเสียสละหลายสิ่งในชีวิต (ยิ่งได้ดูในช่วงเวลาที่สถานการณ์ในประเทศไทยตอนนี้มีลักษณะสอดคล้องกับในหนัง ก็ทำให้รู้สึกอินได้ไม่ยาก)

นภัทร มะลิกุล : นักวิจารณ์ นักเขียนประจำ Film Club
CODA (2021, Sian Heder)

ความสวยงามของภาษาที่ไม่อาจใช้เสียงในการสื่อสารอาจเป็นแกนกลางของหนังเรื่องนี้ มันทำให้เราครุ่นคิดว่า ภาษาร่างกายอาจเป็นภาษาพื้นฐานที่สุดที่คนต่างวัฒนธรรมใช้สื่อสารกันได้ และด้วยเหตุนั้นมันจึงมีความเป็นสากลอย่างมาก หนังพยายามตอบคำถามว่าคนเราสื่อสารกันเพื่ออะไร – และการถูกเห็นและเข้าใจสำคัญอย่างไรต่อตัวตนมนุษย์ พร้อมกันนั้นก็ยกชูความรักของครอบครัวในฐานะองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิตที่จะส่งให้เยาวชนได้ทำตามฝัน

ธนกฤต กฤษณยรรยง : ผู้กำกับหนังสั้น ศิลปิน
พญาโศกพิโยคค่ำ The Edge of Daybreak (2021, ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์)

ความเจ็บป่วยไข้ ที่ตกอยู่ในวังวนซ้ำแล้วซ้ำอีกของชาวไทย

ณัฐวร สุริยสาร : ผู้กำกับหนังสั้น
มายาพิศวง (2022, หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล )

อาจจะมีหนังที่ชอบมากกว่านี้ แต่ไม่มีเรื่องไหนที่ทำงานกับความรู้สึกและสำนึกทางภาพยนตร์ของเราได้มากเท่ากับหนังเรื่องนี้อีกแล้วในปีนี้ ด้วยจริตและวิธีคิดในแบบของหม่อมน้อย ปรมจารย์นักทำหนังที่น่าจะมีชีวิตและ career path ในการทำหนังยาวนานที่สุดคนหนึ่งในประเทศนี้ อยู่จนมาถึงยุคที่ความเป็นไปได้ทางภาพยนตร์ขาดแคลนราวกับน้ำมันปาล์มขาดตลาดเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ หนังของหม่อมจึงเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงวิธีการทางภาพยนตร์ที่บัดนี้มันได้สูญหายไปพร้อมกับตัวบุคคลเรียบร้อยแล้ว และเราอาจจะไม่ได้เห็นวิถีที่เฉพาะตัวแบบนี้จากคนทำหนังปัจจุบันและอนาคตไปพักใหญ่ ๆ เลย มันเลยสั่นสะเทือนจิตใจเรายิ่งกว่าหนังดี ๆ จากประเทศลับแลเสียอีก

พัลลภัทร น้อยธิ : จิตแพทย์ คนดูหนัง เขียนวิจารณ์ประปราย
My Liberation Notes (Kim Suk-Yoon/South Korea/2022/16 episodes)

เป็นซีรี่ส์ที่ช่วง 3-4 ตอนแรกน้ำตาจะไหลให้ได้ทุกตอน ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้เล่าเรื่องราวอะไรใหญ่โต ไม่ได้มีดราม่าชีวิตรันทดอะไรขนาดนั้น แต่ชีวิตธรรมดา ๆ ที่ติดนั่นนิดติดนี่หน่อยแต่รวม ๆ แล้วไปไหนหรือทำอะไรไม่ได้เลยนี่แหละที่ทำให้ใจสั่นไหวตลอดเวลา ซึ่งที่สำคัญคือมันก็คือชีวิตแบบที่เรา ๆ กำลังมีกันอยู่นี่แหละ

หนังเล่าเรื่องของสามพี่น้องที่บ้านอยู่คยองกีซึ่งเป็นจังหวัดข้างเคียงของโซลที่ต้องเดินทางเข้ามาทำงานในโซลทุกวัน ซึ่งแค่เรื่องของคยองกีนี่ก็น่าสนใจแล้ว โดยตำแหน่งของจังหวัดนี้มันควรจะให้ความรู้สึกเหมือนเขตจังหวัดปริมณฑลบ้านเรา แต่พูดง่าย ๆ คือแค่พ้นหลุดมาจากโซลนิดเดียวก็เหมือนอยู่บ้านนอกไปเลย (แล้วไปดูแผนที่ โซลกับคยองกีนี่ก็เหมือนไข่ดาวตามที่ตัวละครพูดจริง ๆ) ซึ่งการเดินทางเข้าเมืองมาทำงานนี่น่าจะเป็นความจำเป็นของคนในยุคนี้ที่ในเมืองก็เจริญเกินไปจนไม่สามารถจ่ายค่าเช่าที่พักไหว แต่จะทำงานที่ใกล้บ้านก็ไม่มีงานที่ค่าตอบแทนเพียงพอเพราะบ้านนอกเกินไป นี่ยังดีว่ายังมีขนส่งสาธารณะครอบคลุมแต่แค่เดินทางก็เหนื่อยจนหมดพลัง และแต่ละคนก็มีประเด็นส่วนตัวแตกต่างกันไป “ยอมกีจอง” พี่สาวคนโตมีปัญหาเรื่องความรักด้วยอุปนิสัยส่วนตัวที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไร พูดจาอะไรบางทีไม่ค่อยคิด “ยอมชางฮี” ลูกชายคนเดียวของบ้านที่ดูเป็นคนเรียบๆน่าเบื่อ แล้วก็ดูเป็นคนไม่เอาไหนในสายตาคนในบ้าน “ยอมมีจอง” น้องคนเล็กที่แม้จะหน้าตาสะสวยแต่ก็เป็นคนมืดหม่นดูไม่มีความสุขตลอดเวลา ซึ่งจะเป็นตัวละครหลักของเรื่อง

จุดเปลี่ยนสำคัญของมีจองคือการที่เธอมี “คุณกู” ชายขี้เหล้าผู้มีอดีตลึกลับซึ่งมาทำงานอยู่ที่บ้านของเธอ และเพราะเหตุใดก็ไม่อาจบอกได้ มีจองได้บอกให้คุณกูมา “เชิดชู” เธอ ซึ่งจริงๆเป็นคำที่แอบตลกอยู่ แต่ไปลองเทียบกับคำแปลภาษาอังกฤษมันอาจจะเป็นความหมายคลุม ๆ ทั้งเชิดชู ยกย่อง นับถือ บูชา ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง มีจองบอกว่าสิ่งที่เธอต้องการมันมากกว่าต้องการให้คนมารักเธอ แต่มันคือการ “เชิดชู” ซึ่งเราเข้าใจว่ามันหมายถึงการให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ซึ่งเอาจริง ๆ ความหมายของฉากนี้มันก็คือ “มารักฉันที รักฉันให้มากกว่าใคร ๆ” ประมาณนั้นแหละ

แต่ลำพังมีคุณกูแต่ไม่มี “ชมรมอิสรภาพ” มันก็คงไม่สามารถสร้างจุดเปลี่ยนอะไรได้ จากชมรมของบริษัทที่กึ่ง ๆ ถูกบังคับให้ต้องเข้าจนสุดท้ายมีคนที่มีปัญหากับการเข้าชมรมเหมือนกันก็เลยมาตั้งชมรมกันเอง ชมรมอิสรภาพเป็นเหมือน group therapy ที่ “ไม่ต้อง therapy” ในความหมายที่ไม่ต้องชื่นชม ไม่ต้องปลอบใจ แต่ละคนก็แค่มาพูดสิ่งที่อยู่ในใจ แต่สิ่งนี้มันก่อให้เกิดกระบวน therapy ในตัวเองโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเป็นจุดที่เราชอบมาก ๆ ถ้าไม่มีชมรมนี้เราเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างมีจองกับคุณกูจะเป็นอะไรที่พังทลายมาก ๆ แต่เมื่อมีทั้งความสัมพันธ์ที่ตัวมีจองพยายามจะสร้างและมีกลุ่มบำบัดที่เธอได้มีโอกาสสำรวจตัวเองมันจึงทำให้เกิดผลลัพธ์บางอย่างที่เปลี่ยนไป

หนังเล่าเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป หนังแทบไม่มีเหตุการณ์สำคัญ หรือถ้ามีก็มักจะเก็บไว้เล่าทีหลัง และพอเล่าแบบเรียบ ๆ ไม่บีบคั้นใด ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นการสนทนาของตัวละครสลับกับความนึกคิดของตัวละคร ซึ่งถ้าคลิกก็คลิกมาก ๆ

เราชอบที่ตัวละครอย่างมีจองตัดสินใจ “ช่วย” คุณกู (ซึ่งดื่มเหล้าเป็นน้ำ) ด้วยการ “ไม่ช่วย” สิ่งที่เธอทำก็แค่อยู่ตรงนั้น (ข้าง ๆ คุณกู) ในบางเวลา และเปิดโอกาสให้เขาได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อเธอ ซึ่งฟังดูแปลก และก็ดูจะมีความอวดดีเล็กน้อย (คือถ้าไม่มั่นใจว่าตัวหน้าตาดีก็คงใช้วิธีนี้ไม่ได้) แต่สิ่งเหล่านี้ก็ค่อยคืนชีวิตให้คุณกูที่ก่อนหน้านั้นเหมือนจะเป็นหุ่นยนต์มากกว่ามนุษย์

ส่วนคุณกูนี่ช่วงแรก ๆ เราชอบมากเพราะพูดน้อยดี 555 (คือก็รู้เหมือนคุณกูที่บอกว่า มันเหนื่อยเหลือเกินที่ต้องได้ยินความพูดของคนอื่นแล้วยิ่งต้องพูดตอบด้วยก็ยิ่งเหนื่อย ถึงไดอะล็อกนี้ก็แบบว่า นี่มัน “กู” นี่หว่า ไม่ใช่ “คุณกู”) แต่พอครึ่งหลังนี่พูดมากฉิบ แอบรำคาญ 5555

เป็นซีรี่ส์ที่ไม่ค่อยอยากให้จบ เรารู้สึกว่าเราดูเรื่องราวของคนเหล่านี้ต่อไปได้อีกเรื่อย ๆ ยิ่งมันจบแบบปลายเปิดก็ยิ่งอยากเห็นต่อไปว่าชีวิตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร

Southern Cross : Cinephiles
Blue Again (2022, Thapanee Loosuwan)

รักทุกวินาทีในหนังเรื่องนี้และหลงใ หลถึงความซับซ้อนของเฉดความเป็นมนุษย์ที่พับทบกันทีละชั้นอย่างประณีต ย้อมฝังด้วยสีครามของความเชื่อ อัตตา และมิตรภาพ

มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ก็เมื่อได้ทำในสิ่งที่ตนเชื่อ แม้ความเชื่อนั้นอาจทำร้ายทั้งตัวเราหรือคนรอบข้าง ทิฐิหรือความทรนงนี้เองที่หล่อเลี้ยงให้มนุษย์เติบโต Blue Again บอกเล่าความทรนงเหล่านี้โดยไร้ซึ่งน้ำเสียงสั่งสอน ใช่แล้ว บนโลกล้วนมีมนุษย์เหล่านี้อยู่ และคุณไม่มีอำนาจ หรือสิทธิ์อะไรที่จะเปลี่ยนแปลงมัน

แต่มนุษย์ก็เป็นเช่นสถาปัตยกรรม อิฐก้อนเดียวไม่สามารถสร้างโบสถ์ได้ฉันใด มนุษย์ก็คงไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ฉันนั้น การยึดโยงกันของมนุษย์เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เพราะยิ่งมันถูกก่อขึ้น ความทรงจำที่สุขและเศร้าก็พอกพูนจนก่อร่างขึ้นมาเป็นภาชนะแห่งความปรารถนาอันชัดเจน บ้างก็สะอาดสะอ้าน บ้างก็รอวันบูรณะ หรือบางแห่งก็เป็นซากปรักหักพัง

จนถึงวันที่มนุษย์ลาโลกนี้ไป สิ่งที่เหลือไว้คงจะมีแค่ความทรงจำที่ฝังอยู่ในก้อนอิฐแต่ละก้อน มนุษย์อยู่ได้ด้วยการหล่อเลี้ยงความปรารถนาของตนเอง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ได้ฝากเสี้ยวของตนเองลงไปในชีวิตของคนอื่น กลุ่มก้อนของความทรงจำและซากอาคารหินที่ท่าแร่ ในคืนวันคริสต์มาสของ Blue Again จึงกลายสภาพมาเป็นหนึ่งในภาพที่งดงามที่สุดภาพหนึ่งของภาพยนตร์ไทย

ธนิศวร์ ยันตรโกวิท : ผู้กำกับหนังสั้นและมิวสิกวิดีโอ
After My Death (2022, ทิว เลิศชัยประเสริฐ)

เป็นปีที่มีหนังยาวและสั้นดี ๆ หลายเรื่องมาก แต่เลือกเรื่องนี้จากความรู้สึกล้วน ๆ

ปกติแล้วตัวเองเป็นคนที่เชื่อในเรื่องตัวตนของบุคคลจะล้มหายตายจากไปหากไม่มีใครจดจำ การที่หนังได้บันทึกห้วงเวลาของความทรงจำบางอย่าง ผ่าน Footage ที่เคยถ่ายเล่นกัน ประกอบกับเสียงพูดถึงเพื่อนคนนั้น มันงดงามในฐานะการบันทึกตัวตนของคนๆหนึ่ง แต่ก็เจ็บปวดและเศร้ามากที่ภาพตรงนั้นมันได้หยุดเวลาของคนที่จากไปแล้ว

อนึ่ง นี่เป็นหนังสั้น ๆ ที่สะท้อนภาพความกดดันและเจ็บปวดของวัยรุ่นในยุคนี้ได้ดีมาก ไม่ได้ร้องไห้กับหนังสั้นมาสักพักใหญ่จนเจอเรื่องนี้

พุทธพงษ์ เจียมรัตตัญญู : นักวิชาการอิสระ โปรแกรมเมอร์หอภาพยนตร์
Safe Place (2022, Juraj Lerotic)

ในปีที่ได้รับรู้ว่าคนคุ้นเคยเป็นโรคซึมเศร้ากันอยู่เป็นระยะ นี่เป็นหนังที่จบแล้วยังคงทิ้งความรู้สึกติดค้างอยู่ในใจมากที่สุดของปี อีกทั้งเวลาอ่านข่าวหรือได้รับรู้เรื่องคนฆ่าตัวตาย เรามักสนใจผู้คนรอบข้างผู้ตายว่าพวกเขาได้เผชิญกับอะไรและจัดการกับมันอย่างไร นั่นก็เป็นสิ่งที่เราได้เห็นใน Safe Place

หนังไม่ได้พาไปสำรวจสาเหตุการอยากจบชีวิตของตัวละคร หากแต่ถอยห่างออกมาเป็นผู้สังเกตการณ์ ในฝั่งของครอบครัวซึ่งพยายามประคับประคองให้เขามีชีวิตอยู่ ด้วยความรักและร้อนรนกังวลใจ ความไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร ภายในปฏิบัติการณ์สั้น ๆ เพื่อพาเขาหนีออกจากสถานการณ์นั้นอย่างทุลักทุเล แม้หนังจะเต็มไปด้วยส่วนที่เก็บงำซ่อนไว้และเผยให้เห็นแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งที่ค่อย ๆ ปริแตก แต่แค่นั้นก็เพียงพอต่อการแผ่ซ่านความรู้สึกอันแหลกสลายออกมาสู่ผู้ชมอย่างเฉียบพลัน ทันทีที่ทุกอย่างจบสิ้นลง

ได้ดูหนังในเทศกาล Word film อยากใช้พื้นที่นี้ขอบคุณผู้จัดเทศกาลด้วย ที่ปีนี้ได้นำความรื่นรมย์ ความตื่นตัว และความกระชุ่มกระชวยของการได้ดูหนังในเทศกาลกลับมาอีกครั้ง

สัณห์ชัย โชติรสเศรณี : รองผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ฯ
The Crown Season 5

The Crown ซีซั่น 5 ดูเหมือนไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าที่ควร และเป็นซีซั่นที่เดินเรื่องเรียบ ๆ นิ่ง ๆ เหมือนควีนอลิซซาเบธที่สูงวัยขึ้น เมื่อดูจบก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ที่มันไม่สนุกเหมือนซีซั่นก่อนหน้านี้

แต่พอนั่งคิดถึงเรื่องราวและประเด็นของแต่ละตอนในซีซั่นที่เหมือนจะต่างเหตุการณ์ต่างวาระ แต่เมื่อร้อยเรียงกันกลับเห็นประเด็นที่ซีซั่นที่ต้องการพูดถึงการเสื่อมความนิยมของสถาบันกษัตริย์ในอังกฤษ และการทบทวนตัวเองว่ายังคู่ควรในตำแหน่งที่ประเทศเทิดทูนอยู่หรือไม่ ก็ทำให้มองทั้งซีซั่นนี้เปลี่ยนไป

ยิ่งย้อนนึกถึงตอนซีซั่นแรก ๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สถาบันกษัตริย์ รวมทั้งตัวควีนอลิซาเบธ ยังเป็นที่ต้องการของสังคมอังกฤษ และเมื่อเราได้ดู The Crown ซีซั่น 5 ในช่วงที่ควีนอลิซาเบธสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ยิ่งยืนยันการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในโลกล้วนจะต้องใช้เวลา อาจจะเนิบช้าไม่ต่างจากการเดินเรื่องของซีซั่นนี้ แต่ท้ายที่สุด เวลาจะเลือกอยู่ข้างคนที่พร้อมยอมรับการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ

R.P. Mac : นักเขียนรับเชิญ Film Club
On Another’s Sorrow (2022, Taiwan, YEN Hao-hsuan)

เมื่อแม่จากไป น้องชายกลับบ้าน พี่สาวต้องจัดงานศพตามประเพณี และการแจ้งตายที่ทำให้ต้องติดต่อกับพ่อผู้ไม่เคยโผล่มาให้เห็นหน้า ทั้งยังต้องจัดการความรู้สึกภายในที่ไม่รู้จะต้องแสดงออกอย่างไร ส่วนตัวผู้เขียนมีความรู้สึกร่วมเป็นพิเศษเพราะช่วงปลายปี 2021 ถึงช่วงต้นปี 2022 เป็นช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้า มีผู้คนรอบตัวจากไปหลายคน แม้เรื่องราวจะหนัก แต่หนังสั้นเรื่องนี้ก็ยังสอดแทรกอารมณ์ขำเอาไว้ ไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะเสียงร้องไห้และหน้าตาของคนดูหนังเรื่องนี้จบหลังไฟในโรงเปิดได้พูดแทนไว้หมดแล้ว

ณัฐวุฒิ นิมิตขัยโกศล : นักเขียนประจำ Film Club
AEW Blood and Guts Jericho Appreciation Society VS Blackpool Combat Club
(June 29, 2022)

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ผู้ชมเริ่มให้ความสนใจกับความหลากหลายของมวยปล้ำมากขึ้น ค่ายมวยปล้ำที่นอกกระแสเริ่มถูกให้ความสนใจ พร้อมกับการมาของค่ายมวยปล้ำใหญ่ค่ายใหม่ที่สั่นสะเทือนบัลลังก์ค่ายมวยปล้ำยักษ์ใหญ่หนึ่งเดียวในวงการอย่าง World Wrestling Enterainment (WWE) ก็คือ All Elite Wrestling (AEW)

AEW เริ่มแย่งความสนใจจาก WWE ด้วยสไตล์การปล้ำที่รุนแรง ผาดโผน รวดเร็ว และสตอรี่ไลน์ที่เข้ากับนักมวยปล้ำแต่ละคน การันตีด้วยแมตช์คุณภาพมากมาย ทั้งในโปรแกรมปกติ และโปรแกรมพิเศษใน Pay Per View ซึ่งแมตช์นี้เป็นหนึ่งในการการันตีที่ว่า

ว่าด้วยการปะทะกันระหว่างสองกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในค่าย All Elite Wrestling ช่วงนั้น ระหว่างกลุ่ม Jericho Appreciation Society (JAS) นำทีมโดย Chris Jericho และสาวกที่ชื่นชมเขาน้อมนำแนวทางของการเป็น Sport Entertainer ก็คือนักมวยปล้ำที่ยึดถือคติมวยปล้ำคือความบันเทิง ปะทะกับกลุ่ม Blackpool Combat Club (BCC) จับกลุ่มนักมวยปล้ำที่กระหายการต่อสู้ ยึดถือคติมวยปล้ำเป็นกีฬาขนิดหนึ่งรวมตัวกัน ลูกทีมก็มี Jon Moxley และ Bryan Danielson หรืออดีต Daniel Bryan ทั้งสามคนที่กล่าวมาถือเป็นนักมวยปล้ำระดับท็อปของค่าย

นี่เป็นแมตช์ที่ถือว่ากล้าได้กล้าเสียและทำให้ค่ายนี้เป็นค่ายมวยปล้ำที่แตกต่างจาก WWE เนื่องจากอีกค่ายนั้นเน้นไปที่การสร้างดรามาและ tension จากสิ่งอื่นที่ไม่ใช่การปล้ำ จนทำให้รายการมวยปล้ำออกทีวี 3 ชั่วโมง อาจจะมีแมตช์มวยปล้ำรวมกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่สำหรับ AEW พวกเขาให้ความสำคัญกับแมตช์มวยปล้ำอยู่เสมอ รายการทึวีของพวกเขามีเวลา 2 ชั่วโมง แมตช์นี้ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง ก็คือครึ่งหนึ่งของรายการ และแมตช์นี้เป็นแมตช์ที่ออกฉายทางฟรีทีวีของอเมริกา ทั้งที่หลายคนบอกว่าคุณภาพขนาดนี้ สามารถขึ้นระดับ pay-per-view ได้สบาย ๆ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การปล้ำแบบถึงเลือดถึงเนื้อ มีอุปกรณ์เพิ่มความรุนแรง ทั้ง โต๊ะ เก้าอี้ ไม้เคนโด้ หมุดติดกระดาษ ไม้เสียบลูกชิ้น ที่โดนแต่ละครั้งก็สร้างความหวาดเสียวให้กับผู้ชมอยู่ตลอด หรือแม้กระทั่งเนื้อเรื่องความตึงเครียดระหว่างกลุ่มอย่าง Eddie Kingston พันธมิตรกลุ่ม BCC ที่ไม่ชอบขี้หน้านักมวยปล้ำสมาชิกใหม่แต่เสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมได้มาก อย่าง Claudio Castagnoli

ข้อเสียของแมตช์นี้คือช่วงพักโฆษณาสามครั้งที่จะทำให้มีช่วงหนืดเนือยอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วถ้าใครที่เคยดูมวยปล้ำสมัยวัยเด็ก และอยากกลับมามองดูมวยปล้ำในยุคปัจจุบันบ้าง แมตช์นี้อาจจะถือว่าเข้าขั้นหนักข้อ รุนแรง ถึงใจ และเป็นรสชาติที่อาจไม่คุ้นเคย แต่ลองดูสักครั้งไม่เสียหาย

ชนสรณ์ ชัยกิตติภรณ์ :ผู้กำกับหนังสั้น ศิลปิน
Expedition Content (Ernst Karel, Veronika Kusumaryati, 2020)

หนังประกอบสร้างเสียงบันทึกจากปี 1961 ของทีมนักสำรวจภาคสนามในพื้นที่ Dutch New Guinea เพื่อบันทึกหรือกระทั่งศึกษาชีวิตของชนเผ่า Habula

ตัวหนังมีภาพเพียง 1% ของความยาวตลอด 78 นาที ถึงแม้จะให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนกับฟัง podcast แต่ความจริงแล้วตัวงานต้องการที่จะวิพากษ์ถึงการมอง โดยเลือกที่จะให้เราไม่เห็น เราเพียงแค่ได้ยินเสียงที่ถูกประกอบขึ้นมา และกระตุ้นเร้าให้เราตั้งคำถามต่อการศึกษาชาติพันธุ์วิทยา และอาณานิคม อาจจะสนุกขึ้นหากเรารับชมคู่ไปกับสารคดีของทีมสำรวจเดียวกันที่ชื่อว่า Dead Birds (1963)

นพธีรา พ่วงเขียว : แอดมินหลักในเพจ “คนวิจารณ์หนังไม่เป็น”, นักเขียนรับเชิญ Film Club
Aloners (Hong Sung-eun)

ทำไมโลกนี้ถึงมีคนเหงา และทำไมความโดดเดี่ยวไม่เคยทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย นี่เป็นหนังที่พูดถึงคน ๆ นึงกับการปิดกั้นตัวเองจากสังคมเพราะคิดว่าอยู่คนเดียวดีกว่าแต่สุดท้ายเธอก็ต้องโอบอายอมรับความยินดีของคนอื่นเพื่อให้ตัวเองไม่จมปลักกับความทุกข์ไปมากกว่านี้ ทั้งโศกเศร้าแต่ก็งดงาม

Seam-C : cinephile
Twenty Five Twenty One (Jung Ji-Hyun/ South Korea/ 2022/ 16EP/ Netfilx)

ยืนหนึ่งของปี 2022 ไปเลยสำหรับเรา แถมดูไปเลย 2 รอบ ซีรีย์เกาหลีเน๊ตฟลิกซ์ 16 ตอน เรื่องการก้าวพ้นวัยของนักกีฬาฟันดาบ นาฮีโด กับนักข่าวหนุ่ม พักอีจิน ผ่านห้วงเวลาเหตุการณ์สำคัญของโลกตั้งแต่วิกฤตเศรษกิจ IMF เมื่อปี 1998 ยัน 9/11 เมื่อปี 2001 มันพูดถึงเรื่องธรรมดาทั่วไปอย่างความฝัน, มิตรภาพ, ความรักและความทรงจำ ด้วยวิถีของคนที่ชีวิตตกตะกอนแล้ว เข้าใจและเรียนรู้กับสิ่งที่ผ่านมาทะลุปรุโปร่งแล้วจึงมองย้อนกลับไปสำรวจมัน มันจึงเต็มไปด้วยมวลพลังมหาศาลที่ทั้งให้ความอิ่มเอมใจฟู พอ ๆ กับความเศร้าของการทวิลหาสิ่งที่เราเอาคืนกลับมาไม่ได้อีกแล้ว มันเหมือนการจูงมือพาให้เราเติบโตขึ้น เข้าใจและยอมรับความผิดพลาดในอดีตมากขึ้น ตัวละครหลักทั้ง 5 มีแนวคิดและวิถีเป็นของตัวเองที่น่าจดจำในแบบที่ใครดูแล้วก็ต้องมีความรู้สึกร่วมอะไรบางอย่าง ที่สำคัญนางเอก คิมแทรี คือความงามทั้งมวลของหนัง และก็กลายเป็นหนึ่งในหนังที่สำคัญและมีอิทธิพลเรื่องหนึ่งของชีวิตเราอีกเรื่อง

อภิโชค จันทรเสน : ผู้กำกับ คนเขียนบทภาพยนตร์
Fitzcarraldo (1982, Werner Herzog)

– ในฐานะคนทำหนัง เป็นอีกปีที่เราถามตัวเองบ่อย ๆ ว่าเราจะลำบากตัวเองทำสิ่งที่ทำอยู่ทำไมนะ 555 แต่ละขั้นตอนช่างใช้เวลาและเหนื่อยยาก จะมีคนดูสิ่งที่ตัวเองทำมั้ยก็ไม่รู้ รู้สึกแต่ละงานเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา จนได้ดูหนังเรื่องนี้เป็นการหา reference ให้งานที่ทำอยู่ ถึงได้คำตอบให้กับตัวเองท้ายปีซะอย่างนั้น

– สำหรับคนที่ไม่เคยดู หนังเรื่องนี้คือมหากาพย์ภาพยนตร์ของเสด็จพ่อ Werner Herzog เล่าเรื่องของเจ้าของโรงงานน้ำแข็งในเปรู (แค่นี้ก็เซอร์แล้ว) ที่ความต้องการสูงสุดของชีวิตคือการนำโอเปร่าสุดที่รักของตัวเองมาสู่เมืองกลางป่า (what) ให้คนในพื้นที่ได้สัมผัสสุนทรียะขั้นสุดขอบชีวิต (ห้ะ) แต่จะเอาเงินจากไหนมาทำความฝันนี้ให้เป็นจริง จนเฮียหัวใส คิดแผนซื้อผืนป่ายางระหว่างสองแม่น้ำคู่ขนานที่ไม่มีใครสนเพราะแม่น้ำที่ต้องล่องเข้าไปมีน้ำวนขวางทางเข้าเพื่อกรีดยางให้หมดป่า แล้วจะข้ามน้ำวนไปได้ยังไง ไม่ยากเลย แค่ล่องแม่น้ำอีกเส้นเข้าไป แล้วข้ามไปแม่น้ำที่ต้องการด้วยการลากเรือกลไฟทั้งลำข้ามภูเขาทั้งลูกไปอีกฝั่ง

– คือได้ยินกิตติศัพท์ความเฮี้ยนของหนังเรื่องนี้มานาน ทั้ง Klaus Kinski นักแสดงนำและผู้กำกับ Herzog ไฝว้กันจนเกือบฆ่ากันกลางป่า / ถ่ายทำลากยาว 5 ปีจนชนพื้นเมืองที่เป็นเอ็กซ์ตร้าก่อจลาจลจน ผกก. ต้องจ้างทหารรับจ้างมาปราบ และที่ขาดไม่ได้ก็คืออภิมหาการหาทำ ลากเรือกลไฟหนัก 30 ตันของจริงข้ามเขาเพื่อให้ได้ความเรียลที่สุด ซึ่งหลายครั้งที่ได้ยินข้อมูลเหล่านี้ก่อนหน้าก็ชอบถามตัวเองว่า เฮียจะทำไปเพื่อ ต้องทรมานทรกรรมทั้งตัวเองและคนอื่นมากมายเพื่อหนังแค่เรื่องนึงขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ

– แต่พอได้เห็นคนนับร้อยลากเรือหนัก 300 ตันขึ้นภูเขาเรียลไทม์ต่อหน้าต่อตาไม่มีซีจี ไม่มีสตันท์ มีแต่แรงคนจริงๆ ถ้าเชือกขาดคือเรือตกเขา เออมันเมจิกจริง ๆ ว่ะ

– ปฏิเสธไม่ได้ว่ามองในมุมนึงหนังเรื่องนี้ก็คือคนขาวคนนึงลำบากชีวิตคนเป็นร้อยเป็นพันเพื่อสำเร็จความใคร่ให้อีโก้ตัวเอง การลากเรือขึ้นเขาแก้ปัญหาปากท้องคนทั้งโลกก็ไม่ได้ จะสร้างไว้เป็นแหล่งท่องเที่ยวกลางป่าก็ไม่ได้ ใครจะไป ทำมันทั้งหมดเพื่อหนังเรื่องเดียว บันทึกไว้บนแผ่นฟิล์ม แล้วก็จบไปตลอดกาล ถ้าฟิล์มพังคือไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้นว่าเคยมีคนคนนึงทำสิ่งนี้

– แต่สุดท้ายแล้วนี่ก็คือการทำหนังป่ะวะ การเข็นเรือขึ้นภูเขา ทำสิ่งที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับความก้าวหน้าของมนุษยชาติหรือแม้แต่จะมีคนดูรึเปล่าก็ไม่รู้ บางทีเราอาจทำไปแต่ให้เราพูดได้เต็มปากว่าเราได้ทำแล้ว แค่นี้ก็คงพอแล้วแหละมั้ง

ชลนที พิมพ์นาม : นักเขียนประจำ Film Club
Subdar7 : By ‘Rubsarb Production’

เราเชื่อว่าแต่ละคนน่าจะมี “คอนเทนต์ประจำวัน” ที่ติดตามเอาไว้อัพเดตอยู่ อาจจะเป็นรายการข่าว พอดคาสต์ หรือรายการบันเทิงต่าง ๆ เช่นเดียวกับเราที่ตื่นมาก็เสพข่าวประจำวัน อัพเดตข่าวฟุตบอล จนถึงดู Vlog หรือวิดีโอล็อก ที่บันทึกชีวิตในทุก ๆ วันของ จอร์จ (ปรีดิ์โรจน์ เกษมสันต์) และ อิสระ (อิสระ ฮาตะ) และชาวแก๊งครีเอเตอร์อย่าง Rubsarb Production

แม้ว่าการทำ Vlog ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การทำ Daily Vlog หรือทำวล็อกแบบรายวันในทุกวัน หาได้ยากมากๆ ในไทย ซึ่งช่องนี้เกิดจากการทำ Vlog บันทึกชีวิตในช่วงล็อคดาวน์ covid-19 ก่อนที่ทั้งจอร์จและอิสระ จะตัดสินใจทำมันต่อ ลากยาวมาจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลาสองปีแล้ว

สำหรับเรา Subdar7 คือกระจกสะท้อน ในการหาความสุขในแต่ละวันของชีวิตจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างจอร์จ ก็จะเป็นภาพของครอบครัวไทยเชื้อสายจีน ตื่นขึ้นมานั่งคุยกับแม่ เม้าท์มอยกับภรรยา กินข้าวเช้า และทำกาแฟกินก่อนออกไปทำงาน ในขณะที่อิสระ ที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีแม่ ประทีป อึ้งทรงธรรม เป็นนักกิจกรรม ก็จะมีชีวิตอีกแบบ มีหยอกเล่นกับลูกชายบ้าง เล่นกับแมวในบ้านน้องชาย ต้นกล้า ก่อนไปออฟฟิศบ้าง ก่อนจะไปวุ่นวายที่ออฟฟิศ ซึ่งก็พาร์ทที่เรียกรอยยิ้มจากการดูได้ทุกวัน

จริง ๆ ในความเป็น Daily Vlog ประเด็นมันจะแรนดอมในแต่ละวันมาก คือมีตั้งแต่เรื่องส่วนตัว ยังเรื่องสังคม บางช่วงคือออกไปแตะสังคมโลก อย่างเช่นตอนที่อิสระ ตามพ่อชาวญี่ปุ่นไปทำงานเกี่ยวกับผู้อพยพชาวยูเครนที่ยุโรป ซึ่งส่วนหนึ่ง ในความที่พอมันต้องบันทึกสิ่งนี้ทุกวัน มันเลยกระตุ้นให้ทั้งสองคนออกไปใช้ชีวิตมากขึ้น

และด้วยความที่วัยของทั้งสองคนไม่ได้ต่างจากเรามาก มันเลยเหมือนได้ดูการอัพเดตเพื่อนในเจนเดียวกัน มีความสนใจคล้าย ๆ กัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดต่อเรื่องราวในสังคม หรือแม้แต่การเมือง ผ่านคอมเมนต์ด้านล่าง ซึ่งคอมมูนิตี้ของรับทราบก็มีวัยหลากหลายและเป็นกันเองคือ จนทำให้เป็นพื้นที่ที่เราเข้ามาแล้วสบายใจเสมอที่จะเข้ามาดู ซึ่งหาได้ยากจริง ๆ ในทุกวันนี้

OMG! รักจังวะ..ผิดจังหวะ: สร้างความรักภายใต้โลกทุนนิยม

*หมายเหตุ : บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์

หากจะมอง OMG! ว่าเป็นหนังรักทั่วไปก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด หากดูแค่เรื่องย่อว่า กาย หนุ่มหน้ามนคนมหา’ลัยที่รู้สึกว่าพระเจ้าไม่เข้าข้างเขาเรื่องความรักเอาเสียเลย เขารักจูน เพื่อนสนิทหน้าตาดี ดีกรีเชียร์ลีดเดอร์ที่ไม่มีใครคบเพราะหน้าตาดีเกินไปและมีข่าวลือว่าเธอเปลี่ยนผู้ชายไปทั่ว ในช่วงที่กายตกหลุมรักจูน เขากลายเป็นเพียงแค่เพื่อนสนิทที่คอยปลอบใจจูน แต่ไม่มีโอกาสได้เป็นตัวจริง และต้องสวนทางกันอย่างบ่อยครั้ง เมื่อจูนโสด เขากลับมีแฟน และเมื่อเขาโสด จูนก็มีแฟน เขาได้แต่โทษโชคชะตาที่ไม่เคยบันดาลให้เขาสมหวังสักที

การเล่าเรื่องความรักในช่วงมหา’ลัยนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ หนังโรแมนติกหลาย ๆ เรื่องมักเล่าเรื่องตัวละครในช่วงวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อ พร้อมกับการเติบโตและเรียนรู้ครั้งใหญ่ พวกเขาอาจทำสำเร็จหรือพวกเขาอาจทำพลาดก็ได้ หนังหลาย ๆ เรื่องก็เคยเล่าถึงความรักที่ไม่สมหวัง การไม่ได้มาครอบครอง แต่ว่าแค่ได้มองดูความสำเร็จอยู่ห่าง ๆ ก็ถือว่าน่ายินดีพอแล้ว เรื่องความรักหอมหวานในช่วงเยาวรุ่นที่พร้อมผลิดอกออกใบยังคงมีอะไรให้นำเสนออย่างหลากหลาย หากจะมองหนังในค่ายนี้มาตั้งแต่ยุคที่เป็นค่าย GTH อย่าง ‘แฟนฉัน’, Season Change จนถึงหนังในยุคปัจจุบันอย่าง ‘เมย์ไหนไฟแรงเฟร่อ’ หรือแม้แต่ ‘เธอกับฉันกับฉัน’ ก็ตาม

ในช่วงที่กายยังอยู่ในช่วงมหา’ลัย ศัตรูหัวใจของเขามีแค่ผิง เพื่อนสนิทในมหา’ลัยที่กลายเป็นแฟนผู้ทำตัว toxic ใส่จูน หรือแพตตี้ แฟนเก่าของกายที่ดูเหมือนจะแสนดีแต่กายก็ไม่ได้ให้ใจเต็มร้อย การทำตามเสียงของหัวใจตัวเองแบบเรื่องรักใสๆ ในวัยเรียนนั้นยังทำได้ และดูเป็นสิ่งที่สวยงามเหมือนเรื่องรักประโลมโลก แต่หลังจากเรียนจบจากมหา’ลัย และต้องเข้าสู่วัยทำงาน พวกเขาต่างต้องสู้กับความรักภายใต้โลกที่มี ‘ทุน’ ทุกอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง หากพวกเขาจะรักกันได้ พวกเขาต้องมีต้นทุนเพียงพอที่จะคอยกีดกันศัตรูหัวใจของตัวเอง หรือมีทุนเพียงพอที่จะไม่ทำให้สถานะของพวกเขาสั่นคลอน และรักกันไปตลอดกาล

นั่นทำให้หนังมีความน่าสนใจขึ้นมาทันที จากการเป็นเพียงแค่หนังรักที่พระเจ้าไม่เป็นใจ แต่ในทีนี้พระเจ้าอาจเป็น ‘ทุนนิยม’

หนังเดินหน้าแสดงภาพการต่อสู้กับทุนด้วยการส่งพี่พีท ชายหนุ่มหน้าตาดี โปรไฟล์ดี นิสัยดี บ้านฐานะร่ำรวย ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง และเป็นนักดนตรีสุดเท่ (นี่คือการแคสต์ที่เหมาะสมกับพีช-พชร สำหรับเรา) นอกจากการเป็นคู่แข่งที่ไม่อาจต่อกรได้ในทุกรูปแบบของกาย นี่คือบทบาทของ ‘ทุน’ ที่สมบูรณ์แบบในทุกกรณี เพอร์เฟ็กต์แมนที่คุณไม่อาจปฏิเสธความดีงามได้ เป็นความสัมพันธ์ที่อยู่ได้ในระยะยาวโดยไม่ขัดสนง่าย ๆ เป็นความฝันที่หลายคนเฝ้าฝันถึงคู่ชีวิตที่ทำให้เราสุขสบาย แต่สิ่งที่ท้าทายทุนสมบูรณ์แบบในเรื่องนี้ คือการตั้งคำถามกับคุณค่าของการได้ทุนเหล่านั้น

จูนเป็นผู้หญิงที่รู้สึกว่าตัวเองติดอยู่ในหล่มของการหาคุณค่าของตัวเอง และรู้ตัวถึง beauty privilege อยู่บ้าง ในหลาย ๆ เหตุการณ์ จูนได้ความรักมาโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไร ทุกคนต่างหยิบยื่นความรักมาให้เธอโดยไม่ต้องไปขวนขวายเอง ในหนังเราไม่ได้เห็นจูนทำงานมากนัก เธอกลายเป็นแม่บ้านในตอนที่อยู่กับพี่พีท แตกต่างจากกายและพี่พีทที่เราเห็นพวกเขาทำงาน ทั้งการหาเงินและตามหาความรัก และเธอเองมีคำถามที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด จนกระทั่งตอนที่เธอได้ไปเล่นโฆษณาครั้งแรก มันเป็นโอกาสที่จูนจะเจอที่ทางที่เหมาะสม แต่สิ่งที่ได้คือความล้มเหลวโดยสมบูรณ์ เธออยากย้ายไปต่างประเทศ อาจแปลได้ว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเธอ ทั้งเรื่องชีวิตรักและการทำตามความฝัน หรือการหนีไปจากที่นี่อาจจะกลายเป็นการค้นหาตัวตนของเธอ หรืออาจเป็นการหนีไปจากชีวิตที่เฮงซวย ดินแดนที่น้ำท่วมทุกครั้งที่ฝนตก มีแท็กซี่ขับรถอยู่ดี ๆ ก็ไล่ผู้โดยสารฝ่าน้ำท่วม หรือเจอกับผู้กำกับโฆษณาสุดโหดที่พูดทำลายความมั่นใจเธอเป็นชิ้น ๆ 

เพราะฉะนั้นการต่อสู้เพื่อความรักของกาย และให้จูนกลับมาอยู่ข้างเขาไม่ต้องไปไหน คือการกีดกันให้พี่พีทออกจากชีวิตของจูน โดยการใช้ ‘ทุน’ เข้ามาช่วย เรียกง่าย ๆ ว่าการ ‘ใช้เงินฟาด’ เริ่มต้นในช่วงที่เขายังไม่ได้กลับมาคุยกับจูน การพาเธอไปแคสติ้งเพื่อให้ได้เล่นในโฆษณาที่เขาเป็นผู้ช่วย และชักจูงด้วยค่าตัวที่แสนจะคุ้มค่า ก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้กลับมาเจอกันแบบเนียน ๆ

แต่สุดท้ายความทุ่มเทเงินทั้งหมดของกาย ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับทุนที่เหนือกว่าอยู่ดี ถึงแม้กายจะช่วยออกค่าตั๋วให้พี่พีทไปเล่นดนตรีที่ต่างจังหวัด ไม่ให้ได้อยู่กับจูนในวันเกิดของเธอ แต่เขาก็ใช้ทุนที่สูงกว่าในการบินกลับมาหาจูนทันที หรือจะให้เงินเพื่อนของกี้ไปหลอกขอเบอร์พี่พีท เขาก็ปฏิเสธไม่เล่นด้วย ไม่มีอะไรมาโค่นล้มเขาได้ ถึงแม้จะพยายามเสี้ยมให้มีรอยร้าวความผิดสักเล็กน้อยก็ยังดี แต่พี่พีทยังคงเป็นคนที่เล่นตามเกมอย่างสมบูรณ์อยู่ตลอด ไม่มีการออกนอกลู่นอกทางแต่อย่างใด ขนาดที่มีคำถามว่าถึงแม้จะรักจูน แต่ถ้าเห็นจูนอยู่กับคนอื่นอยู่แล้ว จะแย่งจูนมาเป็นของตัวเองหรือไม่ เขาปฏิเสธแทบทันที

ในเมื่อทำลายพี่พีทไม่ได้ กายจึงทำให้จูนเป็นคนที่ด่างพร้อยแทน คราวนี้แผนการประสบความสำเร็จ พวกเขาเลิกกัน แต่ต้องแลกกับการทำให้จูนเป็นผู้หญิงที่มีตำหนิไปมากกว่าเดิม คำพูดที่คนต่างนินทาในช่วงมหา’ลัยกลายเป็นจริง และสร้างมลทินให้กับพี่พีทที่เริ่มมีความคิดที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมแทรกเข้ามา และเขาโดนคำตอบของตัวเองเล่นงานซ้ำอีกครั้งเมื่อไปเจอคนที่น่าสนใจแต่เธอกลับมีแฟนแล้ว

แม้กระทั่งจุดเริ่มต้นที่ทำให้กายและจูนได้เจอกันอย่างแบงก์พันที่ร่วงหล่นมาเหมือน ‘พรจากฟ้า’ กลับกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้ในตอนท้ายเพื่อรำลึกถึงอดีตอันหอมหวาน ความทรงจำที่เคยผ่านร่วมกันทั้งดีและร้าย และสุดท้ายเหมือนกับทำให้ทั้งสองคนคิดได้ว่าพวกเขาเริ่มต้นเจอกันได้อย่างไร

ไม่เพียงแค่ตัวละครในหนังที่ต่างต้องต่อสู้กับทุน ผู้สร้างหนังเองก็ต้องต่อสู้กับมันเพื่อ ‘ทุน’ เพื่อให้ได้ทำหนังเช่นกัน มีการ tie-in สินค้าเข้ามาในตัวหนังที่ผู้เขียนเริ่มสังเกตว่า หนังไทยในปัจจุบันแต่ละเรื่องมักจะมีภาพที่ทำให้เห็นสินค้าชัด ๆ อย่างน้อยหนึ่งช็อตมากขึ้น ไม่ได้เป็นการใช้งานจากตัวละครในเรื่องอย่างกลมกลืนอีกต่อไป นั่นหมายถึงการประนีประนอมเพื่อขอสปอนเซอร์จากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด แต่ที่เปลี่ยนไปคือวิธีการที่เห็นชัดมากขึ้น หลายครั้งในหนังไทยเราจะเห็นแบรนด์ โลโก้ ลักษณะที่โดดเด่นแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ ที่มีผลิตภัณฑ์ไลน์เดียวกันอย่างชัดเจน และมีการใช้งานของผลิตภัณฑ์ที่ดูเหมือนโฆษณาที่เราเคยเห็นตามโทรทัศน์หรืออินเทอร์เน็ตได้เลย

อาจเปรียบได้ว่าการ tie-in ผลิตภัณฑ์สินค้าเข้าไปในหนัง เหมือนกับ ‘ซอฟท์พาวเวอร์’ ดั่งการได้ดู ‘เธอกับฉันกับฉัน’ แล้วอยากกลับไปกินร้านไดโดมอน หรือดู The Makanai: Cooking for the Maiko House แล้วอยากลองทอดขอบขนมปังกับเขาบ้าง ทุกอย่างถูกใส่เข้ามาในหนังอย่างแนบเนียน แต่เมื่อเปรียบเทียบกันอย่าง Fast & Feel Love ที่หนังไม่ปิดบังว่าตัวเองมีหน้าที่เป็นกึ่งโฆษณาขนาดย่อมให้กับแบรนด์อสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง ที่มีฉากที่เซลล์พาเกาและเจเดินดูโครงการบ้าน และบอกถึงข้อดีของบ้านที่แตกต่างจากโครงการอื่นว่าเป็นอย่างไร เพื่อนอกจากที่ผู้ชมจะได้ดูหนังอย่างอิ่มเอิบแล้ว เมื่อจบออกมาอาจจะจดจำผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในหนัง แต่จะได้ผลหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะต้องแลกกับการเสียสมดุลของหนังที่ถ้าหากไม่ทำให้ดี อาจเกิดผลเสียทั้งตัวหนังและสินค้าเองได้ ขึ้นอยู่กับว่าผู้สร้างจะมีกลเม็ดที่ใส่มันเข้าเป็นเนื้อเดียวกันขนาดไหน กลายเป็นว่าทั้งผู้กำกับและสตูดิโอต่างก็ต้องหาทางเอาตัวรอดในการสร้างหนังหนึ่งเรื่องขึ้นมา เป็นการสร้างความรักที่จะเกิดขึ้นภายใต้โลกทุนนิยม ด้วยการเข้าไปอยู่ในโลกทุนนิยม

ฉากการกำกับโฆษณาของตัวหนังเองจึงกลายเป็นโลกที่ซ้อนโลกเข้าไปอีกที เป็นการจำลองความยากลำบากทั้งตัวชีวิตคนทำ และตัวหนังที่กว่าจะได้สร้างขึ้นมาสำเร็จสักเรื่อง ต้องใช้เวลากับมันนานขนาดไหน และต้องยอมแบ่งพื้นที่ในการวางผลิตภัณฑ์รถมอเตอร์ไซค์นั้นให้ได้กับการสร้างหนัง กลายเป็นการล้อเลียนตัวเองอย่างน่าประหลาด เพราะอีกด้านหนึ่ง ผู้กำกับ (ฐิติพงศ์ เกิดทองทวี) เติบโตจากการทำโฆษณาและเอ็มวี และจากบทสัมภาษณ์ เขาใช้เวลานาน 6 ปีกว่าจะได้ทำหนังเรื่องนี้ ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองจากการกำกับทั้งเอ็มวี โฆษณา และอินเทอร์เน็ตฟิล์มที่ประสบความสำเร็จในโลกออนไลน์ จนมีผู้สนใจรอติดตามด้วยแบรนด์ของเขาเอง 

จากการสังเกตการ tie-in หนังไทยในช่วงนี้  และการทับซ้อนของฉากถ่ายทำโฆษณา อาจเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของหนังไทยว่าการโฆษณาผลิตภัณฑ์แบบชัดตรง จะแจ้ง หรือมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีไว้เพื่อขาย ฉากเหล่านี้อาจจะมีมากขึ้น ตราบใดที่การทำหนังยังคงเป็นความเสี่ยงของผู้สร้างที่อาจจะไม่ได้คืนกลับมาแม้กระทั่ง ‘ทุน’

อย่างไรก็ตาม หนังยังมีหัวใจและความรักแบบสากลทั่วไปบ้าง ทั้งความรักจากต๊ะและเล็ก ที่ดูความสัมพันธ์คู่นี้ในตอนแรกก็คงเป็นหนังโรแมนติก-คอมเมดี้ทั่วไป เริ่มต้นด้วยพ่อแง่แม่งอน แต่จบด้วยการแต่งงานด้วยความสมหวังดั่งคำกล่าวอมตะ ‘ตื๊อเท่านั้นย่อมชนะทุกสิ่ง’ หรือการเลิกราจากตัวเจ๊รี่ที่ต้องพบเจอกับชีวิตรักที่ไม่สมหวัง สามีของเธอไปมีชู้ในช่วงสร้างครอบครัวและมีลูกด้วยกันไปแล้ว เราอาจมองความคล้ายได้ว่าเจ๊รี่เหมือนภาพแทนการเผชิญชะตากรรมที่จูนอาจเจอในอนาคต แต่เจ๊รี่แตกต่างจากจูนที่ชีวิตของเธอไม่สามารถตามหาพื้นที่แห่งโอกาสและการตามหาตัวตนได้แล้ว ได้แต่ทำใจยอมรับต่อไปและหาวิธีในการเลี้ยงดูลูกทั้งสองคนแบบแม่เลี้ยงเดี่ยว ชีวิตของผู้หญิงในหนังเรื่องนี้ทั้งจูนและเจ๊รี่ก็ดูจะต้องเจอความสาหัสสากรรจ์กว่าผู้ชายอย่างกายและพี่พีท ที่เหมือนไม่มีอะไรให้จับต้องนอกจากตามหาความรักที่แท้จริงสักครั้ง

หนังไม่ได้บ่งบอกว่าทุนคือทุกอย่างที่จะทำให้เราได้ครอบครองความรัก เพราะสุดท้ายรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ความเอาใจใส่กันและกัน หรือสิ่งที่คาดไม่ถึงจะกลายเป็นสิ่งที่เอาใจชนะใครสักคน ทุกคนไม่จำเป็นต้องทำตามที่กายทำไว้ แต่ลองดูระหว่างต๊ะกับเล็ก ที่สุดท้ายแล้วการตื๊อที่จะครองโลกทั้งใบได้ หรือยาพ่นแก้เจ็บคอของกายที่ทิ้งไว้ แต่จูนยังเก็บมาใช้จนถึงปัจจุบัน มันอาจเป็นสิ่งที่คงความสัมพันธ์กันเอาไว้ของทั้งสองคน หรือทำให้จูนรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองจากสิ่งเหล่านี้ แม้นั่นจะยังไม่ได้บ่งบอกชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเป็นเพื่อน หรือมากกว่านั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับอนาคต 

รายละเอียดเล็ก ๆ เหล่านี้ อาจเป็นทุนที่ซื้อใจใครให้เกิดความรักได้สักคน ต่อให้เรื่องราวในหนังที่เล่ามาทั้งหมดจะไม่ซื้อใจคนที่รับชมก็ตาม

Isan Sonata : หนังตามรอยอารยธรรมลุ่มน้ำชี แล้วมีใครตามหานักประพันธ์?

ผมไม่ใคร่แน่ใจนักว่า วิชชานนท์ สมอุ่มจารย์ (‘สิ้นเมษาฝนตกมาปรอยปรอย’) วาดหวังหรือวางโครงเรื่องให้ Isan Sonata บรรลุวัตถุประสงค์ข้อใดเป็นเป้าหมายหลัก เพราะสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงออกให้เห็นเด่นชัดสูงสุดก็คือ การยื่นเท้าเข้าเหยียบขยี้เลือนเส้นเขตแดนของคำนิยาม พยายามบอกกล่าวเล่นลิ้นให้ผู้ชมเทคซีเรียสเชื่อตามว่าตัวเองเป็นสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น ผ่านทั้งการบิดพลิ้วความหมายหรือเจริญรอยตามอะไรก็ดีที่หนังอ้างยกเป็นแรงบันดาลใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้ลีลาท่าทางอย่าง meta-cinema เพื่อปฏิเสธอย่างแข็งขันที่จะเป็นสิ่งใดหรือสิ่งหนึ่ง

วิธีขยี้เลือนเส้นแบ่งที่คนทำหนังเลือกใช้ ไม่ว่าจะเพื่อกลบฝังร่องรอยต้นทางด้วยเลศนัย หรือเพื่อเฉลยวิพากษ์บางสิ่งให้คนดูเห็นอย่างพิสดาร ส่งผลให้ท่าทีของหนังโคลงเคลงไปมาระหว่างความท้าทายกับอาการหยิบโหย่ง หลักยึดที่หนังคอยสลับเปลี่ยนไปเรื่อยระหว่างการเดินทาง กลายเป็นทั้งความยียวนปั่นประสาทแบบหน้าตายและอาการสับสนที่สุดท้ายอาจไม่ได้พาใครไปถึงฝั่ง – เป็นการทดลองที่ตั้งโจทย์ นำเสนอสมมติฐาน แต่ไม่ยอมเปิดเผยผลพิสูจน์

ประสบการณ์ Isan Sonata สำหรับผมจึงเป็นทั้งความตื่นเต้นเป็นพัก ๆ เมื่อได้ตระหนักรู้ตัวว่าที่เหยียบที่ยืนใต้ฝ่าเท้ากำลังถูกอธิบายให้นิยามเขตแดนใหม่อยู่ตลอดเวลา และความเหนื่อยล้าอ่อนแรงปนระแวงอย่างมนุษย์ที่เพิ่งหลุดพ้นจากเกมกับดัก ซึ่งสวมเสื้อคลุมปักชื่อเรียกให้ตนเองว่าการตามรอยอารยธรรมลุ่มน้ำชี แล้วจบลงด้วยความรู้สึกที่ห้อยค้างอยู่บนเส้นเลือน ๆ ที่ขีดคั่นเป็นเขตแดนอยู่ระหว่างความชอบกับความไม่ชอบ คล้ายกำลังรื้อแก้สางปมที่พันกันยุ่งเหยิง โดยไม่อาจปักใจได้ว่าปมยุ่งเหยิงดังกล่าวนั้นคือเรื่องจริง

 ลำนำอีสานเรื่องนี้เรียกตัวเองว่าภาพยนตร์สารคดีชุดขนาดสั้น ทว่าดำเนินไปด้วยองค์ประกอบอย่างหนังเล่าเรื่อง (fiction) ถึงระดับที่ไม่สามารถเรียกว่าสารคดีได้เต็มปาก และต่อให้โลกภาพยนตร์จะสถาปนาอาณาเขตใหม่ให้หนังที่ขี่คร่อมไม่แคร์เส้นแบ่งนี้ด้วยคำจำกัดความอย่าง essay film, docu-fiction หรือ hybrid documentary หนังของวิชชานนท์ก็ยังคงปฏิเสธจะเป็นทุกสิ่งที่ว่ามา

อาจเหลือเพียงสิ่งเดียวที่ Isan Sonata ไม่สำแดงออกอาการปฏิเสธ สิ่งนั้นคือร่องรอยอันเข้มข้นของคุณสมบัติของแฝดปีศาจหรือ doppelgänger

เริ่มต้นด้วยตัวหนังที่สำเร็จเสร็จสิ้นแล้วเผยแพร่อย่างคู่แฝด หนึ่งคือสารคดีชุดขนาดสั้น 9 ตอนจบ (ความยาวรวมประมาณ 97 นาที) เท่าจำนวนจังหวัดในภาคอีสานที่แม่น้ำชีไหลผ่าน อัพโหลดให้กดชมออนไลน์ และใช้ภาพสีปนขาวดำ ส่วนอีกหนึ่งคือฉบับหนังยาว 107 นาทีที่ต่างกันเล็กน้อย แต่ลำดับเรื่องราวเหมือนฉบับสารคดีชุด ฉายครั้งแรกที่ TCDC จังหวัดขอนแก่นเมื่อวันคริสต์มาสอีฟ และตลอดทั้งเรื่องใช้ภาพขาวดำที่ผ่านการห่มคลุมตกแต่งด้วยฟิลเตอร์เนื้อฟิล์ม ซึ่งกลับยิ่งขับเน้นสัมผัสเนื้อภาพแบบดิจิตอลให้เตะตากว่าปกติ

“ตัวละคร” ในเรื่องออกเดินทางตามรอยอารยธรรมลุ่มน้ำชี จากต้นน้ำที่ชัยภูมิไปสิ้นสุดที่อุบลราชธานี เลนส์กล้องกวาดบันทึกภาพบรรดาสิ่งซึ่งหนังให้นิยามว่าคือ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, สภาพแวดล้อมทางสังคม และร่องรอยอารยธรรมของผู้คน” ทั้งซากปราสาทหินโบราณ ศาลเจ้าสิ่งสักการบูชา วัตถุอนุรักษ์ในพิพิธภัณฑ์ พันธุ์ปลาน้ำจืดในอควาเรียม หรืออาจหมายรวมถึงกระทั่งสภาพบ้านเมืองสมัยใหม่ แต่สิ่งที่คนดูแทบไม่ได้เห็นเลยคือสายน้ำที่เป็นแกนหลัก เพราะแม่น้ำชีเคยถูกวิชชานนท์ใช้เป็นภาพหลักมาแล้วในหนังสั้น Chee’s Civilization Visual Sketch (2021) – อีกหนึ่งแฝดปีศาจลับแล (เพราะเป็นหนังที่แทบไม่มีใครได้ดู) ซึ่งปราศจากตัวละครหรือเส้นเรื่องเบลอเลือนทับซ้อนอย่าง Isan Sonata แต่ก็สอดส่ายสายตาหาร่องรอยอารยธรรมตามเส้นทางเดียวกัน

ขยับลึกลงไปในเนื้อหนัง นอกจากการหยิบใช้เพลง Masters of War (บ๊อบ ดีแลน / Bob Dylan) ที่มีแฝดเพื่อชีวิตคือเพลง คนกับควาย (สุรชัย จันทิมาธร) เมื่อเนื้อเรื่องเดินทางถึงขอนแก่น วิชชานนท์ยังอุปโลกน์อีกแฝดขึ้นเป็นเล่มในชื่อ Isan Journal – หนังสือปริศนาที่ตัวละครหลักค้นพบและซื้อต่อจากแผงมือสองในชัยภูมิ

Isan Journal เป็นตัวจุดประกายการเดินทางทั้งหมด แฝดอุปโลกน์รับบทแรงบันดาลใจให้ตัวละครถ่ายหนัง กองถ่ายขนาดย่อมของเด็กฟิล์มในเรื่อง (และของ Isan Sonata) เริ่มสั่งแอ็กชั่นจากต้นน้ำทางตะวันตกเฉียงเหนือสู่ปลายน้ำทิศตะวันออกเฉียงใต้ เดินสวนทางกับอีกแรงบันดาลใจคือแฝดหนังสือฝรั่งเศสอายุร่วม 140 ปี Isan Travels: Northeast Thailand’s Economy in 1883-1884 (เอเตียนน์ อัยโมนิแยร์ / Étienne Aymonier) ซึ่งเริ่มต้นบันทึกรายละเอียดของภาคอีสานจากบริเวณชายแดนติดกัมพูชาตามแผนที่ปัจจุบัน แล้วค่อยไล่สำรวจไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ

ภาพยนตร์อีกเรื่องกำลังถือกำเนิด เส้นเรื่องว่าด้วยการตามหาหญิงสาวลึกลับเริ่มจับต้องได้ ดำรงอยู่ในสถานะเรื่องแต่งของตัวหนังที่ประกาศตนเป็นสารคดีตามรอยอารยธรรมลุ่มน้ำชี ทว่ากระบวนการยังไม่ทันเสร็จสมบูรณ์ ผู้กำกับหนังเรื่องที่ว่า (เจ้าของหนังสือปริศนา) ก็ค่อย ๆ แปรสภาพเป็นตัวละครในอีกเส้นเรื่องหนึ่ง กระทั่งเพื่อนที่รับบทนักสืบข้ามเวลาตามหาหญิงสาวก็หลุดพ้นจากหน้าที่ของเรื่องแต่ง จากเด็กฟิล์มในกองถ่ายกลายเป็นอีกคู่แฝดปีศาจ ซึ่งทำตัวเสมือนภาพแทนเส้นทางสำรวจที่สวนทางกันของ Isan Journal กับ Isan Travels แล้วเคลื่อนมาบรรจบเป็นจุดตัดของสองแรงบันดาลใจที่จังหวัดยโสธร

เมื่อตัวละครทั้งสองในสถานะใหม่ได้รับรู้การมีอยู่ของกันและกัน แล้วหายสาบสูญหมดสิ้นหน้าที่ไปจากเวลาที่เหลืออยู่ของหนัง เส้นเรื่องและคำอธิบายใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น – สิ่งที่พวกเขากำลังตามหาอย่างแท้จริงอาจไม่ใช่ทั้งอารยธรรมหรือหญิงสาว (ซึ่งหนังไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรไว้มากกว่าความลึกลับของเธอ) หากคือนักประพันธ์

วิชชานนท์ปรากฏตัวพร้อมหญิงสาวเมื่อเรื่องเดินทางมาถึงศรีสะเกษ แล้วอยู่กับเราไปจนจบเรื่อง เขาไม่ได้สวมแค่หมวกผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Isan Sonata ที่กำลังใช้บทสนทนาอย่างการตอบคำถามสัมภาษณ์ เพื่อเฉลยโจทย์บางข้อให้คนดูได้พอแกะรอย แต่ยังสวมหมวกนักประพันธ์ตัวจริงของหนังสือที่ทำขึ้นใหม่เรื่อง Isan Journal อยู่ด้วยอีกใบ

เขาเฉลยเป็นนัยต่อหญิงสาวกับคนดูว่า Isan Journal ที่ตัวเองเขียนด้วยรูปแบบของบทภาพยนตร์ เพื่อเล่าเรื่องการตามหาหญิงสาวลึกลับในภาคอีสาน แล้วกลายเป็นทั้งวัตถุช่วยเดินเรื่องและหนังที่ซ้อนอยู่ใน Isan Sonata อีกต่อหนึ่ง คือแฝดปีศาจที่เพิ่งสร้างของ Six Characters in Search of an Author หรือ ตัวละครทั้งหกตามหานักประพันธ์ (ลุยจิ ปิรันแดลโล / Luigi Pirandello) บทละครอิตาเลียนอายุร่วมศตวรรษที่ใช้ความเป็นละครเวทีสะท้อนกลับไปยังกระบวนการสร้างกับปรัชญาของการละคร การเล่าเรื่อง และเรื่องเล่า

Isan Sonata ในเงื้อมมือของนักประพันธ์ จึงเป็นทั้งการหักล้างสารคดีด้วยเรื่องแต่งที่โดดข้ามตระกูลหนังไปมา หักล้างความเป็นภาพยนตร์ด้วยการเผยธาตุแท้ที่อยู่เบื้องหลัง และวิพากษ์สถานะของมานุษยวิทยาบันทึกทั้งหลาย เมื่อตัวละครนักสืบพูดโพล่งขึ้นกลางพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อารยธรรมว่า pseudo anthropology (มานุษยวิทยาจอมปลอม) แต่สำหรับใครที่ยังเหลือแรงใจจะตามหาสิ่งยึดเหนี่ยวจากนักประพันธ์ หลังผ่านเวลามาจนถึงช่วงท้ายเรื่อง ถ้อยแถลงของวิชชานนท์ก็ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายตายตัว เพราะในขณะที่กำลังตั้งคำถามหรือกระทำแย้งในสิ่งซึ่งมานุษยวิทยาบันทึกหรือพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่เคยทำ ตัวหนังก็ปฏิเสธแข็งขืนหากมีใครต้องการสถาปนาให้เป็นความถูกต้องหรือสิ่งทดแทน

ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดเชิงมานุษยวิทยาจำนวนหนึ่งไม่ปรากฏในตัวเรื่อง แต่คนดูอาจได้เห็นเมื่อลงแรงสืบค้นจนพบข้อมูลช่วยขยายความในเรื่องย่อหรือสารคดีเบื้องหลัง เช่น สถานที่ที่หนังตั้งกล้องถ่ายคือโบราณสถานจากยุคทวารวดีหรือลพบุรี หรือถูกกล่าวถึงในบันทึกเล่มใด หรือเหตุผลว่าทำไมท่ารถกับสถานีรถไฟสมัยใหม่ถึงสำคัญ – ในขณะที่ตัวผู้กำกับหรือนักประพันธ์ ซึ่งปกติในกรณีนี้ควรคาดหวังให้คนดูเชื่อถืออย่างนักมานุษยวิทยา ก็จงใจเปิดเผยข้อผิดพลาดต่อหน้ากล้อง (และตัวละครหญิงสาว) ผ่านมุขตลกหน้าตายอย่างการสับสนว่า 1883-1884 ในชื่อหนังสือ Isan Travels คือพุทธศักราชหรือคริสตศักราช หรืออ่านผิดคำบรรยายภาพภาษาฝรั่งเศส Le roi et la reine de Siam assistant au départ du <<Saghalien>> ว่าเขียนถึงจังหวัดร้อยเอ็ด

บทสนทนาเกือบทั้งหมดของตัวละครวิชชานนท์กับหญิงสาว ซึ่งเกิดขึ้นเพื่ออธิบายความคิดเบื้องหลังของหนัง (อย่างระแวดระวัง ลดเลี้ยวเฉไฉ เพื่อจะได้ไม่ผูกมัดตัวเอง) เกิดขึ้นบริเวณล็อบบี้โรงภาพยนตร์เครือแฟรนไชส์และขณะเดินทัวร์อควาเรียม (อ้างชื่อหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง Pirates of the Caribbean กับ Waterworld เสียด้วย) เมื่อหนังพาทั้งคู่กับคนดูไปจบเรื่องที่แม่น้ำชีตามชื่อเรื่องภาษาไทย จึงตีความได้เช่นกันว่าผู้กำกับกำลังหยอกล้อใครก็ตามที่เผลอเชื่อว่าเขากำลังทำหน้าที่เช่นนักมานุษยวิทยา เพราะ “อารยธรรมลุ่มน้ำชี” ที่หนังตามรอยจนเหมือนได้พบ ก็แทบไม่ต่างอะไรกับอควาเรียมแสดงพันธุ์ปลาน้ำจืด ซึ่งถูกจัดวางให้เป็นคู่แฝดปีศาจกับภาพยนตร์

pseudo anthropology จึงอาจไม่ได้หมายถึงเพียงบันทึกที่นักสำรวจคนขาวเขียน หรือพิพิธภัณฑ์ที่สร้างโดยส่วนกลางของรัฐไทยรวมศูนย์ และหากใครต้องการเค้นคอเอาความจริงจากนักประพันธ์ เขาคงตอบด้วยคำพูดท่อนหนึ่งที่หยิบยืมจากตัวละครผู้กำกับในบทละครของปิรันแดลโล – “ความจริงอะไรกันคุณ ขอทีเถอะ นี่เราอยู่ในโรงละครนะ ความจริงมีถึงจุดหนึ่งเท่านั้น”

Aftersun : พ่อในภาพสะท้อน

0

*หมายเหตุ : บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์

อันที่จริงมันก็คือการไปเที่ยวธรรมดาครั้งหนึ่ง พ่อพาเธอมาเที่ยวตุรกี จองผ่านเอเยนต์เอาไว้ นั่งรถทัวร์จากสนามบินมาโรงแรมที่ค่อนข้างหรูหรา จากนั้นก็ไม่ได้ไปไหน โรงแรมอยู่ใกล้ชายหาด ชีวิตวนเวียนอยู่ที่ห้องพัก สระน้ำ ตู้เกม บาร์และห้องอาหารในสวนของโรงแรม คืนวันหนืดเนือยของการถ่ายวิดีโอเล่นกันจากกล้องที่พ่อเพิ่งแกะกล่อง นอนฟังเพลง เล่นพูลกับเด็กที่โตกว่า เล่นเกมตู้ขี่มอเตอร์ไซค์กับเด็กวัยไล่เลี่ยกัน กินอาหาร คุยกับพ่อ พ่อทากันแดดให้ เดินเล่นในโรงแรม บางทีพ่อก็พานั่งรถทัวร์ไปวันเดย์ทริป ไปดูเมืองเก่า ไปหมักโคลนที่บ่อโคลนเดียวกันกับคลีโอพัตรา พอหมดเวลาพ่อก็พากลับบ้าน ส่งเธอที่สนามบิน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีดราม่าพ่อลูก การลาจากกันไปมันเรียบง่ายแบบนั้นแหละ

อันที่จริงมันเป็นเทปวิดีโอธรรมดาที่พ่อกับเธอผลัดกันถ่ายตอนไปเที่ยวด้วยกันในครั้งนั้น ภาพเธอ เธอถ่ายพ่อตอนกำลังเต้น พ่อชอบเต้นรำแต่เธอคิดว่ามันน่าอาย และพ่อถ่ายเธอ อ้อยอิ่งตรงประตูทางออกสนามบิน แอบมองหาพ่อที่รอจนเธอลับตาไปครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพของพ่อเรืองขึ้นในจอทีวี เงาของเธอที่ตอนนี้โตเท่าพ่อแล้วสะท้อนทับลงไปบนจอ ด้วยภาพเช่นนั้น เธอได้เห็นพ่ออีก อาจจะเห็นพ่อแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

อันที่จริงมันเป็นหนังเรื่องหนึ่ง หนังเล่าเรื่องที่ถูกเขียนขึ้นใหม่ ภาพยนตร์โดย Chorlotte Wells ที่มีที่มาจากความทรงจำของการไปเที่ยวกับพ่อเมื่อครั้งเธอยังเด็ก ภาพยนตร์ถูกทำขึ้นคล้ายการกลับไปจำลองโมงยามเหล่านั้น โดยไม่พยายามทำอะไรมากไปกว่าเหตุการณ์สามัญของการไปเที่ยววันหยุด ไม่มีดราม่า ไม่มีเรื่องเล่าซาบซึ้งใจ หรือน่าตื่นเต้น จากต้นจนจบ ที่เหลือผู้ชมต้องปะติดปะต่อความสัมพันธ์ อดีต และอนาคตของพ่อลูกคู่นี้เอาเองจากข้อมูลแวดล้อมต่าง ๆ ที่หนังทิ้งไว้ให้ผ่านบทสนทนาหรือการไม่สนทนา

ความทรงจำเปลี่ยนรูปไปเป็นเรื่องแต่ง ในเรื่องแต่งมีสารคดีของการบันทึกการเดินทาง สายตาของหนังจึงเป็นสายตาน่าตื่นเต้นของการมองกลับไปกลับมา โดยไม่มองกันตรงหน้า ผ่านการบันทึกลงในสื่ออย่างกล้องวิดีโอ และกล้องถ่ายหนัง และผ่านเวลา เมื่อตัวละครเป็นผู้ย้อนมองวีดีโอนี้และผู้กำกับหนังย้อนมองตัวเองผ่านการสร้างมันขึ้นมาใหม่

หนังจึงไม่ได้เป็นภาพยนตร์แห่งการมองหน้าตรง แต่เป็นภาพยนตร์แห่งการลอบมองและย้อนมอง เพราะตรงหน้าเป็นเพียงเหตุการณ์เปลือยเปล่าของการไปเที่ยวที่ไม่ได้ค้นพบอะไรใหม่ โดยมากว่ายวนอยู่ในพื้นที่ของโรงแรม และถ้าออกไปข้างนอกก็ไปกับการซื้อทัวร์ตามหมุดหมายสำหรับนักท่องเที่ยว เราอาจแบ่งภาพของหนังได้เป็นสามสายตา สายตาแรกคือสายตาของหนังที่จับจ้องพ่อลูก – สนิทชิดใกล้จนแนบไปกับเนื้อหนังและสรีระ สายตาที่สองคือสายตาที่คนทั้งสองมองกันและกันผ่านกล้องถ่ายวิดีโอที่ทั้งคู่ใช้ร่วมกัน ฉากหนึ่งโซฟีถ่ายพ่อของเธอและถามว่าเขาคิดว่าตัวเองตอนอายุเท่าเธอคิดถึงตัวเองตอนอายุเท่าเขาตอนนี้ว่าอย่างไร และเขาไม่ตอบ กับสายตาของพ่อที่สั่งลาเธอผ่านทางการถ่ายเธอเอาไว้ตรงปากทางสนามบิน สายตาหวนไห้แห่งการรำลึก เพราะวิดีโอเป็นสิ่งที่จะอยู่ไปตลอด เหตุการณ์จบลง ความทรงจำนั้นไม่แน่นอน แต่ในวิดีโอเวลาที่ถูกแช่แข็งเอาไว้เล่นซ้ำได้ไม่รู้จบ และตัวละครทั้งพ่อและลูกในเวลาต่อมา สารภาพ หวนรำลึก และจดจำผ่านวิดีโอนั้นทั้งกับพ่อในห้องมืดทึมของโรงแรม หรือโซฟี, หลายปีต่อมา, ในบ้านของเธอเอง

แต่สายตาที่สำคัญที่สุดของหนังคือสายตาของภาพสะท้อนและการลอบมอง ตลอดเวลาหนังมักเสจากใบหน้าของตัวละครไปถ่ายภาพสะท้อน จากจอนูนของทีวีในห้องโรงแรม จากกระจกปูโต๊ะ จากรูปถ่ายโพลารอยด์ จากกระจกบนโต๊ะเครื่องแป้ง เงาสะท้อนของน้ำในสระ เงาของบ่อโคลนหมักตัว ภาพสะท้อนกลายเป็นการลอบมอง ภาพสะท้อนสะท้อนความจริงทุกข์เศร้าที่ถูกซ่อนไว้ภายใน เราเห็นก็ต่อเมื่อเรามองจากระยะที่เหมาะสม ที่ไกลออกไป และไม่เผชิญหน้า

โซฟีจึงเห็นจากภาพสะท้อนนั้นว่าพ่อเป็นคนหนุ่มอายุ 31 ที่เศร้าสร้อย เขาพาเธอมาเที่ยวอาจจะด้วยเงินทั้งหมดที่เหลืออยู่ พยายามทุกอย่างที่จะสร้างโมงยามดี ๆ ให้เธอจดจำ แต่ดูเหมือนพ่อนั้นเศร้า พ่อที่เจ็บปวดอย่างรุนแรงด้วยคำพูดไม่กี่คำของเธอ แต่ซ่อนมันไว้จากเธอ ซ่อนมันไว้ในร่างกายที่เคลื่อนขยับไปตามเสียงดนตรี แต่เธอไม่ชอบการเต้น การเต้นพรากพ่อไปจากเธอ พ่อเต้นรำออกไปจากชีวิตของเธอ เพราะสำหรับพ่อ การเต้นคือความร่าเริงที่ถูกขุดขึ้นมาเพื่อห่อหุ้มความแตกสลายข้างในเอาไว้

ไกลไปกว่านั้นสายตาของหนังยังลอบมองสายตาของโซฟี และความรู้สึกทางเพศของเธอ โซฟีในตอนนั้นยังเด็กเกินกว่าจะเป็นวัยรุ่นตามก๊วนพี่ ๆที่เธอเจอที่โต๊ะพูล แต่ก็โตเกินกว่าจะเล่นกับเด็ก ๆ ด้วยกัน แม้แต่ไอ้หนุ่มตู้เกมก็เด็กไปสำหรับเธอ และความโดดเดี่ยวของการติดอยู่ตรงกลางนั้นทำให้เธอใช้สายตาจ้องมองหญิงสาวที่โตเต็มวัยด้วยความปรารถนาและความอยากเอาอย่าง ในทุกครั้งที่โซฟีหลุดเดี่ยว เธอมักจะเป็นแค่พยานรู้เห็นเหตุการณ์ หนังมักแพนจากใบหน้าไปเป็นสายตาที่เธอจ้องมองสิ่งต่าง ๆ หนังบันทึกความตื่นรู้ทางเพศของเธอผ่านสายตา ขณะที่จูบแรกของเธอเป็นการเล่นสนุกมากกว่าความรู้สึกทางเพศจริง ๆ และถูกลอบมองผ่านสายตาของคนอื่นอีกทอดหนึ่ง

พ่อลูกจึงไม่ได้เปิดเผยอะไรต่อกัน จากกันแล้วไม่อาจรู้ว่าได้พบกันอีกไหม ห่างเหินกันไปตลอดกาลหรือเปล่า หนังขึ้นและลงอยู่ตรงจุดที่ดีที่สุดในชีวิต แต่เรารู้ว่าโซฟียังคงเก็บพ่อไว้ในส่วนหนึ่งของชีวิต พรมที่พ่อหลงใหลจนต้องซื้อกลับมายังอยู่กับเธอ วิดีโอของพ่อก็ยังอยู่กับเธอ และเธอยังคงฝันเห็นพ่อ ในความมืด กลางแสงไฟวิบวับ ยังคงเต้นรำเพื่อให้ลืม และเธอพยายามจะดึงพ่อออกมาจากการเต้นรำอันเป็นนิรันดร์นั้น

Aftersun อาจจะเป็นหนังที่ประหลาด เพราะดูเหมือนเรื่องราวจะอยู่ในอากาศและในหัวของผู้ชมมากกว่าบนจอ มันเป็นหนังแห่งการจ้องมองและการสืบสวนสอบสวนจากหลักฐานที่มีอยู่ จากนั้นจินตนาการปะติดปะต่อเรื่องราว หลายต่อหลายครั้งก็อาศัยปูมหลังส่วนตัวของนักสืบ/ผู้ชม เพื่อที่จะเข้าใจตัวละครพ่อลูกที่กำลังเที่ยวเล่นนี้ ด้วยวิธีการนั้นเองผู้ชมจึง ‘จ้องมองจากระยะไกล’ เพราะมีแต่การมองกันและกันจากระยะที่ไกลพอเท่านั้น เราจึงจะเห็นตัวตนของอีกคนหนึ่ง ทั้งที่เราเคยมองเห็นและมองไม่เห็น อยากมองและไม่อยากมอง ตัวละครมองเห็นอีกคนผ่านการมองจากระยะที่ไกลและเวลาที่ไกล ขณะที่ผู้ชมค่อย ๆ ถูกดึงดูดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวเหล่านี้ ให้ภาพยนตร์เป็นการประกอบสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ สร้างความอมพะนำของการจากลา ลูกที่ฉีกขาดออกจากพ่อเพราะกำลังโต พ่อที่ฉีกขาดออกจากลูกเพราะไม่ยอมโต อาศัยอยู่ในทางเดินของสนามบินไปตลอดกาล

Japanese Film Festival 2023 (2) : เติมขนมให้วันหวาน

*อ่านตอน 1 ได้ที่ Japanese Film Festival (1) : ผ่านชีวิตในวันขม

ภาพจำหนึ่งที่ส่งอิทธิพลถึงผู้ชมชาวไทยมานาน จนกลายเป็นทั้งจุดขายที่แข็งแรงและความคาดหวังอันคุ้นเคยต่อหนังญี่ปุ่นกระแสหลัก คือภาพยนตร์กลุ่มที่อาจเรียกรวม ๆ ได้ว่าออกฤทธิ์อย่างขนมหวาน –โรแมนติก ซาบซึ้ง หัวเราะได้ เบาสบาย ชุบชูใจ ให้พลังบวก– ซึ่งเมื่อวางเทียบกับความเคร่งขรึมของหนังสายแข็ง หลายครั้งก็เลี่ยนแสบคอหรือซ้ำซากน่าเบื่อ แต่ถ้าจัดวางความหวานให้ออกฤทธิ์บนจออย่างพอเหมาะ รสขนมแบบหนังญี่ปุ่นกลุ่มนี้ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว

©2022 “Kids Konference” Film Partners

เทศกาลปีนี้เลือกฉายสารคดีประเด็นแม่และเด็กของ Tomo Goda ทั้งหมดสองเรื่องคือ May I Quit Being a Mom? (2020) กับ Kids Konference (2022) – ประเด็นภาวะซึมเศร้าหลังคลอดและภาระหน้าที่ของแม่ลูกเล็กในสังคมญี่ปุ่นของเรื่องแรกนั้นน่าสนใจก็จริง แต่ตัวหนังกลับเรียงเรียงได้ชวนสับสนวกวน บทความนี้จึงเขียนถึงเฉพาะเรื่องหลัง ในฐานะสารคดีญี่ปุ่นรสขนมที่มีสายตาน่าสนใจ

หนังถือกล้องเข้าไปพูดคุยสัมภาษณ์และบันทึกกิจกรรมในโรงเรียนอนุบาล (เนอสเซอรี) แห่งหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม กิจกรรมที่หนังมองเห็นเป็นสิ่งแปลกใหม่จนถูกหยิบมาใช้เป็นชื่อเรื่องคือ “การประชุมเด็ก” ซึ่งครูพี่เลี้ยงจะเวียนกันรับหน้าที่ moderator คอยคุมวงคุยรายสัปดาห์ให้เด็กวัย 6-7 ขวบ คอยแลกเปลี่ยน สะท้อนบทสนทนา ไหลไปตามความไร้เดียงสาของเด็กวัยอนุบาล แต่ก็ไม่ได้มีเพียงกิจกรรมนี้ หนังยังทำหน้าที่บันทึก “ระบบนิเวศ” ของที่นี่ ทั้งปฏิสัมพันธ์ที่เป็นไปโดยธรรมชาติระหว่างเด็ก ๆ เมื่ออยู่หน้ากล้อง และระบบที่โรงเรียนได้ออกแบบไว้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ

Kids Konference คือสารคดีประเภทที่ถ้าสรุปย่อจนเหลือแค่เนื้อประเด็นแล้วชวนหลับ คงฟังดูเป็นหนังโลกสวยสร้างสรรค์สังคมน่าเบื่ออีกเรื่องหนึ่ง สิ่งที่ทำให้หนังสนุกคือวิธีเล่าเรื่องเบาสบายอย่างสารคดีทีวีหรือรายการเรียลลิตีญี่ปุ่น (ซึ่งมีรสชาติเฉพาะตัวเป็นเอกลักษณ์เช่นกัน) การจับภาพความน่ารักของเด็ก พาคนดูเข้าไปใกล้ชิดกิจกรรมหลากหลาย ใช้เสียงบรรยายที่สนุกสนาน สว่างไสว ฟังดูเป็นมิตร จนชวนให้นึกถึงรายการคลาสสิกทั้ง TV Champion กับ Old Enough! (ผจญภัยวัยอนุบาล, ที่เพิ่งกลับมาไวรัลเป็นกระแสอีกครั้งหลังลงเน็ตฟลิกซ์) เป็นความเบาสบายที่ตรงไปตรงมา ถ้อยทีถ้อยอาศัย และไม่ทิ้งเนื้อหาสำคัญคือพัฒนาการของเด็กวัยอนุบาล

©2021 “And So the Baton Is Passed” Film Partners

ในบ้านเกิด Tetsu Maeda อาจเริ่มเป็นที่รู้จักแบบย่อมๆ จาก School Days with a Pig (2008) แต่สำหรับขาประจำเทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่นในไทย A Banana? At This Time of Night? (2018) คือหนังขนมรสแปลกที่หลายคนยังจดจำ ด้วยรูปลักษณ์อย่างหนังตลกไร้สติแต่สำรวจตัวละครผู้พิการได้แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร – And So the Baton Is Passed (2021) อาจทำให้ชื่อเขาเป็นที่จับตามากขึ้นอีก หลังเริ่มมีชื่ออยู่ในลิสต์รางวัลปลายปีกับเขาบ้าง แถมยังส่งนักแสดงหญิงเข้าชิงออสการ์ญี่ปุ่นได้ทั้งคู่ ถึงจะเป็นขนมที่ได้ฟีดแบ็คแตกไปคนละทาง บ้างว่าประโคมน้ำตาลหนักจนกลืนไม่ลง แต่อีกฝั่งก็ว่ากินได้เรื่อย ๆ แถมมีเซอร์ไพรส์

บาตองคือไม้ผลัด และไม้ผลัดในเรื่องนี้คือความรัก (เข้าใจแล้วว่าทำไมหลายคนบอกว่าเลี่ยน) ทั้งรักแบบโรแมนติกและรักของพ่อแม่ที่มอบให้ลูก ถึงจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ โดยสายเลือดก็ตาม – ไม้ผลัดของริกะ (Satomi Ishihara) คือมี่ตัน (Kurumi Inagaki) ลูกสาววัยประถมของสามีที่เลิกกันเมื่อเขาเลือกไปทำตามฝันที่บราซิล เธอดึงเด็กน้อยมาเป็นของตัว แล้วเริ่มแต่งตัวสวยเข้าหาผู้ชายมากมาย หวังจับให้ติดมือได้มาเป็นสามีใหม่ ส่วนยูโกะ (Mei Nagano) คือเด็กสาวมัธยมโลกสวยไร้พิษภัยที่ใช้รอยยิ้มรับมือสิ่งรอบตัว เป็นไม้ผลัดที่พ่อเลี้ยง (Kei Tanaka) รับต่อมาจากภรรยาที่ทิ้งเขาไป กำลังอยู่ในวัยที่ตัวเธอเองกำลังอยากให้ใครสักคนมารับช่วงไม้ผลัดต่อจากพ่อเลี้ยงที่ดูแลเธอเหมือนลูกแท้ ๆ มานาน

หนังตัดสลับสองเส้นเรื่องดังกล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ (ถ้าไม่เผลออ่านเรื่องย่อที่เฉลยมากเกินไปมาก่อน) แล้วกระตุกคลายปมที่ผู้ชมไม่ทันได้รู้สึกว่ามีอยู่อย่างฉับพลัน แล้วเดินเรื่องต่อด้วยความซาบซึ้งน้ำตาร่วง ในระดับที่อาจถึงขั้นเรียกได้ว่า Maeda กำลังตะล่อมให้คนดูเผลอมอบความรู้สึกอบอุ่นหัวใจให้คำลวง แต่ก็ด้วยการแสดงที่สว่างไสวเหลือเกินของ Nagano เสน่ห์ที่ทั้งเย้ายวนแต่ก็ตลกแปลก ๆ ของ Ishihara และคุณสมบัติที่เหมือนหลุดมาจากโลกแฟนตาซีของ Kenshi Okada (เทพบุตรนักเปียโนที่ยูโกะหลงรัก) คำลวงของริกะที่หนักหนาระดับควรตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่ทุกตัวละครกลับน้ำตาไหลชนิดไร้ข้อกังขา ถึงยังพอสอบผ่านเรื่องการโน้มน้าวให้คนดูหลงเชื่อคล้อยตาม

©2022 “BL Metamorphosis” Film Partners

Slice of life ที่เรียบง่ายและรื่นรมย์ก็เป็นขนมอีกประเภทที่หนังญี่ปุ่นทำได้ดี แล้วขนมชิ้นเล็กหน้าตาดีที่เทศกาลปีนี้นำเสนอก็กำลังเป็นกระแส หวานกำลังดี น่ารักให้กำลังใจ ถ่ายรูปลงโซเชียลก็ดูดี แถมมีการ์ตูนวายให้ร่วมกันหวีด – ยอดจองตั๋ว BL Metamorphosis (2022) ของ Shunsuke Kariyama ที่เต็มเร็วจนต้องเพิ่มรอบ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

เหมือนขั้วตรงข้ามของแฟนตาซีในโลกวายหรือ BL (Boys’ Love) ส่วนใหญ่ที่มีแต่ความสัมพันธ์ของผู้ชาย หนังที่มีการ์ตูนวายเป็นศูนย์กลางเรื่องนี้ขับเคลื่อนแบบไม่เร่งรีบด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหญิงเป็นสำคัญ (กระทั่งเส้นเรื่องบาง ๆ ที่เกี่ยวกับตัวละครชายก็ไม่ได้จบลงอย่างหนังรัก) มิตรภาพที่กลายเป็นความประทับใจเกิดขึ้นในร้านหนังสือ คุณยายยูกิ (Nobuko Miyamoto) หยิบการ์ตูนวายเล่มหนึ่งกลับบ้านเพราะภาพสวยดี แล้วชีวิตวัยชราที่เงียบเหงาก็ได้พบทั้งประสบการณ์ใหม่กับเพื่อนใหม่วัยหลานคืออุราระ (Mana Ashida) สาววายมัธยมที่ทำงานพิเศษอยู่ร้านหนังสือ และเก็บความฝันอยากวาดการ์ตูนวายสักเรื่องไว้ในใจอยู่เงียบ ๆ

ชีวิตของยูกิกับอุราระขยับเป้าหมายไปทีละหน่อย เรื่องราวก็ขยับเล็ก ๆ ไปทีละน้อยหลังยายหลานได้เริ่มสานสัมพันธ์ – ได้เพื่อนคุยถูกคอสักคน ได้รู้จักนิตยสารการ์ตูนวายรายเดือน ได้การ์ตูนเรื่องใหม่ ๆ จากคลังสมบัติของเพื่อนใหม่ ได้ลุ้นว่าเมื่อไหร่สองหนุ่มหน้าสวยในการ์ตูนจะพบความสุข ได้ลงมือวาดผลงานเป็นของตัวเองสักเรื่อง ได้ทำโดจินไปขายในเทศกาลการ์ตูน ได้เจอเซนเซผู้รังสรรค์การ์ตูนเล่มเปิดโลกของคุณยาย (Kotone Furukawa น้องสาวผมบ๊อบจาก Wheel of Fortune and Fantasy ขโมยซีนด้วยความเท่เก๋ชนิดเกินต้าน) ปราศจากดราม่าบีบคั้นหัวใจ หรือสถานการณ์ที่พยายามโยนอะไรใส่คนดูจนต้องลุ้นใจหายใจคว่ำ เมื่อเป้าหมายสำคัญสูงสุดของหนังเรื่องนี้คือ การบอกเล่าถึงความรู้สึกว่าได้รับการมองเห็น มีแรงสนับสนุนเติมใจเล็ก ๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ต่อให้จะเป็นแค่ไม่กี่คน หรือผลงานขีดเขียนที่ดูไม่สลักสำคัญอะไร แต่มีหัวใจเต้นอยู่ในคลื่นความถี่เดียวกัน

©2022 “The Fish Tale” Film Partners

ปิดท้ายด้วยไอติมรสหมึกดำโรยปลาแห้งอย่าง The Fish Tale (2022) ผลงานล่าสุดของ Shuichi Okita คนทำหนังญี่ปุ่นร่วมสมัยสำคัญที่สุดอีกคนหนึ่ง คราวนี้ก็ยังท็อปฟอร์มต่อเนื่องด้วยน้ำเสียงเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเจอโจทย์วัตถุดิบพิสดารหรือแลดูซ้ำซากธรรมดา เขาก็ยังสรรหาวิธีปรุงส่วนผสมยกระดับรสชาติให้กลมกล่อมกินใจได้ ไม่ต่างจากเมื่อครั้ง A Story of Yonosuke (2012) Mori, the Artist’s Habitat (2018) และ One Summer Story (2020)

เพราะทุกลมหายใจเข้าออกมีแต่ปลา วาดรูปปลา อ่านเรื่องปลา ไปดูปลา กินแต่ปลา ทำหนังสือพิมพ์โรงเรียนก็เรื่องปลา ไม่แปลกที่มี่โบ (Non) จะถูกมองเป็นยัยเด็กที่ประหลาดจนน่าเป็นห่วง เว้นเสียแต่ว่าโลกที่มี่โบอยู่ดูเพี้ยนเสียยิ่งกว่าความคลั่งไคล้ในสัตว์น้ำที่เธอเป็นเสียอีก ตั้งแต่พ่อที่ฉีกปลาหมึกยักษ์เป็นๆ ด้วยมือเปล่า ตาลุงใส่หมวกปลาที่ชอบโผล่หน้ามาทักบุ๋งๆ จนเด็กไม่กล้าเข้าใกล้ โตขึ้นมาหน่อยก็มีพวกหัวหน้าแก๊ง มารแดง มารฟ้า (หนึ่งในนั้นคือนักแสดงยอดเยี่ยมเมืองคานส์ Yuya Yagira) มาคอยหาเรื่อง แต่ก็รอดตัวมาได้เรื่อยๆ ก็เพราะทุกลมหายใจเข้าออกที่มีแต่ปลา

ดูเหมือนรอยยิ้มสดใสของมี่โบ รวมถึงชีวิตจิตใจที่เกิดมาแล้วไม่สามารถวางเป้าหมายหรือคิดเรื่องอื่นได้อีกยกเว้นปลา กำลังถูกกำกับหรือจัดวางไว้ในการ์ตูนตลกหลุดโลกปั่นประสาท คนดูนั่งขำน้ำตาเล็ดให้ตัวละครบวม ๆ บทพูดเพี้ยน ๆ และมุขตลกปั่นประสาทที่ชวนให้นึกถึง Cromatie High School (คุโรมาตี้ โรงเรียนคนบวม) หรือ Gintama (กินทามะ) กระทั่งถึงจังหวะที่ Okita ลดพลังงานลงแค่เล็กน้อย ปรับความสดใสในรอยยิ้มและสายตาของมี่โบลงอีกนิดหน่อย เพื่อผลสะเทือนมหาศาลคือการกระตุกคนดูกับมี่โบกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง – เมื่อความฝันและความชอบที่แน่วแน่จนบดบังความเป็นไปได้ของสิ่งอื่น กำลังเผชิญบททดสอบและความท้าทายของชีวิต

ไม่ใช่ว่าหนังตั้งใจแหกโค้งเพื่อหักหลังคนดูผู้คาดหวังความสดใสแบบการ์ตูนจาก The Fish Tale และการแสดงของ Non (ได้เข้าชิงนำหญิงออสการ์ญี่ปุ่นปีล่าสุด) โลกที่มี่โบเริ่มตระหนักถึงบททดสอบ กำลังมองไม่เห็นปลายทางว่าฉันชอบปลาแล้วชีวิตมันจะไปที่ไหนได้ (ถึงระบบความคิดของเธอจะไม่ได้คิดในลักษณะนี้ก็ตาม) ก็ยังเป็นโลกที่ชวนให้นึกถึงคุโรมาตี้กับกินทามะใบเดิม เพียงแต่คลื่นพลังงานของพวกคนแปลกๆ ที่เมื่อครั้งยังเด็กคงพลุ่งพล่านเป็นความประหลาดไปทุกทิศทุกทาง ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่หนึ่งคนสำคัญที่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนไปก็คือมี่โบ

เมื่อเส้นเรื่องสัมผัสใจแบบ A Story of Yonosuke สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีน้ำหนักน่าเชื่อถือในโลกบวมๆ แบบคุโรมาตี้หรือกินทามะ นั่นเองคือความสำเร็จของภาพยนตร์

Japanese Film Festival 2023 (1) : ผ่านชีวิตในวันขม

ผู้ชมหลายคนอาจสังเกตเห็นเหมือนกันว่า หนังชีวิตติดขมทั้งสามเรื่องใน เทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่น 2566 มีจุดร่วมเดียวกันอยู่ข้อหนึ่งคือ การเล่าเรื่องซึ่งเน้นให้คนดูค่อย ๆ ร่วมรับรู้ถึงแรงสะเทือนที่ขยายวงจากจุดศูนย์กลางของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์รุนแรงเปลี่ยนชีวิต หรือแค่การดำรงอยู่ของคนคนหนึ่ง แล้วแตกรายละเอียดไปยังตัวละครรายล้อมอย่างหนังหลากชีวิต

สองในสามเรื่องคือผลงานของ Keisuke Yoshida ผู้กำกับที่ทำหนังยาวมาตั้งแต่ปี 2005 แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในไทยมากนัก เพราะผลงานส่วนใหญ่ของเขาเป็นหนังตลกเบา ๆ ไม่มีลุคแบบขาประจำเทศกาลหรือเวทีรางวัล (Café Isobe, 2008) เคยมาฉายในเทศกาลภาพยนตร์ตลกโลกที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2009 ส่วนหนังดังสุดคงหนีไม่พ้นเวอร์ชั่นคนแสดงของ Silver Spoon (2014) แตกต่างสุดขั้วกับทั้งสองเรื่องนี้ที่ถึงจะยังหยอดมุกตลกไว้ระหว่างทาง แต่ก็เป็นหนังดราม่าขายการแสดงที่เล่าเรื่องขม ๆ หนัก ๆ เศร้า ๆ อย่างเต็มตัว

©2021 “Intolerance” Film Partners

Intolerance (2021) หนืดข้นด้วยแรงเสียดทานของความไม่รู้ ความเจ็บปวด และความรู้สึกผิดที่กัดกินทุกตัวละครล้อมรอบอุบัติเหตุในเมืองชายทะเล เด็กหญิงอมทุกข์ถูกผู้จัดการซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่นลากข้อมือเข้าหลังร้านเพราะสงสัยว่าขโมยยาทาเล็บ ได้จังหวะวิ่งกระชากหนีออกไป ผู้จัดการหนุ่มไล่กวดไม่ยอมปล่อย พอจวนตัวเด็กสาวหักเลี้ยวลงถนน จังหวะตัดหน้ารถเก๋งที่คนขับเป็นสาววัยรุ่นพอดี ตัวเด็กสาวกระเด็นไปตกที่อีกเลนถนน พยายามยันตัวยืนขึ้นขณะที่ทุกคนตรงนั้นกำลังช็อก แล้วรถบรรทุกสินค้าก็พุ่งเข้าชน ลากร่างเธอไปไกลหลายสิบเมตร ทิ้งรอยเลือดไว้เป็นทางยาว
ตำบลกระสุนตกหลังความตายกลายเป็นข่าวดราม่า (สื่อญี่ปุ่นในเรื่องสภาพดีกว่าสื่อไทยกระแสหลักไม่เท่าไหร่) คือผู้จัดการหนุ่ม (Tori Matsuzaka) ที่เพิ่งกลับมารับช่วงกิจการครอบครัว เด็กนักเรียนต้องมาตายสังเวยยาทาเล็บ ลูกค้าที่น้อยอยู่แล้วก็ยิ่งน้อยหนัก ในขณะที่พ่อชาวประมง (Arata Furuta) ก็ใช้ความสูญเสียเป็นแรงพุ่งชน พยายามพิสูจน์ล้างบาปอย่างไร้ทิศทางว่าลูกสาวไม่ใช่พวกขี้ขโมย ไอ้เจ้าของร้านมีประวัติมันต้องคิดไม่ซื่อกับเด็กแน่ แล้วต่อให้ขโมยจริงก็คงเพราะพวกบุลลี่ที่โรงเรียนบังคับมา ผสมจนยากจะแยกกับความรู้สึกผิดที่ตัวเองไม่เคยฟังลูก แต่ก็ไม่ฟังเมียเก่าที่เพิ่งเจอลูกสาวไม่กี่วันก่อนตาย และยังไม่รู้ตัวหรือไม่รู้วิธีถอดทิ้งหน้ากากยักษ์มารที่คอยคุกคามแยกเขี้ยวใส่คนรอบตัวมาตลอดชีวิต

ฉากตำรวจสอบปากคำรถทั้งสองคันหลังอุบัติเหตุ สรุปก้อนความคิดว่าด้วย “ความรู้สึกผิด” ของหนังไว้ได้ดีที่สุด –คนขับรถบรรทุกเถียงตำรวจว่าเห็นเด็กก็จริง แต่รถมันเบรกทันทีไม่ได้ ในขณะที่เด็กสาวคนขับรถเก๋งตัวสั่นจะร้องไห้อยู่ตลอด– เพราะสิ่งที่หนังเล่าให้เห็นเป็นภาพหลังจากนั้นคือ มีแค่คนที่ยังรู้สึกรู้สาเท่านั้นที่เจ็บปวดไม่จบสิ้น ผู้จัดการที่ไม่อยากคิดแต่อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคือต้นเหตุ พ่อที่รู้สึกผิดแต่ไม่กล้ายอมรับว่าละเลยลูกสาว คนขับรถเก๋งที่เพียรพยายามกราบขอโทษพ่อแต่ไม่ได้รับการให้อภัย ไปจนถึงครูในโรงเรียนที่เคยทักพฤติกรรมช่วงก่อนตายของเด็กหญิง

จากรูปลักษณ์และเนื้อเรื่องที่ชวนให้คิดว่าเป็นหนังขายประเด็น (ซึ่งหนังก็เล่าผลกระทบของสื่อหิวข่าวต่อคนในข่าวได้หนักแน่น ตีตรงจุด แสบเอาเรื่อง) Intolerance กลับคลี่คลายด้วยปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์เป็นหัวใจหลัก (อีกตัวละครสมทบที่เขียนบทและแสดงได้น่าจดจำคือ แคชเชียร์รุ่นแม่ที่แอบชอบผู้จัดการหนุ่ม) ความจริงเบื้องหลังที่เคยเป็นน้ำหนักถ่วงพ่อกับผู้จัดการหนุ่มคลายความสำคัญลง สื่อที่กินข่าวนี้จนเบื่อก็หาข่าวใหม่ขาย เหลือแค่คนเจ็บกับคนสูญเสียที่ยังต้องมีชีวิตต่อไป ไม่ใช่ความจริง (ซึ่งตัวละครได้ค้นพบในจังหวะที่แทบไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว) ที่ช่วยปลดปล่อย แต่คือการเริ่มต้นสะสางความรู้สึกระหว่างกันโดยไม่มีปัจจัยอื่นเป็นคลื่นรบกวน

©2021 “Blue” Film Partners

Yoshida มาเล่าเรื่องชีวิตแบบเต็มๆ กับ Blue (2021) หนังนักมวยที่พาคนดูเข้าไปทำความรู้จักทุกตัวละครอย่างลึกซึ้งและใจเย็น มีนักแสดงชื่อคุ้นที่ไว้ใจฝีมือได้ทั้ง Ken’ichi Matsuyama และ Masahiro Higashide กับเซอร์ไพรส์อย่างกิ้งก่าเปลี่ยนสีฝ่ายหญิงคนใหม่ของวงการหนังญี่ปุ่น Fumino Kimura และบทดราม่าเต็มตัวของ Tokio Emoto ที่อาจเคยเห็นเขาผ่านตาในบทสมทบหรือบทตลกเล่นใหญ่มานาน

หนังเปิดเรื่องด้วยสถานการณ์จับพลัดจับผลู เกือบจะเป็นหนังตลกล้อสูตรมังงะต่อยมวย เมื่อนาราซากิ (Emoto) พนักงานพาร์ทไทม์หน้าจ๋อยเดินมาขอเรียนมวยที่ค่ายเพราะอยากเอาวิชาไปแอ็กท่าเท่โชว์หญิง กว่าจะขมวดปมแล้วเฉลยจุดศูนย์กลางของเรื่องก็อีกพักใหญ่ – ความหมายของ “มุมน้ำเงิน” สำหรับมวยคู่เอกคือฝั่งผู้ท้าชิงเข็มขัด หนังเรื่องนี้มีชีวิตของคนที่ทุ่มเทเพื่อบรรลุเป้าหมายในการชกมวยอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ แต่ก็ไม่เคยได้ยืนมุมแดง ไม่ว่าจะบนเวทีหรือชีวิตจริง

เซียนมวยคงเรียกอุริตะ (Matsuyama) ว่ามวยส้วม นักมวยอายุสามสิบกว่าที่แม่นพื้นฐานตั้งการ์ดฟุตเวิร์ก มองคู่ต่อสู้ขาดจนแกะกลยุทธ์ได้ แต่ขึ้นเวทีแล้วแพ้มากกว่าชนะ ไม่ว่าเฮียเจ้าของค่ายจะหามวยอ่อนแค่ไหนมาประกบ เป็นครูมวยที่ต่อยแพ้แม้กระทั่งเด็กใหม่ในค่ายที่สอบใบเทิร์นโปรไม่ผ่าน แต่เขาเป็นมนุษย์ยิ้มรับ ต่อให้แพ้เป็นสิบไฟต์ วงการมวยไม่จำ รุ่นน้องหยามเอาว่าทำไมต้องให้ขี้แพ้มาสอน ก็ดูเหมือนว่าเข็มทิศชีวิตเดียวที่เหลืออยู่คือความลุ่มหลงที่มีให้การต่อยมวยสอนมวย – ไม่ใช่ด้วยความยึดติดดื้อด้านหรือปฏิเสธความจริง แต่ยอมรับสภาพด้วยซ้ำว่าก็มาได้แค่นี้

อุริตะไม่แสดงท่าทีขมขื่นหรือทดท้อใจให้ใครเห็นตรง ๆ มวลความเศร้าของหนังจึงตกอยู่ที่คนดู เราได้เห็นแพชชั่นกับความพยายามที่ไม่สัมฤทธิ์ผลในระดับชะตาฟ้าแกล้ง เห็นนักมวยอายุน้อยวิ่งแซงเขาไปทีละคน ต่อให้จะทัศนคติย่ำแย่ ไม่เคร่งวินัย หรือไม่ได้รักมวยล้นใจเท่าเขา เห็นตัวเปรียบเทียบตำตาอย่างโอกาวะ (Masahiro) นักมวยดาวรุ่งพรสวรรค์ที่กำลังเปล่งประกาย เป็นความหวังแชมป์ระดับประเทศคนแรกในรอบหลายสิบปีของค่าย หน้าตาดี ชีวิตดูดี ใกล้ได้แต่งงานกับจิกะ (Kimura) รุ่นน้องคนสนิทสมัยเรียนของอุริตะ แต่ตรงข้ามกับรุ่นพี่ที่ไม่มีปัญหาทางกาย แรงสะเทือนใต้กะโหลกตรงเยื่อหุ้มสมองที่สะสมใกล้เกินขีดจำกัดก็เริ่มกำเริบออกอาการ concussion ขั้นน่าเป็นห่วง จนไม่รู้จะได้คาดเข็มขัดแชมป์หรือต้องแขวนนวมทิ้งเวทีไปรักษาชีวิตก่อนกัน

แล้วเมื่อถึงจังหวะคนดูเริ่มการ์ดตก หนังก็โจมตีด้วยข้อมูลเล็ก ๆ ที่ดูไม่สลักสำคัญแต่สั่นสะเทือน บทสนทนาในห้องว่างที่เฉลยแรงกระเพื่อมของทุกชีวิต อุริตะไม่ได้เป็นแค่ไอ้ขี้แพ้ตลอดศกที่ต้องทนเห็นปลายทางฝันของตัวเองผ่านชีวิตคนอื่น หากยังเป็นผู้ส่งต่อแรงบันดาลใจคนสำคัญ อย่างน้อยก็กับคนธรรมดาไม่กี่คนบนโลกนี้ นาราซากิที่หวังแค่ทำเท่เริ่มอินกับมวยเป็นจริงเป็นจังเพราะความมุ่งมั่นของอุริตะ โอกาวะเริ่มต่อยมวยจนเป็นความหวังแชมป์เพราะอุริตะเป็นคนจุดประกาย และไม่ใช่แค่การชกมวยที่เขาส่งต่อให้รุ่นน้องดาวรุ่ง หญิงสาวที่เขารักและไม่อาจครอบครองก็เช่นกัน – ต่อให้เจ้าตัวจะไม่เคยมองเห็น หรือไม่กล้าตระหนัก เพราะถ่อมตัวเกินจะยอมรับหรือคิดว่าตัวเองเป็นแรงบันดาลใจให้ใครสักคนได้

©2022 “Love Life” Film Partners

Fumino Kimura ปล่อยพลังทางการแสดงอย่างน่าทึ่ง ในฐานะจุดศูนย์กลางของหนังสายประกวดเวนิซปีล่าสุดเรื่อง Love Life (2022) “หนังรัก” ของ Koji Fukada ที่ผู้ชมหลายเสียงลงมติว่าใจร้ายเลือดเย็นต่อตัวละคร แต่ก็ขุดลึกถึงก้นบึ้งความซับซ้อนของความรักได้หนักหน่วง เข้มข้น และเข้าอกเข้าใจ ปอกเปลือกมนุษย์ได้หมดจดด้วยชั้นเชิงคล้ายบทละครเวทีคลาสสิก

อุบัติเหตุร้ายแรงในวันแห่งความสุข สะเทือนชีวิตคู่ของทาเอโกะ (Kimura) กับจิโร่ (Kento Nagayama) อย่างถึงราก ทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกันค่อนข้างราบรื่นแม้พ่อฝ่ายชายจะเห็นค้าน ไม่ใช่เพราะฝ่ายหญิงเป็นแม่ม่ายลูกติด แต่เพราะความสัมพันธ์นี้เริ่มต้นด้วยการนอกใจ จนทำให้งานแต่งระหว่างจิโร่กับคนรักเก่า (Hirona Yamazaki) ที่ครอบครัวรับรองต้องเป็นหมัน – เหตุสลดผ่านไปเพียงไม่นาน ยังไม่ทันให้ใครทำใจสงบ เรื่องก็ยิ่งผูกปมแน่น เมื่อพ่อแท้ ๆ ของลูกชายทาเอโกะที่ทิ้งลูกเมียหายไปหลายปีกลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง ในฐานะคนเกาหลีหูหนวกเป็นใบ้ที่อาศัยข้างถนนเป็นที่หลับนอน
หนังเฝ้าจับสังเกตแรงกระทบของความสัมพันธ์และความรู้สึกทั้งหมดอย่างเงียบเชียบเยียบเย็น ให้คนดูรับสัมผัสของคลื่นใต้น้ำที่ค่อย ๆ ถูกกวนให้ขุ่นอย่างค่อยเป็นค่อยไป – สถานะคนเคยรักกับเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมผสมกันในความคิดทาเอโกะ ส่งแรงให้เธอเข้าไปพูดคุยคลุกคลีช่วยเหลือสามีเก่า ในขณะที่จิโร่กับคนรักเก่าก็มีบางอย่างยังไม่ได้เคลียร์กันให้หายคาใจ และเมื่อตะกอนทั้งหมดเริ่มฟุ้งกระจายได้ที่ หนังก็เผยตัวตนว่าแท้จริงแล้วกำลังเล่าเรื่องมนุษย์ที่ยึดโยงตัวตนไว้กับความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่ง และตอนนี้คำอธิบายเงียบ ๆ ที่แต่ละคนใช้ตอบตัวเองเสมอมาเมื่อหัวจิตหัวใจยังสงบมั่นคงอยู่ก็กำลังถูกสั่นคลอน

ทาเอโกะเลือกอาชีพนี้ในวันที่สามีเก่าหายสาบสูญไป ยึดโยงตัวตนกับการเป็นที่พึ่งของมนุษย์ที่คงอยู่ในสถานะเดียวกับเขา หวังจนเลิกหวังว่าจะได้พบกันอีกครั้ง เมื่อเขากลับมาจึงเดินหน้าเป็นที่พึ่งให้เขาอย่างเต็มที่ ส่วนจิโร่ก็ยึดโยงตัวตนกับการเป็นที่พึ่งทางใจให้ทาเอโกะ ผู้หญิงลูกติดผัวทิ้งที่พยายามตามหาเขาทุกวิถีทาง หรือกระทั่งพ่อแม่ฝ่ายชายที่ยกห้องเก่าให้ครอบครัวลูก ส่วนตัวเองก็ยังเลือกอยู่เฝ้าดูแลลูกหลานที่ห้องใหม่ในตึกข้าง ๆ แล้ววางฝันเล็ก ๆ แบบคุณปู่คุณย่าทิ้งไว้จนฝุ่นจับ โดยมีความคาดหวังบางอย่างซ่อนไว้ในใจ ซ่อนลึกถึงขนาดว่าถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ก็คงไม่มีใครรู้

ภาพยนตร์ของ Fukada ที่คนส่วนใหญ่คุ้นชื่อหลังปักธงในเทศกาลใหญ่อย่างคานส์ ไม่ว่าจะเป็น Harmonium (2016) หรือ A Girl Missing (2019) ล้วนขับเคลื่อนด้วยพล็อตที่จับความสนใจได้ตั้งแต่แวบแรก แต่สำหรับ Love Life เขาปล่อยให้ธรรมชาติและสัญชาตญาณของตัวละครได้เป็นผู้ควบคุมทิศทาง – รายละเอียดที่ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงทีละน้อยในนามของ Love และ Life จึงเป็นทั้งความร้าวรานกระทบใจที่ยิ่งใหญ่จนฝังลึก และรสขมที่กำลังค่อย ๆ จางไปแต่ยังไม่วายทิ้ง aftertaste ไว้อีกนาน


FILM CLUB YEAR LIST 2022 : ตอน 3

*อ่านตอน 1 ได้ที่ FILM CLUB YEAR LIST 2022 : ตอน 1
และตอน 2 ได้ที่ FILM CLUB YEAR LIST 2022 : ตอน 2

หรินทร์ แพทรงไทย / นักลำดับภาพ :
Sátántangó (1994, Bela Tarr)

จริงๆ มีหลายเรื่องที่เพิ่งได้ดูปี 2022 และประทับใจ (ส่วนใหญ่จะเป็นหนังเก่า) แต่ต้องขอเลือกเรื่องที่เป็นที่สุดแห่งประสบการณ์การดูหนังครั้งหนึ่งในชีวิตครับ ทุกเฟรม ทุกเสียง ทุกการเคลื่อนกล้อง ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการแสดง ทุกองค์ประกอบ

ธีรพันธ์ เงาจีนานันต์ / ผู้กำกับสารคดี ‘ไกลบ้าน’ และละครเวที ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’)
Decision to Leave (2022, Park Chan-wook)

ผมชอบปักชานวุกอยู่แล้ว หนังของเขาเล่าความน่ารังเกียจของมนุษย์บ่อย ๆ แล้วพอเขามาทำเรื่องนี้ก็รู้สึกว่ามันเป็นหนังรักที่จริง ๆ แล้วมนุษย์ขี้เหม็นโสมมมาก ๆ แต่ก็ช่างอ่อนโยนเหลือเกิน คือยิ่งรู้สึกว่ามนุษย์นี่ช่างชั่วช้า ความรักในเรื่องก็ช่างชุ่มชื่นใจเหลือเกินครับ

มิ่ง ปัญหา / นักวิชาการวรรณคดี
Everything Everywhere All at Once (2022, Daniel Kwan & Daniel Scheinert)

พอหนังเดินทางมาถึงตอนจบ เราก็เข้าใจนะที่หลาย ๆ คนบอกว่าสุดท้ายเราก็หนี ‘โลกความจริง’ ไม่พ้น แต่เราขอแย้ง เพราะเรื่องนี้มันบอกเราตลอดว่า เราไม่รู้แน่ชัดว่าอะไรจริงไม่จริงและให้คุณค่ากับจินตนาการสุด ๆ ชนิดที่ว่า คนยังมีนิ้วเป็นไส้กรอก (และไม่ได้แปลว่าคนพวกนั้นจะ ‘พิการ’ ด้วยนะ) ก้อนหินยังพูดได้ แถมยังมีลูกตาติดอยู่อีกต่างหาก (ลูกตาที่เวย์มอนด์ติดไปทั่วบ้าน ลูกตาที่อีฟเวอลินมองว่าไร้สาระ แต่ใช้เปิดทางเดินใหม่ให้กับคน) ร่างกาย สรรพสิ่ง หรือแม้แต่รัฐ ไม่มีอะไรที่จะเดินไปในแบบที่เราคิดหรือในแบบที่ตัวมันเองคิดแม้แต่อย่างเดียว หนังเรื่องนี้เน้นย้ำกับเราว่าพลังของงานศิลปะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนัง เป็นวรรณกรรม เป็นเพลง นั้นเปลี่ยนแปลงตัวเราได้มาก ชนิดที่เราเองก็ไม่คาดคิด

ถ้าจะบอกว่าหนังให้คุณค่ากับโลกความจริงบางชุดมากกว่า เราก็คงจะอยากย้ำว่า สำหรับเรา หนังมันส่งผลต่อตัวเรามหาศาลทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องจริงเลย ทุกคนที่ดูหนัง อ่านวรรณกรรม หรือฟังเพลงก็คงทราบว่า อีฟเวอลีน เดียดรี หรือโจบู โทปากิ ไม่มีจริง แต่ถ้าเราอยู่แต่กับความจริงหรือต้องอยู่แต่กับความจริง (ที่ใครกำหนดก็ไม่รู้) เราก็อาจจะไม่เดินมาดูหนังเรื่องนี้ด้วยซ้ำ จินตนาการอาจจะฟังดูปัญญาอ่อน เหมือนเอาลูกตาไปติดที่ของ หรือเหมือนการเอากระดาษกรีดนิ้วเพื่อรับพลังพิเศษ แต่ถ่าเราไม่จินตนาการ เราจะเห็นโลกนี้เดินไปในทางอื่นได้หรือ

ฐาปณี หลูสุวรรณ / ผู้กำกับภาพยนตร์ Blue Again
Our Blues (2022, Kim Kyu-tae, South Korea)

Our Blues เป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องคนสามัญธรรมดาที่มีชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนเกาะเชจู ส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องของคนในตลาดค้าปลาบนเกาะโดยที่ Our Blues ก็บลูสมชื่อ ด้วยการร้อยเรียงความเศร้าของคนสามัญธรรมดาไว้ด้วยกันอย่างหลวม ๆ เป็นซีรีส์ที่ดู ๆ ไปแล้วคล้าย ๆ หนังสั้นหลาย ๆ เรื่องรวมเข้าไว้ด้วยกัน แต่คนทำยังเลี้ยงเรื่องไว้จนขมวดเป็นปมใหญ่รวมกันได้ โดยเฉพาะเรื่องของตัวละครหลักที่เป็นพ่อค้าขายของบนรถพุ่มพวงที่มีปมคือเกลียดแม่ตัวเอง จนวันสุดท้ายของชีวิต สุดจี๊ด ซีนที่สอนแม่เขียนหนังสือผ่านกระจกเรือคือ Best Scene of the Year

ซีรีส์ไม่ได้เมโลดราม่า แต่กลับเรียกน้ำตาจากเราได้ถล่มทลาย ด้วยลีลาการเล่าที่พอคนดูจะเศร้าปุ๊บ เขาจะวางเพลงบอสซาโนว่า บลูส์ ๆ ทะเล ๆ ใส่เลย ชอบมากเป็นอะไรที่ได้ผลลัพธ์อีกแบบที่ดีกับคนดู เหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องเศร้านะ แต่เรียกว่ามันก็คือวันหนึ่งของชีวิตเถอะ มันอาจจะดีกว่าพรุ่งนี้ก็ได้ เลยรู้สึกว่าซีรีส์ฉลาดดี และเสน่ห์อีกอย่างของซีรีส์เรื่องนี้คือ ตัวละครและสถานที่มีชีวิตชีวามาก ทัชใจทุกตัวละคร รู้สึกว่าเป็นคนที่เราพบเจอได้ในชีวิต รู้สึกพวกเขาเป็นเพื่อน เราเชื่อว่าคนที่ยังเศร้าอยู่ในวันนี้ ไม่ว่าจะมีปมปัญหาใดๆ ในชีวิต ถ้าได้ดูเรื่องนี้อาจจะเป็นยาใจที่ดีเรื่องหนึ่งที่จะบอกว่า มันโอเคนะที่เราจะเศร้า มันไม่เป็นไร ขอบคุณคนทำซีรีส์เรื่องนี้ที่บันทึกความเศร้าไว้อย่างดี เพิ่งรู้ว่าผู้กำกับคือคนทำซีรีส์เรื่อง Live ซีรีส์ตำรวจเกาหลีที่เรารักที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต

อภิชน รัตนาภายน / ผู้กำกับสารคดี, โปรดิวเซอร์สารคดี Scala
In Time to Come (2017, Tan Pin Pin)

เพิ่งมาเจอว่ามีใน Netflix เลยได้ดูเต็ม ๆ อีกครั้ง คิดว่าเคยได้ดูบางส่วนของเรื่องนี้ตอนไปเวิร์กชอปยามากาตะโดโจ แล้วชอบวิธีการใช้ภาพเล่าเรื่องแบบเงียบ ๆ ได้ด้วย ชอบการตัดต่อ ชอบวิธีการเข้า-ออกของสิ่งต่าง ๆ ตอนตัด ‘สกาลา’ น่าจะได้อะไรจากเรื่องนี้มาเยอะ

อนันตา ฐิตานัตต์ / ผู้กำกับสารคดี Scala
Matilda the Musical (2022, Matthew Warchus)

หนังเพลงปลุกใจที่ดูแล้วเพิ่มพลังบวกให้ชีวิตเราในคืนข้ามปี

ตุลพบ แสนเจริญ : ศิลปิน ผู้กำกับหนังสั้น
Sehnsucht (2006, Valeska Grisebach)

หนังเก่าแล้วแต่เพิ่งมีโอกาสได้ดู หนังเรียบนิ่งแต่เต็มไปด้วยแรงกระเพื่อมภายใน การเขียนบทและการกำกับมีรายละเอียดที่ลึกซึ้งน่าสนใจ ทั้งงดงามและตีหัวสลบได้

จิตร โพธิ๋แก้ว / Cinephile
MUTZENBACHER (2022, Ruth Beckermann, Austria, documentary, 100min)

ภาพยนตร์ที่เราชื่นชอบมากที่สุดที่ได้ดูในปี 2022 ก็คือ Mutzenbacher ที่เป็นการสัมภาษณ์ผู้ชายหลายคนเกี่ยวกับประสบการณ์ทางเพศและความคิดเห็นของเขาที่มีต่อเรื่องเพศ และให้ผู้ชายเหล่านั้นอ่านเนื้อหาในนิยายแนวอีโรติกเรื่อง Josephine Mutzenbacher or the Story of A Viennese Whore, As Told by Herself ซึ่งเป็นนิยายที่ออกจำหน่ายในปี 1906 และเป็นที่เชื่อกันว่าประพันธ์โดย Felix Salten

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้มากที่สุดในปี 2022 เป็นเพราะว่าเรามักจะชอบหนังที่เราสามารถ identify ตัวเองได้กับตัวละครในเรื่องน่ะ โดยเฉพาะตัวละครนางเอก ซึ่งหนังหลาย ๆ เรื่องที่ครองอันดับ 1 ของเราในปีก่อน ๆ ก็เป็นเพราะปัจจัยนี้ ไม่ว่าจะเป็น Happy 20th Birthday (2020, เคียงดาว บัวประโคน), Party Girl (2016, Marie Amachoukeli-Barsacq, Claire Burger, Samuel Theis, France) หรือ Maps to the Stars (2014, David Cronenberg) ที่ครองอันดับหนึ่งของเราประจำทศวรรษ 2010

ซึ่ง Mutzenbacher ก็ครองอันดับหนึ่งประจำปีของเราด้วยปัจจัยเดียวกัน แต่มีความพิเศษตรงที่ว่า เราไม่ ‘เห็น’ ตัวละครนางเอกของภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้เลย คือเรามองว่านางเอกของสารคดีเรื่องนี้คือนางเอกของนิยายเรื่อง Josephine Mutzenbacher ที่ผู้ชายหลายคนในหนังนำมาอ่านออกเสียงตามคำสั่งของผู้กำกับน่ะ คือพอพวกเขานำนิยายเรื่องนี้มาอ่านออกเสียง เราก็เลยได้จินตนาการถึงภาพต่าง ๆ ตามเนื้อหาในนิยายไปด้วย

และเรามองว่าตัวละครนางเอกของนิยายเรื่องนี้มันคือ superheroine ของเรา และเป็นหนึ่งในตัวละครนางเอกที่เราหลงใหลอยากเป็นมากที่สุดและอิจฉาที่สุด เพราะเธอได้มีเซ็กส์กับชายหนุ่มราว 33,000 คน และมีความสุขกับเซ็กส์เหล่านี้อย่างมาก ๆ คือเหมือนเธอมองว่าชายหนุ่ม 33,000 คนเหล่านี้เป็นคนที่มาตอบสนองความใคร่ของเธอ คือตัวละครนางเอกของนิยายเรื่องนี้เหมือนไปไกลกว่าตัวละคร Samantha Jones (Kim Cattrall) ในละครทีวีเรื่อง Sex and the City และนางเอกที่มีตัวตนจริงของภาพยนตร์เรื่อง In the Realm of the Senses (1976, Nagisa Oshima, Japan) เสียอีก ในแง่ความต้องการทางเพศ

การที่หนังสารคดีเรื่องนี้นำเสนอนิยายเรื่องนี้ มันก็เลยช่วยสร้างความรู้สึก liberating ให้กับเราอย่างมาก ๆ เพราะเราว่าตัวละครนางเอกในภาพยนตร์ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นแบบนางเอกของนิยายเรื่องนี้ เราก็เลยไม่สามารถ identify ตัวเองกับนางเอกในภาพยนตร์เหล่านั้นได้ ภาพยนตร์ที่ชอบนำเสนอตัวละครนางเอกที่ใสซื่อบริสุทธิ์, อ่อนแอ, ‘ไม่เงี่ยน’ หรือ ‘ไม่ได้บ้าผู้ชาย’ ก็เลยเหมือนกีดกันการมีอารมณ์ร่วมของเราไปโดยปริยาย (ซึ่งก็ไม่ได้เป็นความผิดของภาพยนตร์เหล่านั้นแต่อย่างใด เพราะมนุษย์ทุกคนบนโลกไม่เหมือนกัน การที่ภาพยนตร์เรื่องใดจะนำเสนอตัวละครนางเอกที่ไม่ได้เป็นเหมือนเรา แต่เป็นเหมือนคนอื่น ๆ บนโลก มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา) แต่สิ่งที่น่าเสียใจก็คือว่า มันมีภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องในอดีตที่ชอบนำเสนอตัวละคร ‘นางอิจฉา’ ที่มีพฤติกรรมบ้าผู้ชาย หรือนำเสนอตัวละครนางเอกที่มักมากในกามแล้วถูกลงโทษในตอนจบ ภาพยนตร์กลุ่มนี้ก็เลยเหมือนทำให้เรารู้สึกผิดและรู้สึกแย่ที่เราบ้าผู้ชาย และด้วยเหตุนี้เมื่อใดก็ตามที่เราได้เจอภาพยนตร์ที่นำเสนอตัวละครนางเอกที่มีความคล้ายคลึงกับเรา เราก็เลยมักจะชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนั้นอย่างสุด ๆ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เราจะเจอได้บ่อย ๆ

ชอบการสัมภาษณ์ประสบการณ์ทางเพศของผู้ชายจำนวนมากในหนังเรื่องนี้ด้วย เพราะมันเป็นสิ่งที่เราอยากรู้อยากเห็นมาก ๆ เช่นกัน

ตัวนิยายเรื่อง Josephine Mutzenbacher ก็น่าสนใจมาก ๆ เพราะมันดูเป็นนิยายที่ controversial มาก ๆ และคงจะทำให้ผู้อ่านแต่ละคนมองนิยายเรื่องนี้แตกต่างกันไป โดยในมุมมองของเรานั้น ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะนำเสนอตัวละครนางเอกที่เรา identify ตัวเองด้วยได้มากที่สุดคนหนึ่ง นิยายเรื่องนี้ก็เต็มไปด้วยตัวละครชายที่ถือได้ว่ามีพฤติกรรมเลวทรามต่ำช้ามากที่สุด ถ้าหากมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใน ‘โลกแห่งความเป็นจริง’ แต่ ‘โลกแห่งความเป็นจริง’ กับ ‘โลกจินตนาการ’ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เหมือนอย่างเช่นกรณีของ ‘ฆาตกรโรคจิตไล่ฆ่าคนตายจำนวนมาก’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ‘เลวร้ายน่าเศร้าใจที่สุดถ้ามันเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง’ แต่ถือเป็น ‘ความบันเทิงสนุกสนานตื่นเต้นลุ้นระทึกที่สุดในโลกแห่งจินตนาการ’ ตัวละคร Norman Bates, Leatherface, Michael Myers ถือเป็นหนึ่งในตัวละครที่ชั่วร้ายเลวทรามต่ำช้าที่สุด แต่ตัวละครพวกนี้จริง ๆ แล้วเหมือนดำรงอยู่เพื่อให้นางเอกได้ฆ่าพวกเขาหรือเอาชนะพวกเขา และดำรงอยู่เพื่อความสุขความบันเทิงของผู้ชม เพราะฉะนั้นภาพยนตร์เรื่อง Psycho, The Texas Chainsaw Massacre และ Halloween ถือเป็นภาพยนตร์ที่เลวร้ายตามไปด้วยหรือเปล่า เราว่าคำถามเหล่านี้มันน่าสนใจดี และเราก็เลยมองว่า ถึงแม้นิยายเรื่อง Josephine Mutzenbacher เต็มไปด้วยตัวละครชายที่ถือได้ว่าเลวทรามต่ำช้าที่สุด “ถ้าหากพวกเขาทำสิ่งนี้ในโลกแห่งความเป็นจริง” แต่การที่นิยายสักเรื่องจะสร้างตัวละครชายเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศของนางเอก และของผู้อ่านนิยาย มันจะส่งผลให้นิยายเรื่องดังกล่าวถือเป็นนิยายที่เลวร้ายตามไปด้วยหรือไม่นั้น ก็คงเป็นเรื่องของผู้อ่านแต่ละคนที่จะตัดสินกันเอาเอง

ส่วนฉากที่ชอบที่สุดในเรื่องนี้ ก็คือฉากที่ให้ผู้ชายหลายสิบคนมาท่องด้วยเสียงขึงขังว่าอวัยวะเพศชายสามารถทำอะไรได้บ้างขณะมีเพศสัมพันธ์ เราว่ามันเป็นฉากที่สร้างความพึงพอใจให้กับเราอย่างรุนแรงมาก โดยที่เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่เรารู้สึกราวกับว่า ฉากนี้มันสอดคล้องกับมุมมองของนางเอกที่มีต่อผู้ชายจำนวนมากที่มามีเซ็กส์กับเธอ คือผู้ชายเหล่านั้นคง ‘มองตัวเอง’ ด้วยความภาคภูมิใจว่าตัวเองเกิดมาเป็นผู้ชาย, มีอวัยวะเพศชาย, มีความเป็นแมนต่าง ๆ นานา และมีความสามารถอ้นล้นเหลือในการประกอบกามกิจ แต่ในขณะที่ผู้ชายเหล่านั้นมอง ‘ความเป็นชายและอวัยวะเพศชาย’ ของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจอย่างมาก ๆ นางเอก, เรา และผู้ชมคนอื่น ๆ ที่เป็นเหมือนเราก็มอง ‘อวัยวะเพศชาย ความเป็นชาย บุคลิกแบบแมนๆ การวางมาดแบบแมน ๆ การทำตัวแมน ๆ’ ของผู้ชายเหล่านี้ ว่าเป็น ‘สิ่งที่ดำรงอยู่เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศของเรา’ อวัยวะเพศชายและการแสดงความเป็นแมนอันล้นเหลือของพวกเขาดำรงอยู่เพื่อสร้างความสุขสมทางเพศให้กับเรา เราก็เลยชอบฉากเหล่านี้ในหนังเรื่องนี้อย่างสุด ๆ เพราะเรารู้สึกเหมือนกับว่า ฉากเหล่านี้มันไม่ได้เชิดชู ‘ความภาคภูมิใจในการเป็นชาย ในการมีอวัยวะเพศชายที่พร้อมจะประกอบกามกิจ’ แต่เหมือนเป็นการมองว่า อวัยวะเพศชายได้กลายเป็นวัตถุสำหรับตอบสนองความต้องการทางเพศของอีกฝ่าย และการแสดงความเป็นแมนเป็นเหมือน performance อย่างหนึ่งเพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศของอีกฝ่าย

อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เน้นการให้ผู้ชมจินตนาการภาพขึ้นมาในหัวของตัวเอง ขณะฟังผู้ชายแต่ละคนอ่านนิยายด้วย เราชอบหนังที่กระตุ้นให้ผู้ชมเห็นทั้งภาพที่ปรากฏอยู่บนจอ และจินตนาการภาพอื่น ๆ ขึ้นมาในหัวของตัวเองในเวลาเดียวกันแบบนี้มาก ๆ ซึ่งปรากฏว่าในปี 2022 เราก็ได้ดูหนังหลายเรื่องที่ใช้กลวิธีแบบนี้ได้อย่างดีงามมาก ๆ ทั้ง Mutzenbacher, Wheel of Fortune and Fantasy (2021, Ryusuke Hamaguchi, Japan) ที่มีฉากผู้หญิงอ่านออกเสียงเนื้อหาอีโรติกในนิยาย, I Have Loved Living Here (2020, Régis Sauder, France, Documentary) ที่ให้ชาวบ้านหลายคนในฝรั่งเศสอ่านออกเสียงนิยายที่ประพันธ์โดย Annie Ernaux ผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม, Silent Cry (2022, Navawan Sukkho, Nannapat Sripetchdanont, 18min) ที่ให้ตัวละครอ่านนิยายเรื่อง ‘กุหลาบแดง’ ของก.สุรางคนางค์ และ The Sound of Devouring Dust (นครฝุ่น) (2022, Jessada Chan-Yaem, 34min) ที่เสียง voiceover ในหนังเล่าถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ดูเหมือนไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับภาพในหนัง

วรุต พรชัยประสาทกุล / Cinephile
Tale of Cinema (2005, Hong Sang-Soo) + Ripples of Life (2021, Wei Shujun)

ขออนุญาตขี้โกงเลือกสองเรื่อง 555 สารภาพตามตรงว่าขโมยไอเดียมาจาก MUBI ที่ให้นักเขียนของพวกเขาเลือกหนังใหม่เรื่องโปรดกับหนังเก่าเรื่องโปรดที่ได้ดูในปี 2022 อย่างละเรื่องมาจับคู่กัน เสมือนว่าเพื่อจะได้จัดฉายด้วยกันเป็นโปรแกรม double feature ในจินตนาการ ซึ่งเราว่าน่าสนุกดี และส่วนตัวเวลาเราดูหนัง 2-3 เรื่องต่อ ๆ กันมันจะเกิดภาวะหนึ่งในหัวของเราที่น่าสนใจมาก และเราคิดว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะเป็น คือมันจะเหมือนเราได้ยินหนังที่เรากำลังดูพูดคุยกับหนังที่เพิ่งจะดูจบไป 55555 อะไรแบบนี้ Eric Rohmer ก็เคยพูดทำนองว่า พอคุณดูหนังมาสักระยะหนึ่ง คุณจะเห็นหนังทุกเรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน

กับสองเรื่องนี้เป็นหนังที่เราอยากให้ฉายด้วยกันมาก เราว่าพวกมันจะทั้งแตะมือและขัดขากันมันส์ทีเดียว เดาว่า Wei Shujun น่าจะรักฮองซางซูมากจริง เพราะในหนังเรื่องนี้เขาให้ตัวละครพูดถึงคิมมินฮีตรง ๆ 55555(ตกลงรักใครนะ) แล้วที่บังเอิญสุด ๆ คือมีการให้นางเอกพลาดทำเสื้อเปื้อนแบบนางเอก In Front of Your Face (2021) เข้าไปอีก

หนังของคุณเหวยเรื่องนี้มีโครงสร้างแบ่งเป็นสามพาร์ท ทุกพาร์ทอยู่ระหว่างการถ่ายหนังสักเรื่องเดียวกัน สองพาร์ทแรกเหมือนการหักครึ่งแบบหนังฮอง ที่เริ่มด้วยเรื่องของคุณแม่ยังสาวชาวบ้านที่เพลิดเพลินไปกับการได้เป็นสแตนด์อิน จนอาจเผลอคิดอยากเป็นนักแสดงอาชีพขึ้นมา กับอีกตอนคือดาราดังสาวใหญ่ที่กลับมาเยือนบ้านเกิด ได้รับการต้อนรับอย่างอลังการที่เธอเป็นความภาคภูมิเป็นหน้าเป็นตาให้กับที่นี่ ซึ่งคล้ายจะคอนทราสท์กันแต่จริง ๆ แล้วไม่ สรุปสั้น ๆ ก็คือทั้งสองตอนเป็นชีวิตของผู้หญิงในสังคมจีน ย้ำว่า ’สัง คม จีน’ ที่ผู้หญิงคือเพศที่ถูกใช้ประโยชน์เสมอมา แถมชุมชนเล็ก ๆ ท้องถิ่นท้องเรื่องที่มีภาษาของตัวเองนี้ก็ดูเหมือนจะถูกแช่แข็งไว้ตั้งแต่ไม่รู้กี่สิบปีที่แล้ว ในขณะที่พาร์ทจบเป็นความขัดแย้งทางงานสร้างสรรค์ระหว่างผู้ชาย มีนักวิจารณ์ด้วย เต็มไปด้วยบทสนทนาในหัวข้อหรือประเด็นที่ค่อนข้างร่วมสมัยกว่า แต่เอาจริงจำตอนนี้ไม่ค่อยได้แล้ว 5555 แต่ที่จำได้แน่ ๆ คือเป็นตอนที่ตลกเป็นพิเศษ

ขณะที่หนังฮองเรื่องที่เราเลือกมานี้เป็นหนังซ้อนหนังหักครึ่งทำซ้ำคลาสสิกแบบฮอง ไม่ได้ฉายให้เห็นเบื้องหลังของอะไรก็ตาม แต่เอาหนังจริงให้ดูเลย แล้วก็เอาชีวิตที่ก็จะเป็นหนังให้ดู ในหนังฮองเราจะเห็นทุกอย่างลึกลงไปเห็นถึงแก่นเมื่อทุกอย่างซ้อนกันหลายชั้น ไม่ใช่เพราะการถอดออก หนังเรื่องนี้มีตัวละครที่เป็นนักแสดงหญิงเช่นกัน แต่หนังจะบอกคุณว่านักแสดงหญิงก็คือผู้หญิงแหละ คือผู้หญิงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งแค่นั้นเอง การที่คุณตัวเอกหน้าหม้อได้เอากับเธอ ได้รู้สึกว่าตัวเองได้เอากับนางเอกสวยๆ แล้วไงต่อ แล้วยิ่งเขาอยากให้เธอตรงหน้าเป็นเหมือนตัวละครที่เธอเล่นในหนังที่เขาชอบ หนังที่เขาอ้างว่าขโมยมาจากชีวิตจริงของเขา แต่เขาก็พยายามจะเป็นให้เหมือนหนังเรื่องนั้นเหลือเกิน ตัวละครชายของฮองไม่ยังหลับอยู่ก็เมาค้าง สำหรับเราหนังเรื่องนี้ตบหน้าคนที่ลุ่มหลงหรือคลั่งภาพยนตร์เกินไป คนที่มองว่าหนังสวยกว่า น่าค้นหากว่า น่าสนใจกว่า มีสาระสำคัญกว่า น่าจดจำกว่า หรือเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าชีวิตจริง คือพูดแล้วก็นึกถึงตอนเด็ก ๆ หรือจริง ๆ ก็แม้แต่ทุกวันนี้ที่แบบเวลาเราเห็นกองถ่ายหนัง เผลอ ๆ อาจไม่ใช่หนัง เป็นทีวี โฆษณา หรืออะไรก็ตาม คนนอกอย่างเราจะรู้สึกว่าเจ๋งจัง อยากรู้ว่าเขาถ่ายอะไรกันนะ น่าตื่นเต้นจัง ทำไมกันนะ คือหนังสองเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เรารักภาพยนตร์น้อยลง แต่ทำให้เราไม่ลืมว่าหนังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต หรือจริง ๆ ก็ทำให้เรารักหนังมากขึ้นด้วยซ้ำ หนังที่ทำให้เราเห็นใจชีวิตและแคร์ชีวิตมากขึ้น

เชียร์ให้หามาดูด้วยกันสุดขีด หรือวอนโรงหนังค่ายหนังที่ใดก็ตามจัดฉาย แนะนำสุด ๆ เพราะเราเองก็เสียดายที่ไม่มีใครมาจัดให้ดูแบบนี้ 5555 รับประกันว่าสนุก กลเม็ดเด็ดพรายแต่ละเรื่องคือเพียบ และให้รสสัมผัสที่ฉ่ำมาก สดมาก ๆ ทั้งสองเรื่อง

วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา / Cinephile, ทีมงาน Film Club
ยามเมื่อสายลมพัดผ่าน (When the Wind Blows) (ศิวกร บุญสร้าง)

หนังสั้นเรื่องนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการบันทึกบทสนทนาครั้งแรกทางโทรศัพท์ และครั้งที่สองในห้องครัว ของยายของคนทำเอง หนังที่สุดแสนจะส่วนตัวบันทึกเสียงของหญิงชราที่โทรคุยกับคุณยายอีกคนหนึ่ง พูดเรื่องของวันเวลาในปัจจุบัน ความร่วงโรยของสังขาร คืนวันเปล่าดายที่ผ่านเลยไป ในฉากต่อมาคุณยายสองคนนั่งลงกินข้าวกันในครัว พูดคุยเรื่องอาหาร เรื่องของครอบครัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ สัปดาห์ที่แล้ว เรื่องราวที่ผู้ชมฟังโดยไม่อาจเข้าใจทุกอย่างได้ทั้งหมด ฟังในฐานะผู้ซึ่งบังเอิญเดินผ่านหน้าบ้านและได้ยินคุณยายทั้งสองพูดคุยกัน การไปลอกตา การกินข้าวมากกับน้อย บ่นเรื่องลูกหลานที่ไม่ถูกใจ ข้างนอกนั้นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ลมพัดกอกล้วย อีกวันกำลังผ่านพ้น

หนึ่งในหนังแบบที่ตัวเองชอบที่สุดคือหนังส่วนตัว ในหนังแบบนี้เราไม่สามารถจะเข้า ‘เรื่องราว’ ทั้งหมดได้หรอก เราไม่สามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งกับตัวละครได้ ประสบการณ์ของตัวละครที่เราเห็นเป็นประสบการณ์เฉพาะที่ทั้งเปิดและปิด การเอาตัวเราเข้าไปในหนังส่วนตัวเหล่านี้คือการเข้าไป ‘ซึมซับ’ ห้วงขณะที่มันถูกบันทึกเอาไว้ ช่วงเวลาที่สามัญสำหรับคนหนึ่งกลายเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของอีกคนหนึ่ง โมงยามที่ถูกเก็บถนอมไว้ ทั้งผ่านการบันทึกไว้ทันหรือทำขึ้นใหม่ ในหนังแบบนี้ซึ่งบันทึกโมงยามเหล่านั้น เรามักค้นพบประกายเรื่อเรืองเล็ก ๆ ของมนุษย์ ในฐานะมนุษย์ ไม่ใช่ตัวละคร

และในเมื่อมันเป็นหนังส่วนตัว เราก็ดูด้วยความรู้สึกส่วนตัวมากขึ้นไปอีกเท่า เพราะหนังบันทึกภาพของหญิงชราพื้นถิ่นในพื้นเพเดียวกับเรา การที่คนทำบันทึกสิ่งหล่านี้เอาไว้ทำให้เรารู้สึกทั้งงดงาม เศร้า และริษยา ในฐานะของคนที่สูญเสียโมงยามสงบงามของหญิงชราพื้นถิ่นในชีวิตไปแล้ว หนังเรื่องนี้จึงทำงานกับเรามากขึ้นในอีกหลายระดับ

เจค วาชเทล ผู้กำกับจาก Karmalink (2021): ว่าด้วยความเป็นอเมริกันในกัมพูชา อดีตชาติ วัฏจักรแห่งการตายและการเกิด

เจค วาชเทล เล่าว่า สมัยเรียนเขาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องจิตวิทยาและการทำงานของระบบประสาทกับสมอง พร้อมกันนั้นก็หลงใหลศาสตร์ของการทำหนังจนวาดฝันว่าอยากเข้าฮอลลีวูดเพื่อทำหนังสักเรื่องตามประสาอเมริกันชน

ความสนใจสองด้านของวาชเทลมาประสานกันในอีกสิบกว่าปีให้หลัง หากแต่มันอยู่ไกลจากฮอลลีวูด -อันที่จริงอาจจะพูดได้ว่าอยู่ไกลจากแคลิฟอร์เนีย, สหรัฐฯ อันเป็นบ้านเกิดของเขา- เมื่อเขากำกับ Karmalink (2021) หนังยาวเรื่องแรกที่เล่าถึงเหล่าผู้คนในพนมเปญ กัมพูชา กับเรื่องราวของอดีตชาติและการกลับมาเกิดใหม่อีกหนของมนุษย์ตามแนวคิดพุทธ ทั้งยังโลดโผนท้าทายเมื่อมันวางตัวเองเป็นหนังไซ-ไฟ เรื่องของ เลง เฮง (เลง เฮง ปรัก) เด็กชายจากสลัมที่ระลึกอดีตได้ว่าชาติก่อนเขาเคยเป็นโจรขโมยพระ ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดสุดขีดเมื่อบ้านของเขากำลังถูกไล่ที่ เขาจึงต้องหาทางขุดหาพระที่ตัวตนของเขาในชาติก่อนเก็บซ่อนไว้เพื่อนำมาช่วยเหลือทุกคนไม่ให้ต้องย้ายที่อยู่ และนี่เองที่นำพาเขาไปเจอกับนักประสาทวิทยา (สหจักร บุญธนกิจ) ผู้หมกมุ่นกับการเกิดและการตายอันไม่รู้จบของมนุษย์

พูดก็พูด ชายชาวอเมริกันผู้ร่ำเรียนด้านการทำงานของระบบประสาท มาทำหนังที่สำรวจความเป็นไปของมนุษย์ผ่านแนวคิดแบบพุทธ ทั้งเรื่องราวทั้งหมดยังเกิดขึ้นในพนมเปญ ฟังแล้วคล้ายว่าจะไม่มีอะไรเชื่อมโยงกัน แต่นั่นคือสิ่งที่วาชเทลกอรปสร้างขึ้นมาเป็นตัวหนัง ซึ่งมองอีกด้านหนึ่ง ก็ผสมปนเปไปกับตัวตนในฐานะคนที่รักกัมพูชาอย่างสุดหัวใจ และหลงใหลในแนวคิดแบบโลกตะวันออกของวาชเทลอย่างปฏิเสธไม่ได้

ได้ยินมาว่าสมัยเรียน คุณเรียนด้านจิตวิทยามาก่อนซึ่งดูแทบไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการทำหนังเลย มันเกี่ยวข้องกับ Karmalink หนังของคุณยังไงบ้าง

สมัยอยู่มหาวิทยาลัย ผมเรียนด้านจิตวิทยาเพราะสนใจเรื่องการทำงานของสมองและภาวะต่าง ๆ ของระบบจิตใต้สำนึกมาก ๆ ซึ่งพอเรียนสายนี้มันทำให้ผมได้ศึกษากระบวนการทำงานอันหลากหลายของสมอง ส่วนอาจารย์ผมก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาศาสตร์และความทรงจำ (neuroscience of memory) ผมเรียนกับเขาและพบว่าตัวเองสนใจพื้นที่การเรียนรู้ตรงนี้มาก ๆ แต่ขณะเดียวกันนั้นก็สนใจศาสตร์อื่น ๆ ด้วย อย่างพวกพัฒนาการของสมองและการเรียนรู้ เช่น วิธีที่เด็กทารกทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลก หรือวิธีที่พวกเราเติบโตมาเป็นเรา ก่อร่างสร้างประกอบเป็นอัตลักษณ์ที่เราเป็นอย่างทุกวันนี้ 

อีกอย่างคือผมชอบทำงานกับเด็ก ๆ ด้วย ชอบสอนหนังสืออะไรทำนองนั้น แล้วก็ไม่ได้มองว่าความสนใจตรงนี้ของตัวเองต่างไปจากสิ่งที่เรียนสมัยมหาวิทยาลัย อันที่จริงมันออกจะคล้ายกันด้วยนะ อย่างแนวคิดของประสาทวิทยาที่สำรวจพัฒนาการของสมอง ยกตัวอย่างสมองของเด็ก ๆ ที่ซึมซับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้เหมือนฟองน้ำเลย ถ้าคุณให้เด็กเรียนภาษาใหม่ตอนพวกเขาอายุสัก 2-3 ขวบ เด็กคนนั้นจะเรียนรู้และพูดภาษาใหม่ได้ราวกับเป็นเจ้าของภาษาเลย สมมติคุณเรียนภาษาอังกฤษตอนสองขวบ คุณก็จะพูดได้เหมือนผมทุกประการ แต่ถ้าคุณเรียนภาษาใหม่ตอนเข้าวัยรุ่น สมองคุณก็ไม่ได้ซึมซับทุกอย่างรวดเร็วแบบตอนเด็กอีกแล้ว คุณจะเรียนรู้เรื่องบางอย่าง จำพวกสำเนียงของแต่ละภาษายากขึ้น 

ผมยกตัวอย่างเรื่องภาษาเพราะน่าจะเข้าใจได้ง่ายที่สุด แต่อันที่จริงก็เหมือนทุกอย่างที่เราต้องเรียนรู้นั่นแหละ ซึ่งถ้าถามว่ามันเกี่ยวกับหนัง Karmalink ยังไง เอาเป็นว่าถ้าเล่าละเอียดมันคงไปสปอยล์หนังแหลกลาญเลย (หัวเราะ) แต่จุดไคลแม็กซ์ของหนังมันใกล้เคียงกับแนวคิดเรื่องสมองอย่างที่ผมเล่ามา 

เรื่องตลกคือ ผมเรียนด้านประสาทวิทยามาใช่ไหม แล้วมาเป็นคนทำหนังจากนั้นก็เป็นคุณครูที่เกี่ยวกับการทำหนังในกัมพูชา และหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังเรื่องแรกที่ทำให้ผมได้กลับไปเป็นเนิร์ดที่หมกมุ่นเรื่องประสาทวิทยาอีกครั้งเพราะต้องหาข้อมูลมาทำหนังเยอะมากเลย คือผมชอบเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก ๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้เอามันมาใช้เป็นการเป็นงานสักที จนต้องมาเขียนบทร่วมกับ คริสโตเฟอร์ ลาร์เซ็น นี่แหละ เลยต้องพาตัวเองขุดลงไปในเรื่องประสาทวิทยาเพื่อเอาข้อมูลมาใช้เขียนบท

แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มสนใจความเป็นพุทธ

ผมโตมาในครอบครัวยิวซึ่งไม่มีวิธีคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิด แต่ผมสนใจเรื่องศาสนาพุทธมาตั้งแต่ราว ๆ ปี 2005-2006 ว่าไปก็ครึ่งชีวิตแล้วล่ะ ครั้งแรก ๆ ที่ลองไปทำสมาธิก็ตอนอายุสัก 18 นี่แหละ 

การย้ายมาอยู่กัมพูชาทำให้ผมได้คุยกับผู้คนเรื่องอดีตชาติ ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้วมันเป็นเรื่องที่คุยได้ทั่วไปเลย แล้วก็ดูเจ๋งในสายตาคนอเมริกันอย่างผมมาก ๆ เพราะในสหรัฐฯ คนไม่คุยกันเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ชาวกัมพูชาคุยเรื่องนี้กันอย่างเป็นปกติ ผมไม่แน่ใจว่าที่ไทยเป็นเหมือนกันไหม พวกเขาคุยเรื่องอดีตชาติว่าตายอย่างไร ทำไมจึงมาเกิดในชาตินี้ อะไรต่อมิอะไร ตัวผมเองก็สนใจประเด็นเรื่องประสบการณ์ต่าง ๆ ของมนุษย์ผ่านเรื่องเล่าเหล่านี้ และอยากจับจ้องสิ่งนี้เป็นพิเศษในหนังของผมด้วย

ถ้าอย่างนั้นคุณเริ่มสนใจการทำหนังตอนไหน

ผมหมกมุ่นกับการทำหนังมาตั้งแต่ยังเด็ก เคยไปงานเทศกาลหนังของฮิตช์ค็อคตอนเขามาจัดในเมืองที่ผมอยู่ แล้วการได้ดูหนังเหล่านี้มันน่าตื่นเต้นมากๆ กลับไปถึงบ้านผมเลยเอากล้องของพ่อแม่มาถ่ายหนังน้องสาวตัวเองด้วยสไตล์แบบฮิตช์ค็อค (หัวเราะ) แล้วจากนั้นก็ถ่ายอะไรเล่นกับเพื่อน ๆ มาเรื่อย ๆ จนโต เหมือนตอนนั้นก็มีเป้าหมายว่าสักวันจะเข้าไปฮอลลีวูด ไปเป็นผู้กำกับแล้วทำหนังสักเรื่องให้ได้

แต่พอผมอายุ 23 ปี ผมก็ออกเดินทาง แบกเป้แบ็คแพ็คก้าวออกมาจากโลกเล็ก ๆ ของตัวเอง ไปเจอผู้คนทั่วโลกกับวิถีชีวิตมากหน้าหลายตา จำความรู้สึกได้แม่นเลยว่าไม่อยากกลับไปสู่โลกใบเล็ก ๆ ของตัวเองอีกแล้ว และพอดีกับตอนนั้นก็เป็นครั้งแรกที่ผมมาถึงกัมพูชา ผมรักวัฒนธรรมที่นั่นมาก มันเหมือนที่ผมบอกว่าผมเรียนประสาทวิทยาเพื่อเรียนรู้ว่าเรากลายมาเป็นคนที่เราเป็นในปัจจุบันได้ยังไง สมองเราทำงานแบบไหน และการได้มาอยู่ในวัฒนธรรมอีกแบบหนึ่งก็เป็นวิธีที่ทำให้เราได้เติบโตในทุก ๆ วันเพราะรายรอบตัวคุณนั้นมีแต่เรื่องแปลกใหม่ชวนท้าทาย 

สุดท้าย ผมทำหนังสารคดีร่วมกับ NGOs อยู่หลายปี ตระเวนไปนั่นมานี่ แล้วลงเอยที่การกลับมายังกัมพูชาอีกหนแล้วสอนผู้คนเรื่องการทำหนัง ระหว่างนั้นก็ทำมิวสิกวิดีโอ ทำหนังสั้นในกัมพูชาอีกเหมือนกัน หรือพูดอีกอย่างว่าก็สั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ 

ผมไม่เคยทำหนังยาวก็จริงอยู่ แต่คิดว่าประสบการณ์ในการทำหนังสารคดีก็หล่อหลอมมุมมองบางอย่างให้ผม เหมือนมันทำให้ผมรู้ว่าตัวเองอยากเล่าเรื่องแบบไหนน่ะ

ที่บอกว่าการทำหนังสารคดีทำให้คุณรู้ว่าตัวเองอยากเล่าเรื่องแบบไหน มันคืออะไร

อย่างที่บอกว่าผมออกเดินทางมาเยอะ ไม่ว่าจะในแอฟริกาใต้ บราซิล รวันดา บังกลาเทศ อินเดีย กัมพูชา เรื่องราวของทุกหนแห่งในโลกมักคล้าย ๆ กัน มีวัฒนธรรม มีชุมชน ผู้คนกลมเกลียวและเป็นหนึ่งเดียว เทียบกันกับวัฒนธรรมของตะวันตกที่ค่อนข้างเน้นความเป็นปัจเจกมากกว่า ตัวผมเองก็มาจากวัฒนธรรมตะวันตกก็เลยสนใจความแตกต่างนี้มากเลยชอบไปคุยกับคนนั้นคนนี้ ซึมซับเอาความหลากหลาย และพบว่ามันมีบางแง่มุมของการรวมกลุ่มแบบชุมชนที่ทำให้ผมรู้สึกถึงบางอย่าง เหมือนรู้สึกว่าตัวเองได้รับการต้อนรับที่ดีมาก ๆ ในการเดินทางมายังเอเชียอาคเนย์ บรรยากาศทุกอย่างแตกต่างไปจากสิ่งแวดล้อมที่ผมเติบโตที่อเมริกาโดยสิ้นเชิง เราไม่มีวัฒนธรรมรวมหมู่หรือการให้คุณค่าในเชิงความเป็นหนึ่งเดียวกัน พร้อมกันนี้ ผมก็เห็นว่ามันกำลังเปลี่ยนไปด้วยเพราะคุณค่าแบบตะวันตกก็เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในพื้นที่อื่น ๆ รวมทั้งกัมพูชาด้วยเช่นกัน

การได้เห็น ได้เป็นประจักษ์พยานความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในกัมพูชา เลยทำให้ผมอยากทำหนังที่เล่าประเด็นนี้มาก ๆ เป็นเรื่องที่อยู่ลึกลงไปและอาจไม่ได้เห็นได้โดยง่ายหรือผิวเผิน แต่ก็เป็นไอเดียสำคัญที่ผลักดันให้ผมอยากเล่าเรื่องราวที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม

อีกอย่างคือคุณเคยบอกว่าคุณได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมกระแสหลักเยอะ หนึ่งในนั้นคือนิยายเรื่อง Never Let Me Go หรือหนัง The Goonies (1985) และ Salaam Bombay! (1988)

ใช่ ๆ ผมเคยอ่านเวอร์ชั่นนิยายที่เขียนโดย คาซูโอะ อิชิงุโระ ตอนย้ายมากัมพูชาเพื่อสอนหนังสือ อ่านช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนสอนจบนี่แหละ ผมครุ่นคิดว่าถ้าเรื่องราวแบบในนิยายเรื่องนี้มันเกิดขึ้นในกัมพูชา มันจะให้ความรู้สึกยังไงนะ ผมเลยพยายามหยิบเอาไอเดียบางอย่างจากนิยายมาใส่ในหนังของตัวเอง กับอีกอย่างคือมันเป็นนิยายดิสโทเปียไซ-ไฟที่ก็พูดถึงการข้ามพ้นวัยของตัวละครด้วย 

ผมเลยอยากทำหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวเหล่านี้ แบบที่เป็นหนังไซ-ไฟแล้วมีหักมุม แต่ก็ยังจับจ้องไปยังความสัมพันธ์ของเด็ก ๆ ช่วงที่พวกเขาเติบโตขึ้นมาเพื่อพบเจอความจริงบางอย่างของโลกด้วย เหมือนข้ามผ่านความไร้เดียงสามาสู่ความเป็นผู้ใหญ่

อย่างเรื่อง The Goonies เป็นหนังผจญภัยที่ดังมากในยุค 80s มันว่าด้วยเรื่องเด็กๆ ที่พยายามไม่ให้ละแวกบ้านถูกรื้อถอนด้วยการออกหาสมบัติด้วยกัน ซึ่งเอาจริง ๆ เหมือนเราเอาพล็อตเขามาใช้เลยล่ะ (หัวเราะ) 

หนังมันน่ารักมาก คนดูหนังชาวอเมริกันส่วนใหญ่ก็รักหนังเรื่องนี้ แต่เมื่อคนดูอเมริกันนึกถึงเด็ก ๆ ในกัมพูชา พวกเขาจะคิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติเลยว่ากัมพูชานั้นแตกต่างจากอเมริกามากๆ อยู่ไกลลิบตา ความเป็นอยู่ก็คงลำบากซึ่งหลายคนก็รู้สึกเห็นใจและรู้สึกแย่ แต่พอผมมาอยู่กัมพูชา ได้สอนหนังสือเด็ก ๆ ผมก็พบว่าไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย เด็กก็คือเด็กเหมือนกันทั้งโลก ความรู้สึกที่ว่าคุณเห็นใจเด็ก ๆ เหล่านี้แต่ก็รู้สึกว่าพวกเขาช่างไกลตัวพวกคุณนั้นมันไม่ใช่หรอก พวกเขาไม่ได้ต่างอะไรจากเด็กที่อื่น ๆ เพราะงั้นผมเลยอยากใช้ The Goonies เพื่อเจาะเข้าไปในความรู้สึกของคนดูชาวอเมริกัน เพื่อให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกับตัวเรื่อง กับเด็ก ๆ และสนุกไปกับตัวหนังได้น่ะ 

ส่วนเรื่อง Salaam Bombay ก็เป็นหนังที่ผมรักมากๆ แล้วก็ใช้นักแสดงเด็กที่ไม่ได้เป็นนักแสดงด้วย ถ่ายทำในบอมเบย์ ประเทศอินเดีย หนังมันให้ความรู้สึกเหมือนบอกเด็ก ๆ ว่าชีวิตคืออะไรอยู่เหมือนกัน และพร้อมกันนี้มันก็ฉูดฉาดมากด้วย

เข้าใจว่า Karmalink ใช้เวลาร่วมสามปีในการพัฒนาบท กว่าจะออกมาเป็นหนังอย่างที่เราดูนี่มันต่างจากดราฟต์แรกมากไหม

ผมฝึกทำสมาธิอยู่เป็นประจำ มักได้ไอเดียอะไรสักอย่างกลับมาเป็นประจำ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้ไอเดียมาแล้วกลับมาเขียนเป็นร่างแรกของหนังเลย แล้วก็ปลุกปล้ำกับสคริปต์นั้นด้วยตัวเองอยู่พักใหญ่ และรู้อยู่แก่ใจด้วยว่ามันไม่ดีพอจะเป็นบทหนังได้แน่ ๆ ผมจึงต้องการคนเขียนบทร่วมสักคนที่ช่วยทำให้สคริปต์นี้มันดีขึ้นไปอีกขั้น

เงื่อนไขคือ ใครล่ะที่จะเข้าใจสิ่งที่ผมจะสื่อ ใครจะเข้าใจกัมพูชา และจะต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์ในการเขียนบทด้วย นั่นก็เป็นช่วงที่ผมไปเทศกาลหนังหลวงพระบางพอดี และได้เจอกับคริสที่นั่น เลยเอาสคริปต์ที่ผมเขียนเนี่ยไปให้เขาดู เขากลับมาพร้อมสารพัดไอเดียว่าจะจัดการทำให้มันเป็นบทหนังได้ยังไง เราเลยลองเขียนบทด้วยกันที่ลาวนั่นแหละ เขาเองเป็นชาวอเมริกันที่อาศัยในลาว แต่งงานกับ แม็ตตี โด (ผู้กำกับ Dearest Sister, 2016 และ The Long Walk, 2019) ที่ก็เป็นคนทำหนังในลาวเช่นกัน คริสนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ ให้บทหนังเยอะมากและทำให้บทมันเปลี่ยนโฉมหน้าไปเลย ซึ่งผมว่าหัวใจสำคัญที่หนังนำเสนอก็มาจากกระบวนการเขียนบทเหล่านี้แหละ 

แล้วรู้ใช่ไหมครับว่ามันมีคำกล่าวกันว่า คนเราเขียนบทหนังขึ้นมาสามครั้ง คือตอนเขียนบทหนัง ตอนถ่ายทำ และตอนตัดต่อ ซึ่งผมบอกเลยว่าแต่ละครั้งมันก็มีการเปลี่ยนแปลงมหาศาลตลอดเวลา โดยเฉพาะตอนตัดต่อนี่แหละที่เปลี่ยนโครงสร้างหนังไปเลย เราอัดไดอะล็อกใหม่ (Automated Dialogue Replace-ADR) ระหว่างนี้ก็ดัดแปลงบทไปอีกเยอะเหมือนกัน เพราะเราลองฉายหนังไปหลายรอบเหมือนกัน เลยได้เห็นว่าคนดูมีท่าทีต่อหนังยังไง เราเลยต้องกลับมาคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้วหรือยัง มีอะไรอีกไหมที่เราอยากเล่าแล้วให้มันชัดขึ้น

นักแสดงส่วนใหญ่ของคุณเป็นนักแสดงเด็กที่ไม่ได้เป็นนักแสดงอาชีพ การทำงานเป็นอย่างไรบ้าง ยากหรือง่ายยังไง

สนุกมาก แถมยังง่ายจริง ๆ เลย นักแสดงเด็กเหล่านี้อยู่ที่พนมเปญ ย่านที่คุณเห็นอยู่ในหนังเลย ผมสอนหนังสือพวกเขาอยู่สักปีหนึ่งได้และเราสนิทกันมากทีเดียว ผมเขียนตัวละครขึ้นมาจากตัวตนของเด็ก ๆ อย่างตัวละครหลักนี่คุณจะเห็นว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่งที่ดูดุ ๆ หน่อย กับเด็กผู้ชายที่ดูช่างฝันและอ่อนโยนกับทุกคน นี่เองที่ทำให้การทำงานง่ายมาก ๆ บวกกันกับผมเองก็สนิทสนมกับพวกเขามาก ๆ อยู่แล้วเป็นทุนเดิม เลยขอให้เขาลอง ‘แสดง’ เป็นตัวเองดู แต่ทั้งนี้ก็เป็นสิ่งใหม่สำหรับพวกเขาเหมือนกันนะ เราเลยต้องซ้อมกันบ่อยพอสมควรเพื่อให้เด็กๆ ผ่อนคลายมากที่สุด เนื่องจากตอนถ่ายทำจริงนี่คุณคงรู้ว่าในกองถ่ายมีผู้คนมากมาย แต่อย่างไรก็ตาม ผมเห็นตั้งแต่เริ่มถ่ายทำวันแรกกันแล้วล่ะว่าเด็ก ๆ อินและสนุกกับบทมาก

มีอยู่ฉากหนึ่งที่เรามีเด็กมาเข้าฉากทั้งหมดห้าคน อันนี้แหละที่ยาก (หัวเราะ) เพราะแม้ว่ามันจะสนุกก็จริง แต่เด็ก ๆ เขาก็อยากเล่นกันตลอดเวลา คือถ้ามีแค่พวกเขาสองคนหรือแสดงคนเดียว เขาก็ตั้งใจเล่นออกมาได้นั่นแหละ แต่พออยู่รวมกันนี่โกลาหลเหลือเกิน

ส่วนที่ยากที่สุดในการถ่ายทำคืออะไร

(ยิ้ม) อย่างที่คุณก็เห็นเนอะ ว่าผมไม่ใช่คนกัมพูชา เพราะงั้นแล้วการที่ผมตัดสินใจจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในกัมพูชามันเลยทำให้ผมต้องตั้งคำถามถึงจุดนี้บ่อยมาก ๆ ว่าผมควรเล่าไหม ผมไม่ใช่คนกัมพูชา ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเขาอย่างลึกซึ้งขนาดนั้น ผมคุยกับเพื่อนชาวกัมพูชาอยู่หลายต่อหลายครั้งว่าควรทำหนังเรื่องนี้หรือไม่ และคุยกับตัวเองว่าในฐานะคนที่ไม่ได้เป็นคนกัมพูชา ควรจะทำหนังที่ว่าด้วยเรื่องคนกัมพูชาไหม เราจะทำด้วยความเคารพต่อคนกัมพูชาอย่างไร ดังนั้นแล้วการทำงานกับทีมงานที่ 80 เปอร์เซ็นต์เป็นคนกัมพูชาจึงสำคัญสำหรับผมมาก ๆ รวมทั้งนักแสดงที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนกัมพูชา เว้นก็แต่สองนักแสดงนำไทยในเรื่อง 

ผมทำหนังด้วยความรักต่อวัฒนธรรมกัมพูชา ต่อวัฒนธรรมความเป็นพุทธ ผมเคยขึ้นไปทางเหนือของไทยเพื่อฝึกสมาธิตั้งแต่ปี 2015 ได้ รวม ๆ แล้วน่าจะไปมาแล้วเก้าครั้งล่ะ ผมเคยนั่งคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิด เรื่องกรรม อันเป็นประเด็นที่ผมสนใจอยู่แล้วเป็นการส่วนตัว เพราะงั้นตอนทำหนังที่ว่าด้วยประเด็นเหล่านี้ ผมจึงทำด้วยความเคารพอย่างสุดหัวใจ นี่สำคัญมากนะ

ปกติแล้วเวลาเราพูดถึงความเป็นหนังไซ-ไฟ มันก็มักมีฉากหลังเป็นสหรัฐฯ เป็นญี่ปุ่น พอคุณมาทำหนังไซ-ไฟที่มีฉากหลังเป็นกัมพูชามันเป็นยังไง

อันนี้แหละที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาหนึ่งของหนังตระกูลไซ-ไฟ เพราะพอพูดถึงหนังแนวนี้ คนก็จะนึกไปถึงความล้ำยุค ถึงความเปลี่ยนแปลง ถึงแคลิฟอร์เนียหรือญี่ปุ่น ซึ่งผมว่าผมเองก็รู้สึกแบบเดียวกันนี้เวลานึกถึงกัมพูชา ในความหมายว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเร็วเหลือเกิน เทคโนโลยีเข้ามารวดเร็วมาก ๆ และเด็ก ๆ ก็อยู่กับเทคโนโลยีเหล่านี้ตลอดเวลา

ผมคิดถึงประเด็นนี้บ่อยเหมือนกันนะ เหมือนว่าถ้ามีหนังฌ็องแบบนี้ เรามักไม่ค่อยเห็นมันไปเกิดขึ้นในประเทศแบบกัมพูชา ผมเลยตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้ขยับขยายภาพที่คนจะนึกถึงความเป็นฌ็องไซ-ไฟของหนังให้กว้างกว่าเดิม 

หนังคุณพูดเรื่องการถูกไล่ที่และความเหลื่อมล้ำที่ดูจะเป็นต้นธารผลักดันให้ตัวละครต้องเดินหน้าเข้าสู่วังวนต่าง ๆ คุณมองประเด็นนี้ยังไง

รัฐบาลกัมพูชาก็ขายพื้นที่ตรงทะเลสาบนั้นและสั่งให้คนในชุมชนอพยพออกให้หมด ผมเข้าใจว่ารัฐบาลก็จ่ายเงินชดเชย แต่นั่นแหละ พอคุณตั้งรกราก คุณใช้ชีวิตที่นี่มาหลายชั่วอายุคน เพื่อนและครอบครัวคุณก็อยู่ตรงนี้ ตัวตนและอัตลักษณ์คุณก็เกิดขึ้นจากที่นี่ แต่แล้วคุณกลับถูกสั่งให้ย้ายออกไปดื้อ ๆ ในหนังเองก็เช่นกัน มันเล่าเรื่องการถูกไล่ที่และคุณคงเห็นแล้วว่าตัวละครต่างตกอยู่ในสถานะไม่มีทางเลือกเลย 

แน่ล่ะว่ามีความเหลื่อมล้ำในกัมพูชา แต่ผมว่าในอเมริกาเองก็มีปัญหานี้นะ ไม่แน่ใจว่าในกรุงเทพฯ มีเหมือนกันไหม 

หรืออย่างเรื่องการไล่ที่รื้อถอน ชนพื้นเมืองอเมริกันเองก็ถูกไล่ออกจากดินแดนของตัวเองเมื่อสองร้อยปีก่อน เพราะงั้นด้านหนึ่ง สำหรับผมแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนวัฏจักรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในแต่ละชั่วอายุคนด้วย

จากจุดเริ่มต้น…ถึง ‘ปรากฏการณ์’ ในชีวิตคนทำหนังของ “ต้น โก๋แก่”

หากคุณลองค้นหาชื่อ ‘ต้น – จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์‘ ทางอินเทอร์เน็ต คุณจะพบว่าเขามีถึง 2 สถานะ หนึ่งคือการเป็นผู้บริหารที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์ขนมชื่อดังอายุกว่า 50 ปีของไทยอย่าง “โก๋แก่” และอีกสถานะของเขาคือการเป็นคนทำหนัง

ในฐานะของคนทำหนัง จุมภฏก่อตั้งคณะทำหนังแบบบ้าน ๆ ในนาม ‘โก๋ฟิล์ม’ ที่เริ่มต้นจากการชักชวนพนักงานใน ‘โรงงานแม่รวย’ มาเป็นทีมงาน จนกลายเป็นโปรเจ็กต์รวมหนังสั้น ‘มันส์…ทำเรื่อง!’ ในปี 2009 และเริ่มขยับสเกลมาร่วมงานกับคนทำหนังสั้นอิสระรุ่นใหม่ใน ‘Surreal เกมส์พลิก / โชคชะตาเล่นตลก / รักตาลปัตร’ ในปี 2014

สิ่งที่จุมภฏแสดงออกอย่างชัดเจนมาตั้งแต่แรกเริ่ม คือความขบถอยากทำหนังที่หาได้ยากในพื้นที่ปกติของหนังไทยทั้งกระแสหลักและนอกกระแส โดยเฉพาะความหลงใหลใน Cult Film ที่มีมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ นั่นทำให้โปรเจ็กต์ที่ผ่านมาของเขาล้วนมีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว 

และในภาพยนตร์เรื่องล่าสุด ‘Resemblance ปรากฏการณ์’ ซึ่งเป็นหนังยาวเรื่องแรกและเป็นการกำกับเดี่ยวแบบเต็มตัวครั้งแรกของเขา เราพบความน่าสนใจหลายประการ โดยเฉพาะการได้ทีมงานเบื้องหลังระดับท็อปของวงการหนังไทยมาร่วมประกอบสร้างจนกลายเป็นหนังแปลกใหม่แบบที่จุมภฏไม่เคยทำมาก่อน โดยทั้งหมดยังคงคอนเซปต์ความเป็นตัวของจุมภฏ ที่แรง โป๊ ตรงไปตรงมา ท้าทายให้ผู้ชมได้มาลองพิสูจน์ผลงานของเขาอีกครั้ง

จากวรรณกรรม (อีโรติก) กลายเป็นหนัง

ย้อนไปเมื่อครั้งทำ ‘Surreal’ มีตอนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ที่มีชื่อว่า ‘ความรักทำให้ฝรั่งตาบอด’ เล่าเรื่องของสาวทรานส์ข้ามเพศผู้กลัวว่าแฟนหนุ่มชาวต่างชาติจะจับได้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงแท้ ๆ ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องสั้น ‘มนุษย์แห่งอารมณ์’ ของ 10 เดซิเบล

เมื่อมาถึง ‘Resemblance ปรากฏการณ์’ จุมภฏก็เริ่มต้นจากการมองหาวรรณกรรมไทยที่สอดคล้องกับธีมหรือเรื่องราวที่เขาต้องการเล่าอีกเช่นกัน จนได้มาพบ ‘นอนใต้ละอองหนาว’ นวนิยายขนาดสั้นของ คุ่น – ปราบดา หยุ่น ซึ่งเล่าเรื่องราวพฤติกรรมทางเพศสุดประหลาดที่ติดต่อเหมือนโรคระบาดไปยังกลุ่มหนุ่มสาวทั่วโลก โดยงานชิ้นนี้เป็นครั้งแรกที่ปราบดาทดลองเขียนงานในแนวอีโรติกด้วย

จุมภฏเล่าถึงความสนใจในการนำวรรณกรรมมาทำเป็นหนังว่า “ย้อนไปตอน Surreal ไม่เชิงเป็นการหยิบเรื่องสั้นมาทำเสียทีเดียว จะเป็นการนำมาเป็นแรงบันดาลใจเริ่มต้นของตัวเรื่องมากกว่า แต่ใน Resemblance มันคือการดัดแปลงจากหนังสือเป็นหลัก ซึ่งเมื่อลองอ่านดูแล้วเราชอบแก่นของมันมาก ๆ แต่ตัวเรื่องมีความล่องลอยระดับหนึ่ง ไม่ได้เล่าเรื่องทุกอย่าง”

“ตอนอ่านก็รู้สึกว่า เอ๊ะ! ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็เลยนัดไปนั่งคุยกับพี่คุ่น ถามแกว่าเบื้องหลังไอเดียในการเขียนเรื่องนี้คืออะไร แกก็เล่าเรื่องทฤษฏี Transcendentalism ให้ฟัง พูดถึงเรื่องมนุษย์ติดต่อกับธรรมชาติ มนุษย์กลับเข้าสู่ธรรมชาติ ธรรมชาติมีการสื่อสารกับคน ที่ทั้งหมดถูกเล่าผ่านนิยายอีโรติกเรื่องนี้ ซึ่งผมชอบมาก ก็เลยเอาเรื่องราวในนิยายมาเป็นแก่นของหนังเรื่องนี้”

‘นอนใต้ละอองหนาว’ ถูกดัดแปลงมาเป็นบทใน Resemblance ว่าด้วยตัวละคร โจ (เจจินตัย อันติมานนท์) ตำรวจผู้ออกตามสืบคดีคนหายตัวลึกลับหลายรายที่เกิดขึ้นอย่างไร้ร่องรอย เบาะแสเดียวที่เขามี คือ บ๊อบบี้ (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) ชายต่างชาติรูปงามที่มักอยู่ร่วมกับคนที่หายสาบสูญไปเป็นคนสุดท้าย

เมื่อจุมภฏได้แกนบทของ Resemblance มาแล้ว เพื่อให้เรื่องราวสมบูรณ์ขึ้นเขาจึงมองหางานเขียนมาเติมมิติให้แก่เรื่อง และก็ได้พบกับ ‘สนไซเปรส’ นิยายของ จิรัฏฐ์ ประเสริฐทรัพย์ นักเขียนรุ่นใหม่ที่เคยมีผลงานเข้ารอบสุดท้ายซีไรต์มาแล้ว

จุมภฏพูดถึงวิธีการพัฒนาบทหนังเรื่องนี้ว่า “พอเป็นหนังยาว เราเลยต้องการเรื่องอีกส่วนหนึ่งที่จะมาเป็นซับพล็อตของหนัง หาไปหามาก็ไปเจอ ‘สนไซเปรส’ สำหรับเรามันมีกลิ่นของความอีโรติกอยู่นิด ๆ ก็เลยตัดสินใจเอาทั้งสองเล่มมารวมเป็นบทหนังเรื่องนี้ซึ่งถ้าได้อ่านเทียบกันก็จะพบว่าตัวหนังจริง ๆ ไม่เหมือนหนังสือทั้งสองเล่มเสียทีเดียว คือเทียบแล้วหนังอาจจะเหมือนหนังสือพี่คุ่น 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนของ ‘สนไซเปรส’ คือเป็นการดัดแปลงไปจากเดิมเลย ซึ่งส่วนนี้ก็เกิดมากจากที่เราได้คุยกับจิรัฏฐ์แล้วไอเดียก็พัฒนามา และเราก็ได้จิรัฏฐ์มาร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย” 

เส้นเรื่องรองของ Resemblance เล่าถึงชีวิตของนางแบบสาว ปาณนา (ไพลิน-ไพลินธิรา โคลเล็ค) หนึ่งในเหยื่อที่หายตัวไปอย่างลึกลับ โดยหลังจากได้พบกับบ๊อบบี้เธอก็เกิดความรู้สึกประหลาด คืออาการกระหาย “น้ำ” ของชายหนุ่มแปลกหน้าอยู่ตลอดเวลา!

หนัง “อีโรติก + ไซ-ไฟ” ?

จุดร่วมอย่างหนึ่งในหนังของจุมภฏคือการพูดเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับใน Resemblance ที่เต็มไปด้วยฉากเซ็กส์ระดับจัดเต็มเท่าที่จะทำได้ภายใต้เรตติง “ฉ 20+” 

“จำได้ว่าช่วงที่กำลังจะทำเรื่องนี้ ในไทยก็มีหนังแบบ Shame (2011, สตีฟ แม็ควีน) ฉายอยู่ และเราก็ได้ดูหนังฝรั่งเศส เช่น งานผู้กำกับ หลุยส์ มาลล์, แคลร์ เดอนีส์ หรือ แคทเธอรีน เบรลญาต์ ซึ่งพูดเรื่องเซ็กส์ได้อยากปกติมาก ๆ ทำให้เราคิดว่าทำไมบ้านเราถึงไม่เสรีอย่างนี้ ทำไมเราฉาย Shame ได้ แต่ไม่มีใครกล้าทำหนังแบบ Shame และหนังแนวอีโรติกที่ผ่านมาในบ้านเรานั้น ผมดูแล้วก็ไม่มีอะไรถูกใจเลย มันไม่สามารถสร้างฉากเซ็กส์ที่สมจริงได้ ต้องทำภาพหลบ ๆ ซ่อน ๆ ผมรู้สึกว่าไม่ใช่ นอกจากนั้นตัวผมก็ยังชอบหนังของ คิมคีด็อก ซึ่งเป็นคนทำหนังที่ผมรู้สึกว่าพูดตรง ไม่ได้มองโลกสวย ผมก็เลยเอา 2 สิ่งนี้ ทั้งความอีโรติกแบบหนังฝรั่งเศส กับความตรงไปตรงมาของคิมคีด็อก มาผสมกัน”

ในการกำกับฉากเลิฟซีน จุมภฏจึงเน้นเรื่องความสมจริงซึ่งท้าทายเหล่านักแสดงที่มาร่วมงานด้วยอย่างยิ่ง “ตอนแรกที่เราให้นักแสดงมาเจอกัน สิ่งแรกที่ผมทำก่อนเลยคือบอกนักแสดงทุกคนว่า หนังเรื่องนี้ผมขอจูบจริงนะ จูบแลกลิ้นแบบ french kiss และฉากเซ็กส์ก็ต้องดูเหมือนจริง เราบอกกับเขาตั้งแต่วันที่มาเวิร์กช็อปด้วยกัน ก็ให้เขาฝึกจูบจริง ๆ ให้เขาจูบจนชิน อย่างพี่เจจินตัยบอกว่าเล่นหนังไทยมาหลายเรื่องแล้ว ไม่เคยมีเรื่องไหนที่ได้จูบจริงๆ หรือแอ็ติ้งในฉากเซ็กส์เรียล ๆ จริง ๆ มาก่อน เราก็บอกว่า ก็ทำให้มันชินซะ เดี๋ยวมันก็ไปกันได้ เข้าฉากก็ไม่อายกัน”

ขณะเดียวกัน Resemblance ก็เพิ่มเติมจุดที่ทำให้มันแตกต่างจากงานที่ผ่านมาของจุมภฎ นั่นคือการเป็นหนังแนวไซ-ไฟที่เขาไม่เคยทำมาก่อน “หนังแนวไซ-ไฟมันก็ไม่ได้มีมานานแล้วในตลาดไทย และเราอยากจะทำไซ-ไฟที่นำความเป็นอีโรติกอีกที เพราะ Resemblance มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติที่กำลังสื่อสารอะไรบางอย่างกับตัวเราอยู่ …คือหนังไซ-ไฟที่ผมชอบมันจะเป็นแนวออกสัตว์ประหลาดหน่อย ๆ อย่างเรื่อง Pan’s Labyrinth (2006) ของ กิเยร์โม เดล โตโร หรือ Moon (2009, ดันแคน โจนส์) ซึ่งมีบรรยากาศของธรรมชาติที่กำลังเล่นตลกกับมนุษย์อยู่”

และด้วยความเป็นหนังไซ-ไฟ ทำให้ Resemblance มีฉากที่ต้องใช้เทคนิคพิเศษหลายฉาก ส่งผลให้งานสร้างของหนังใหญ่ขึ้นจนแม้แต่จุมภฏเองก็คิดไม่ถึง “หมดเงินหลายล้านเลยกับงานซีจีเรื่องนี้ คือมันนับเป็นนาทีเลย compose ยิ่งเหมือนยิ่งแพง แต่เราก็รู้สึกสนุกไปกับมันเพราะซีจีมันรองรับสิ่งที่เราคิด ภาพก็ได้อย่างที่เราคิดด้วย”

หนังที่ไม่อาร์ต ด้วยคนเบื้องหลังระดับโลก

หลายคนอาจจะพอทราบว่า ตัวจุมภฏในนามโก๋ฟิล์มนั้นเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนคนทำหนังอิสระไทยมายาวนาน นั่นทำให้ตัวเขารู้จักกับคนทำงานเบื้องหลังของไทยเป็นอย่างดี โดยใน Resemblance นี้เขาก็ได้รับคำแนะนำจาก ทองดี -โสฬส สุขม โปรดิวเซอร์หนังอิสระ ให้ลองมาร่วมงานกับ ลี ชาตะเมธีกุล นักตัดต่อหนังชื่อดังของไทย ส่งผลให้หนังเรื่องนี้ออกมาแตกต่างจากสิ่งที่จุมภฏเคยทำแบบสิ้นเชิง

“จริง ๆ ตอนเรื่อง Surreal พี่ลีก็มาดูภาพรวมให้นะ แต่ไม่ได้ลงมาตัดต่อเอง ต้องบอกก่อนว่าหนังเรื่องนี้ถ่ายทำเสร็จนานแล้ว คือหลังจากเรื่อง Surreal เราใช้เวลาประมาณหนึ่งปีถ่ายทำเรื่องนี้ จนเราไปเจอกับพี่ทองดี เขาก็ถามไถ่ตามปกติว่าหนังเป็นไงบ้าง เราก็เล่าไป ตอนนี้ถ่ายอนันดาครับพี่ ทุกอย่างดูโอเค ราบรื่นมาก ผ่านจบหมดแล้ว เนี่ยพี่…งบประมาณเท่านี้โอเคไหม บอกตัวเลขได้เลยนะพี่ ผมทำไปเกิน 10 ล้านแล้วนะพี่ พี่ทองดีก็ตอบกลับมาว่า ต้น…งบธรรมดา งบแค่นี้ถูกมาก คุณต้นอยากลองให้หนังไปไกลมากกว่านี้ไหม ลองให้พี่ลีตัดต่อดูสิครับ คือพี่ทองดีใช้คำนี้เลยนะ ตัดต่อโดยผ่านตาคนอื่น เขาไม่รู้หรอกว่าโปรดักชั่นหนังของเราเป็นยังไง อะไรถูกอะไรแพง เอาสิเราก็อยากลองดู เพราะว่าตอนนั้นก็เป็นช่วงที่กำลังจะเก็บเงินเพื่อโปรโมทหนังอยู่ ก็ไม่ได้รีบอะไรอยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจให้พี่ลีตัดหนังเรื่องนี้ให้”

“แล้วด้วยความคิวทองของพี่ลี คือยุ่งมากงานแน่น นัดเจอก็ยาก ปรากฏว่าพี่ลีเงียบไปเลยปีครึ่ง จนเราลองโทรไปถามที่ออฟฟิศ Whitelight ว่าเป็นไงบ้าง คนที่ออฟฟิศก็บอกว่าพี่ลีติดหนังอีกเรื่องนึงอยู่อีก 1-2 เดือน ก็จะมาต่องานคุณต้นแล้ว เราก็รอไป”

“จนกระทั่งเสร็จ draft แรกออกมา พอเห็นหนังเท่านั้นแหละ มันเหมือนชีวิตใหม่เลย มันเล่าเรื่อง 1 + 1 ไม่ใช่ 2 มันเล่าอย่างนี้ ตัด สลับ คัต ชน ผมว่าแกเทพมาก คือเชื่อไหมว่าบางทีไปนั่งอยู่กับแก ฟุตบางอันแกจำได้ว่าอยู่ตรงไหน แกจำได้ว่าไม่รู้มีอยู่กี่ร้อยกี่พันฟุต คล้าย ๆ ว่าแกมีภาพในหัวที่เอามาประกอบกัน เก่งมากเลย แล้วทำให้หนังเล่าเรื่องทางใหม่ โอ้โห! แฮปปี้เลย จาก draft cut ยาว 2 ชั่วโมงกว่า สุดท้ายเหลือ 1 ชั่วโมง 40 นาที ไอ้ที่ถ่ายมาแพง ๆ พี่ลีก็ตัดทิ้งหมด (หัวเราะ) กลายเป็นว่าหลังจากเรื่องนี้ เรื่องใหม่ที่กำลังทำผมก็ให้พี่ลีตัดเหมือนเดิม คือติดใจไปแล้ว คุ้มค่ากับที่เรารอ”

นอกจากลี ชาตะเมธีกุลแล้ว Resemblance ยังได้ ริศ – อัคริศเฉลิม กัลยาณมิตร ซาวด์เอนจิเนียร์ชื่อดังมาร่วมงานด้วย 

“พี่ริศก็คือแพ็คคู่มากับพี่ลีเลย จากคำแนะนำของพี่ทองดีเช่นกัน ตอนแรกเราก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ด้วยความที่พี่ริศทำหนังกับพี่เจ้ย (อภิชาตพงศ์ วีระเศรษฐกุล) มา คือต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนที่ดูหนังพี่เจ้ยทุกเรื่องนะ แต่ก็คิดว่าซาวด์แบบหนังพี่เจ้ยอาจจะไม่ได้เหมาะกับหนังของเรา คือหนังเราไม่ได้อาร์ตอย่างนั้นและก็ไม่ได้ประหลาดซะทีเดียว ทำให้ตอนบรีฟกับพี่ริศเลยบอกว่าไม่อยากให้มันเนิบมาก ก็เน้นย้ำเรื่องพวกนี้ ซึ่งเรื่องไอเดียเกี่ยวกับซาวด์หรือดนตรีประกอบ เราบรีฟไปกับพี่ลีว่า เราอยากได้ซาวด์แบบ คลิฟ มาติเนซ แนวแบบหนัง The Neon Demon (2019, นิโคลัส เวนดิง เรเฟน) มีความเป็นอิเล็กทรอนิกส์ มีความไซ-ไฟ มีซาวด์ของยุค 90’s หน่อยๆ ซึ่งพี่ลีก็ตัดต่อและวางไกด์ไลน์ดนตรีลักษณะนั้นมาให้ จนมาถึงพี่ริศ เราก็บรีฟเพิ่มกับพี่เขาอีกที โดยเฉพาะช่วงท้ายเรื่องที่มันเป็นช่วงเข้าป่า เราก็ขอซาวด์แบบธรรมชาติ ๆ อย่างที่พี่ริศถนัดทำในหนังพี่เจ้ย”

จากจุดเริ่มต้น จนถึงวันนี้ในฐานะ “คนทำหนัง”

ในเครดิตท้ายเรื่องของ Resemblance จุมภฏแสดงความไว้อาลัยแก่ Atsuhiko Kameyama เพื่อนชาวญี่ปุ่นผู้ล่วงลับ ซึ่งเป็นคนสำคัญที่ผลักดันให้ตัวเขาได้มาทำหนังแบบทุกวันนี้

“เป็นเพื่อนสมัยเรียน ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว และเขาก็เป็นเพื่อนคนเดียวเลยนะ คือสมัยที่ผมเรียนที่ฝรั่งเศส เขาเป็นเพื่อนที่ชวนเราไปดูเรื่อง Night on Earth (1991, จิม จาร์มุช) เป็นคนที่ซัพพอร์ตเราตลอดเวลา และเขาก็เคยพูดให้กำลังใจเราว่า เฮ้ย…ทอม วันหนึ่งยูต้องมีหนังเป็นของตัวเอง ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดเรื่องทำหนังหรอก เขาก็พูดประมาณนี้ เราก็คิดถึงเขานะ เราเคยบอกว่าถ้าวันไหนที่หนังเราเสร็จเขาจะได้ดู แต่เขาก็จากไปซะก่อน ผมรู้สึกว่าถ้าหนังเรื่องนี้ได้ฉาย ผมคงจะเรียกเขามาดู แต่เขาก็ไม่อยู่ดูแล้ว

“ช่วงไปเรียนที่ฝรั่งเศสมันเปิดโลกเรามากเลยนะ แล้วหนังฝรั่งเศสก็เยอะมาก ได้ดูหนังแบบ The Big Blue (1988, ลุก แบซง), Damage (199, หลุยส์ มาลล์) หรือหนังชุด Three Colours Trilogy ของเคียสลอฟสกี ก็เข้าช่วงนั้นเลย คือได้ดูในโรงแล้วแม่งสุดตีนมาก ๆ  มันเปิดโลกเรามาก ๆ เลย แต่มันก็เป็นหนังแนวฝรั่งเศสอยู่

 “ปรากฏว่าช่วงนั้นเริ่มมีกระแสหนังอินดี้อเมริกันเข้ามาแล้ว ในยุคเดียวกันก็มี Reservoir Dogs (1992, เควนติน ตารันติโน) มีหนังจิม จาร์มุช เราก็ดูไปเรื่อย มีอะไรก็เอามาบ่นให้เพื่อนคนนี้ฟัง มีครั้งหนึ่งเราบ่นกับเขาว่า เราเบื่อหนังใหญ่ๆ แนวอีพิก ดูแล้วง่วงนอน เราชอบดูหนังที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะเทียบกับหนังอะไร เขาก็เลยบอกเราว่า งั้นยูลองไปดู Night on Earth รับรองชอบแน่นอน ออกมาจากโรง…ใช่เลย! มันเป็นหนังที่ เฮ้ย! ถ่ายง่ายมาก แท็กซี่คันนึงมันก็ถ่ายเป็นหนังได้ เราก็ได้แรงบันดาลใจมาจากอะไรอย่างนี้เหมือนกัน เป็นโมเมนต์แรกที่รู้สึกว่า เฮ้ย! กลับไปเมืองไทยเรียนจบแล้วจะเอากล้องมาทำหนัง ก็ได้จากหนังเรื่องนี้แหละ”

กว่า 10 ปีที่จุมภฏทำหนังด้วยใจรัก โดยใช้เวลาว่างจากงานประจำ จากจุดเริ่มต้นในการทำหนังสั้น จนมาถึงการทำหนังขนาดยาวเรื่องนี้ ทำให้เขาเข้าใจและค้นพบวิธีการทำหนังในแบบที่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด

“ทำไปทำมาผมรู้สึกว่าทำหนังสั้นยากกว่าหนังยาว หนังสั้นเวลาจำกัด ต้องทำอย่างไรให้สั้นและกระชับ เรารู้สึกว่าการทำหนังยาวมีอิสระกว่า เราสามารถดีไซน์จินตนาการหรือ control หรือเพิ่มได้ตามที่เรารู้สึกอยากจะทำ พอเรามีทีมที่โอเคแล้วก็รู้สึกว่าเราพอเข้าใจเวลาเล่าเรื่อง ที่เขาเรียกว่ากำลังพอดีพอควร ผมว่ามันไปด้วยกันหมดนะ”


ตัวอย่าง :

ALI: FEAR EATS THE SOUL : เท่าที่ฟ้าให้เรารักกัน

0

*หมายเหตุ :
– ชื่อบทความมาจากชื่อ All That Heaven Allows และชื่อเพลง “เท่าที่ฟ้าเพิ่นให้” โดยต่าย อรทัย และไผ่ พงศธร
– บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์

คืนนั้นฝนตก เอมมี่สงสัยเรื่องผับนั้นมานานแล้ว ผับที่เธอได้ยินเสียงเพลงต่างชาติลอดออกมาจากประตู ที่จริงเธอแค่ตั้งใจแค่จะเข้าไปหลบฝน ในผับเต็มไปด้วยคนอาหรับ มีแต่หญิงเจ้าของผับเท่านั้นที่เป็นคนเยอรมัน เอมมี่นั่งลงที่โต๊ะแรกสุดติดประตู โดดเดี่ยวแปลกแยกจากทุกคนที่รวมกันอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ เธอสั่งโค้กขวดหนึ่ง บอกหญิงเจ้าของร้านว่าเธอแค่ขอมาหลบฝนเดี๋ยวก็จะไป

ที่บาร์พวกนั้นยุยงอาลี อาลีเป็นคนหนุ่มแข็งแรงล่ำสันหนวดเครารกครึ้ม อาลีของสาว ๆ วันนี้ถูกยุยงให้ไปขอป้าแก่คนนั้นเต้นรำสิ แล้วอาลีก็ไปขอจริง ๆ ทั้งคู่เต้นรำกันกลางสายตาของผู้คน เอมมี่คุยกับอาลีขณะเต้นรำ เธอไม่รังเกียจเขาที่เป็นคนต่างชาติ เขาไม่รังเกียจที่เธอเป็นคนแก่ พวกเขาคุยกัน เธอเป็นไม่กี่คนที่พูดดีกับอาลี ส่วนอาลีเป็นคนแปลกหน้าไม่กี่คนที่คุยกับเธอจริง ๆ

หลังจบเพลง อาลีอาสาไปส่งเธอที่บ้าน เธอเช่าห้องอยู่ในตึกโดยลำพัง สามีเธอตายไปนานแล้ว ลูก ๆ ก็แยกออกไปมีครอบครัว เธอทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาด มีด้วยกันสี่คน ตึกแปดชั้นทำคนละสองชั้น เวลาพักเที่ยงต้องนั่งกินมื้อเที่ยงตรงบันไดหนีไฟ เธอโดดเดี่ยวอยากคุยกับใครสักคน เขาก็โดดเดี่ยวทำงานเป็นช่างในอู่ ห้องคับแคบอยู่กันหกคน ทำงานเช้าจรดค่ำ ดื่มนิดหน่อย ถ้าไม่ไปกับสาวสักคนในบาร์ก็กลับไปนอนเพื่อตื่นมาสู้งานหนัก 

เธอชวนอาลีไปบนห้องเพื่อคุยกันต่อ พอรู้ว่าชีวิตแรงงานอพยพของอาลีลำบากขนาดไหน และมันดีแค่ไหนที่มีคนคุยด้วย เธอก็ขอให้เขาอยู่ค้าง เธอจัดเตียงให้ หาเสื้่อผ้าแปรงสีฟัน บอกอาลีว่าจะได้ตื่นมากินอาหารเช้าด้วยกัน และออกไปทำงานพร้อมกัน มันง่ายดายถึงเพียงนั้น วิธีที่แม่ม่ายใกล้เกษียณพบรักกับหนุ่มอาหรับที่เป็นแรงงานอพยพ รักคือความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับสังคมที่ปฏิเสธความต่าง แต่ความกลัว-อันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จะกัดกินวิญญาณของเราทีละเล็กละน้อย

หนังดัดแปลงอย่างหลวม ๆ จากภาพยนตร์เมโลดรามาอเมริกัน เรื่อง All That Heaven Allows (1955) ของ ดักลาส เซิร์ค (Douglas Sirk) คนทำหนังชาวเยอรมันที่ไปโด่งดังในอเมริกาจากการทำหนังผู้หญิง หนังของดักลาส เซิร์คอาจจะประสบความสำเร็จตอนที่มันออกฉาย แต่นักวิจารณ์ในขณะนั้นก็ไม่ได้มองว่าเขาเป็นคนทำหนังที่มีความเฉพาะตัว และหนังเรียกน้ำตาของเขาอธิบายภาพชนชั้นกลางอเมริกันในห้วงเวลานั้นได้ดีเพียงไร อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาผู้คนก็ยกย่องหนังของเขาและกลายเป็นหนึ่งในหนังสำคัญของโลก 

All That Heaven Allows เล่าเรื่องของ แครี่ แม่ม่ายวัยกลางคนที่สามีตายไปหลายปี เธออาศัยในบ้านหรูหราของสามี เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในชุมชน ลูกสาวลูกชายไปเรียนหนังสือในเมืองหมดแล้ว เธอใช้ชีวิตเงียบเหงาโดยลำพัง ไปงานปาร์ตี้คอกเทลบ้างตามสมควร มีชายหลายคนมาติดพันเธอ โดยมากเป็นนักธุรกิจที่แก่กว่าและอยากมีเพื่อนรู้ใจในช่วงปลายของชีวิต แต่เธอไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ จนวันหนึ่งเธอเพิ่งสังเกตว่าคนที่มาทำสวนในบ้านของเธอเปลี่ยนจากชายชราเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี เขาคือรอน ลูกชายของคนสวนคนเก่าที่เสียชีวิตไปแล้ว เธอเริ่มชวนชายหนุ่มที่กำลังจะไปจากเมืองเพื่อไปเรียนเกี่ยวกับการเกษตรคุยเรื่องต้นไม้ เขาพาเธอไปที่เรือนเพาะชำของเขา พบกับเพื่อน ๆ ของเขาที่เป็นชุมชนของคนผู้รักอิสระเสรี สร้างชีวิตเล็ก ๆ อย่างเรียบง่ายไม่ฟุ้งเฟ้อ พวกเขาทั้งคู่ตกหลุมรักกันชนิดที่วัยไม่ใช่อุปสรรค รอนถึงขั้นรื้อโรงนาเก่าทำให้มันเป็นบ้านสวยตามที่แครี่แนะนำ จนเมื่อรอนขอแครี่แต่งงาน เธอลังเลใจ แต่ก็รักเขา เธอพาเขาไปแนะนำกับครอบครัวและเพื่อนฝูงเพื่อที่จะพบว่าชีวิตของพวกเขาแตกต่างกันมาก เธอกลายเป็นขี้ปากของชุมชนกระฎุมพีขี้นินทา ขณะที่ลูก ๆ ก็รับไม่ได้ที่เธอจะแต่งงานใหม่กับคนหนุ่มอายุน้อยราวกับเป็นยายแก่ตัณหากลับ ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาต้องแยกทางกัน เธอได้ชีวิตเดิมคืน แต่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วเพราะเธอเพิ่งตระหนักรู้ว่า กับลูก ๆ เธอเพียงต้องทำหน้าที่เป็นแม่ที่ดี แม่ที่โดดเดี่ยว ขณะเดียวกันเมื่อชาวบ้านหมดเรื่องนินทา ก็ไม่ได้มีใครใส่ใจเธอจริง ๆ แบบที่รอนใส่ใจเธอสักคน

All That Heaven Allows (1955)

ไรเนอร์ แวร์เนอร์ ฟาสบินเดอร์ (Reiner Werner Fassbinder) คือคนทำหนังสำคัญคนหนึ่งในทศวรรษที่ 1970’s-80’s ทั้งในเยอรมันและโลก เขาเป็นหนึ่งในรุ่นถัดมาของกลุ่ม New German Cinema อันประกอบขึ้นจากคนทำหนังรุ่นใหม่ในขณะนั้นที่ทำหนังเพื่อต่อต้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์เพื่อการค้าของเยอรมันในยุคหลังสงคราม ภาพยนตร์ของฟาสบินเดอร์เป็นหนึ่งในแนวหน้าของเลือดใหม่ เขาเป็นคนทำหนังและละครเวทีที่บ้าบิ่น ตลอดช่วงเวลา 20 ปีเขาทำหนังไปร่วมสี่สิบเรื่อง โดยบางปีเขาทำหนังปีละสามเรื่อง หนังของเขามักใช้ทีมงานและนักแสดงชุดเดิม ๆ ซึ่งโดยมากก็เป็นคนใกล้ชิด งานของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ความตรงไปตรงมาทั้งทรรศนะทางการเมือง เพศ และชีวิต หนังของเขามักเล่าเรื่องตัวละครแตกหักเสียหายและวังวนบ้าคลั่งของความปรารถนาและการกดขี่ เมื่อรักใครก็รักหมดหัวใจอย่างบ้าคลั่ง ยอมให้ถูกทำลาย และถ้ามีใครมารัก ก็จะทำลายล้างคนที่รักอย่างไม่เหลือเยื่อใย งานของเขามักขุดลึกลงในมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์แบบเขาเองที่เป็นเกย์เปิดเผย และนักแสดงส่วนหนึ่งคือชายคนรักของเขา แต่เขาก็แต่งงานกับผู้หญิงซึ่งก็เป็นนักแสดงในแก๊งของเขา แม้หนังของเขาโลดโผนและทุกข์ระทมแบบขึ้นสุดลงสุด แต่ชีวิตของเขาโลดโผนกว่าหลายเท่า 

งานยุคแรกของฟาสบินเดอร์นั้นเป็นหนังที่ผสมระหว่างละครเวทีและหนังทดลอง บรรดานักแสดงของเขาสลับกันเล่นบทบาทพิลึกพิลั่น บ่อยคร้ังจอกลายเป็นเวทีที่ตัวละครมาสบถด่ากันอย่างไม่บันยะบันยัง และไม่รีรอที่จะแสดงทรรศนะทางการเมือง ในยุคต่อมา เขาหันมาทำหนังเมโลดรามา หลายเรื่องได้รับแรงบันดาลใจจากหนังดรามาอเมริกัน Ali: Fears Eats the Soul เป็นหนึ่งในหนังเรื่องสำคัญของเขาในยุคนี้ หนังในยุคนี้มีความเป็นหนังเล่าเรื่องมากขึ้น ร้าวรานหัวใจสลาย ในขณะเดียวกันเขาก็เปิดเปลือยความทุกข์ ความเห็นแก่ตัว ความขาดรักของบรรดาตัวละครอย่างถึงเลือดถึงเนื้อ ในยุคต่อมาหลังจากเขาเริ่มเป็นที่รู้จักจากนานาชาติ (แต่ยังคงไม่ได้รับการยอมรับในบ้านเกิด) เขาก็ทำหนังใหญ่ขึ้น หนังที่เป็นเหมือนการหยิบเอาธีมเมโลดรามามาทบทวนประวัติศาสตร์ของเยอรมันเอง เขาเสียชีวิตในปี 1982 บางคนบอกว่าเขาตายเพราะติดยา บางคนบอกว่าเป็นการฆ่าตัวตายเพราะชีวิตรักที่ชอกช้ำและการรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถผลิตงานที่ยิ่งใหญ่ได้อีกแล้ว เขาตายขณะกำลังเขียนบทหนังเรื่องใหม่ด้วยวัยเพียง 37 ปี

เราอาจบอกได้ว่า All That Heaven Allows วิพากษ์ความเป็นผู้หญิงที่ดีในสายตาของชนชั้นกลางอเมริกัน และสิ่งที่พวกเธอต้องสูญเสียไป หัวใจที่ว่างเปล่าและการเสียสละเพื่อคนที่รัก แลกมาด้วยความเงียบเหงาเศร้าสร้อยและทีวีเครื่องหนึ่งที่ลูกซื้อให้เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ด้วย แต่ ฟาสบินเดอร์พาเรื่องเล่าเดิมไปไกลกว่าด้วยการเติมมิติการเมืองอย่างตรงไปตรงมาผ่านการเปลี่ยนตำแหน่งทางสังคมของตัวละครหลัก จากคุณนายผู้ร่ำรวยกลายเป็นแม่บ้านชาวเยอรมันที่เป็นคนงานระดับล่าง อาศัยลำพังในห้องแบ่งเช่ากับเหล่าเพื่อนบ้านสอดรู้ และเปลี่ยนหนุ่มคนสวนสุดหล่อรักอิสระให้เป็นแรงงานอพยพ คนอาหรับจากโมร็อกโกที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ก็เท่ากับว่า ‘เท่าที่ฟ้าให้เรารักกัน’ ของฟาสบินเดอร์นั้นฟ้าได้มอบข้อจำกัดของชีวิตมาให้เป็นพื้นฐาน ความรักอันบริสุทธิ์จึงกลายเป็นเรื่องทางการเมืองเสียตั้งแต่ก่อนที่เราจะได้รักกัน

ชีวิตของแครี่กับรอนนั้นถูกกำกับโดยหน้าที่ทางสังคมของแครี่ ขณะที่รอนเป็นชายหนุ่มอิสระผู้มาสอนให้แครี่รู้จักชีวิตใหม่นอกกรงทองของสังคม แต่สำหรับอาลีกับเอมมี่ พวกเขาต่างต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากอยู่ในข้อจำกัดของตน การมีกันและกันของพวกเขาไม่ใช่รักทำให้พวกเขามีเสรีภาพ แต่รักทำให้พวกเขาได้เงยหน้าขึ้นมาหายใจเอาอากาศสดใหม่ของชีวิตสักเฮือกหนึ่ง

เรื่องรักของเอมมี่และอาลีถูกกำหนดโดยการเมืองของการเป็นแม่เช่นเดียวกับแครี่ เมื่อลูก ๆ ของเธอไม่พอใจที่แม่ไปคว้าหนุ่มแรงงานข้ามชาติมาเป็นแฟน พวกเขาไม่ประสงค์ให้แม่เป็นอย่างอื่นนอกจากแม่ จงเสียสละ จงทุกข์ระทม จงมีชีวิตที่ถูกทำนองคลองธรรม เพื่อที่จะได้เป็นเครื่องประดับทางจริยธรรมของลูกชายลูกสาว แต่สิ่งที่ลึกลงไปกว่านั้นคือการเหยียดเชื้อชาติที่ฝังรากลึกอยู่ในผู้คน ลูก ลูกเขย (ที่เล่นเป็นไอ้คนเหยียดเชื้อชาติโดยฟาสบินเดอร์เอง) เพื่อนร่วมตึกที่บอกว่าเธอทำให้พื้นเป็นคราบเพราะรับพวกสกปรกมาอยู่ด้วย ร้านชำที่บอกว่าจะไม่ขายของให้คนที่พูดเยอรมันไม่ได้ ร้านอาหารที่ไม่ยินดีบริการ ไปจนถึงเพื่อนร่วมงานที่เลิกคุยกับเธอเพราะเธอไปเป็นแฟนกับพวกที่จะมาแย่งงาน

ถ้าจะรักก็ต้องกล้าหาญ ความกล้าหาญของเอมมี่และอาลีที่จะไม่ยอมให้ความกลัวกัดกินวิญญาณ อยู่ในเนื้อของหนัง และอยู่ในผิวหนังของหนังผ่านทางการถ่ายภาพที่เสมือนลอบมองตัวละครตลอดเวลา เมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกัน กล้องแทบไม่เคยเป็นอิสระ สายตาของกล้องเป็นสายตาของการลอบมอง ถูกบังด้วยเสา ผนัง กรอบประตู ราวบันได ราวกับพวกเขาถูกจับตามองจากสังคมที่ไม่เข้าใจตลอดเวลา สายตาเช่นนี้ในเวลาต่อมาปรากฏอยู่ในหนังที่ใช้สไตล์จัดจ้านพอ ๆ กันอย่าง In The Mood For Love (2000, Wong Kar Wai) หนังที่พูดเรื่องรักต้องห้ามเหมือน ๆ กันผ่านทางชายหญิงคู่หนึ่งที่อาศัยในห้องแบ่งเช่าติดกันและต่างคนต่างพบว่าสามีกับภรรยาของอีกฝ่ายลักลอบเป็นชู้กัน 

รักต้องห้ามของคุณโจวกับคุณนายฉั่น ถูกจับตามองจากสังคมห้องแบ่งเช่าสำหรับคนจีนที่อพยพมายังฮ่องกง หนังพูดถึงวันชื่นคืนสุขที่เริ่มในปี 1962 ไปจบที่ปี 1966 อันเป็นปีที่เกิดการจลาจลใหญ่ในฮ่องกงต้านอาณาจักรอังกฤษ สิงคโปร์แยกออกจากมาเลเซีย บัลลังก์ของสีหนุเริ่มสั่นสะเทือนหลังการเลือกตั้งใหญ่ที่ในเวลาต่อมาค่อย ๆ นำไปสู่การรัฐประหารและการครองอำนาจของเขมรแดง เวลาเร้นรักนั้นกลายเป็นวันชื่นคืนสุขสุดท้ายของจีนอพยพทั้งในฮ่องกงและทั่วภาคพื้นอุษาคเนย์ คนอพยพแบบเดียวกับอาลีและแบบเดียวกันกับสามีชาวโปแลนด์ผู้ล่วงลับของเอมมี่ ซึ่งทำให้เอมมี่กลายเป็นคนอพยพในสายตาเพื่อนบ้านเพราะไม่ได้มีนามสกุลเป็นเยอรมัน

In The Mood For Love (2000)

ในเชิงสถาปัตยกรรม In The Mood for Love ยังพูดถึงอาการไร้บ้านของคนอพยพในฮ่องกงที่ถูกกำกับโดยศีลธรรมแห่งการสอดส่องจากเพื่อนบ้านที่ใช้ครัวรวม จากเจ้าของห้องเช่า ความไม่มีบ้านที่แท้ทำให้ไม่มีช่วงเวลา ‘ที่ฟ้าให้เรารักกัน’ สองคนจึงได้แต่เตร็ดเตร่ไปตามถนน ห้องเช่าในโรงแรม ซ่อนอยู่ในเงามืดที่เบาะหลังรถแท็กซี่ สถาปัตยกรรมแบบเดียวกันถูกนำมาใช้บีบอัดชีวิตของอาลีและเอมมี่ ทั้งจากบันไดวนที่เป็นเหมือนคุก หรือผนังคอนกรีตในกรอบประตูของร้านอาหารที่ฮิตเลอร์เคยไป สวนอาหารที่เก้าอี้สีเหลืองว่างเปล่าตีวงล้อมคู่รัก โดยมีสายตาของเจ้าของร้านและเหล่าคนงานจับจ้องอยู่ พวกเขาถูกบีบในกรอบแคบ ๆ ของสถาปัตยกรรมเยือกเย็นแบบเยอรมัน หนังทั้งสองเรื่องล้วนจงใจวางตำแหน่งของตัวละคร ในแต่ละฉาก ตำแหน่งถูกจัดวาง เรียงลำดับลึกตื้น ตัวละครยืนในตำแหน่งหนึ่ง พูดและเดินไปยังอีกตำแหน่งจนแทบเป็นละครเวที 

การถูกจับตากลายเป็นสายตาของหนังทั้งสองเรื่อง สถาปัตยกรรมบันไดวนในบ้านของเอมมี่กลายเป็นเครื่องมือที่เพื่อนบ้านใช้จับตามอง เช่นเดียวกับครัวรวมบ้านคุณนายฉั่น และบันไดยังกลายเป็นกรงขังอีกด้วยเมื่อเอมมี่ในฐานะแรงงานชั้นล่างต้องมากินข้าวกับเพื่อนร่วมงานตรงซอกบันไดตึก เมื่อเพื่อนร่วมงานแบนเธอ กล้องถ่ายภาพเธอผ่านซี่กรงของบันไดขณะกินข้าวเที่ยงลำพัง จนในเวลาต่อมาเมื่อทุกอย่างคืนสู่ปกติ เธอถูกรับเข้ากลุ่มเพื่อผลประโยชน์จากการรวมพลังในการต่อต้านแรงงานอพยพรายใหม่ โยลันดา แม่บ้านคนใหม่ที่เป็น ‘คนนอก’ ก็เข้าแทนที่เธอผ่านซี่กรงของบันได ขณะแรงงานในประเทศสุมหัวกันกังวลว่าจะโดนแย่งงาน 

ความรักของเอมมี่และอาลีที่ถูกจับตาและขีดกั้นโดยสวรรค์และทุนจึงเป็นไปได้ยากยิ่ง แต่หนังไปไกลกว่าแค่อคติจากผู้คนรอบข้างที่มีต่อคู่รัก เพราะสิ่งที่กัดกินวิญญาณของคนทั้งคู่คืออคติในใจตนเอง หลังจากทั้งคู่หนีโลกไปพักร้อนและกลับมา เอมมี่ค่อย ๆ ได้สถานะคืนจากคนรอบข้างเพราะเธอต้องช่วยเลี้ยงหลานให้ลูก และเป็นส่วนหนึ่งของแรงงานพื้นถิ่นที่ต้องรวมตัวกัน โดยไม่ได้ตั้งใจเธอเริ่มแสดงตนเป็นเจ้านายของอาลี ขอให้เขาทำนั่นนี่ให้ หรือให้เขาเบ่งกล้ามโชว์เพื่อนของเธอ เอมมี่กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเดิมที่กดให้อาลีเป็นเพียงคนนอกที่ต้องตระหนักรู้ที่ของตน อาลีจึงออกจากบ้านกลับไปยังที่ที่ตนจากมา กลับไปยังบาร์ของแรงงานอพยพ กลับไปหาหญิงสาวเจ้าของบาร์ที่ทำคูสคูสเป็น กลับไปกินคูสคูสอันคุ้นเคยที่คนยุโรปอย่างเอมมี่ทำไม่เป็น

สุดท้ายความกลัวที่กัดกินวิญญาณของทั้งคู่ไม่ได้มาจากความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่ง ความรักทำให้คนกล้าหาญที่จะมีแต่กันและกันโดยดำเนินชีวิตต่อไปได้แม้ปฏิเสธโลก แต่การกลับเป็นส่วนหนึ่งต่างหากที่กัดกินวิญญาณของพวกเขา เพราะพวกเขาต่างต้องคืนสู่ตำแหน่งแห่งที่ที่จากมา ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมดำเนินอยู่ได้ด้วยการกีดกันคนนอกออกไป ทั้งจากที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว รักข้ามชนชั้น ลำดับของสังคมจึงไม่ได้อยู่ร่วมกับการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเดิม ถึงที่สุดการได้รับการยอมรับทำให้พวกเขาต้องเปิดเผยตัวตน ที่ตรงนั้นเองความแปลกแยกต่อกันและกันปรากฏขึ้น

ฉากจบของหนังนั้นทะลุกลางปล้องอย่างยิ่ง แต่ก็เจ็บปวดอย่างยิ่ง เพราะดูเหมือนหลังจากฝ่าฟันทุกอย่างสวรรค์ก็ยังไม่ให้พวกเขาสมหวัง ในต้นฉบับนั้น รอนพลัดตกลงจากเนินหน้าบ้านขณะวิ่งลงมาหาแครี่ที่กลับมาหาเขา แต่ในตอนจบของหนังเรื่องนี้ เอมมี่กลับมาตามอาลีกลับบ้าน หลังจากโดนอาลีหักหน้าตอนเธอไปตามเขาที่อู่ เธอบอกกับเขาว่าเธอรับได้ทุกอย่างไม่ว่าเขาจะไปทำอะไรมา ขอเพียงเราอยู่ด้วยกันก็พอ อาลีเต้นรำกับเธอ แล้วเขาก็ล้มลง และหมอพบว่าเขาป่วยหนัก  แต่อาการป่วยของเขาไม่ได้จู่ ๆ ก็มา เพราะมันคือโรคกระเพาะทะลุที่เกิดกับแรงงานอพยพอด ๆ อยาก ๆ

Ali: Fear Eats The Soul จึงเป็นหนังรัก หนังของผู้ยากไร้ที่เป็นหนึ่งในขนบสามัญของหนังรัก ยังคงทรงพลังจนถึงทุกวันนี้ แบบที่เรายังคงพบเห็นได้ในเอ็มวีเพลงลูกทุ่งของบ้านเราเอง คู่รักที่ยากจนพอ ๆ กันกัดฟันสู้ชีวิตไปด้วยกัน ขายก๋วยเตี๋ยวทำงานโรงงาน เหน็ดเหนื่อยลำบากแต่มีกันและกัน*1 ในเรื่องเล่าโรแมนติกเชิงปัจเจกเช่นนั้น ฟาสบินเดอร์ได้ทำให้เราเห็นความเป็นการเมืองของมัน การเมืองที่กลายเป็นขอบฟ้าของความรัก ถึงที่สุดขอบฟ้าที่กำหนดชะตาชีวิตรักของคนสองคนไม่ใช่สวรรค์หรือพรมลิขิต แต่คือการเมืองเรื่องการเหยียดผิว เรื่องของแรงงานอพยพ และอคติที่ฝังอยู่ในปัจเจกทุกคน ความกลัวที่กัดกินวิญญาณเราที่แท้จริง สิ่งที่ทำลายได้ทุกอย่างแม้แต่ความรัก


*1 ตัวอย่างของมิวสิกวิดีโอ ‘เท่าที่ฟ้าเพิ่นให้’ โดยต่าย อรทัย และไผ่ พงศธร ชื่อที่พอเหมาะพอเจาะกับ All That Heaven Allows 

FILM CLUB YEAR LIST 2022 : ตอน 2

*อ่านตอน 1 ได้ที่ FILM CLUB YEAR LIST 2022 : ตอน 1

มโนธรรม เทียมเทียบรัตน์ / นักวิจารณ์ภาพยนตร์ :
DE HUMANI CORPORIS FABRICA (2022, Fr. Swz.,Lucien Castaing-Taylor, Véréna Paravel)

เอาแค่ซีนเข้าเรื่องที่มีชายวัยกลางคนกำลังจ้อเหมือนไม่ได้ป่วยไข้อะไร หนำซ้ำยังสุขภาพทั้งใจทั้งกายออกจะแข็งแรงดีขนาดนั้น ว่าแล้วกล้องค่อยเขยิบขึ้น เห็นท่อเจาะลงกลางกระหม่อม ดูแล้วนึกถึงหลอดดูดในแก้วกาแฟเย็น ตามด้วยทีมแพทย์ค่อย ๆ เอาผ้าเขียว ๆ มาปิดหน้า พลันนึก…เอาแล้ว เฮี้ยนสมคำร่ำลือจริง ๆ

พออยู่ไปซักพัก คำร่ำลือเริ่มอ่อนกำลังจนถึงขั้นที่ไม่ทำงานเอาเลย เมื่อพบว่าที่เห็นอวัยวะภายในของมนุษย์ กลับมิได้ก่อให้เกิดความรู้สึกสะทกสะท้านหวั่นไหวต่อสายตา จนห่างไกลจากเลเวลของคำว่าสยดสยอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าร่างกายคนดูในเวลานั้นสร้างภูมิคุ้มกันทางสายตาเอาไว้ทันหรืออย่างไร ทว่าได้อีกหนึ่งเข้ามาแบบ spontaneous

ถึงอย่างไร De Humani Corporis Fabrica ก็ยังจัดอยู่ในข่าย horror ตรงตามที่เข้าใจอยู่ดีครับ แม้จะแฝงมากับความเป็น docu (ซึ่งทั้งง่ายและสุ่มเสี่ยงต่อการจัดให้อยู่ในเรท ท.ทั่วไป) แต่ผลที่ได้กลับเป็นงาน horror ที่ไร้ซึ่งความรุนแรง เพราะที่เห็นเป็นตับ-ไต-หัวใจ-ปอด-ม้ามหรือแม้แต่กำเนิดทารก ล้วนเป็นการกระทำเพื่อให้เจ้าของอวัยวะมีชีวิตอยู่รอดล้วน ๆ ทีมศัลยแพทย์+แพทย์วิสัญญีในเรื่องจึงไม่ต่างอะไรกับหน่วยกู้ชีพ, จนท.กู้ภัย ผลที่ตามมาก็รู้สึกมีหนังแนว rescue and survival ซ้อนทับเข้าไว้ด้วยกันบนฉากหน้าที่เป็น docu ทางการแพทย์

ขอเพิ่มอีกหนึ่งตัวแปรครับ ที่คงต้องนับเป็นความแหวกและสร้างสิ่งใหม่ ๆ ทางนวัตกรรม โดยเฉพาะเครื่องมือที่เอามาใช้บันทึกภาพเพราะหลังจากที่เราเคยใช้กล้องติดไอโฟน (Tangerine กับหนังกลุ่มหนึ่งของ Xavier Dolan), กล้องวงจรปิด (‘คนจร ฯลฯ’ ของอรรถพร ไทยหิรัญ) มาใช้ในการถ่ายและเล่าเรื่อง ซึ่งคงต้องนับว่า Humani Corporis Fabrica น่าจะเป็นหนังเรื่องแรก ๆ ที่นำกล้อง (กับจอมอนิเตอร์) ที่ใช้งานทางการแพทย์ มาใช้ในการทำหนัง ซึ่งในช่วงเวลาที่วิคเตอร์-เกรียงศักดิ์ยังมีสุขภาพแข็งแรง ก็เคยชื่นชมประโยชน์และคุณค่าของการตรวจร่างกายด้วยวิธีส่องกล้อง สมมติว่าถ้าเปลี่ยนจุดประสงค์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเชิดชูทั้งวิคเตอร์และให้กับตัวบุคคลมาเป็นการมอบให้กับหนังแทน หนังที่เหมาะสมและคู่ควรกับรางวัลสาขา Victor Award เป็นเรื่องแรกก็น่าจะเป็น De Humani Corporis Fabrica เรื่องนี้

กิตติกา บุญมาไชย / Cinephiles :
The Koker Trilogy (ฉายต่อกันสามภาคในวันเดียว โดย Documentary Club)

ดูสามเรื่องต่อกันคือนิพพาน หนังมันเฉลิมฉลองความงามของการมีชีวิตได้อย่างเรียบง่าย แต่โอบอุ้มหัวใจเราไว้ ดูแล้วร้องไห้น้ำตาร่วง ร่วงแบบมันไม่มีทางทำหนังแบบนี้ในวันคืนปัจจุบันได้แล้ว ร้องเพราะแบบทำไมมนุษย์มันเกื้อกูลกันด้วยอะไรแบบนี้ได้ กราบไหว้ด็อกคลับที่เอามาฉาย แม้จะรู้มาว่าคนดูอาจจะน้อยกว่าที่คาด แต่ขอบคุณจริง ๆ เพราะหนังช่วยปลอบประโลมหัวใจเราแบบสุด ๆ ขอบคุณซับดีดี เลือกสรรพนามได้ไปกับหนัง ยิ่งพาให้มันดีไปอีก

โลกที่มีอับบาสเป็นโลกที่งดงามเหลือเกิน

พลากร กลึงฟัก / Cinephiles :
Wandering (2022, Lee Sang-il)

หนังตั้งคำถามท้าทายมาตรวัดความเป็นความย้อนแย้งทางศีลธรรมใส่เราตลอดเวลา โดยไม่ละทิ้งหัวจิตหัวใจของตัวละคร สร้างแรงสั่นสะเทือนในใจเราทั้งตอนขณะที่ดู มาจนทุกครั้งที่นึกถึงมัน

กฤตภัทธ์ ฐานสันโดษ / นายแพทย์, นักวิจารณ์ภาพยนตร์ นักเขียนประจำ Film Club :
Mangosteen (2022, ตุลพบ แสนเจริญ)

หนึ่งในวิดีโอจัดวางที่จัดแสดง ณ บ้านตรอกถั่วงอก ตึกแถว 5 ชั้นย่านเยาวราช อันเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ Ghost 2565 : อยู่ยังไงให้ไม่ตาย ที่จัดแสดงระหว่างวันที่ 2 ตุลาคม – 13 พฤศจิกายน 2565 โดย Mangosteen (2022) เป็นวิดีโอที่อาจเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์สั้นซึ่งเล่าเรื่องของเอิร์ธ ชายวัยผู้ใหญ่ตอนต้นผู้เดินทางกลับบ้าน ณ จังหวัดระยอง บ้านของเขาประกอบกิจการโรงงานน้ำมังคุด ซึ่งในปัจจุบันมี อิงค์ พี่สาวเป็นคนดูแลสานต่ออุดมการณ์รุ่นพ่อแม่ 

เอิร์ธจากบ้านไปพำนักที่กรุงเทพฯ เป็นเวลานาน เขาท้อใจกับชีวิตในเมืองหลวงและหันหลังฝากความหวังไว้ที่บ้าน ไม่ต่างจากวัยผู้ใหญ่ตอนต้นชนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยที่ผิดหวังจากเมืองหลวง ก่อนจะพบว่าการกลับบ้านอาจเข้าสำนวนสุภาษิต “หนีเสือปะจระเข้” เพราะเอิร์ธผู้กำลังหนีการกดขี่จากทุนนิยมแต่ต้องมาเจอลำดับชั้นอำนาจและการกดขี่ภายในสถาบันครอบครัวที่เรียกได้ว่าซับซ้อนเสียยิ่งกว่า

ความทีเล่นทีจริงเป็นสิ่งที่มีอยู่เสมอในผลงานของ ตุลพบ แสนเจริญ คือความน่าสนใจของ Mangosteen (2022) จดหมายขู่ฆ่าตัดหัวของชนชั้นแรงงานที่เขียนไปถึงชนชั้นนายทุนอย่างคุณอิงค์กลายเป็นเรื่องตลกขบขัน และกระบวนการกลายเป็นซอมบี้ของชนชั้นกระฎุมพีแบบจารีต ผู้คร่ำเครียดหมกมุ่นอยู่กับการลดต้นทุนและเพิ่มกำไร กลายเป็นหญิงทันสมัยผู้เสพวรรณกรรมสัจนิยมมหัศจรรย์อย่างฆอร์เฆ ลุยส์ บอร์เกส และสามารถสื่อสารด้วยภาษาเยอรมันได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเจ้าของภาษา 

การกลายเป็นซอมบี้ของคุณอิงค์ชวนให้นึกถึงปรินซ์ผู้ถูกทำให้ ศิวิไลซ์ โดยแหม่มแอนนาใน ‘แหม่มแอนนา หัวนม มาคารอง โพนยางคำ และการศึกษาขั้นพื้นฐาน’ (รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค/ ไทย/2014) ถ้าหากในภาพยนตร์สั้นอันลือเลื่องของรัชฏ์ภูมิชวนให้เห็นกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ของชนชั้นกลางในบริบทหลังการรัฐประหาร พ.ศ.2549 Mangosteen (2022) ก็อาจเป็นการแสดงให้เห็นการกดขี่ที่แยบยลทั้งในระดับมหภาคและการเมืองภายในสังคมไทยภายหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2557 ผ่านการทำให้ทำสมองกลายเป็นมังคุดที่ถูกบดแยกกากและน้ำ ผ่านสารสื่อประสาทและโครงข่ายไร้ศูนย์กลางที่เชื่อมประสานกันราวกับสื่ออนาล็อกและดิจิทัลที่สร้างมนุษย์/มังคุด การกลายเป็นผลไม้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในผลงานของตุลพบ คุณอาจเห็นการกลายเป็นมะพร้าวใน A Room with a Coconut View (2018) ซึ่งแสดงสภาวะแปรปรวนไม่แน่นอนของโปรแกรมปฏิบัติการคอมพิวเตอร์แนะนำการท่องเที่ยวบางแสนเมื่อขุดค้นประวัติศาสตร์ดำมืดของพื้นที่ในช่วงทศวรรษ 2520 ในยุคสมัยที่สื่ออนาล็อกเฟื่องฟู Mangosteen (2022) ปิดฉากลงด้วยภาพของเด็กสามคนในชุดมังคุดกำลังเต้นประกอบจังหวะดนตรีที่ติดหูภายใต้คำสั่งจากพ่อแม่ที่อยู่ด้านล่าง บางทีนี่อาจชวนให้นึกถึงข้อถกเถียงว่าด้วย “การสอดส่องดูแลเด็กกับครอบครัวจินตกรรมในประเทศไทย” ของ ธเนศ วงศ์ยานนาวา ที่เขียนขึ้นมาโต้เถียงกับ “ชุมชนจินตกรรม” ของ เบน แอนเดอร์สัน

ธนพัฒน์ วงษ์วิสิทธิ์ / อาจารย์พิเศษสอนภาพยนตร์, นักวิจารณ์, แอดมินเพจ Movies Can Talk :
Plotoid (2021 , ปนิธ เปรมบุญ)

แม้พล็อตของ Plotoid จะเป็นหนังสั้นที่เรียบง่ายอันว่าด้วยเรื่องพี่ชายเจอน้องชายมาเยี่ยมบ้านก่อนจะแยกจากกันเพราะครอบครัวหย่าร้าง แต่หนังเล่าได้คมกริบด้วยการใช้เพียง Off Screen หรือการทำให้ตัวละครน้องและพ่อแม่ไม่ชัดดั่งภาพความทรงจนเลือนลาง ยิ่งตัวละครพี่ชายถูกกลืนตัวบ้านที่มีขนาดใหญ่ต่างสะท้อนความแปลกแยกอย่างเฉียบคม ซึ่งไม่น่าเชื่อ 10 นาทีสามารถถ่ายทอดความเดียวดายของเด็กน้อยได้ทรงพลังเช่นนี้

พงศ์สันต์ อรุณสินทวีพร / cinephiles :
GOOD LUCK TO YOU, LEO GRANDE (2022-UK, Sophie Hyde)

พล็อตง่ายๆ ที่จับเอาตัวละครขั้วตรงข้ามมาเผชิญหน้ากัน หญิงสูงวัยเคร่งครัดตามแบบแผนผู้ยินยอมให้จารีตกดทับจนไม่เคยพานพบความสุขสมทางเพศที่แท้จริงมาจนชั่วชีวิต (เอ็มม่า ธอมป์สัน) กับชายหนุ่มขายบริการทางเพศที่ทัศนคติบวกและเปิดสุดฤทธิ์ (ดาริล แมคคอร์แมค) ผู้มีฟังก์ชั่นมาทลายกำแพงของหญิงสูงวัย แต่ด้วยพล็อตง่าย ๆ แบบนั้นนั่นแหละ โซฟี่ ไฮด์ ผู้กำกับ ได้โชว์ฝีมือลึกซึ้งเต็มเปี่ยมชนิดที่ต้องกราบ หนังมีบทสนทนาและสถานการณ์ที่ตลก ฉลาด และสะเทือนใจ เป็นการปะทะสังสรรค์ทางความคิดที่ทั้งรื่นรมย์และชวนเศร้า เขย่าหัวใจเราให้ทั้งอิ่มเอมและสะท้านสะเทือน ไม่แปลกเลยถ้าคนดูจะยิ้มทั้งที่น้ำตายังไม่ทันแห้งไปจากแก้ม

ฉากสำคัญที่ทำออกมาดีมาก ๆ คือฉากเปลือยหมดจดของทั้งคู่ (ไม่ใช่ฉากเดียวกัน) ที่สามารถถ่ายทอด “ความไม่พอใจและไม่มั่นคงทางใจ” ในร่างกายที่ตนเองครอบครองอยู่ได้อย่างลึกซึ้งเทียบเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นร่างเปลือยที่หย่อนยานไปตามวัยของเอ็มม่า ธอมป์สัน (ที่กลายเป็นฉากสรุปที่ทรงพลังมากที่สุดของหนังในช่วงท้าย) หรือร่างเปลือยของดาริล แมคคอร์แมคที่แกร่งแน่นไปด้วยมัดกล้ามสวยงามก็ตาม

ศาสวัต บุญศรี (ซีเนไฟล์ผู้ที่ดูหนังที่บ้านทีไรเป็นล่มทุกที) / อาจารย์สอนภาพยนตร์ :
Micheal Jackson’s Drummer Jonathan Moffett Perform “Smooth Criminal” โดยช่อง Drumeo

ค่ำคืนในปี 2022 ผ่านพ้นไปเพราะรายการในเครือ Farose และการดูโจนาธาน มอฟแฟตต์ตีกลอง

มอฟแฟตต์ผู้มีฉายา “Sugarfoot” มือกลองผู้อยู่เบื้องหลังงานดังของไมเคิล แจ็คสันทั้งฉบับสตูดิโออัลบั้มและเล่นสด ถูกช่อง Drumeo เชิญมา Masterclass โดยเขาตีโชว์เพลงดัง ๆ ทั้ง Thriller, Bille Jean, Jam รวมถึง Smooth Criminal ที่สำคัญเขาให้สัมภาษณ์ยาวเหยียดถึงที่มาที่ไปของการเป็นนักดนตรีและการเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในงานสร้างสรรค์ของไมเคิล แจ็คสัน  

บุคลิกที่เป็นกันเอง แต่เปร่งออร่าความเทพ ทำเอาคนจำนวนมากวนเวียนเข้ามาดูวิดีโอที่เขาตีกลอง ตอนนี้แค่ Smooth Criminal เพลงเดียวก็ปาไป 50 ล้าน ขนาดคนตีกลองไม่เป็นอย่างผมยังติดใจเพราะฝีมือแกเป๊ะจนหลายคอมเมนต์บอกว่าใช้แทนเมตาโนมก็ยังได้ ฮา ๆๆๆ  

การมิกซ์เสียงในช่อง Drumeo จะมิกซ์เสียงกลองเข้าไปให้ดังกว่าสตูดิโออัลบั้ม โดยส่วนตัวรู้สึกว่าเพลงมันโจ๊ะขึ้น (จากเดิมที่ก็โจ๊ะมาก ๆ อยู่แล้ว)  ฟังแล้วคึกมาก ๆ ใช้เป็นวิดีโอปลุกวันที่เหนื่อยล้าได้ดีมาก ๆ

ประภามณฑล เอี่ยมจันทร์ / นักแสดง :
Night for day (2021, Emily Wardill)

การได้ดู Night for Day เหมือนได้ปะติดปะต่อชิ้นส่วนบางอย่างในใจ ราวกับมีแม่เหล็กที่ช่วยกอบรวมชิ้นส่วน เล็กย่อยน้อย ๆ ต่าง ๆ ที่เป็นร่องรอยของความรู้สึกหลงรักและเจ็บปวดจากการได้ทำงานศิลปะและภาพยนตร์ อย่างน่าประหลาด

การจ้องมองเข้าไปในการแตกสลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าของภาพอุดมคติและความเป็นจริง เมื่อต้องพบพานความพ่ายแพ้ ต้องยอมจำนนอย่างต่อเนื่องต่อความกระแสเวลาและความเป็นไป

เราซุกซ่อน หลบเร้นความต้องการที่จะต่อต้าน แม้เพียงเสี้ยววินาทีที่จุดชัดแจ้งและดำมึดมาบรรจบกัน

เราทำได้เพียงจ้องมองดูมันแหลกสลายเพียงลับตา

ภูริพันธุ์ รุจิขจร / cinephiles :
Wheel of Fortune and Fantasy (2021, Ryusuke Hamaguchi)

Wheel of Fortune and Fantasy เป็นหนังที่อยากเขียนถึงเพราะหลายสาเหตุ ส่วนหนึ่งคือความไม่คาดหวังกับผู้กำกับเพราะไม่ค่อยชอบ Drive My Car ในฉบับภาพยนตร์นัก และอีกส่วนคือความไม่คาดหวังกับหนังญี่ปุ่นโดยรวม ๆ แต่กลับกลายเป็นว่ารวมหนังสั้นนี้ทำให้นึกถึงความจริงหลากหลายมุมมองแบบเดียวกันกับหนังของ Abbas Kiarostami หลายเรื่องเลยทีเดียว

ในขณะที่หนังสั้นเรื่องที่หนึ่งและสามเน้นความกำกวมว่าสถานการณ์จริงเป็นอย่างไร (นางแบบบอกหรือไม่บอกเรื่องแฟนเก่า และสองตัวละครหลักเป็นเพื่อนเก่าหรือคนแปลกหน้า) เหตุการณ์ในหนังสั้นเรื่องที่สอง (ชื่อ Door Wide Open) ชัดเจนเปิดเผยทั้งกับคนดูและตัวละครอื่น (เพราะเปิดประตูห้องไว้) แต่บรรยากาศของเรื่องก็มีความไม่แน่นอนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตัวละครที่เป็นอาจารย์อาจจะดูมีแต้มต่อจากความสามารถ ตำแหน่งหน้าที่ หรือความตรงไปตรงมา แต่ก็เปราะบางต่อการยั่วเย้าและคำครหาเช่นกัน

ความพลิกผันนี้เกิดขึ้นจากทั้งเจตนาและความบังเอิญผสมปนเปกัน ความไม่เนี้ยบลงล็อกเหมือนจับวางกลับกลายเป็นความสมจริงขึ้นมา รายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงกลายเป็นความสากล เหมือนว่าเรื่องเล่านี้สามารถเกิดขึ้นในห้องพักครูไหนก็ได้ ส่วนตัวแล้วผมเลยรู้สึกอินกับหนังสั้นเรื่องที่สองมากเป็นพิเศษ

ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล / อาจารย์คณะนิติศาสตร์, ประธานกรรมการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย :
หน่าฮ่าน เดอะซีรีส์ (2022, ฉันทนา ทิพย์ประชาติ)

ซีรีสเพียงแปดตอนที่บอกเล่าชีวิตวัยรุ่นอิสานบ้านโนนหินแห่ การเติบโตของตัวละครที่สีสันแสนจัดจ้านและมีอยู่จริง พูดถึงความเยาว์วัยอันเจิดจ้าไปพร้อมกับสะท้อนความตีบตันเหลื่อมล้ำของสังคมนี้ได้อย่างสนุกสนานและซื่อตรงที่สุด ทั้งหมดนี้ประกอบสร้างด้วยชั้นเชิงภาพและการลำดับเรื่องที่คมคายที่เห็นชัดถึงความตั้งใจของคนทำงานทุกรายละเอียด

‘หน่าฮ่าน’ เป็นที่สุดแห่งปีสำหรับเรา เพราะมันเปิดโลกเราให้เห็นความมีชีวิตชีวาของวัยรุ่นนอกกรุงเทพฯ ในมุมที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน งดงามลึกซึ้ง เข้าอกเข้าใจและไม่ตัดสิน เพราะมันมอบความสุขความบันเทิง เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวน้ำตาซึมจุกอก ให้ต้องหวีดร้องเอาใจช่วยตลอดระยะเวลาที่ออนแอร์และตอนกลับมาดูซ้ำ เพราะมันพาให้เราสะท้อนใจกับความทุกข์อันหลากหลายของผู้คนในบ้านเมืองลงแดงนี้ ทำให้เราหวนระลึกถึงประวัติศาสตร์ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพราะมันมอบความหวังกับเรา ทั้งจากความชื่นใจที่ได้เห็นความจริงใจของคนทำงานศิลปะ และจากพลังของหนุ่มสาวที่จะไม่ยอมจำนนต่อสภาพที่เป็น

พูดจริง ๆ เราจะเรียกร้องอะไรจากซีรีสวัยรุ่นได้มากกว่านี้อีก เป็นเรื่องที่เราคงกลับมาดูซ้ำ ๆ อยากให้มันไปไกล อยากให้คนกรุงเทพฯ ได้ดู คนต่างจังหวัดได้ดู อยากให้คนต่างชาติได้ดูด้วย

FILM CLUB YEAR LIST 2022 : ตอน 1

ปี 2022 จบลงไปแล้ว ดูเหมือนโลกกำลังกลับมาเป็นปกติอย่างเชื่องช้า ผู้คนเริ่มออกเดินทางไกลกันได้บ้างแล้ว เมืองก็กลับมาคึกคักขึ้นทีละน้อย ขณะที่สถานการณ์โลก ทั้งโรคระบาดที่ยังไม่สงบ และสงครามในยูเครนที่ยังคงไม่สงบ ท่ามกลางความกังวลนี้ ชีวิตดำเนินกันต่อไป

สำหรับคนดูหนังชาวไทย หนึ่งในวิกฤติที่เรากำลังเผชิญคือจำนวนคนดูหนังโรงที่หดหายไปหลังจากการแพร่ของโรคระบาด อาจจะเพราะเศรษฐกิจตกต่ำ คนดูหนังในสตรีมมิ่งหมดแล้ว ค่าตั๋วหนังแพงเกินไป หรือหนังไม่น่าสนใจพอ เราก็ไม่อาจระบุชี้ชัด แต่บอกได้ว่านี่คือปีที่ไม่น่าจะดีนักสำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในไทย แม้ปลายปีเราจะได้ชุ่มชื่นใจจากการกลับมาของเทศกาลหนังนานาชาติอย่าง World Film Festival of Bangkok ก็ตาม

กระนั้นก็ยังมีคนดูหนัง แม้จะไม่ใช่ในโรง ก็ยังมีคนดู ในเทศกาล ในจอทีวีที่บ้าน ในนิทรรศการ ในโทรศัพท์มือถือ ภาพเคลื่อนไหวยังคงอยู่กับเรา 

ในปีที่ยากลำบากอีกปีหนึ่งนี้ FILM CLUB ขออนุญาตรวบรวมหนังแห่งปี 2022 ของหลากหลายผู้คนในแวดวงภาพยนตร์ ทั้งผู้กำกับ นักวิจารณ์ ผู้ชม และทีมงานของ FILM CLUB เองไว้สำหรับเป็นตัวเลือกท่ามกลางมหาสมุทรของภาพเคลื่อนไหว โดยไม่จำกัดทั้งหนังโรง หนังสตรีมมิ่ง หนังเทศกาลหรือวิดีโออาร์ต ทีวีซีรีส์ ไปจนถึงภาพยนตร์ตามช่องทางธรรมชาติ ไม่จำกัดปีที่หนังฉายและรูปแบบการฉาย แต่ละท่านสามารถเลือกหนังได้อย่างเสรีตามประสบการณ์การดูหนังของแต่ละท่านเอง

ภัควดี วีระภาสพงษ์ / นักแปล
Memoria (2021, Apichatpong Weerasethakul)

Memoria ความทรงจำคือห้วงลึกของมายาคติที่ผสานรวมเป็นเรื่องราวหนึ่ง การหลับและการตายอาจเป็นสิ่งเดียวกัน มนุษย์อาจเป็นแค่ขยะชีวภาพ แต่ละคนล่องลอยแสวงหาจุดหมายปลายทางโดยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นแค่ฝุ่นในอวกาศ นี่เป็นหนังของอภิชาติพงศ์ที่ดูสนุกมาก มีจังหวะโบ๊ะบ๊ะให้ขำมากหลายตอน (คำชม) ภาพแต่ละเฟรม แสงเงา โลเคชั่น อาคารบ้านเรือน เสียงดนตรี/เพลงประกอบ เสียงธรรมชาติ นักแสดงสมบูรณ์แบบ ท่วงท่าที่ทิลดา สวินตันเอียงตัวฟังเสียงลำธารจะเป็นฉากคลาสสิกในภาพยนตร์ตลอดไป

คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง / นักวิจารณ์และอาจารย์พิเศษด้านภาพยนตร์ : 
การแสดงของวง LE SSERAFIM ในงาน 2022 Melon Music Awards 

ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า เป็นธรรมเนียมของวงการเคป๊อปที่ช่วงปลายปีจะมีงานประกาศรางวัลหรือคอนเสิร์ตรวมฮิตมากมาย ดังนั้นช่วงธันวาคม-มกราคม ศิลปินจะต้องตระเวนโชว์เพลงฮิตปีนั้น ๆ ของตัวเองราว 10 เวทีได้ ซึ่งความยากคือ จะร้องจะเต้นเฉย ๆ ไม่ได้ไง ต้องหากิมมิกหรือความน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับแต่ละเวที ไม่ว่าจะรีมิกซ์เพลงใหม่ ขนกองทัพแดนเซอร์มาทั้งค่าย หรือจุดพลุตูมตามอลังการ ฯลฯ 

ในบรรดาเกิร์ลกรุ๊ปของปี 2002 วง LE SSERAFIM อาจจะดังสู้ IVE หรือ NewJeans ไม่ได้ แต่เราขอยกตำแหน่ง Best Performance of the Year ให้กับพวกเธอ เรียกได้ว่าในศิลปินรุ่นใหม่วงนี้เต้นกันโหดที่สุดแล้ว เห็นท่าเต้นแต่ละอย่างแล้วอดปวดหลังปวดเอวตามไม่ได้ ส่วนโชว์ของพวกเธอในงาน MMA2022 ก็น่าทึ่งกับการทำงานกับแดนเซอร์กลุ่มใหญ่ ทั้งการแปรแถว การจัดแถวต่าง ๆ มันทำให้ร้องว้าวได้อย่างไม่หยุด 

การันตร์ วงศ์ปราการสันติ / จิตแพทย์/ ผู้กำกับหนังสั้น :
Smile (2022, Parker Finn)

ความรู้สึกหลังจากดูจบ รู้สึกได้เลยว่า หนังมีกลไกคล้ายกับ It follow…

มันใช้สิ่งแวดล้อมที่ทำให้เราต้องสังเกต คุกคาม และมันยังพูดถึงการ empathy แบบ fake ได้แสบคันเหลือเกิน

ภู่มณี ศิริพรไพบูลย์ / นักเขียน นักแปล บรรณาธิการ :
Innocents (2021 / Eskil Vogt / NOR)

Innocents อาจไม่ใช่หนังที่ทำออกมาเอาใจคอหนังสยองขวัญเท่าไร องค์ประกอบส่วนใหญ่ไม่ได้สร้างมาเพื่อรับใช้ความเป็นหนังสยองขวัญตั้งแต่ต้น โครงเรื่องที่น่าจะเป็นหนัง ‘ชีวิต’ มากกว่า ที่พูดถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวและพี่น้องร่วมสายเลือด หากเทียบหนังในตระกูลเดียวกันที่พูดถึง ‘พลังจิต’ หากแต่ Innocents ก็มีอะไรที่ ‘พิเศษ’ ในตัวมันเองคือ เป็นหนังสยองขวัญที่ชวนให้ปั่นป่วนข้างในอย่างแท้จริง โดยเฉพาะคนเป็นพ่อ-แม่

KhunChain Silanon / Cinephiles :
Tora’s Husband (2022 / Rima Das / India)

มันเป็น slice of life ในช่วงโควิดที่ทั้งเศร้าและงดงาม ในแต่ละวันชีวิตพบเจอปัญหามากมาย ธุรกิจอาหาร เบเกอรี่ที่ลูกค้าลดน้อยลง ธุรกิจที่ลงทุนใหม่ขาดทุน ลูก ๆ ดื้อซนน่าปวดหัว ความเครียดทำให้เงียบเก็บตัว เมียก็พาลคิดว่าเขาหมดรักเธอแล้ว และยังการล็อกดาวน์ ผู้คนรอบตัวที่รู้จักตายเพราะโควิดทีละคนสองคน เขาเลือกที่จะเก็บเงียบอยู่กับปัญหา ใช้เหล้าเป็นสิ่งบรรเทา แต่มันก็ได้ทำลายสุขภาพร่างกายของเขา 

และที่ชอบมาก ๆ ช่วงโควิด คนที่ลำบากมีปัญหาไม่ใช่แค่ชนชั้นล่าง คนชนชั้นกลางที่มีธุรกิจเขาอาจเจอปัญหาได้เพียงแต่คนอื่น ๆ ไม่รู้ และยังมีหยิบยืมขอเงินจากเขากันอีก คิดว่าชีวิตของเขานั้นดีสุขสบาย

นภัทร มะลิกุล / นักวิจารณ์ นักเขียนประจำ Film Club :
CODA (2021, Sian Heder)

ความสวยงามของภาษาที่ไม่อาจใช้เสียงในการสื่อสารคือแกนกลางของหนังเรื่องนี้ มันทำให้เราครุ่นคิดว่า ภาษาร่างกายอาจเป็นภาษาพื้นฐานที่สุดที่คนต่างวัฒนธรรมใช้สื่อสารกันได้ และด้วยเหตุนั้นมันจึงมีความเป็นสากลอย่างมาก หนังพยายามตอบคำถามว่าคนเราสื่อสารกันเพื่ออะไร – และการถูกเห็นและเข้าใจมันสำคัญอย่างไรต่อตัวตนมนุษย์ พร้อมกันนั้นก็ยกชูความรักของครอบครัวในฐานะองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิตที่จะส่งให้เยาวชนได้ทำตามฝัน

วรงค์ หลูไพบูลย์ / สำนักพิมพ์ บทจร :
Love Life (2022, Koji Fukada)

ไม่ได้คุยกับท่านอื่น ๆ จึงไม่รู้ความรู้สึกและความเข้าใจของท่านอื่นแลกเปลี่ยนกันเลย ไม่รู้ว่าคิดว่าตอนจบ ครอบครัวนางเอกยังคงไปต่อมั้ย เพราะภาพตอนจบก็มีแค่ภาพแช่ระยะไกลเผยให้เห็นพระเอกกับนางเอกออกเดินเล่นไปด้วยกัน เมื่อนางเอกกลับญี่ปุ่นหลังจากเดินทางกับคนรักเก่าไกลไปถึงเกาหลี

พูดตามความรู้สึกผมตอนดู ครอบครัวนี้ไปรอดอ่ะ แบบไม่กังขาใจอะไรเลยด้วย ซึ่งน่าจะเพราะสองอย่าง อย่างแรกเลยคือบุคลิกและหัวใจของนางเอก เธอแข็งและหยัดยืนจนเหลือเชื่อ แม้เธอจะเกรงใจพ่อสามี แต่เธอท้วงอย่างไม่ลดราวาศอกเมื่อพ่อสามีหลุดปากว่าเธอมันพวกของเหลือเดน แต่เธอยืนหยัดของเธอ ก็ไม่ได้ด่ารุนแรงกลับอะไร เพียงแค่ยืนหยัดจนพ่อสามีเอ่ยปากขอโทษเธอเอง

ความเด็ดเดี่ยว แต่ผู้เดียว และโดยสงบ ระดับหัวใจน่ากราบของเธอนี่เอง ที่เป็นที่มาของความเชื่อมั่นอย่างล้นเหลือว่าทุกอย่างจะฟันฝ่าไปได้ มิไยว่าเธอจะถูกทิ้งไว้พร้อมลูก พ่อผัวรังเกียจ เพื่อนร่วมงานเม้าท์มอยว่าแย่งของชาวบ้าน หรือถูกผู้ชายหลอกไปไกลถึงเกาหลี และเต้นรำกลางสายฝนแต่ผู้เดียวตอนงานแต่งร้างผู้คน ไม่ว่าจะเกิดอะไร เธอจะยืนหยัดแต่ผู้เดียวโดยสงบไปเช่นนี้แล

(แต่อะไรทำให้เธอแตกต่างจากเมียไชคอฟสกีนะ?)

อย่างที่สองคือ เหมือนครอบครัวนี้มีลักษณะการพยายามประคับประคองอยู่อ่ะ ซึ่งถ้าเทียบกับอีกเรื่องที่เป็นหนังเรื่องครอบครัวญี่ปุ่นที่ผมชอบอย่าง Happy Hour (2015, Ryūsuke Hamaguchi) ที่ลงเอยด้วยทุกครอบครัวล้วนแยกทางกันไปหมด ในเรื่องนั้นเหมือนมีความเปราะบางอย่างที่รอวันล่ม ที่จริง ผมว่าในหนัง Love Life ดูสมจริงสอดคล้องสมจริงกับเรื่องราวที่ผมได้ยินได้ฟังมาจากเพื่อนฝูงไม่น้อยเลย คือความตึงเครียดระหว่างพ่อแม่ของแต่ละบ้าน การหลุดปากหรือเก็บอาการไม่อยู่ของแม่ผัวทั้งที่เธอพยายามเต็มที่ที่จะรักลูกสะไภ้ และตอนพระเอกบ่นออกมาดัง ๆ ให้คนรักเก่าของนางเอกที่เขาทราบว่าจะฟังคำบ่นของเขาไม่รู้เรื่อง เหมือนกับเป็นช่องทางระบายให้ความตีงเครียดของครอบครัวมีที่ทางผ่อนปรนของมันออกมาบ้าง เพื่อจะได้ช่วยประคับประคองกันต่อไป

น่าจะเป็นหนังที่ติดอยู่ในใจไปอีกนานเลย ดีใจจริง ๆ ที่ได้ดูเรื่องนี้ในเทศกาลครับ

กัลยรัตน์ ธีรกฤตยากร / ผู้กำกับหนังสั้น ‘เจริญวิริญาพรมาหาทำใน 3 โลก‘ :
The Worst Person in the World (2021, Joachim Trier)

The Worst Person in the World กำกับโดย Joachim Trier ค่ะ เป็นหนังที่ดูในโรงตั้งแต่ต้นปี และดูซ้ำอีกรอบในสตรีมมิ่งตอนปลายปี แต่ยังคงเป็นอันดับ 1 ในใจจนถึงตอนนี้ หนังทำงานกับเราให้ประทับใจทั้งในแง่ความงดงามของภาพยนตร์และความงดงามในความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์แบบเดียวกับที่เราเป็น

Inertiatic Groovfie Viaquez / Cinephile :
Maanaadu (2021, Venkat Prabhu)

ไม่มีคำว่าเกินจริงถ้าจะบอกว่านี่คือสุดยอดหนังวนลูปของอินเดียเลยก็ว่าได้ ตัวหนังก็ไม่อายที่จะบอกว่าหยิบยืมแรงบันดาลใจ/ทฤษฏีการวนลูปจากหนังดัง ๆ ผ่านบทสนทนาของพระเอกกับเพื่อนต่อสิ่งที่เขาเพิ่งเจอการวนลูปด้วยตัวเองมา 

แม้ว่าแรกเริ่มอาจจะหมั่นไส้พระเอกไปบ้างก็ตาม แต่เชื่อเหอะ เมื่อหนังเริ่มการวนลูปครั้งแรกขึ้นมาปั๊บ หนังก็สนุกขึ้นเรื่อย ๆๆๆ จนอดสงสัยระหว่างการรับชมไม่ได้ว่า นี่หนังยาวเกือบสองชั่วโมงครึ่ง แค่ครึ่งเรื่องมันก็เหมือนจะมาสุดทางหนังวนลูปซะแล้ว แต่เริ่มครึ่งหลังปุ๊บ มันเหมือนการปลดล็อคหนังวนลูปขึ้นอีกระดับ ที่นำมาซึ่งความสนุกแบบยกระดับไปอีกเท่าตัวเลยก็ว่าได้ 

โดยรวมแล้วเป็นหนังวนลูปที่มีหลากหลายอารมณ์ เป็นทั้งหนังไล่ล่า หนังจิตวิทยา หนังพลิกเกมกันไปมา และเป็นหนังตลก …มันเป็นความตลกที่อยู่บนความจริงจังเป็นหนังวนลูปด้วยนะ แถมขย้อนความตลกได้อีกหลายดอกด้วย

ธีพิสิฐ มหานีรานนท์ /บรรณาธิการสายไลฟ์สไตล์และศิลปวัฒนธรรม ไทยรัฐพลัส :
‘กลรักรุ่นพี่’ (2022, ผดุง สมาจาร / WeTV Original Series

อันที่จริง ปี 2022 นี้ถือว่าเป็นปีที่ผมเสพสื่อแนวอื่น ๆ เยอะกว่าซีรีส์วาย (ที่เคยกระหน่ำดูหนัก ๆ เมื่อตอนเกิดโควิด-19 ในช่วงปี 2020) แต่ก็ดูเหมือนว่าสื่อภาพเคลื่อนไหวที่สัมผัสใจและตรงจริตผมที่สุดในปีนี้ก็ยังหนีไม่พ้นซีรีส์วายอยู่ดี เพียงแต่มันตกเป็นของซีรีส์วายไทยที่ชื่อ ‘กลรักรุ่นพี่’ ฉบับ WeTV โดยที่ไม่ได้มีเรื่องอื่นใดเข้ามาเป็นผู้ท้าชิง

เหตุผลสำคัญที่สุดอาจเป็นเพราะตัวละครในเรื่องอย่าง น้องมาร์ก (วอร์ วนรัตน์) กับ พี่วี (หยิ่น อานันท์) นั้นเปรียบได้กับเป็น spirit animal หรือ ‘สัตว์แห่งจิตวิญญาณ’ -ที่มาในรูปของมนุษย์- ของผมอย่างไม่มีข้อสงสัย นับตั้งแต่ตอนแรก ๆ ที่ได้ดู ด้วยค่าที่ฝ่ายแรกเป็นเพียงเด็กปีหนึ่งที่ ‘พยายาม’ จะไขว่คว้าหาความรักจากคนอื่น และค่อย ๆ ได้เรียนรู้ว่าคนเราควรรักกันอย่างไร ขณะที่ฝ่ายหลังเป็นรุ่นพี่ปีสามที่ทั้งงี่เง่าและไม่สมบูรณ์แบบในหลาย ๆ ด้าน แต่ก็ยัง ‘พยายาม’ ที่จะมอบความรักดี ๆ ให้กับคนอื่นอยู่เสมอ – ซึ่งเป็นสถานะที่ผมเคยผ่านมาแล้วทั้งสิ้น

นี่ยังไม่รวมถึงการที่มนุษย์สองคนนี้มักเลือกใช้ชีวิตอย่างไปสุดทางในแบบของตัวเอง (เช่น การปาร์ตี้หนัก ๆ เมื่ออกหัก จนผลัดกันอ้วกแตกอ้วกแตนกันตลอดทั้งเรื่อง) และการไม่เกรงกลัวกับกรอบการตัดสินดี-ชั่วของสังคม (มากนัก) เมื่อพวกเขาพบว่าต่างฝ่ายต่างชอบพอกันอย่างสุดหัวใจ แม้อีกคนหนึ่งจะมีคนรักที่เป็นผู้หญิงอยู่แล้ว ซึ่งในเวลาต่อมาเราก็จะได้พบสัจธรรมที่ว่า เราทุกคนล้วนมีโอกาสทำสิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตได้เหมือน ๆ กันทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

ดังนั้น การที่ซีรีส์วายอย่าง ‘กลรักรุ่นพี่’ กล้าพอที่จะถ่ายทอดตัวละครที่มีนิสัยหรือพฤติกรรมที่ไม่ค่อยน่ารักนัก อย่างมีเลือดเนื้อและชีวิตจิตใจมากพอ จนทำให้ผู้ชมส่วนหนึ่งสามารถค่อย ๆ ‘ทำความเข้าใจ’ และ ‘เห็นอกเห็นใจ’ คนทั้งคู่ที่กำลังเรียนรู้ถึง ‘มุมสีเทา ๆ’ ในชีวิตของมนุษย์ได้นั้น …มันจึงกลายเป็นซีรีส์ที่ผมต้องกลับไปย้อนดูซ้ำและเสียน้ำตาให้กับมันบ่อยที่สุดของปีนี้ 

– ซึ่งผมคิดว่ามันสัมผัสใจผู้คนและส่งอิทธิพลกับการมองโลกอย่างที่มันเป็นจริงๆ มากกว่าการเป็นเรื่องเล่าที่พยายามทำตัวมีศีลธรรมสูงส่งหรือคอยสั่งสอนคนดูอยู่ตลอดเป็นไหน ๆ 

อ่านความชอบ ‘กลรักรุ่นพี่’ ของผมแบบลงลึกได้ ที่นี่

Kamen Rider Black Sun: โลกไร้พระจันทร์ ดวงตะวันไร้แสง

หมายเหตุ : บทความมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์

เรื่องในวัยเด็กที่ทุกคนรู้จักมันอาจเริ่มต้นด้วยการผ่าตัดมนุษย์ดัดแปลงตามปกติ สองเพื่อนรักที่ถูกทำให้กลายเป็นมนุษย์ดัดแปลงในวัยเด็ก และถูกชะตาฟ้าลิขิตว่าพวกเขาอาจต้องมาห้ำหั่นกันในอนาคต แต่เรื่องถูกผลักดันให้ไปไกลมากกว่านั้น เมื่อเราเห็นเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีของสหประชาชาติ ป่าวประกาศว่ามนุษย์สัตว์ประหลาด หรือไคจิน ควรอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ได้อย่างสงบสุข ท่ามกลางสังคมในประเทศญี่ปุ่นเองที่มีการตั้งข้อสงสัยกันว่า ทำไมไคจินจึงมีอยู่ที่ญี่ปุ่นเท่านั้น


ท่ามกลางความขัดแย้งระดับสากล ในระดับประเทศ ก็ยังมีคนที่ไม่ต้องการอยู่ร่วมกับไคจิน พวกเขาเริ่มออกเดินประท้วง ป่าวประกาศว่ามนุษย์ดัดแปลงเป็นเนื้อร้ายของสังคม แต่กลับต้องมาปะทะกับกลุ่มประท้วงของมนุษย์ดัดแปลง ที่ต้องการออกมาเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมในการใช้ชีวิตเหมือนกับคนทั่วไป ทั้งสองกลุ่มปะทะกันกลางถนน ตำรวจเข้ามาควบคุมการประท้วง แต่กลับเลยเถิด เริ่มมีการใช้ความรุนแรง สุดท้ายตำรวจคนหนึ่งยิงไคจินเสียชีวิต มีสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเหตุการณ์ความโกลาหลเหล่านั้น เขาอาจเคยเป็นกลุ่มคนแบบนั้นมาก่อน แต่ดวงตาเขาว่างเปล่าแบบผีตายซาก ไม่สนใจโลก และเรื่องราวความขัดแย้งใด ๆ เขาคือมนุษย์ดัดแปลงในตอนเด็กคนนั้น เขาอาจเคยผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาก่อน ยุคสมัยแห่งความวุ่นวายโกลาหล แต่ทุกอย่างมันไม่มีความหมายใด ๆ ต่อหน้าเขาเลย

นี่คือแค่ส่วนหนึ่งตอนแรกของ Kamen Rider Black Sun หรือในตอนเด็กที่เรารู้จักว่า “ไอ้มดดำ” (Kamen Rider Black) ที่แตกต่างจากต้นฉบับอย่างสิ้นเชิง เรื่องเล่าที่เราคุ้นชินในวัยเด็ก ว่าด้วยการขึ้นครองเป็นราชันย์ตามคำทำนาย ระหว่างผู้ถูกเลือกสองคนซึ่งเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน ที่ถูกดัดแปลงจากองค์กร “โกลกอม” ผู้ชั่วร้ายที่ต้องการยึดครองโลก แต่มีชายคนหนึ่งที่หนีออกมาได้ก่อนที่จะถูกล้างสมอง มินามิ โคทาโร่ ผู้ที่กลายเป็น “แบล็คซัน” จึงต้องเข้าต่อกรกับโกลกอมเพื่อล้างแค้น นำเอาความสงบสุขกลับคืนมา และต้องสู้กับอีกหนึ่งคู่ปรับและผู้ถูกเลือก อาคิซึกิ โนบุฮิโกะ หรือ “ชาโดว์มูน” ที่ถูกล้างสมองจากองค์กร ทั้งสองจะต้องห้ำหั่นกันไปจนสุดทางจนกว่าจะเหลือเพียงแค่หนึ่งเดียว

แต่เมื่อกลับมาเป็นเวอร์ชั่นปัจจุบัน ที่ฉลองครบรอบ 50 ปีของการกำเนิดไอ้มดแดง พวกเขากลับไม่ได้ทำเพื่อรีแบรนด์ให้เขาถึงได้ทุกเพศทุกวัยเหมือนกับซีรีส์ไอ้มดแดงตามที่เป็นในปัจจุบัน (ที่ค่อนข้างเน้นไปที่การมาร์เก็ตติ้งและฟอร์มใหม่ของไรเดอร์ตัวนั้น ๆ เพื่อให้ได้ไลน์ของเล่นที่หลากหลายเสียมากกว่า) แต่เป็นการเติบโตไปพร้อมกับเด็ก ๆ ที่เคยดูไอ้มดดำฉบับดั้งเดิมที่โตมาตั้งแต่เด็ก กลายเป็นผู้ใหญ่วัย 30-40 ที่ผ่านโลกและสังคมมาพอสมควร เข้าใจถึงเหตุการณ์บ้านเมืองและความขัดแย้งที่เกิดขึ้น การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยและอุดมการณ์ที่ผันเปลี่ยนไปตามยุคสมัยเช่นกัน ทำให้ไอ้มดดำปี 2022 กลายเป็นเวอร์ชั่นที่มีเนื้อหาที่หนักหน่วง และพ่วงกับฉากรุนแรงที่เกินกว่าจะให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ดูได้

ถ้าหากเราเป็นคนที่ติดตามตั้งแต่ต้นฉบับแล้วได้ดูในเวอร์ชั่นปัจจุบัน มินามิ โคทาโร่ที่เรารู้จักในฐานะผู้ที่ต่อสู้เพื่อล้างแค้นเอาความยุติธรรมไม่มีอยู่แล้ว เขากลายเป็นชายวัยกลางคนขาเป๋ เดินกะเผลก ๆ มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ รับจ้างทำงานสีเทาอย่างเก็บหนี้ลูกจ้าง หรือรับจ้างทำร้ายผู้คน อาศัยอยู่ในซากรถประจำทาง ฉีดมอร์ฟีนเพื่อระงับอาการบาดเจ็บที่ขาเป็นระยะ ๆ ส่วนโนบุฮิโกะที่ใครหลายคนมองว่าเป็นผู้ร้ายสุดเท่ กลายเป็นไอ้หนุ่มที่ไม่ยอมแก่ไปตามโลก ยังคงมีอุดมการณ์ที่สานต่อจากอดีตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เพิ่มเติมคือความแค้นที่ถูกหักหลัง เพื่อนสนิทและคนรักถูกสังหาร ถูกจับขังอยู่ใต้ดินหลายสิบปีจนหาทางหลบหนีออกมาได้ พร้อมที่จะดำเนินแผนการที่พวกเขาทำไว้ไม่สำเร็จเมื่อ 50 ปีก่อนอีกครั้ง พวกเขามีสิ่งหนึ่งร่วมกันคือ การเคยเป็นวัยรุ่นที่มีแรงใจ ใฝ่ฝัน มีอุดมการณ์ เป้าหมาย และอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมไปในทางที่ดีขึ้น แต่ปัจจุบันกลายเป็นคนที่ไม่มีอนาคต มีแต่ความหลังที่ล้มเหลวทิ่มแทงกลายเป็นแผลเป็นที่ต้องแบกไปตลอดที่พวกเขายังมีลมหายใจ

ส่วนองค์กร “โกลกอม” ถูกเปลี่ยนจากองค์กรผู้ชั่วร้ายที่พร้อมสร้างมนุษย์ชีวะเพื่อเป้าหมายคือการยึดครองโลก กลายเป็นพรรคการเมืองที่ก่อตั้งมาจากกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต้องการจะทำให้มนุษย์กับไคจินอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข พวกเขาเคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน เหมือนกับผู้คนยุคสายลมแสงแดด แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นพรรคการเมืองที่คอยรับใช้นายกรัฐมนตรีฝ่ายขวาของญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมการผลิตไคจินให้กลายเป็นอาวุธสงคราม ให้รัฐบาลนำไคจินไปขายทอดตลาดให้กับประเทศอื่น มันไม่เคยดีขึ้นเลย หนำซ้ำมันยังแย่ลงกว่า 50 ปีที่แล้ว

สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากต้นฉบับคือ ตัวละครที่จะเป็นตัวแปรสำคัญในเรื่อง อย่าง “อิซึมิ อาโออิ” เด็กหญิงที่มุ่งมั่นจะสร้างโลกที่ไคจินและมนุษย์ต่างอยู่ร่วมกันได้ที่ไม่ใช่เพียงแค่การกล่าวอ้างแค่ลมปากของทางรัฐ เธอมีเพื่อนเป็นไคจินนกกระจอกอย่างชุนสุเกะ และอาศัยอยู่กับน้า เธอไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เพราะพวกเขามีภารกิจที่ต้องทำและไม่สามารถบอกให้ลูกรู้ได้ เธอไม่เคยรู้สึกว่าไคจินเป็นภัยร้ายหรือสิ่งที่คุกคามมนุษย์ให้อยู่อย่างไม่สงบสุขแต่อย่างใด และเป็นเพียงมนุษย์ไม่กี่คนที่สามารถยอมรับไคจินได้อย่างแท้จริง เธอกลายเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการส่งเสียงแทนไคจิน การเดินทางไปที่สหประชาชาติเพื่อทำการเรียกร้องให้ทั่วโลกยอมรับ และเป็นการกดดันรัฐบาลญี่ปุ่นให้ยอมรับถึงการมีตัวตนของไคจินในทางอ้อม โดยมีความเชื่อมันอย่างเต็มเปี่ยมว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างที่เธอต้องการในสักวัน

แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง จุดที่เธอได้เห็นกับโลกแห่งความจริงที่มีมากกว่าแค่การเดินประท้วงธรรมดา ได้เรียนรู้อดีตที่ล้มเหลวของคนรุ่นก่อน สิ่งเหล่านั้นพาให้เขาและเธอต้องถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ เด็กรุ่นใหม่ต้องมือเปื้อนเลือด ต้องแบกรับภาระของการเปลี่ยนแปลง เรียนรู้ถึงการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงผ่านเลือดเนื้อและการสูญเสีย เผชิญถึงความเกลียดชังและความรุนแรง และเมื่อผ่านสิ่งที่กัดกร่อนและทำลายอุดมการณ์ของเธอไปทีละน้อย ถ้าหากเธอยังเลือกเส้นทางเดิม สุดท้ายมันอาจจะกลับมาเป็นจุดจบเดิมที่รุ่นก่อนทำไว้ไม่สำเร็จก็ได้ แต่อีกนัยหนึ่งก็คือการที่เดินทางเพื่อที่จะหลอมให้เธอกลายเป็นผู้นำอย่างแท้จริง คือการปลดพันธะทั้งหมดออกจากตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พ่อแม่ หรือคนรอบตัว คุณต้องอยู่ตัวคนเดียว สังคมเดียวที่จะอยู่ได้คือสังคมของกลุ่มต่อต้านเท่านั้น ถึงตอนนั้นเธอถึงจะเดินหน้าปฏิวัติได้

โคทาโร่กับโนบุฮิโกะก็เช่นกัน เมื่อตอนวัยรุ่น พวกเขาเองก็เคยมีอุดมการณ์และความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงที่จะเรียกร้องให้ไคจินสามารถอยู่อย่างทัดเทียมกับมนุษย์ ทั้งสอง รวมทั้งผองเพื่อน และยูคาริสมาชิกคนสำคัญต่อทั้งสองคน ก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง “โกลกอม” แต่ด้วยความไร้เดียงสาและความกระจัดกระจายทางความคิด พวกเขากลับโดนความไร้เดียงสากลืนกินจากโลกภายนอก กลุ่มแตกกระสานซ่านเซ็นกันไปคนละทิศละทาง กลายเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่สามารถทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ และด้วยอุดมการณ์อันอ่อนต่อโลกถูกครอบงำโดยระบอบและการเล่นเกมทางการเมือง กลุ่มโกลกอมที่กลายมาเป็นพรรคการเมืองกลายเป็นแค่เบี้ยที่ถูกใช้งานของรัฐบาลยุคปัจจุบัน

จากครึ่งแรกของซีรีส์ที่เดินหน้าเพื่อสร้างความยุติธรรมที่ตัวเองเชื่อ ครึ่งหลังจึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องความเชื่อที่กลายเป็นที่มั่นสุดท้ายของพวกเขาเองซึ่งก็ไม่ได้แน่ใจนักว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องกันแน่ แต่พวกเขาทำได้แค่สู้ เพราะถ้าพวกเขาไม่สู้ ก็จะไม่เหลืออะไรให้เป็นที่จดจำต่อรุ่นถัดไปอีกเลย ซีรีส์ทำให้เห็นว่าคนรุ่นก่อนต่างคนต่างแบกบาดแผลแห่งความผิดพลาดนี้ไว้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม และบาดแผลเหล่านั้น พวกเขาต้องเป็นคนจบด้วยตัวเองเท่านั้น เมื่ออิซึมิจะเป็นคนออกไปจบทุกอย่างโดยเหตุผลของเธอคือการแบกความหวังของไคจินทั้งหมดไว้ แต่โคทาโร่บอกกลับอิซึมิว่าเขากำลังแบกความฝันของตัวเองเมื่อ 50 ปีที่แล้วไว้เหมือนกัน อดีตเหล่านี้จะไม่มีใครสามารถปลดระวางได้จนกว่าจะตัวตาย หรืออุดมการณ์เหล่านั้นกลายเป็นผลสำเร็จ

และยิ่งกลายเป็นสิ่งที่น่าเศร้าไปกว่านั้น เมื่อตอนที่พวกเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองและต้องกลับมาทบทวนว่ามันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เหมือนกับบัลเจเรีย ผู้ที่เคยเลือดร้อนและแข็งแกร่ง มีอุดมการณ์ที่แรงกล้าไม่แพ้ใครในโกลกอม แต่ปัจจุบันเขากลายเป็นเพียงแค่สุนัขรับใช้ของรัฐบาลให้ทำเรื่องสกปรกเพียงเท่านั้น เขาถามคำถามแรกกับศาสตราจารย์ผู้เป็นเป็นพ่อของโนบุฮิโกะ หนึ่งในเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่เริ่มโปรเจ็กต์ราชาผู้สรรค์สร้าง (Creation King) สิ่งมีชีวิตที่ก่อกำเนิดเรื่องราวของทุกอย่างว่า “พวกเราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า” แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็คือเหล่านักวิทยาศาสตร์เองก็ขี้ขลาดที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเองเหมือนกัน ความเมินเฉยในจุดเริ่มต้นทำให้ปลายทางที่พวกเขามองเห็นเริ่มห่างไกลออกไปทุกที และรุ่นถัดไปก็ยังต้องแบกรับชะตากรรม หรือสิ่งผิดพลาดที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้ให้

สิ่งที่น่าตื่นเต้นเป็นการส่วนตัวคือ เหล่าผู้กำกับที่ได้กำกับซีรีส์โทคุซัตสึในรุ่นปัจจุบัน และเคยเติบโตมาพร้อมกับแฟรนไชส์เหล่านี้พร้อมกับคนดู ล้วนพร้อมเติบโตมาเพื่อทำซีรีส์ที่ให้ผู้ใหญ่ได้รับชม และเน้นไปที่ประเด็นที่หนักหน่วงและก้าวไปไกลกว่าที่ต้นฉบับจะพาไป ทั้ง ฮิเดอากิ อันโนะ (Hideaki Anno) ผู้กำกับ Evangelion แอนิเมชั่นชื่อดังที่เติบโตมาพร้อมกับการทำอุลตร้าแมนเวอร์ชั่นของตัวเองที่สมัยมหาวิทยาลัย ได้ทำ Shin Godzilla ที่ชี้บาดแผลถึงขั้นตอนการทำงานแบบราชการญี่ปุ่นที่ล่าช้าและเต็มไปด้วยจุดติดขัดมากมาย และ Shin Ultraman ที่ร่วมงานกับ ชินจิ ฮิกุชิ (Shinji Higuchi) (ซึ่งรับหน้าที่ออกแบบคอนเซปต์ของซีรีส์ Kamen Rider Black Sun เช่นกัน) กลายเป็นการเล่าเรื่องที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์และความขัดแย้งทางการทูต หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเอง มันจึงน่าสนใจว่าถ้าหากมีผู้กำกับรุ่นใหม่ที่ได้สานต่อซีรีส์โทคุซัตสึต่อไปจากนี้ จะทำให้มันเติบโตต่อไปจากเดิมได้อย่างไรบ้าง

Kamen Rider Black Sun ก็เติบโตมาในเส้นทางนั้น มันกลายเป็นภาพทับซ้อนเมื่อยุคสมัยของนั้นเริ่มต้นอยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่เป็นบาดแผลของคนญี่ปุ่นที่ต้องแบกรับร่วมกันคือการแพ้สงครามโลก ก่อเกิดการทำสัญญาความมั่นคงเพื่อเปิดโอกาสให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาตั้งพื้นที่ในการก่อตั้งฐานทัพและเผยแพร่แนวคิดของอเมริกา ที่เรียกว่าสนธิสัญญา Anpo จนทำให้มีขบวนการนักศึกษาหลายมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นออกมาเดินขบวนเพื่อประท้วงที่เรียกว่า ขบวนเซงงะกุเรง (Zengakuren) เพื่อต่อต้านรัฐบาลญี่ปุ่นยังคงเปิดรับให้อเมริกาสามารถตั้งฐานทัพ และความเคลื่อนไหวที่ห่างความเป็นประชาธิปไตยออกไปทุกที ถึงแม้การประท้วงครั้งนี้จะเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น แต่จุดสุดท้ายของการต่อต้านสนธิสัญญา Anpo และการประท้วงของเหล่าไคจินนั้นจบลงไปในทางเดียวกันคือความล้มเหลว แต่สิ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศ เป็นการแสดงถึงพลังของประชาชน และช่วยขยับเพดานของการแสดงออกถึงสิทธิในระบอบประชาธิปไตย

ซีรีส์เรื่องนี้จึงอาจกลายเป็นโลกคู่ขนาน หรืออาจจะเป็นสาส์นของการเขียนประวัติศาสตร์ที่ทับซ้อนลงไปของผู้สร้าง แต่อาจจะไม่ได้ดัดแปลงด้วยมนต์เสน่ห์แห่งภาพยนตร์ได้เทียบเท่ากับ Once Upon A Time In Hollywood ของ เควนติน ทารันติโน (Quentin Tarantino) ที่พลิกประวัติศาสตร์ทำให้บุคคลที่เคยเสียชีวิตยังมีลมหายใจต่อไปในโลกของภาพยนตร์ เพราะเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และสิ่งที่ทำได้คือการสอดแทรกประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายลงไปในสื่อ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องซ้ำรอยเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในเรื่องนี้

เราอาจมองได้ว่าไคจินนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยความผิดพลาดทางธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือของมนุษย์ด้วยกันเอง และอาจกลายเป็นผลลัพธ์ที่สืบทอดจากสงครามโลกที่น่าเศร้า เพราะญี่ปุ่นเองก็เคยกระทำความผิดที่ถือว่าร้ายแรงและชวนตั้งคำถามเป็นอย่างมาก กับการทดลองทางวิทยาศาสตร์กับมนุษย์ที่ยังมีชีวิตและเป็นเชลยศึกในประเทศจีน จนกลายเป็นการทดลองที่น่ากลัวและหดหู่ในประวัติศาสตร์จากหน่วย 731 (สามารถหาดูได้ในเรื่อง “จับคนมาทำเชื้อโรค” หรือ Men Behind The Sun) และผลลัพธ์ที่หลงเหลือจากการทดลองคือราชาผู้สรรค์สร้างที่อาจเป็นกลุ่มก้อนอุดมการณ์ของคนรุ่นแรกก่อนหน้าโคทาโร่ที่กลายเป็นเพียงแค่ฝันร้ายของคนรุ่นหลัง

และถึงแม้ตัวโคทาโร่กับโนบุฮิโกะที่กลายเป็นคนที่สืบทอดผลจากการทดลองจะสามารถแปลงร่างได้ มีพละกำลังที่แข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์และไคจิน และใกล้เคียงกับราชาผู้สรรค์สร้างเอง แต่การแปลงร่างนั้นไม่เหมือนกับภาพอันสวยหรูที่เราเคยเห็นในสมัยเด็ก ๆ มีเพียงแค่พวกเขาก็เทียบเท่ากับทั้งองค์กรจนสามารถกำจัดความชั่วร้ายให้สิ้นซากได้ การมีเพียงแค่พละกำลังไม่สามารถล้มล้างระบบที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่สมัยเก่าก่อน เพราะการจะถอนรากคอนโคนระบอบได้นั้นต้องใช้มากกว่าแค่หนึ่งคน บทสรุปสุดท้ายของซีรีส์จึงเป็นที่น่าพอใจสำหรับผู้เขียน เมื่อทุกอย่างคลี่คลายลงจากการต่อสู้เพียงแค่คนไม่กี่คน สุดท้ายมันก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือ การกำเนิดใหม่ของขบวนการต่อต้านพร้อมกับสัญลักษณ์อินฟินิตี้ ซึ่งอาจไม่ได้มีความหมายแค่ว่า การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และไคจินอย่างกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่อาจบอกได้ว่า พวกเขาและเธออาจต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพและความเท่าเทียมต่อไปไม่รู้จบ มันอาจจะจบเหมือนเดิมก็ได้ หรือมันอาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้นกว่าก็ได้

แต่ถ้าเราไม่ทำ แล้วใครจะทำ

ย้อนฟังสุนทรพจน์ส่งท้ายปี 65 : การเดินทางของนักทำหนังที่ชื่อ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ เราเห็นชื่ออภิชาติพงศ์ปรากฏเป็นข่าวบ่อยขึ้นเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน ก่อนที่ภาพยนตร์เรื่อง ‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ จะคว้ารางวัลปาล์มทองจากคานส์มาครอง เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะผลงานภาพยนตร์ล่าสุดของเขาอย่าง Memoria ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่วงการภาพยนตร์โลกพร้อมเสียงชื่นชมในหมู่นักวิจารณ์และยังคว้ารางวัลใหญ่จากเทศกาลคานส์มาครองได้อีกครั้ง และทุกครั้งที่อภิชาติพงศ์มีโอกาสขึ้นพูดบนเวที สุนทรพจน์ของเขาก็สร้างกระแสความสนใจจากมวลชนได้เสมอ จึงไม่ไกลเกินไปนักหากเราจะกล่าวว่า การพูดสุนทรพจน์ของอภิชาติพงศ์นับเป็นการเคลื่อนไหวอย่างหนึ่งในฐานะ ‘นักทำหนัง(ไทย)’ ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลก

บทความนี้ Film Club ขอพาผู้อ่านย้อนรอยชมสุนทรพจน์ของอภิชาติพงศ์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ว่าเขาแสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างไรในฐานะนักทำหนังที่เป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก

1) Long Live Cinema! : ภาพยนตร์จงเจริญ

สุนทรพจน์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 หลังการฉายภาพยนตร์เรื่อง Memoria รอบปฐมทัศน์โลกในเทศกาลภาพยนตร์คานส์ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่มีการร่วมทุนหลายประเทศทั้งโคลอมเบีย ฝรั่งเศส อังกฤษ เม็กซิโก และไทย พร้อมได้นักแสดงระดับโลกอย่าง Tilda Swinton มาร่วมแสดงกับเหล่าดาราชั้นนำของโคลอมเบีย และหลังจากฉายจบผู้ชมในคานส์ก็ปรบมือด้วยความประทับใจนานถึง 14 นาที โดยผู้ชมในเทศกาลนี้ล้วนเป็นบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับโลกทั้งสิ้น ใจความของสุนทรพจน์มีดังนี้

“ขอบคุณมากครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้เปี่ยมไปด้วยอารมณ์แห่งการเดินทางอันยาวนาน หลังจากการล็อกดาวน์นี่ก็เป็นภาพยนตร์แรกของผมที่ได้ฉายอย่างเป็นทางการ โปรดิวเซอร์และทุกคนที่ร่วมกันทำหนังเรื่องนี้ต่างได้มาอยู่ที่นี่ มันเหมือนกับการกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง สำหรับทิลด้า ผมขอขอบคุณสำหรับความเชื่อมั่นและทุกอย่าง ทั้งผมคุณ (หัวเราะ) และผมขอขอบคุณ Juan สำหรับช่วงเวลาอันสวยงาม และขอบคุณทุก ๆ คนอีกครั้ง ผมพูดอะไรไม่ออก ขอบคุณทุกคนที่ออกมาร่วมแชร์ (ประสบการณ์) แสงและเสียงด้วยกัน ดังนั้น Longlive Cinema! (ขอให้ภาพยนตร์จงเจริญ!)”


2) โปรดตื่นและทำงานเพื่อประชาชนเดี๋ยวนี้

วันที่ 17 กรกฎาคม 2564 หลังจาก Memoria ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม เมื่อถึงวันประกาศผลรางวัลขณะเดินพรมแดงก่อนเข้างาน อภิชาติพงศ์และนักแสดงนำพร้อมใจกันถือธงชาติโคลอมเบียที่เขียนตัวอักษรว่า S.O.S ซึ่งเขาเผยในภายหลังว่านี่เป็นไอเดียการ call out จากหนึ่งในนักแสดงนำชาย Juan Pablo Urrego

และในที่สุดภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สามารถคว้ารางวัล Jury Prize มาครอบครองได้ รางวัลนี้นับเป็นรางวัลลำดับที่ 3 ของอภิชาติพงศ์ที่ได้รับจากเทศกาลคานส์ โดยหลังจากรับรางวัล Jury Prize เขาได้ call out ผ่านสุนทรพจน์บนเวทีถึงรัฐบาลไทยและรัฐบาลโคลอมเบียว่า

“ผมโชคดีเหลือเกินที่ได้มายืนอยู่ที่นี่ ในขณะที่เพื่อนร่วมชาติจำนวนมากไม่อาจเดินทางไปไหนได้ หลายคนต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัสจากโรคระบาด เป็นเพราะการจัดทรัพยากรที่ผิดพลาด ระบบสาธารณสุข และการเข้าถึงวัคซีน ผมอยากเรียกร้องให้รัฐบาลไทย รัฐบาลโคลอมเบีย และรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันโปรดตื่นขึ้นและทำงานเพื่อประชาชนของพวกคุณเดี๋ยวนี้”


3) ไม่ต้องสนแม่ง!

เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2565 ในพิธีประกาศปิดงานเทศกาลภาพยนตร์โลกกรุงเทพฯ ครั้งที่15 (World Film Festival of Bangkok 15th) มีการมอบ รางวัลเกรียงศักดิ์ ศิลากอง (Lifetime Acheivement Award) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติแก่บุคลากรในวงการภาพยนตร์ที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่วงการหนังทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยชื่อรางวัลเป็นการแสดงความรำลึกถึงการจากไปของ วิคเตอร์-เกรียงศักดิ์ ศิลากอง ผู้ก่อตั้งและอดีตผู้อำนวยการเทศกาลที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการพัฒนาศักยภาพวงการภาพยนตร์เสมอมา

ผู้ได้รับรางวัลปีนี้เป็นคนแรกคือ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล โดยเขากล่าวสุนทรพจน์บนเวทีหลังได้รับรางวัลว่า

“ขอบคุณมากครับ ยินดีมากที่ได้มีโอกาสกลับมายืนในโรงหนังอีกครั้งหนึ่ง และขอบคุณดร (ดรสะรณ โกวิทวณิชชา- ผู้อำนวยการเทศกาล World Film ครั้งนี้) และคณะกรรมการทุกท่านที่ให้เกียรติผมในการมอบรางวัลนี้ ผมขอเรียกรางวัลนี้ว่า รางวัลวิคเตอร์ Victor Award เพราะตั้งแต่ได้รับการติดต่อจากเทศกาลมาผมก็คิดมาเลยว่ามันไม่ใช่รางวัลของผม แต่ผมมาเพื่อที่จะเป็นตัวแทนของพี่วิคเตอร์เพื่อมารับรางวัลนี้ เพราะฉะนั้นการมารับแทนพี่นี่เป็นเกียรติมาก ๆ

ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในที่นี้น่าจะรู้จักพี่วิคเตอร์คนที่ทำให้เทศกาลนี้เกิดขึ้น พี่วิคเตอร์หลงใหลในทุกอย่าง ภาพยนตร์ ละคร การเดินทาง ศิลปะ เซ็กส์ …เซ็กส์นี่สำคัญมาก อาหาร และหลาย ๆ อย่าง ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวไปที่ผสมปนเปมันออกมา และในที่แห่งนี้ในโรงหนังนี่น่าจะเป็นที่ที่พี่เขาชอบมากระดับต้น ๆ เลย โดยเฉพาะจุดนี้ (ชี้ป้ายไฟบนเวที) เพราะเขาชอบแสง เขาชอบเวที ผมอยากรบกวนทุกท่านใช้เวลานิดหนึ่งเพื่อเงี่ยหูฟังพี่วิคเตอร์ หรือมองภาพเขาในความทรงจำในความเงียบนี้…

ไม่รู้มีใครได้ยินเสียงพี่วิคเตอร์เหมือนเราหรือเปล่า เพราะผมรู้สึกว่าความเงียบนี้มันไม่ใช่ความเงียบ เสียงของพี่วิคเตอร์ยังดังอยู่เสมอ ยังเป็นเสียงที่เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเรา ให้ผม และก็ได้ยินเสียงเขาพูดเลยว่า ‘ให้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่นะครับ’ คือไม่ต้องต่อต้านอะไร ก็คือใช้ชีวิต

สำหรับตัวผม ผมทำหนังมา 25 ปี ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นเพียงเวลาแค่เสี้ยวเดียวของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ของไทยหรือของโลกก็ตาม แต่ว่าเริ่มต้นจนถึงปัจจุบันนี้ ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าผมทำหนังไปเพื่ออะไร ผมอยากจะบอกหรือถามคำถามคนทำหนังในที่นี้ว่า คุณทำหนังไปเพื่ออะไร? คือที่แน่นอนสำหรับผมนั้น ผมทำหนังโดยไม่ต้องการเล่าเรื่องราวอะไร จริง ๆ แล้วภาพยนตร์มันอาจเป็นตัวเชื่อมตัวเรากับคน หรือมันอาจจะเป็นแค่การโฆษณาชวนเชื่อเรื่องการใช้ชีวิต หรือว่าเป็นตัวแทนของอิสรภาพ หรือว่าอำนาจ…อะไรก็แล้วแต่ แต่ผมคิดว่ารางวัลนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้ผมได้ต่อยอดคำถามนี้ต่อไปและได้ชื่นชมความลึกลับของอาชีพนี้ของผมต่อการเดินทางนี้ต่อไป

เมื่อ 15 ปีที่แล้ว มีผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังวัฒนธรรม… มีศูนย์นี้จริง ๆ นะในกระทรวงวัฒนธรรม ผู้อำนวยการบอกนักข่าวว่าไม่มีใครอยากดูหนังของผมหรอก ไม่มีใครอยากดูหนังของอภิชาติพงศ์ และการที่ผมยืนอยู่ตรงนี้มันเป็นข้อพิสูจน์ในสิ่งที่ผมอยากจะบอกคนทำหนังทุกคนว่า ไม่ต้องสนแม่ง! หรือภาษาอังกฤษก็คือ Don’t give a damn คือนี่ไม่ได้พูดจากความเกลียดชังนะ แต่อยากจะบอกว่าเราไม่ควรตกเป็นทาสของสิ่งที่เกิดจากความกลัวหรือจากเผด็จการของความคิด ผมคิดว่าพวกเราทุกคนมีส่วนร่วมในการต่อยอดบทสนทนานี้ สิ่งที่คนทำหนังจะทำได้ดีและทำต่อไปก็คือ บันทึก …บันทึกต่อไป Keep Recording และก็รักต่อไป Keep Loving

สุดท้ายนี้ เมื่อพูดถึงความรัก ผมอยากจะแสดงความขอบคุณคุณโดม (โดม สุขวงศ์- ผู้ก่อตั้งหอภาพยนตร์) และทุก ๆ ท่านที่เป็นเพื่อนกันมาตลอดทั้งในและนอกอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ทำให้ผมมายืนและหายใจอยู่ที่นี่ และขอบคุณผู้ชมทุกคนที่รักและสนับสนุนภาพยนตร์เสมอมาเพราะว่ามันเป็นสื่อที่เป็นกระจกสะท้อนพวกเราและเชื่อมพวกเรา ผมคิดว่ารางวัลนี้คือรางวัลแห่งความรักของพี่วิคเตอร์ครับ ผมก็ขอให้เสียงของพี่ยังคงอยู่กับเราตลอดเวลา และก็ขับเคลื่อนเทศกาลนี้ให้อยู่ไปอีกนานเท่านาน ขอบคุณครับ”


4) พวกเรามีคนทำหนังระดับมาสเตอร์แล้ว… แล้วไงต่อ

นอกเหนือจากคำพูดสุนทรพจน์บนเวที ชื่อของอภิชาติพงศ์ยังเป็นที่เอ่ยถึงเสมอเมื่อมีการพูดถึงวงการภาพยนตร์ไทย จากบทความ Variety ที่สัมภาษณ์ คัทลียา เผ่าศรีเจริญ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ในงานเทศกาลภาพยนตร์ Locarno ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (เป็นการสัมภาษณ์เนื่องในโอกาสที่ภาพยนตร์เรื่อง ผีใช้ได้ค่ะ(A Useful Ghost) ของ รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค ได้รับรางวัลสาขา Open Doors ซึ่งเป็นรางวัลที่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนนักทำหนังหน้าใหม่ โดยคัทลียาเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์จาก 185 Films ที่ดูแลภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว) คัทลียามีบทบาทในการดูแลหนังของอภิชาติพงศ์และภาพยนตร์อิสระตลอดมา เธอให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับปัญหาของนักทำหนังรุ่นใหม่ในไทยว่า

“ตอนนี้รัฐบาลเราไม่มีการสนับสนุนหรือให้ทุนมากเท่าไหร่นัก มันเลยเป็นเรื่องท้าทายสำหรับนักทำหนังรุ่นใหม่ เรามีคนทำหนังระดับมาสเตอร์แบบอภิชาติพงศ์ก็จริง…แต่แล้วไงต่อ? ฉันไม่ได้บอกว่าการมีคนทำหนังระดับมาสเตอร์ไม่สำคัญ แต่เราจำเป็นที่จะต้องมองไปอนาคตข้างหน้าเหมือนกัน

“ในตอนนี้ประเทศของเรามีคนประท้วงอยู่จำนวนมาก เราจำเป็นต้องทำหนังเรื่องนี้* ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันเป็นเหมือนความเดือดดาล (ของคนรุ่นใหม่) เพราะคนรุ่นฉันทิ้งปัญหามากมายไว้ข้างหลัง และอาจเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เรามีคนรุ่นหนึ่งที่หลงทางอยู่ (A Lost Generation) แต่เราก็หวังว่าคนรุ่นใหม่นี่แหละที่จะสามารถสะสางปัญหาพวกนี้ได้”

(*หมายถึงภาพยนตร์เรื่อง Useful Ghost ผีใช้ได้ค่ะ โดย รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค)


ที่มา :

MEMORIA (ขอให้) คนทำหนังไทยจงเจริญ
Long Live Cinema!
“Long Live Cinema!” (ภาพยนตร์จงเจริญ!)
เจ้ย อภิชาติพงศ์ ฟาดปมสถานการณ์วิกฤตโควิดในประเทศไทยกลางเมืองเวทีหนังคานส์
“Memoria” ของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ได้รางวัลขวัญใจกรรมการจากคานส์, “Titane” ได้ปาล์มทองคำ
Locarno Open Doors Winner ‘A Useful Ghost’ Uses Dust and a Ghostly Vacuum Cleaner to Comment on Thai Politics

White Lotus (Season 2) : ปัญหาที่เงินไม่อาจแก้

มีมุกตลกเล็ก ๆ มุกหนึ่งผู้เขียนมักจะเปรยกับมิตรสหายคนใกล้ตัวเวลาพูดถึงชีวิตที่ต้องเสี่ยงโชคเป็นพิเศษในบ้านเมืองนี้ นั่นคือ “ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะมีปัญหาไหนในชีวิตผมที่ใช้เงินแก้ไม่ได้ นั่นคือสาเหตุที่ผมซื้อล็อตเตอรี่เพื่อหนีไปให้พ้น ๆ เสียที” มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีคนตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจมาก ๆ เอาไว้ว่านี่คือแนวคิดแบบคนจนของแท้ เมื่อคุณเป็นคนจน ปัญหาทุกอย่างที่มองเห็นคือปัญหาที่ใช้เงินแก้ได้ ถ้าคุณมีอันจะกินมากกว่านั้นคุณจะเริ่มมองปัญหาที่อยู่ไกลตัวขึ้นและพบว่าเงินที่มีไม่มากพอจะแก้ไขมันได้ แต่หากคุณรวยยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก คุณจะมองข้ามทุกปัญหาไป เพราะมันจะทำให้คุณตระหนักว่าคุณเองนั่นแหละคือต้นตอของปัญหาเหล่านั้น ถึงจะไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยจนแกล้งทำเป็นมองข้ามไปได้

ก่อนดู White Lotus ซีซั่นล่าสุด ผมมีคำถามเล็ก ๆ ในใจว่า ไมค์ ไวท์ ยังไม่จบกับประเด็นคนรวยสันดานเสียอีกหรือ ขณะที่ในปีนี้มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับคนรวยจำพวกนี้ออกมามากมาย อะไรที่ทำให้เขาตัดสินใจเล่าเรื่องคนรวยอเมริกันในอู่อารยธรรมยุโรปต่อจากคนรวยอเมริกันในดินแดนอาณานิคม มีอะไรที่เรายังไม่ได้เห็นจากหนังและซีรีส์พวกนั้นอีกหรือ คำตอบปรากฏทันทีเมื่อได้ดู White Lotus ซีซั่น 2 ตอนแรกจบ ความเหลื่อมล้ำเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของสิ่งอัปลักษณ์ในวิถีชีวิตคนมีอันจะกินเท่านั้นเอง

เรื่องราวใหม่เริ่มต้นแบบเดิม มีคนพบศพแขกของโรงแรมไวท์โลตัสสาขาซิซิลีลอยมาใกล้หาดของโรงแรม ก่อนที่จะเล่าย้อนไปถึงบรรดาแขกชุดใหม่ในหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า ชายสามรุ่นจากครอบครัวอเมริกันที่เดินทางมาเยี่ยมบ้านของบรรพบุรุษ คู่หูเพื่อนสมัยเรียนที่พาภรรยามาพักร้อนโดยมีเป้าหมายบางอย่าง คู่เพื่อนสาวโสเภณีกับนักร้องที่ใช้ทักษะพิเศษทางกายให้การหาซื้อสิ่งที่ต้องการ และทันย่า (Jennifer Coolidge) เศรษฐีนีสมองไหลจากซีซั่นที่แล้วที่มาเที่ยวกับสามี (ที่พบกันจากทริปฮาวาย) โดยมีผู้ช่วยสาวแสนซวยติดมาเป็นเครื่องมือพยุงชีพ

หากหลักใหญ่ใจความของซีซั่นแรกเป็นเรื่องราวของคนมีเงินเยอะที่แสดงอำนาจเหนือชีวิตคนที่มีเงินน้อยกว่าในหลากวิถีทาง ประเด็นของซีซั่นนี้คือการขยายภาพคู่ความสัมพันธ์เพื่อนรักเพื่อนร้ายของสองสาวในซีซั่นแรก นี่คือเรื่องราวของความบาดหมางเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะเท่ากัน แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ คนรวยอเมริกันอิจฉารากเหง้าอันงดงามของผู้ดียุโรป ขณะที่ผู้ดียุโรปแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากบ้านสวย ๆ เอาไว้หลอกสูบเงินเศรษฐีมือเติบ แคเมอรอน (Theo James) กับอีธาน (Will Sharpe) เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนก็จริง แต่ต่างฝ่ายต่างก็ต้อง “กรอง” บางอย่างออกไปเสียก่อนถึงจะคบกันเป็นเพื่อนได้ยาวนาน ไม่ว่าคุณกับคู่ความสัมพันธ์ เพื่อน คนรัก ครอบครัวของคุณจะผูกพันกันในรูปแบบไหน การตัดสินอีกฝ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ในใจก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยง มันเป็นเหมือนสัตว์ร้ายใต้แผ่นไม้กระดานที่รอวันเผยตัวออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะมั่งมีหรืออยู่ติดดินหาเช้ากินค่ำ มันจะซุ่มซ่อนอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน

ยกตัวอย่างการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดบนโต๊ะอาหารในเรื่อง เมื่อคุณปู่เบิร์ต (F. Murray Abraham) บอกกับดอมินิก (Michael Imperioli) ผู้เป็นลูกชายว่า เขาจะเป็นคนเกลี้ยกล่อมภรรยาของลูกชายที่กำลังฟ้องหย่าให้เอง เพราะว่าเขา “เป็นผู้ชายที่เข้าใจผู้หญิงมากที่สุด” ลูกชายสวนกลับทันควันว่าไม่จริง “ผมเห็นแม่ทรมานจะเป็นจะตายทั้งชีวิตเพราะคนอย่างพ่อนี่แหละ” ขณะที่บทสนทนากำลังปะทุ อัลบี้ (Adam DiMarco) ลูกชายของดอมินิกก็ปึงปังผละจากโต๊ะอาหารไปหาโสเภณีที่เข้าเพิ่งเจอเมื่อคืน สำหรับคนในรุ่นเขา พ่อและปู่ล้วนเป็นประวัติศาสตร์ชีวิตที่น่าอับอาย หนัง Godfather ที่ปู่ชอบหนักหนาเป็นแค่วันชื่นคืนสุขของผู้ชายที่ไม่สนใจอะไรนอกจากการแสดงความเป็นชาย พ่อที่เป็นโรคติดเซ็กส์ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ส่วนในสายตาปู่และพ่อ อัลบี้ก็เป็นแค่เด็กที่กำลังจะเดินเข้าสู่กับดักความไม่ได้เรื่องไปอีกคน ไม่ว่าพวกคุณจะรักและหวังดีต่อกันแค่ไหน คุณก็เลี่ยงการตัดสินกันอย่างโหดร้ายไม่ได้ และเมื่อดูจากปัญหาการเสียแรงดึงดูดต่อกันในคู่ของอีธานกับฮาร์เปอร์ (Aubrey Plaza) การเปิดเผยต่อกันอย่างตรงมาก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก

อีธานยกเรื่อง “การลอกเลียนความต้องการ” ขึ้นมาพูดได้อย่างน่าสนใจ เขาระเบิดอารมณ์ออกมากลางวงชิมไวน์ บอกว่าสมัยเรียนเขาไม่ค่อยได้มีชีวิตรักโลดโผนนัก เพราะเมื่อเขาทำท่าว่าจะชอบใคร แคเมอรอนก็จะโฉบไปมีเซ็กส์กับคนคนนั้นทันที นี่คือการลอกเลียนความต้องการ เมื่อคุณเห็นคนที่มีสถานะสูงกว่าต้องการอะไร คุณจะมีแนวโน้มที่จะต้องการสิ่งนั้นไปด้วย เพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง แคเมอรอนโต้กลับว่าเขาจะไปมีสถานะต่ำกว่าอีธานได้ไง ในเมื่อเขารวยกว่าและเป็นที่นับหน้าถือตา อีธานตอบกลับว่า “ก็ฉันฉลาดกว่านายไง” นี่อาจจะเป็นไม่กี่ปัญหาของคนรวยที่คนไม่รวยอย่างผู้เขียนพอจะจินตนาการออก ไม่ว่าเราจะพร่ำพูดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเท่าเทียมสักกี่ครั้ง เราก็จะมีลำดับต่ำสูงประทับอยู่ในใจเสมอ ไม่ใช่ในแค่ระนาบของฐานะทางเศรษฐกิจ มันอาจอยู่ในคนทำงานศิลปะ ผู้เสพงานศิลปะ แวดวงวิชาการ กลุ่มเคลื่อนทางการเมือง กลุ่มคนชายขอบ กลุ่มงานอดิเรก แวดวงสังคมทั้งเล็กใหญ่

เมื่อเงินในซีซั่นนี้ถูกลดความสำคัญลงไปอยู่ในรูปของสิ่งที่คนพยายามตักตวงจากกัน ไม่ต่างจากหน้าที่การงาน ธุรกิจในอนาคต คนที่ดูจะทุ่มทุนต่อสู้เพื่อเงินมากที่สุดอาจมีเพียงพอร์เชีย (Harley Lu Richardson) ที่ยอมทนทำงานให้คนรวยสมองเปื่อยอย่างทันย่า สิ่งที่อยู่ระหว่างความริษยาและความต้องการการยอมรับจึงปรากฏตัวออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด

และผู้เขียนก็คิดได้ในที่สุด นี่แหละคือปัญหาที่เงินแก้ไม่ได้

Father Stu: ศรัทธาที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย

  • บทความชิ้นนี้เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์

อะไรทำให้ชีวิตมนุษย์มีความหมาย?

สำหรับชายคนหนึ่ง มันอาจเป็นงานที่ดี ผู้หญิงที่รักสักคน การได้ทำตัวเป็นประโยชน์ หรือการมีชื่อเสียง

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ สจ๊วต ลอง ใฝ่ฝันถึงมาตลอด เขาเป็นนักมวยมือสมัครเล่นที่มอนตานามาสักพักแล้วและมีสถิติค่อนข้างดี ลองตั้งใจจะอยู่ในสายอาชีพนักมวยจนได้เทิร์นโปรทั้งที่อายุเขาก็มากแล้ว แม่ของเขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่สามารถห้ามได้ จนกระทั่งวันหนึ่งการติดเชื้อที่ขากรรไกรทำให้เส้นทางอาชีพของเขาจบลงจริง ๆ

ลองไม่ยอมแพ้ ยังคงอยากไขว่คว้าชื่อเสียงและการเป็นที่ยอมรับอยู่ เขาเดินหน้าไปแอลเอเพื่อจะเป็นนักแสดงและสมัครทำงานตามร้านขายของชำ วันหนึ่งเขาได้พบสาวเม็กซิกันที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น เขาสืบจนรู้ว่าเธอเป็นคาทอลิกที่เคร่งศาสนามากและไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ เขาจึงไปดักพบเธอที่นั่น

เรื่องราวความใฝ่ฝันของลองเป็นไปอย่างรวดเร็ว เขาได้เรียนรู้มาจากสังเวียนที่จะมองหาความเปราะบางในแววตาของคู่ต่อสู้ และเขาก็ใช้มันกับสาวคนนั้นด้วย ชื่อของเธอคือคาร์เมน และเธอจะไม่ยอมเดตคนที่ยังไม่ได้รับศีลในฐานะคริสตชน คนที่ไม่ศรัทธาพระเจ้าอย่างลองจึงเข้ารับพิธีเพื่อเอาใจสาวสวยโดยหารู้ไม่ว่า การเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดกาล

ในแง่หนึ่ง Father Stu แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเป็นผู้ชายผิวขาวมีความหมายว่าอย่างไร มันคือการเดินไปข้างหน้าเพื่อหนีเงามืดของตัวเองอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่มีวันหนีพ้น บนสังเวียน ลองได้ระบายความคับแค้นใจที่มีต่อพ่อซึ่งไม่เคยสอนอะไรดี ๆ และยังทิ้งเขาไปในวัยเด็ก การต่อสู้ของเขานั้นที่แท้จริงก็คือการต่อสู้กับอดีตของตัวเอง เมื่อเขาไม่อาจสู้บนสังเวียนได้ เขาก็เดินหน้าต่อเพื่อเป็นนักแสดง ความกระหายชัยชนะของเขาคือการเดินหนีจากอดีตเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่อยู่ในอนาคต คาร์เมนเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาไขว่คว้าเพื่อให้เขามีอะไรให้ยึดเกาะบนโลกอันร้างไร้และไม่เคยปรานี

ลองบอกคาร์เมนว่า เธอควรช่วยให้เขาพ้นจากบาปเพราะชีวิตของเขาไม่มีอะไรดี เขาเป็นเพียงคนพัง ๆ คนหนึ่งซึ่งรอให้ใครสักคนมาช่วยเหลือ  เธอแนะนำให้เขารู้จักกับพระเจ้า ผู้ที่เขาไม่เคยเรียนรู้ที่จะวางใจ แต่ชีวิตก็สอนบทเรียนให้เขาอีกครั้ง เมื่อเขาประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์จนแทบเอาชีวิตไม่รอด

ในวินาทีที่อยู่ระหว่างความเป็นและตาย ลองได้พบกับพระแม่มารีย์ผู้ซึ่งบอกกับเขาว่า ชีวิตของเขายังมีอะไรบางอย่างที่จะเป็นประโยชน์แก่ตัวเองและผู้อื่น และเขาต้องอยู่ต่อเพื่อทำอะไรบางอย่าง ลองไม่เคยเข้าใจว่าชีวิตเขามีอะไรดีบ้างเมื่อเทียบกับน้องชายที่ตายไป เขาคิดว่าตัวเองเป็นด้านมืดตลอดเวลา ส่วนน้องชายเป็นด้านสว่าง และคิดว่าน่าจะเป็นเขาที่ตายแทนน้องชาย แต่เขากลับยังอยู่! การดำรงอยู่ของเขามีความหมายอะไรกันแน่? ทำไมพระเจ้าถึงอยากให้เขาอยู่?

และคำตอบก็มาถึงเขาในวันหนึ่ง ซึ่งเป็นคำตอบที่ทำให้ดวงใจของคาร์เมนหญิงที่เขารักต้องแหลกสลาย เขาคิดว่าเขาต้องการจะเป็นนักบวช  นี่เป็นคำตอบที่ทำให้ทั้งคนรักและครอบครัวเขาอึ้งและไม่สามารถทำใจได้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง คาร์เมนอุทิศตัวเพื่อลองมากเพราะเธอคิดว่าเขาจะเป็นคนที่เธอแต่งงานด้วย ส่วนแม่ของลองก็คิดว่าเขาตัดสินใจจากอารมณ์ชั่ววูบอย่างที่เคยเป็นมา ไม่มีใครเชื่อว่าลองพูดจริง แม้กระทั่งเขาเองในตอนแรกที่พูดมันออกมาก็ไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่พระเจ้าเชื่อเขา

ดูเหมือนทุกจังหวะชีวิตของลองจะพบกับอุปสรรคมากมาย เพราะขนาดจะเข้าเป็นนักบวช เขาก็ยังถูกปฏิเสธจากสังฆมณฑล เพราะเขาไม่ได้มีประวัติที่ดีเกี่ยวกับการรับใช้ศาสนานัก ในจังหวะต่าง ๆ ของหนัง เราจะเห็นเขาเอาชนะอุปสรรคมากมายด้วยพลังศรัทธา จนมาถึงอุปสรรคอย่างสุดท้ายที่ทำให้เขาเกือบเสียความเชื่อมั่นใจพระเจ้า – เขาเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดพบได้ยากที่จะทำให้สูญเสียการควบคุมอวัยวะไปทีละนิด เรื่องตลกร้ายก็คือ อวัยวะเพศจะเป็นส่วนที่สูญเสียความรู้สึกอย่างท้าย ๆ แต่เขาในฐานะนักบวชต้องงดเว้นจากกิจกรรมทางเพศทุกอย่าง

ด้วยความที่การต่อสู้ของลองในหนัง Father Stu เป็นเรื่องจริง มันจึงมีอิมแพ็คกับคนดูประมาณหนึ่ง และทำให้เราตั้งคำถามเกี่ยวกับศรัทธาว่ามันมีอิทธิพลอย่างไรบ้างต่อชีวิตคน ชีวิตของลองนั้นถ้าจะมองเป็นโศกนาฏกรรมก็สามารถมองได้ แต่ด้วยพลังแห่งศรัทธา มันได้พลิกฟื้นแง่งามของเรื่องเศร้าในชะตากรรมมนุษย์ให้กลายเป็นบททดสอบเพื่อทำให้ชีวิตมีค่า ลองบอกว่า ภาวะป่วยของเขาทำให้เขาเข้าใกล้กับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และพระเจ้าก็จะมอบความตายที่งดงามให้เขาเป็นของตอบแทนจากการที่เขาแบกรับภาระต่าง ๆ มาอย่างหนักหนา ชีวิตที่เขาได้รับใช้พระเจ้าเป็นชีวิตที่มีค่า แม้มันจะจบด้วยความตายภายในเวลาอีกไม่นาน

ดูเหมือนในการต่อสู้กับเงามืด คุณพ่อสจ๊วต ลองได้ค้นพบว่า วิธีที่จะเอาชนะเงามืดไม่ใช่การวิ่งไปข้างหน้าเพื่อหนีมัน แต่เป็นการอยู่กับตัวเอง และสร้างแสงสว่างในตนเอง ซึ่งแสงสว่างนั้นก็เป็นสิ่งที่ได้รับจากพระเจ้ามาอีกที มนุษย์ทุกคนมีแสงสว่างในตัวเองและอยู่ในแสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้าเสมอ เพราะเราถูกสร้างขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้าและไม่เคยเป็นอะไรนอกเหนือจากนั้น ดูเหมือนว่าคุณพ่อลองจะได้รู้แล้วว่า การหยุดอยู่กับที่และไม่หนีไปที่อื่นทำให้เขามีความสงบใจได้มากเพียงใด เขากลายเป็นคนที่ทุกคนอยากเจอและมาสารภาพบาปด้วย ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนนักบวชของเขา ซึ่งทั้งชีวิตทำตามความคาดหวังของพ่อแม่ที่จะให้เป็นนักบวชมาเสมอ จนลืมถามตัวเองว่าจริง ๆ แล้วเขาชอบอะไร อยากเป็นอะไรกันแน่

และอีกอย่างที่สามารถสัมผัสได้จากชีวิตอันโชกโชนของคุณพ่อลองก็คือ คุณค่าของประสบการณ์ชีวิตอันดำมืด ฉากที่น่าประทับใจฉากหนึ่งคือฉากที่เขาและเพื่อนนักบวชต้องเข้าไปเทศน์นักโทษในคุก เริ่มแรก เพื่อนนักบวชของเขาเป็นคนเริ่ม และผลลัพธ์คือนักโทษต่างรู้สึกต่อต้าน  แต่เมื่อลองได้พูดถึงอดีตอันดำมืดของเหล่านักโทษที่เขาเองเข้าใจดี เหล่านักโทษต่างเริ่มเปิดใจและรับฟังเขา

แง่งามที่เราได้เห็นจากหนังเรื่องนี้อย่างหนึ่งคือ คนเราอาจต้องเดินทางเข้าสู่ความมืดมาก่อนจึงจะรู้ว่าแสงสว่างงดงามเพียงใด เหมือนกับที่คุณพ่อลองได้เคยใช้ชีวิตที่ผ่านทั้งความรุนแรง ความไม่เข้าใจตัวเอง ความโกรธแค้น และความหดหู่กับตัวเองมาแล้ว ทำให้ในวันที่เขารับใช้พระเจ้า เขาสามารถเชื่อมต่อกับคำสอนได้อย่างแนบเนียนและเป็นแรงบันดาลใจให้คนได้จำนวนมาก เพราะด้านมืดก็เป็นอีกด้านที่มีในมนุษย์ทุกคน และเราต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กัน เพื่อให้วันหนึ่งที่เราได้พบแสงสว่าง เราจะออกจากด้านมืดมาได้อย่างไม่รู้สึกติดค้างอะไรเลย

การได้ดูหนังเรื่องนี้ทำให้กลับมาตั้งคำถามกับชีวิตของตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าเราจะทำให้ประสบการณ์อันเจ็บปวดกลับกลายเป็นแง่ที่ดีงามต่อชีวิตได้อย่างไรบ้าง ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้อง romanticize ความเจ็บปวด อันที่จริง ความเจ็บปวดมีอยู่เพื่อให้เรารู้สึก มีอยู่เพื่อให้เราถามตนเองว่าเรามีความปรารถนาที่จะได้รับในสิ่งใด ความเจ็บปวดสามารถเป็นสัญญาณเพื่อบ่งบอกว่าเรายังมีชีวิต แต่มนุษย์มีศักยภาพที่จะเติบโตจากความเจ็บปวดหลังจากได้รู้สึกถึงมันอย่างเต็มที่ ดังชีวิตของคุณพ่อลอง เราไม่อาจเปลี่ยนอดีตได้ แต่เราสามารถเยียวยาตนเองและเดินออกมาจากมุมมืดนั้นได้ อันที่จริงเราจะมีแผลเป็นติดตัวมา แต่ผู้ที่เยียวยาจะสามารถอยู่กับแผลเป็นนั้นได้อย่างเข้าใจและมีสันติในตนเอง เราจะเยียวยาตนเองจากความเจ็บปวดได้อย่างไร? คงจะเป็นโจทย์ของชีวิตร่วมสมัยที่หลายคนไม่น้อยครุ่นคิดอยู่ ไม่ต่างจากคุณพ่อลอง

อีกคำถามหนึ่งที่ตั้งคำถามกับตนเองหลังจากได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็คือคำถามที่ว่า ในชีวิตนี้เรามีอะไรที่เราศรัทธาหรือไม่? มันอาจไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งสำคัญทางศาสนา  มันอาจจะเป็นสิ่งเล็กน้อยในชีวิต เช่น การเติบโต หรือความมีน้ำใจของมนุษย์ มันเป็นแค่นั้น และในชีวิตของคนเราความศรัทธาอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ในวันที่เราถูกทำให้เปลือยเปล่าและโบยตีโดยโลกใบนี้ ในชีวิตเราย่อมจะมีช่วงเวลาที่ตัวตนของเราถูกลอกเปลือกออกจนไม่เหลืออะไรเลย และคำถามสุดท้ายที่เหลืออยู่จึงกลายเป็นว่า เรามีศรัทธาที่แท้จริงต่ออะไร ดังที่ ฌ็อง ปอล ซาร์ต บอกไว้ว่า มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ ในตัวเลือกของชีวิตที่มีอยู่มากมายนับล้าน และเราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราเลือกทั้งหมด เป็นไปได้ที่เราจะไขว้เขวและถูกลากไปตามกระแสอันเชี่ยวกราก แต่หากเรามีศรัทธาในอะไรบางอย่าง มันจะทำหน้าที่เป็นเหตุผลในการเลือกทั้งหมดของเรา มันทำให้เราบอกตนเองได้ว่าเราเป็นใครกันแน่

ความศรัทธาอาจจะเป็นเมนไอเดียทั้งหมดของหนังเรื่องนี้ มันอยู่เบื้องหลังทางเลือกในชีวิตของคุณพ่อลอง มันทำให้เขาเดินหน้าต่อไปอย่างไม่สิ้นหวัง และมันได้ทำลายภาพจำของการศรัทธาอย่างมืดบอดในศาสนา หนังได้แสดงให้เห็นว่าเราสามารถ ‘reclaim’ คำว่าศรัทธาให้กลายเป็นองค์ประกอบของชีวิตสมัยใหม่ได้ เพราะเมื่อศรัทธาผสานเป็นเนื้อเดียวกันกับประสบการณ์ความเจ็บปวดและบาดแผล มันได้ทำให้เกิดสิ่งที่ดูคล้ายการเกิดใหม่จากเถ้าถ่าน มันเป็นประสบการณ์เฉพาะตัว และประสบการณ์เฉพาะตัวนี่เองที่เป็นสากลมากที่สุด อาจกล่าวได้ว่าความศรัทธาที่แสดงให้เห็นในหนังไม่ได้ถูกผูกขาดอยู่กับศาสนาใดและศาสนาหนึ่ง แต่ถูกนำเสนอให้เห็นในฐานะทางเยียวยาตน ทางรอดจากความเจ็บปวด และวิถีทางที่จะ make sense กับตัวเลือกในชีวิตอันมากมายนั่นเอง

Avatar: The Way of Water – ‘คุณพ่อรู้ดี’ ที่ไม่เคยหายไปแม้ย้ายเผ่า

ในแง่หนึ่ง หนัง Avatar: The Way of Water ไม่ทำให้ใครหลายคนผิดหวัง โดยเฉพาะในแง่ของ CG ที่ถ่ายทำโลกใต้น้ำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้หนังจะยาวถึงสามชั่วโมงกว่า แต่ทุกฉากล้วนเป็นฉากที่ควรค่าแก่การนั่งดู ทำให้ไม่อาจพลาดสายตาไปได้แม้แต่ฉากเดียว

Avatar: The Way of Water เป็นหนังภาคต่อ เรื่องราวเท้าความจากภาคเดิมที่ เจค ซัลลี นายทหารพิการคนหนึ่ง ได้เข้าร่วมปฏิบัติการกวาดล้างชาวนาวีบนดาวแพนดอรา ดาวที่มนุษย์โลกตั้งใจสร้างเป็นอาณานิคมหลังโลกล่มสลาย แต่แล้วเขากลับรับรู้ถึงคุณค่าอันลึกซึ้งของชีวิตที่อยู่บนนั้นและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชาวเผ่านาวีโดยสมบูรณ์แบบผ่านร่างอวตารที่สร้างขึ้นเพื่อเขา เจคได้กลายเป็นผู้นำของชาวเผ่านาวี เป็นวีรบุรุษสงครามที่ชาวเผ่าเรียกขานกันว่า โทรุคมัคโต เขาได้แต่งงานกับเนทีรี ลูกสาวของหัวหน้าเผ่าคนก่อน และมีลูกด้วยกัน 4 คน

ชีวิตของเจคคงจะเป็นชีวิตที่สงบสุขดี หากผู้พันควอริทช์ไม่กลับมา ทั้งที่เขาที่เสียชีวิตไปแล้วหลังชาวนาวีขับไล่กลับไปยังโลก ผู้พันควอริทช์เป็นผู้นำของกองรบที่ต้องการเข้ายึดครองแพนดอรา ชาวแพนดอราเรียกมนุษย์โลกเหล่านี้ว่า “คนจากฟ้า (Sky People)” และคนที่แค้นคนพวกนี้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นเนทีรีเพราะพวกเขาทำให้ผู้เป็นที่รักของเธอตายไปมากมาย

แนวคิดของการกลับไปคืนดีกับพระแม่ธรณีหรือ ไกอา (Gaia) ดูจะเป็นแนวคิดที่ชัดเจนมากที่สุดในภาคนี้ อันที่จริงมันก็ชัดมาก ๆ อยู่แล้วในภาคก่อน แต่ในสถานการณ์ที่แนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังมาแรง ดูเหมือนว่าการสร้าง CG อลังการเพื่อให้เห็นความสวยงามของท้องทะเลและสัตว์ทะเลจะมีวาระซ่อนเร้น (hidden agenda) ให้เรากลับไปคืนดีกับธรรมชาติ ครอบครัวซัลลีที่ประกอบไปด้วยหกชีวิตต้องระหกระเหินจากเผ่าไปเพราะผู้พันควอริทช์มีเป้าหมายในการสังหารเจค พวกเขามุ่งไปในทิศทางของหมู่เกาะและลี้ภัยในกลุ่มชาวนาวีทะเล ผู้มีวิถีต่างออกไป

ภาพของพระแม่ธรณีที่กลายเป็นวัตถุแห่งการโดนกระทำปรากฏขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่คนจากฟ้าลดความเร็วของจรวดทำให้เกิดลำแสงเป็นทางตรงจี้ลงไปยังป่าของแพนดอรา เหล่าสิงสาราสัตว์ต้องหนีตายจากไฟป่าอันเกิดจากไอพ่นจรวด ภาพการ “ซอกซอน (Penetrate)” ลงไปยังผืนดินของพระแม่ธรณี ในแง่หนึ่ง-ถ้าคิดตามทฤษฎีของฟรอยด์-เปรียบเสมือนการข่มขืน และพระแม่ธรณีที่เป็นหญิงนั้นถูกทำให้กลายเป็นวัตถุไร้ค่าซึ่งต้องตอบสนองต่อความต้องการของเพศชาย ยังไม่นับการมาถึงของเหล่าเครื่องจักรที่กระทำการหักร้างถางพงบนผืนดินแพนดอราโดยตรงที่สะท้อนให้เห็นว่าคนจากฟ้าเห็นธรรมชาติเป็นวัตถุไร้ชีวิตเพียงไร

ตามทฤษฎีของเจมส์ เลิฟล็อค ไกอาหรือพระแม่ธรณีซึ่งเป็นแทพกรีกถูกใช้เป็นชื่อของแนวคิดว่า ทุกสิ่งในโลกล้วนสัมพันธ์กันเพื่อให้เกิดสมดุล และสมดุลนั้นก็เอื้อให้เกิดชีวิต ในทฤษฎีของเลิฟล็อค ธรรมชาติไม่เคยเป็นสิ่งไร้ชีวิต ต้นไม่แต่ละต้นในป่ามีใยประสาทเชื่อมโยงส่งข้อมูลและสารอาหารแก่กันและกัน อาจเห็นตัวอย่างนี้ได้ชัดในต้นไม้ที่ผลัดใบต่างฤดูกัน ในกรณีนี้ต้นไม้ที่ผลัดใบในหน้าหนาวจะได้รับสารอาหารจากไม้ที่ไม่ผลัดใบ และต้นไม้ยังเตือนภัยให้กันอีกด้วย ถ้าช่วงไหนใกล้มีไฟป่า ต้นไม้จะผลิตสารเคมีที่จำเป็นเพื่อให้มันยืนต้นสู้ไฟได้ น่าทึ่งที่ลูกหลานของเหล่าต้นไม้สามารถยืนหยัดรอดมาได้แม้เกิดไฟป่า

ดูเหมือนว่า Avatar ภาคนี้จะสะท้อนวิธีคิดแบบไกอาอยู่เหมือนกัน ในท่ามกลางลูก ๆ ของเจคกับเนทีรีที่ได้ความกล้าจากพ่อมาเต็ม ๆ มีลูกอยู่คนหนึ่งซึ่งเป็นลูกเลี้ยง เธอเกิดจากร่างอวตารของนักวิทยาศาสตร์หญิงซึ่งตั้งครรภ์ระหว่างที่ร่างถูกแช่ในตู้ไคโรพอด การตั้งครรภ์นี้เป็นปริศนา และคีรีก็ถือกำเนิดขึ้นมาโดยมีครอบครัวซัลลีรับเป็นลูกบุญธรรม

ความน่าสนใจของตัวละครคีรีก็คือ เธอสามารถสื่อสารกับธรรมชาติได้ เธอรับรู้ถึง “ลมหายใจ” ของเอวาหรือพระแม่ธรณีของชาวนาวี นักวิทยาศาสตร์ที่เจคเรียกมาช่วยต่างบอกว่า การเชื่อมโยงกับธรรมชาติในระดับเหนือคนอื่น ๆ ของเธอเป็นโรคทางจิตแบบหนึ่งซึ่งจะทำให้เห็นภาพหลอน แต่จริง ๆ แล้วศักยภาพของคีรีที่จะเชื่อมโยงกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่อาจเปรียบเสมือนองค์ความรู้ที่ถูกทิ้งให้สาบสูญไปในโลกสมัยใหม่ของเรา นั่นคือองค์ความรู้จากเหล่าผู้นำทางจิตวิญญาณ (Shaman) หรือหมอยา

จากหนังสือ Homo Gaia มนุษย์กาญ่า เขียนโดยสรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ มีหลักฐานว่าคนสามารถสื่อสารกับพืชและสัตว์ได้ ยกตัวอย่างว่า ที่มนุษย์รู้ว่าพืชใดกินได้หรือกินไม่ได้ อาจไม่ได้มาจากการลองผิดลองถูกอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เกิดจากการที่หมอยาของเผ่าต่าง ๆ สื่อสารกับพืชได้โดยตรง การรับรู้ได้ผ่านสมาธิ (Psychic) อาจเป็นสิ่งที่มนุษย์สมัยใหม่เห็นว่าเป็นเรื่องงมงาย ทั้งที่ในอดีตมันช่วยชีวิตมนุษย์เอาไว้ นักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่าพืชมีเสียงและในโลกนี้ก็มีคนที่สามารถสื่อสารกับสัตว์ได้จริง ๆ ในระดับที่รู้ว่าสัตว์ตัวนั้นต้องการเปลี่ยนชื่อ

การเชื่อมโยงกับธรรมชาติของชาวนาวีอาจสะท้อนเรื่องราวเหล่านี้ ชาวนาวีเชื่อมโยงกับสัตว์โดยใช้อวัยวะหนึ่งที่อยู่ข้างหลัง และสำหรับชาวทะเล พวกเขาสามารถพูดคุยกับเหล่าวาฬอพยพซึ่งเปรียบเสมือนสมาชิกในครอบครัวของตัวเองได้ ชาวนาวีทุกคนต้องเข้าพิธีเป็นหนึ่งเดียวกับเอวา ไม่ว่าจะเป็นชาวบกหรือชาวทะเล และในเอวานี้เองที่พวกเขาค้นพบทุกสิ่ง ทุกพลังงานเป็นเพียงการยืมใช้และไม่เคยสูญหายไป บรรพบุรุษและผู้วายชนม์ต่างสถิตอยู่ในเอวาและพวกเขาไม่เคยแยกจากกันจริง ๆ พวกเขายังคงเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ดำรงอยู่ในทุกที่ที่คนที่มีชีวิตเยื้องย่างไป

เราจะกลับไปพูดถึงการที่พระแม่ธรณีถูกกระทำกันอีกสักเล็กน้อย ในเรื่องนี้ดูเหมือนตัวละครที่เป็นตัวร้ายจะมาจากขั้วที่เป็นเพศชาย หรืออารยธรรม รวมทั้งเทคโนโลยี และเขากระทำต่อป่าซึ่งเป็นเพศหญิง แต่จุดที่น่าสังเกตก็คือ คนที่เป็นศูนย์กลางของเรื่องก็คือเจค ซึ่งเป็นมนุษย์ผู้ชายที่ย้ายฝั่งไปอยู่กับชาวนาวี หนังเริ่มเรื่องมาด้วยการบอกว่า “พ่อคือผู้ที่ปกป้อง” และหลังเกิดภัยคุกคามจากชาวฟ้า เจคเองก็ยังคงยึดติดกับการทำกับครอบครัวเหมือนเป็นกองทหาร คนที่ดูเหมือนจะเข้าใจอะไร ๆ ดีกว่าก็คือเนทีรี เธอรู้ว่าตามวิถีของชาวนาวี ความกลัวไม่ได้นำไปสู่การแก้ปัญหา แต่สุดท้ายเธอก็เลือกเชื่อเจคและอพยพไป ปัญหาของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่คุณภาพของการตัดสินใจ แต่อยู่ที่เสียงของใครดังกว่า และเสียงนั้นยังคงเป็นเสียงของผู้ชายผิวขาว (ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีฟ้าแล้ว)

ในความเป็นเจค มันมีความ Mansplaining อยู่เยอะพอสมควร เนทีรีแสดงออกทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมาซึ่งนั่นอาจจะดีต่อสุขภาพจิตมากกว่าด้วยซ้ำ ชาวนาวีเองก็แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา แต่ทั้งเรื่อง ดูเหมือนความกลัวของเจคจะเป็นสิ่งชี้นำทุกคน เขาบอกลูก ๆ และเนทีรีว่าต้องทำยังไงและลามไปถึงการบอกชาวนาวีทะเลว่าต้องทำยังไง มองในแง่หนึ่ง อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจว่าคนจากท้องฟ้าคิดอะไรอยู่ พวกมนุษย์มีความซับซ้อนและไม่ตรงไปตรงมา แต่หนังก็เหลือช่องไว้ให้คิดเหมือนกันว่า ถ้าชาวนาวีโต้ตอบอย่างตรงไปตรงมาจะเกิดอะไรขึ้น

อารมณ์โกรธของผู้หญิงดูเหมือนจะถูกทำให้เป็นวัตถุไร้สาระและไร้แก่นสาร ดังที่ผู้พันควอริทช์กล่าวหาว่าเนทีรีเป็นบ้า ในขณะที่เมื่อผู้ชายโกรธ มันดูจะทำให้เขาสมชาย สุดท้ายหนังจึงยังกลายเป็นการฉะระหว่างผู้ชายแบบแมน ๆ ที่มีเพียงมีดและมือเปล่า ความเสียใจของเนทีรีกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอไม่เข้มแข็ง และกลายเป็นเจคอีกเหมือนเดิมที่ต้องมาบอกเนทีรีว่าเธอต้องทำยังไง

น่าเสียดายที่บทของคิรีซึ่งดูน่าสนใจมากที่สุด กลับถูกเผยออกเพียงเล็กน้อย แต่ก็อาจเป็นส่วนที่สามารถสร้างต่อเป็นภาคหน้าได้ สิ่งที่น่าเสียดายจริง ๆ ก็คือ เหล่าผู้หญิงในเรื่องสู้สุดใจขาดดิ้นมาก แต่คนที่ได้รับเครดิตกลับไปยังกลายเป็นผู้ชายที่พูดปิดเรื่องว่า “พ่อคือผู้ปกป้อง” การหายไปของผู้หญิงในฐานะฉากหน้าของการแก้ปัญหาทั้งหมดสะท้อนมุมมองของผู้ชายผิวขาวที่คิดว่าตนเองต้องเป็นผู้นำอยู่เสมอ และเป็นผู้ชายผิวขาวที่ take credit จากความทุ่มเทของผู้หญิงในครอบครัว ถือว่าเป็นการทำให้ผู้หญิงกลายเป็น “ฉากหลัง (backgrounding)” หรือกลายเป็นเพียงส่วนสนับสนุนที่ไม่สลักสำคัญ ทั้งที่ผู้ชายไม่อาจดำรงอยู่ได้โดยปราศจากพวกเธอ

ความย้อนแย้งของหนังจึงอยู่ที่การนำเสนอวิธีคืนดีกับพระแม่ธรณีซึ่งเป็นหญิง แต่กลับใช้วิธีแก้ปัญหาแบบผู้ชาย และให้ตัวละครชายมีทั้งพระเดชและพระคุณต่อตัวละครหญิงทั้งหลาย น่าสนใจว่า วิธีการที่ไม่ตรงไปตรงมาในแบบของเจคนั้น สุดท้ายมันอาจไม่นำไปสู่อะไรที่ดีกว่า การที่เขามาจากส่วนของอารยธรรมนั้นอาจทำให้เข้าไม่อาจเข้าร่วมกับธรรมชาติอย่างชาวนาวี ซึ่งหนังก็ได้นำเสนอประเด็นนี้เหมือนกันว่าเจคอาจกำลังเข้าใจผิด กระนั้นวิธีนำเสนอแบบนี้ก็ทำให้เพียงขั้วของเพศแม่เป็นสิ่งสนับสนุนการเติบโตของตัวละครชายซึ่งเรียนรู้การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มากขึ้น มันเป็น journey ของผู้ชายมาตลอด และผู้หญิงในเรื่องรวมทั้งพระแม่ธรณีก็เป็นเพียงเบื้องหลังของผู้ชาย เพื่อเกื้อหนุนให้เขารู้จักตัวเองและพูดแทนคนทั้งสองเพศได้อย่างสมบูรณ์แบบก็เท่านั้น

Andor (Season 1) : เหตุแห่งการต่อต้าน

ไม่มีใครอยากเป็นแคสเซียน แอนดอร์

แคสเซียนไม่มีอะไรใกล้เคียงกับบรรดาวีรบุรษทั้งหลายในจักรวาลอันไกลโพ้นของสตาร์วอร์ส เขาเป็นผู้รอดชีวิตคนเดียวจากดาวเหมืองที่ถูกจักรวรรดิยึดครอง โตมากับพ่อแม่บุญธรรมที่เป็นหัวขโมยซากยาน ความฝันสูงสุดมีเพียงตามหาน้องสาวที่พลัดพรากให้เจอและหนีไปเสียให้พ้นหูพ้นตาเผด็จการครองกาแล็กซี่ เขาเข้าใจดีว่าตัวเองไม่มีพลังอำนาจอะไรจะเปลี่ยนสิ่งที่เป็นอยู่ และไม่มีความคิดจะสู้เพื่อใครทั้งนั้นนอกจากตัวเอง

ไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับการเป็นวีรบุรุษเลยแม้แต่น้อย

จากตัวละครกบฏนักสู้ใน Rogue One: A Star Wars Story (2016) งานเขียนบทร่วมของ Tony Gilroy กับ Chris Weitz ชีวิตของ แอนดอร์ (Diego Luna) ก่อนเข้าร่วมฝ่ายต่อต้านถูกนำมาขยายเป็น Andor ซีรีส์ 12 ตอนจบภายใต้การดูแลของกิลรอย ผู้ชมและนักวิจารณ์จำนวนมากยกให้มันเป็นเรื่องราวจากจักรวาลสตาร์วอร์สที่เข้มข้นที่สุดเรื่องหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่พูดถึงฟอร์ซหรือไลท์เซเบอร์เลยแม้แต่นิดเดียว และแคสเซียน แอนดอร์ ตัวเอกของเรื่องเป็นเพียงพาหนะที่พาเราไปสำรวจเรื่องราวของหลากชีวิตในขบวนการต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิกาแล็กติก สิ่งที่ทำให้ Andor ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นผิดหูผิดตาจากหนังและซีรีส์เรื่องอื่นๆ ในแฟรนไชส์เดียวกันไม่ใช่เรื่องราวของวีรบุรุษผู้เป็นความหวังหนึ่งเดียวของจักรวาล แต่เป็นการสะท้อนภาพกลไกแห่งการกดขี่ และการเหตุแห่งการต่อต้านสุดแรงของไพร่อวกาศใต้อำนาจที่ทำทุกวิถีทางเพื่อปิดปากพวกเขาให้เงียบสนิท 

Andor ถ่ายทอดเรื่องราวด้วยโครงสร้างคล้ายการเอาหนังสามเรื่องมาต่อกัน เรื่องแรกว่าด้วยการผจญภัยของโจรมือดีแต่ถังแตกที่พลั้งมือฆ่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (ของบริษัทเอกชนที่จักรวรรดิจ้าง) ตายในเหตุวิวาท ก่อนที่จะต้องระเห็จออกจากดาวไปกับหัวหน้าจารชนของกองกำลังกบฏ เรื่องที่สองคือเรื่องราวของกลุ่มโจรที่วางแผนบุกปล้นเงินก้อนโตจากฐานทัพทหาร เรื่องที่สามคือหนังแหกคุกแรงงานกลางทะเล และบทส่งท้ายว่าด้วยบางสิ่งที่ถูกปลุกขึ้นมาหลังจากที่ผู้คนเข้าใจถึงธรรมชาติบางอย่างของเผด็จการครองจักรวาล

ในองก์แรกของเรื่อง (ตอนที่ 1-3) นอกจากอุปกรณ์ที่ถูกขโมยมาจากฐานทัพกับฉากสำนักงาน ISB (Imperial Security Bureau) กองทัพจักรวรรดิแทบไม่ปรากฏตัวเป็นรูปเป็นร่างเลยแม้แต่น้อย อำนาจของพวกเขามาในรูปของสิ่งที่มองไม่เห็น ในบรรยากาศขมุกขมัวของดาวเฟอร์ริกซ์ที่ผู้คนทำมาค้าขายกันได้ตามปกติภายใต้การคุ้มครองของตัวแทนอำนาจ ในรูปของหลุมเหมืองขนาดใหญ่บนดาวเคนารีในความทรงจำของแคสซ่า ทุกคนใช้ชีวิตกันตามปกติเพราะพวกเขาไร้พลังเกินกว่าจะใส่ใจ ใครเล่าจะเสียสติลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจในเมื่อทุกวันมัวแต่สาละวนกับการเลี้ยงปากท้องให้อิ่ม นอนให้หลับเพื่อจะลุกขึ้นมาหากินในเช้าวันใหม่ แต่คนกระจอกอย่างแคสเซียนก็แสดงอาการขัดขืนเล็กๆ ออกมา เขาพยายามจะหนีไปเสียให้พ้น แน่นอนว่าการกระทำของเขาแทบไม่มีอะไรใกล้เคียงกับการแสดงความกล้าหาญ มันคือการดิ้นรนที่เข้าใจได้สำหรับคนธรรมดาที่ไร้พลังสถิตและดาบลำแสง อาวุธของชาวเฟร์ริกซ์ไม่มีอะไรเลยนอกจากเสียงเคาะท่อเหล็กต่อๆ กันเพื่อเป็นสัญญาณเตือนภัย หากจะมีอะไรที่ใกล้เคียงกับการ “เริ่มที่ตัวเอง” ที่พอเข้าได้มากที่สุดก็คงจะเป็นการหนีไปเสียให้พ้นนี่เอง

แต่การเอาตัวเองให้รอดอาจจะยังไม่พอ

มือล่องหนของจักรวรรดิแสดงตัวชัดเจนยิ่งขึ้นในองก์ถัดมา (ตอนที่ 4-6) บนฉากหลังของดาวอัลดานี ฐานทัพของจักรวรรดิอันเป็นเป้าหมายในการปล้นชิง สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้ปฏิบัติการอุกอาจของเวล (Faye Marsay) และพรรคพวก ก็คือการแสดงอำนาจกดขี่ที่จักรวรรดิกระทำต่อชาวพื้นเมืองด้วยการตัดตอนวัฒนธรรม เจ้าของอำนาจกระทำความรุนแรงทางอ้อมต่อผู้ที่อยู่ใต้อาณัติด้วยการลดความสำคัญของประเพณีวัฒนธรรมพื้นถิ่นลงทีละน้อย จนเมื่อถึงจุดหนึ่ง สิ่งที่เป็นศูนย์กลางของผู้คนเรือนหมื่นก็กลายเป็นการละเล่นไร้สาระของคนไม่กี่ร้อย อำนาจชนิดนี้เองที่แบ่งแยกผู้คนออกจากกัน เบียดขับพวกเขาออกจากบ้านเพื่อสูบกินทรัพยากร ทำให้พวกเขาอ่อนแอ วุ่นวายกับการเอาตัวรอดและกลับมาร่วมกันสู้ได้อีก ผู้ปกครองทำแบบนี้ได้อย่างสะดวกใจเพราะคนพวกนี้ไม่ต่างอะไรกับสิ่งกีดขวาง ไม่มีใครสำคัญทั้งนั้นในเมื่อสุดท้ายแล้วทุกคนจะถูกลืม สกีน (Ebon Moss-Bachrach) บอกกับแอนดอร์ว่านั่นแหละคือจุดที่เราจะใช้เล่นงานพวกอิมพีเรียล ส่วนเนมิก (Alex Lawther) ก็บอกเขาว่ากว่าผู้กดขี่จุดรู้ตัว การต่อต้านก็เปลี่ยนรูปแบบไปถึงไหนต่อไหนแล้ว 

ขวานมันไม่ได้จำไม้ทุกต้น ต้นไม้ต่างหากที่ไม่เคยลืม

ทันทีที่ยานขนส่งทะยานขึ้นเหนือท้องฟ้าพร้อมเงินที่ปล้นมาหนีหายไปในแสงของ The Eye ช่วงเวลาที่ผู้คนตระหนักได้ว่าพวกเขามีสิทธิเหวี่ยงขวานคืนจึงเริ่มต้น

และเมื่อเรื่องเดินทางมาถึงองก์สุดท้าย (ตอนที่ 8-10) เครื่องมือแห่งการกดขี่ก็แสดงตัวชัดเจน จักรวรรดิแสดงอำนาจไม่ยั้งมือเมื่อถูกท้าทายบนอัลดานี พวกเขาจองจำผู้คนตามใจชอบ ลงโทษคนตามอำเภอใจเพื่อแสดงอำนาจ คุกไร้ลูกกรงบนดาวนาร์คิน่าไฟว์นำเสนอวิธีบริหารอำนาจของผู้กดขี่ได้อย่างเฉียบคมและน่าตื่นตา มีเพียงชุดเครื่องแบบและการเดินไปไหนมาไหนด้วยเท้าเปล่าเท่านั้นที่ทำให้นักโทษแตกต่างจากผู้คนที่อยู่นอกเรือนจำ พวกเขานอนในห้องขังเปิดโล่ง ถูกเลี้ยงให้กินอิ่มนอนหลับเป็นเวลาเพื่อที่จะลุกขึ้นมาทำงานตามกะที่กำหนดให้ วันๆ วุ่นอยู่กับการทำงานแข่งกันเองเพื่อให้ได้รับรางวัลและเลี่ยงการถูกลงโทษ นักโทษชั้นดีจะได้รับตำแหน่งหัวหน้ากะคอยคุมนักโทษคนอื่นให้อยู่ในความสงบ ทุกคนถูกสอนให้กลัวพื้นโล่งที่มีสัญญาณไฟสีแดงซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีไฟฟ้าแรงสูงแล่นอยู่ตามพื้น เมื่อความทุกข์ทรมานไร้รูปร่างเช่นนี้แล้ว คุกก็ไม่จำเป็นต้องมีตรวนและลูกกรง ทุกที่เป็นคุกได้เท่าๆ กัน  

ฉากหนึ่งที่ดูโหดเหี้ยมเป็นพิเศษในองก์นี้ คือฉากที่เจ้าหน้าที่มีโร (Denise Gough) ทรมานบิกซ์ (Adria Arjona) ให้คายความลับด้วยการให้ฟังเสียงร้องของเอเลี่ยนที่เป็นปรปักษ์ล้มตายอย่างเจ็บปวด แม้ผู้ชมจะไม่ได้ยินเสียงที่ว่า แต่เรื่องราวความเป็นมาของเสียงที่ว่าก็ชวนให้อกสั่นขวัญแขวนไม่น้อยไปกว่าเหยื่อของการทรมาน นี่คือผลลัพธ์ของความรุนแรงจากน้ำมือผู้กดขี่ พวกเขาทรมานทุกคนไม่ได้ แต่ใช้ความหวาดกลัวเป็นเครื่องมือจองจำทุกคนได้ คีโน ลอย (Andy Serkis) เรียกมันว่าอำนาจ แต่แคสเซียนไม่เห็นด้วย 

“Power doesn’t panic.”

การแสดงอำนาจอย่างล้นเกินคืออาการตื่นตระหนก เผด็จการครองกาแล็กซี่ทำทุกอย่างที่โหดเหี้ยมเกินจินตนาการเพราะพวกเกรงว่าหากไม่ทำเช่นนั้นจะยิ่งถูกท้าทาย ความคิดบ้าบิ่นเช่นนี้เองที่ทำให้คุกนาร์คิน่าไฟว์ล่มสลาย เมื่อคีโนและเพื่อนร่วมเรือนจำคนอื่นๆ ตระหนักได้ว่ายอมตายเสียอาจจะดีกว่ายอมให้ “พวกมัน” ได้สิ่งที่ต้องการ การต่อต้านคือทางออกเดียวที่พวกเขามี ปฏิบัติการแหกคุกของแคสเซียนในครั้งนี้จึงต่างไปจากการหนีหัวซุกหัวซุนออกจากดาวเฟอร์ริกซ์ในองก์แรกโดยสิ้นเชิง

“ถ้าเราสู้ได้สักครึ่งหนึ่งของที่เราก้มหน้าก้มตาทำงานให้พวกมัน พวกเราคงกลับถึงบ้านกันไปนานแล้ว”  

ทั้งหมดนี้นำไปสู่ฉากทลายเพดานทะลุฝ้าในงานศพของมาร์วา แอนดอร์ในบทส่งท้ายของเรื่อง สตาร์วอร์สของกิลรอยนั้นรู้ตัวดีว่ากำลังพูดถึงศึกที่เอาชนะได้ยากเย็นและกินเวลามาที่สุดบนโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีอะไรที่ง่ายดาย ตั้งแต่การรวมผู้คนหลากหลายแบบ ทั้งนักสู้ที่ไม่เกี่ยงวิธีอย่างลูเธน (Stellan Skarsgard) นักการเมืองในสภาอย่างมอน มอธม่า (Genevieve O’Reilly) นักอนาธิปไตยอย่างซอว์ เกอร์ริลล่า (Forest Whitaker) ให้รบกับศัตรูที่มีร่วมกันทั้งที่ถืออุดมการณ์คนละแบบ การต่อสู้กับทรราชที่มีทั้งกำลังสมองและทรัพยากรเต็มมือเช่นพวกจักรวรรดิ ไปจนถึงการเสียสละอนาคตของตัวเองเพื่อแลกกับชีวิตที่ดีกว่าของผู้คนที่เราอาจไม่มีวันได้รู้จัก

“การที่คนตายมาบอกให้คนลุกขึ้นสู้มันอาจจะฟังดูมักง่าย มันก็คงจริง การต่อสู้มันอาจจะเปล่าประโยชน์ บางทีมันคงสายไปแล้ว แต่ถ้าฉันย้อนกลับไปได้ สิ่งที่ฉันต้องการคือฉันจะตื่นให้เร็วกว่านี้ แล้วลุกขึ้นมาสู้กับพวกห่านี่ตั้งแต่แรก” ฉากสุนทรพจน์คำสั่งเสียของมาร์วาได้ยกระดับ Andor ให้กลายเป็นมากกว่าของเล่นสำหรับคนช่างฝันอย่างที่สตาร์วอร์สเคยเป็นมา ความหวังของจักรวาลไม่ได้ขึ้นอยู่กับวีรบุรุษที่มีพลังพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ไม่มีอะไรรับประกันว่าความดีงามจะชนะ และไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เห็นดอกผลของการต่อสู้ขัดขืน ไม่ว่าคุณจะอยู่ใต้อำนาจจักรวรรดิกาแล็กติกหรือใต้ปกครองของเผด็จการเส้นศูนย์สูตร คุณก็จำเป็นต้องตื่นจากการหลับใหลไม่ต่างกัน 

ไม่มีใครต้องเป็นแคสเซียน แอนดอร์

หากมีแม้สักครั้งที่คุณอยากจะหนีให้พ้นไปจากการกดขี่ 

ถือว่าเริ่มต้นได้ดีแล้ว

Laal Singh Chaddha : พระเจ้าหรือปัจเจกเป็นผู้กำหนดกันแน่?

หลายคนได้ยินมาบ้างว่าหนังเรื่องนี้รีเมกจาก Forrest Gump (1994) อเมริกานั้นเป็นดุจทารกในด้านประวัติศาสตร์เมื่อเทียบกับประเทศที่มักถูกอ้างว่าเป็นดินแดนอู่อารยธรรมของโลก ดังนั้นการล้อพล็อตเดิมก็จะย่นย่อมาเพียงหลังแยกประเทศกับปากีสถานแล้ว

ก้อนใหญ่ๆ ของเนื้อหาคือ ด้านจิตวิญญาณ และแบ็คกราวน์ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่ที่เป็นฉากหลังการเติบโตของตัวละคร คำสอนของแม่บอกให้ “ลาล” (ผู้แม้จะมีปัญหาทางด้านสติปัญญา) เชื่อมั่นในตัวเอง ชีวิตเขาเขากำหนดได้ ซึ่งอยู่บนฐานของการเติบโตของปัจเจก ท่ามกลางคำสบประมาทและกลั่นแกล้งรอบตัวที่ราวกับว่า มันคือโครงสร้างที่กดทับเขา

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา อินเดียตกอยู่ภายใต้ความรุนแรงจากความขัดแย้งหลายระลอก ตั้งแต่กับเจ้าอาณานิคมอังกฤษ กับดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่อิทธิพลของอิสลามคุมอยู่ สุดท้ายก็ต้องแยกประเทศออกมาเป็นปากีสถาน แต่จุดเริ่มของเรื่องสัมพันธ์กับความขัดแย้งในรัฐปัญจาบตอนเหนือของประเทศ การปราบปรามที่วิหารทองคำอมฤตสระของชาวซิกข์ ความรุนแรงใกล้ตัวของลาล แม่ของเขาพยายามอธิบายว่านั่นคือ “การระบาดของไข้มาลาเรีย” ตั้งแต่ครั้งนั้น รหัสมาลาเรียของแม่จะถูกใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ลาลต้องไปเสี่ยงอันตราย

จากการปราบปรามนำไปสู่การสังหารนายกรัฐมนตรี อินทิรา คานธี ในปี 1984 เพื่อแก้แค้น เพลิงแค้นยิ่งต่อแค้นไปอีกทำให้ชาวซิกข์ในเดลีถูกไล่ล่าและสังหารจนกลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์อันแสนเศร้าของชาวซิกข์ ครั้งนั้นลาลกับแม่อยู่ในเหตุการณ์ เพื่อเอาตัวรอด แม่ของเขาจำต้องใช้เศษกระจกตัดผมลาลเพื่อทำลายอัตลักษณ์ความเป็นซิกข์ ในอีกด้านมันเป็นเสมือนสัญลักษณ์ว่า เขาปฏิเสธถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าที่อยู่ภายนอกตัวไปด้วย

อันที่จริงแล้ว ยังมี “รูปา” เพื่อนหญิงคนสนิทอีกคนที่เป็นดั่งแม่ของเขา เธอเข้ามามีอิทธิพลตั้งแต่เขาออกสู่โลกภายนอกในพื้นที่ของโรงเรียน เธอเป็นทั้งผู้ปกป้องและให้กำลังใจเขา การออกวิ่งของเขาแต่ละครั้งรูปาจะต้องเป็นสั่งคนบอก แต่รูปาก็มีวันพลัดพรากจากเขาไป เมื่อต้องแยกกันเติบโตก็จะมาบรรจบกันอีกครั้ง ทั้งสองมีชีวิตอยู่เพื่อพบและพลัดพรากกันอยู่หลายช่วง

ทั้งคู่ถูกส่งไปเรียนมหาลัยที่เดลี ปี 1990 ช่วงนั้นมีการประท้วงรัฐบาลที่ออกกฎหมายกีดกันตำแหน่งราชการให้กับคนบางวรรณะ แม่ของเขาโทรมาจากบ้านว่าห้ามออกจากห้องไปไหน เพราะไข้มาลาเรียกำลังระบาด

ความรุนแรงยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการบุกทำลายมัสยิดที่อโยธยาในปี 1992 ความขัดแย้งของฮินดูและมุสลิมบานปลายจนเกิดการประท้วงกันที่บอมเบย์และส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ และโค้ดไข้มาลาเรียก็ทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง

หนังวางให้ลาลไปเป็นทหารและเข้ารบในบริเวณชายแดนเพื่อนบ้านที่ไม่ออกชื่อในปี 1999 ซึ่งเพื่อนบ้านที่เป็นศัตรูกันก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ นั่นคือ เพื่อนบ้านทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ในกองทัพเขาได้เพื่อนใหม่ชื่อ “บาลา” ผู้มีประวัติครอบครัวยืนยาวในฐานะช่างตัดเย็บ ขณะที่ตระกูลของลาลคือ ทหารซิกข์ผู้เลื่องชื่อว่าแกร่งกล้า ทุกคนที่ผ่านมาตายในสนามรบอย่างน่าภาคภูมิใจ การสืบย้อนไปถึงคนรุ่นก่อนได้ตอกย้ำให้เห็นถึงความมีสกุลรุนชาติของทั้งสองที่ล้วนมีประวัติรับใช้ผู้มีอำนาจในแต่ละยุคสมัย 

ในศึกครั้งนี้แม้ว่า เขาจะต้องเสียบาลาที่เคยหวังว่าจะสร้างธุรกิจตัดชุดชั้นในชายขายด้วยกัน แต่เขากลับช่วยชีวิตศัตรูที่เป็นมุสลิมมาอย่างไม่ตั้งใจ ชื่อของชายคนนั้นคือ “โมฮัมหมัด” ซึ่งส่วนนี้ถือว่าผู้เขียนบทได้ตีความต่างจากต้นฉบับด้วยความจงใจ เพราะได้เปลี่ยนผู้หมวดปากร้ายในกองรบเดียวกัน ให้เป็นศัตรูที่จะกลายเป็นผู้มีส่วนสำคัญในชีวิต

โมฮัมหมัดได้เพิ่มมิติความซับซ้อนของเรื่อง ทำให้อินเดียเด่นชัดขึ้นมาผ่านการเล่าเรื่องแบบคู่ตรงข้าม (ที่ไม่ระบุชื่อประเทศ) นั่นคือ อินเดียผู้รักสงบ กับประเทศอิสลามผู้บุกรุก อินเดียดินแดนแห่งเสรีภาพ กับประเทศเพื่อนบ้านผู้ไร้เสรีภาพ อินเดียในฐานะประเทศแห่งการให้โอกาสในชีวิตได้มั่งคั่ง กับประเทศเพื่อนบ้านที่เรียกร้องให้คุณเสียสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์

หนังชี้นำว่า โมฮัมหมัดถูกเปลี่ยนความคิดด้วยการกระทำของลาล และเอ่ยปากเองว่าที่ผ่านมาตนนั้นถูก “ล้างสมอง” ด้วยประเทศของเขา บทสนทนานี้ราวกับเป็นการพูดออกจากซีรีส์เกาหลีของประชากรเกาหลีเหนือต่อเกาหลีใต้อย่างไรชอบกล กระทั่งกับศาสนาและพระเจ้าที่เขานับถือคนละองค์กับลาล เขาก็เริ่มมีคำถามกับตัวเอง เมื่อเห็นลาลกล่าวว่าพระเจ้าอยู่ข้างในตัวของเรา และลาลก็แสดงให้เห็นแล้วว่าความดีงามที่สะท้อนออกมาจากตัวเขาเองนั้นช่างต่างกันลิบลับกับพระเจ้าในรูปแบบอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม การเชื่อในพระเจ้าของโมฮัมหมัดจะส่งอิทธิพลกลับมาที่ลาลในภายหลัง โมฮัมหมัดกลายเป็นเพื่อนคู่ใจที่ช่วยสร้างและขยายธุรกิจของเขาให้ใหญ่โตในนาม “รูปา คอร์เปอเรชั่น” สานต่อจากความฝันของบาลา

แม้ว่าลาลจะไม่ได้แสดงตัวว่ายึดติดอะไรกับพระเจ้า แต่สิ่งยึดเหนี่ยวของเขากลับเป็นเพื่อนคนแรก และต่อมาได้กลายเป็นคู่ชีวิตของเขาในที่สุดนั่นก็คือ รูปา ใช่แล้ว รูปาเดียวกับชื่อกิจการชุดชั้นในชายของเขานั่นแหละ

รูปาเป็นเพื่อนที่อยู่เคียงข้างเขา ปกป้องและให้กำลังใจตั้งแต่เล็ก ๆ ลาลเอ่ยปากขอแต่งงานทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้ประสีประสากับชีวิตครอบครัวอะไร ซึ่งรูปาก็ทำเฉยมาโดยตลอด แต่พระเจ้าองค์น้อย ๆ ของลาลอย่างรูปากลับไม่ได้มีชีวิตที่ดี รูปามีปมที่บ้านแตกสาแหรกขาดและยากจน อยู่ในครอบครัวที่พ่อใช้ความรุนแรงกับแม่ รูปาเป็นภาพสะท้อนของคนอินเดียที่ทุกข์ยาก แม้จะไม่ถึงกับแร้นแค้น แต่พื้นเพเช่นนี้ทำให้เธอใฝ่ฝันถึงอนาคตที่ดีกว่า แน่นอนว่าเป็นอนาคตที่ไม่ได้มีลาลอยู่ในนั้น มีอยู่วันหนึ่งพ่อซ้อมแม่เพื่อไถเงิน จนแม่ตาย เธอจึงย้ายมาอยู่กับยายของเธอซึ่งให้บังเอิญว่าเป็นคนงานในบ้านของลาล ทำให้ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น 

ลาลกับรูปาถูกส่งไปเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ยิ่งรูปาเป็นสาวเธอก็ยิ่งห่างลาลออกไป เธอใช้ความเป็นผู้หญิง ดวงหน้าและเรือนร่างเป็นบันไดเพื่อไต่ระดับทางสังคมผ่านการมีแฟนเป็นคนมีเงิน การประกวดนางงาม ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่เธอหวังจะเป็นดาราในประเทศที่วงการบันเทิงเป็นหนทางที่ดีที่สุดหนทางหนึ่ง 

เมื่อสงครามจบ ลาลได้เหรียญกล้าหาญและปลดประจำการ เขาไปเจอรูปาอย่างบังเอิญ เขาพบเธออยู่กับคนร่ำรวยในวงการบันเทิง แต่อันที่จริงรูปาเป็นได้เพียงแค่เป็นกึ่งเมียกึ่งคนรับใช้ของผู้มีอิทธิพลในวงการบันเทิงเท่านั้น เส้นทางของทั้งสองไม่น่าจะบรรจบกันได้ง่าย ๆ แต่นั่นแหละรูปาเป็นเหมือนรูปปั้นพระเจ้าที่สลักอยู่ในใจของเขา การตั้งชื่อแบรนด์สินค้าเขาเลือกใช้ชื่อ “รูปา” 

หลังจากแม่ของลาลตายลง รูปาแวะมาหาเขาที่บ้าน ทั้งคู่ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข แต่แล้วเช้าวันหนึ่งเธอก็หายไปพร้อมกับการคุมตัวของตำรวจที่เรามารู้ภายหลังว่าเธอเกี่ยวพันกับคดีผู้มีอิทธิพลที่เธอเคยใช้ชีวิตร่วมด้วย การพลัดพรากกับรูปาอีกครั้งทำให้ลาลตัดสินใจออกวิ่งไปเป็นเวลากว่า 4 ปี ระหว่างนั้นเขาเกิดความคิดและคำถามว่าจะเอาอย่างไรดีกับการเชื่อในตัวเองแบบที่แม่เขาพร่ำสอน กับเชื่อในการกำหนดของพระเจ้า ซึ่งเป็นคำสอนที่ออกมาจากปากโมฮัมหมัด

การตัดสินใจกลับมาโพกหัวแบบชาวซิกข์อีกครั้งของเขา สัมพันธ์กับ 2 มิตินั่นคือ การกลับไปหาพระเจ้าและการย้อนไปสู่รากเหง้า เมื่อเขาจ้องไปที่รูปบรรพบุรุษและเห็นเงาของเขาซ้อนทับกับใบหน้าผู้วายชนม์ เขาตกลงใจว่าจะเปลี่ยนไปสู่รูปลักษณ์ใหม่

หนังเริ่มจากบทสนทนากับผู้โดยสารบนรถไฟ พาหนะเดินทางแห่งชาติของคนอินเดีย ผู้รับฟังบางคนหาว่าเขาโม้ว่าได้ไปสัมพันธ์กับเหตุการณ์และผ้คนสำคัญต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ บางคนน้ำตาซึมไปกับเรื่องของเขา ลาลลงที่สถานีจัณฑิการ์เพื่อไปพบกับรูปา และที่นั่นเขาพบว่า เธออยู่กับลูกซึ่งเป็นผลผลิตของเขา การโพกหัว การเดินทาง การค้นพบลูก และการแต่งงาน ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในชีวิต น่าเสียดายที่รูปาอายุไม่ยืน

หากหนังต้นแบบอย่าง Forrest Gump จะถือเป็นจุดพีกจุดหนึ่งของหนังฮอลลีวู้ด หนังเรื่องนี้นอกจากจะทำรายได้แซง ‘คังคุไบ’ ในตลาดนานาชาติแล้ว ยังถือได้ว่าเป็นการประกาศความเป็นอินเดียอย่างที่พวกเขามั่นใจ ในวันที่ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และการเมืองค่อย ๆ กลับมามีอำนาจต่อรองในเวทีโลกมากขึ้น ไม่ใช่ยักษ์ป่วยแบบที่เคยเป็น บนความมั่นใจเช่นนี้ทำให้ลักษณะชาตินิยมในหนังได้วางตัวอย่างกระอักอ่วนบนความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งชังกับเพื่อนบ้านอย่างปากีสถานที่ปัจจุบันยังไม่คลี่คลาย ต่างจากต้นฉบับที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและเวียดนามได้ผ่อนคลายลงมากแล้ว หนังเรื่องนี้จึงมิใช่ความป๊อปแบบอินเดียที่งอกเงยมาจากความบันเทิงแบบฮอลลีวู้ดอย่างเดียว แต่อาจตอกลิ่มความตึงเครียดชนิดใหม่บนชายแดนขึ้นมาอย่างที่พวกเขาอาจไม่ได้ตั้งใจก็เป็นได้ 

Midnight Club : ลมหายใจของภูตผี

ใครต่อใครก็พูดกันว่าชีวิตนั้นสวยงามเปี่ยมความหวัง เพียงเราไม่ย่อท้อ ทุกสิ่งล้วนมีความเป็นไปได้ไม่รู้จบ ใครที่ว่านั้นน่าจะต้องนับรวมอีลองก้า นักเรียนมัธยมอนาคตไกลเอาไว้อีกหนึ่งคน หากแต่อีลองก้าเองอาจจะต้องคิดดูใหม่ เมื่อเธอตรวจพบมะเร็งชนิดลุกลามเร็วและการรักษาตลอด 9 เดือนไม่ประสบผล เธอบอกลาพ่อบุญธรรมและขอย้ายตัวเองไปสู่บ้านพักสำหรับวัยรุ่นผู้ป่วยระยะสุดท้าย ไบรท์คลิฟฟ์เป็นคฤหาสน์เก่าหลังโตที่ที่แฝงกลิ่นแปลกแปร่งไว้ในอากาศ วัยรุ่นที่นั่นทุกคนล้วนลัดขั้นตอนการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปสู่การเป็นคนเจ็บไข้ใกล้ตาย

สำหรับผู้พำนักที่ไบรท์คลิฟฟ์ ความหวังเป็นมุกตลกร้ายหรืออาจถึงขั้นเป็นสิ่งหยาบคาย การเข้ากลุ่มบำบัดเป็นกิจกรรมไร้แก่นสารที่มักจบลงด้วยการทุ่มเถียงด่าทอ สิ่งเดียวที่เยียยวยาหัวใจของพวกเขาให้พ้นทุกวันไปได้คือการได้ฟังเรื่องผีดี ๆ ในชมรมลับตอนเที่ยงคืนก่อนแยกย้ายกันไปนอน และคำปฏิญาณต่อเพื่อน ๆ หัวอกเดียวกันว่าถ้าใครตายก่อน ต้องกลับมาบอกทุกคนว่าผีมีจริง

ในสภาวะอันพิสดารเช่นนี้ ผีต่างหากที่คอยปลอบประโลมใจ

ผู้เขียนเห็นว่าออกจะเป็นเรื่องน่าเอ็นดูอยู่สักหน่อยที่ Netflix ใช้คำว่า “Part of The Flanaverse Collection” ในการโปรโมตซีรีส์เรื่องใหม่ของ ไมค์ ฟลานาแกน (Mike Flanagan) เราจึงไม่ต้องเดาและไม่ต้องลุ้นเลยว่าผลงานใหม่ของฟลานาแกนจะมาในทิศทางไหน นี่คือเรื่องราวของความทุกข์ตรมที่หลอนหลอกเสียยิ่งกว่าผี อิทธิฤทธิ์พิสดารต่าง ๆ เป็นเพียงเครื่องปรุงตัดรสขมของความเศร้าโศก เมื่อจั่วหัวมาขนาดนี้เสียแล้ว ความตื่นเต้นตื่นตาที่มีต่อ Midnight Club จึงพลอยจืดจางลงไป เหมือนอย่างที่ The Haunting of Hill House และ Midnight Mass เคยทำเอาไว้ นอกจากนี้ สิ่งที่ Midnight Club ดูจะมีมากผิดหูผิดตาจากผลงานก่อน ๆ ของฟลานาแกนเห็นจะเป็นรสอมหวานและแสงสว่างในเรื่องราว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า “เรื่องเศร้าที่มีผี” ในคราวนี้จะไม่เหลือแง่มุมที่น่าสนใจอันว่าด้วยชีวิตที่อยู่ห่างจากความตายเพียงไม่กี่ก้าวให้เราได้เอาไปใคร่ครวญต่อ

กลับกัน เรื่องผีจากปากของวัยรุ่นใกล้ตายนั้นมีฤทธิ์เกาะกุมจิตใจอย่างร้ายกาจ

เรื่องราวของชมรมเที่ยงคืนถูกแบ่งเป็นสองส่วนออกจากกันอย่างชัดเจน ส่วนแรกคือปริศนาของบ้านไบรท์คลิฟฟ์ที่ชักนำอีลองก้า (Iman Bronson) มาที่นี่ เรื่องราวของหญิงสาวอดีตผู้พำนักที่หายขาดจากมะเร็งและกลับออกไปสู่โลกราวกับไม่เคยประสบโรคร้าย ปริศนาอันอาจจะเกี่ยวพันกับลัทธิประหลาดที่เชื่อในพลังแห่งการเยียวยา อีกส่วนเป็นเรื่องเล่าของชมรมเที่ยงคืน เรื่องราวเหนือธรรมชาติที่ห่มห่อความในใจของผู้พำนักแต่ละคนเอาไว้ แม้ทั้งสองเส้นเรื่องจะไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่แกนกลางของเรื่องก็เป็นสิ่งเดียวกัน นั่นคือตัวตนที่แท้จริงของผี และอิทธิพลของมันที่กระทำต่อคนเป็น

ผีในที่นี้ไม่ใช่เจตภูตหรือร่างวิญญาณแลบลิ้นปลิ้นตา ผีของ Midnight Club คือเรื่องเล่า เรื่องราวพิสดารที่ห่างไกลชีวิตจริงจนเหมือนจะจับต้องไม่ได้ แต่ก็วนเวียนอยู่ในโลกของผู้ฟังไม่ไปไหน สมาชิกชมรมเที่ยงคืนทุกคนอาจมีวิธีรับมือกับความตายที่กำลังจะมาถึงแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่พวกเขาทำเหมือน ๆ กันคือส่งมอบเรื่องเล่าของตัวเองให้กับเพื่อน ๆ ที่เหลืออยู่ เรื่องเล่ากลายเป็นสิ่งที่มีอายุยืนยาวกว่าตัวเจ้าของ เป็นคราบในความทรงจำของคนที่ยังเหลืออยู่ ไม่มีใครยึดถือคำมั่นเรื่องการติดต่อกลับมาจากโลกหลังความตายเป็นจริงเป็นจังเท่ากับการแอบออกมาเล่าเรื่องลี้ลับสนุก ๆ ในทุก ๆ คืน พวกเขาล้วนปรารถนาการจดจำ ต้องการให้เรื่องของพวกเขาเป็นผีที่น่าประทับใจอยู่เคียงข้างผองเพื่อนไปจนถึงวันสุดท้าย และให้ผีช่วยปลดเปลื้องสิ่งที่ค้างคาใจ

เราอาจใช้แนวคิดเดียวกันนี้อธิบายความนิยมของการเล่าเรื่องผีในสื่ออื่น อย่างเรื่องผีทั้งหลายในรายการวิทยุ (หรือจะให้ถูกต้องกว่านั้นคือ สตรีมมิ่ง ยูทูบ พอดแคสต์) ทั้งผู้เล่าและผู้ฟังไม่ได้อยากได้เรื่องราวสั่นประสาทเท่ากับเรื่องราวที่มีลีลาน่าประทับใจ ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว นักเล่าเรื่องทุกคนใช้เรื่องเล่าของตัวเองในการถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ภายในใจ และปล่อยให้ผีของพวกเขาส่งอิทธิพลต่อผู้ฟัง ยิ่งเรื่องราวน่าประทับใจเท่าไร ผีตนนั้นก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้น จำนวนคนที่เต็มใจจะมาถูก “หลอก” ก็ยิ่งเพิ่มพูน

ผีสองตัวที่หลอกหลอนผู้เขียนหนักเป็นพิเศษคือ เรื่องเล่าของนัตสึกิ (Aya Furukawa) ในตอน Road to Nowhere และเรื่องเล่าของสเปนเซอร์ (William Chris Sumpter) ในตอน The Eternal Enemy เรื่องแรกว่าด้วยเด็กสาวคนหนึ่งที่ขับรถหนีออกจากบ้านและแวะรับนักโบกรถสองคน ก่อนจะเดินทางไปบนเส้นทางปริศนาที่ดูคล้ายจะยืดยาวไม่มีสิ้นสุด เรื่องราวของนัตสึกิสะท้อนถึงสภาวะจิตใจของผู้ที่เผชิญกับภาวะซึมเศร้าว่ามันเหมือนกับการต่อสู้ในจิตใจว่าจะทนขับรถหนีไปจนกว่าจะพ้นจากทุกข์โศกเบื้องหลัง หรือตัดสินใจหยุดการเดินทางนั้นเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อ เป็นบททดสอบที่เหนื่อยล้าแสนสาหัสที่ไม่อาจตัดสินได้เลยว่าทางเลือกไหนคือทางที่เหมาะที่ควร และเมื่อเด็กสาวตัดสินใจเปิดประตูก้าวลงจากรถ ก็พบว่าชีวิตต่างหากคือถนนปริศนาที่มองไม่เห็นปลายทาง เรื่องราวนี้เลือกคนฟัง และคนที่นัตสึกิเลือกก็คืออาเมช (Sauriyan Sapkota) เด็กชายที่เชื่อว่าคนใกล้ตายอย่างเขาไม่สมควรมีความรัก เพราะปลายทางอันแสนเจ็บปวดจะมาถึงในเร็ววัน เธอเล่ามันออกมาเพื่อจะบอกว่าเธอเข้าใจความรู้สึกนี้ดี แต่ปลายทางของถนนปริศนาที่เรียกว่าชีวิตอาจไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว การสลักบางอย่างลงในความทรงจำของผู้คนที่พวกเขาห่วงใยดูน่าจะสำคัญกว่า

ส่วนเรื่อง “ศัตรูตลอดกาล” ของสเปนเซอร์เล่าถึงคู่รักนักศึกษาชายที่บังเอิญพบกับเครื่องอัด VHS ที่บันทึกเหตุการณ์จากอนาคต เหตุการณ์ประหลาดชักนำทั้งคู่ให้ไปอยู่ท่ามกลางสงครามข้ามเวลาระหว่างนักวิทยาศาสตร์ใจสลายกับหุ่นยนต์ที่มีข้อบกพร่องร้ายแรง สเปนเซอร์เล่าเรื่องราวนี้หลังจากที่เขาเผชิญหน้ากับแม่ที่ปฏิเสธจะพบหน้าเขา นับตั้งแต่ล่วงรู้ว่าลูกชายเป็นเกย์และติดโรคร้าย เรื่องเล่าข้ามเวลาของสเปนเซอร์ไปไกลกว่าการปลอบประโลมวัยรุ่น LGBTQ อย่างอ่อนโยน มันพูดถึงความรักที่มีต่อตัวเองอันเป็นสากล ไม่มีใครเกิดมาเป็นสิ่งชำรุด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะถูกปฏิเสธจากค่านิยมหรือมีอันต้องเข้าใกล้ความตายก่อนวัยอุันควรก็ตาม ทั้งสองเรื่องที่ยกตัวอย่างมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองพลังของเรื่องเล่าที่ฟลานาแกนและ Leah Fong ตั้งใจจะส่งมันผ่านมาทางตัวละครวัยรุ่นใกล้ตายของพวกเขา

ทว่าตัวตนของ “ผี” ยังมีอิทธิฤทธิ์มากกว่านั้น ในเรื่องราวของลัทธิพารากอนและตำนานเด็กสาวที่หายจากโรคมะเร็ง ความเชื่อที่ปิดหูบังตาเป็นผีที่ร้ายที่สุด ทรงอิทธิพลที่สุด มันชักจูงให้อีลองก้ากับพันธมิตรของเธอลงมือกระทำการที่โหดร้ายเหลือเชื่อ เพื่อผลลัพธ์ที่สูญเปล่าอย่างน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่า คงไม่ผิดนักหากจะพูดว่าผีตัวเดียวกันนี่เองที่ทำให้ผู้คนหลงเชื่อทฤษฎีสมคบคิดในโลกจริงอย่าง Q-Anon หรือบรรดาบัญชีผีที่คอยกรอกข่าวปลอมลงในสื่อสังคมออนไลน์ “ผีไอโอ” หลอกหลอนเหยื่อของมันด้วยความหวังปลอม ๆ กระตุ้นให้พวกเขาลุกขึ้นมาสละบางอย่างเพื่อนายของผี และละเลยคุณค่าของมนุษย์เป็น ๆ ที่ยังมีลมหายใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ ปลายทางของเรื่องคือบทเรียนสำคัญของอีลองก้าในฐานที่เธอถูกผีบังตาจนละเลยการเตรียมใจของเพื่อนคนอื่น ๆ ในบ้านไบรท์คลิฟฟ์

จริงอยู่ที่การจะแยกผีดีกับผีร้ายในโลกคนเป็นของเรานั้น ไม่เคยเรียบง่ายเหมือนกับเรื่องเล่าทั้งหลายในคฤหาสน์โบราณของอีลองก้าและผองเพื่อน และแม้ว่าผู้เขียนจะไม่ได้ประทับใจ Midnight Club ไปกว่าผลงานอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ของฟลานาแกน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คืออีกครั้งที่เขาใช้เรื่องราวของความตายถ่ายทอดความหมายของการมีชีวิตได้อย่างอ่อนโยนที่สุด เมื่อสุดท้ายแล้วการติดต่อกลับมาจากโลกหลังความตายอาจไม่สำคัญเท่ากับความทรงจำที่ผู้จากไปทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง เท่ากับการให้อภัยตัวเองก่อนวาระสุดท้ายจะมาถึง เท่ากับสายสัมพันธ์ที่คนเป็นและคนตายมีต่อกัน

นั่นคือลมหายใจของภูตผี

คือเลือดเนื้อของผู้ที่ยังอยู่ แต่ไม่ปรากฏ ณ ที่แห่งนี้

Holy Spider : คนดีในเมืองสีเทา

หมายเหตุ : บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์ 

คุณคิดว่าอะไรคือนิยามของ “คนดี” คะ?

คนดีอาจเป็นคนที่ไม่เคยทำผิด เป็นคนที่ไม่ทำสิ่งแย่ ๆ หรือเป็นคนที่เลือกสิ่งที่ถูกเสมอ

ปัญหาคือไอ้คำว่า “ทำผิด” หรือ “สิ่งที่ถูก” เป็นสิ่งที่นิยามยากมาก และหลายครั้งความ “เบลอ ๆ” ของสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดวิกฤติทางศีลธรรม ไม่ว่าจะเป็นของตัวบุคคลหรือของสังคมโดยรวม อะไรกันแน่คือ “ความดี”

เรื่องราวของหนัง Holy Spider คือตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นอะไรแบบนั้น เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อหญิงโสเภณีจำนวนหนึ่งถูกฆาตกรรมอย่างเป็นปริศนาในเมืองมัชฮัด ประเทศอิหร่าน ตำรวจไม่สามารถจับฆาตกรได้และยังทำเหมือนเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดูเหมือนในมุมหนึ่งพวกเขาจะดีใจด้วยซ้ำที่ฆาตกรมาทำความสะอาดถนนของเมืองนี้ให้ปราศจากราคี

หนังตัดมายังชีวิตของ ซาอีด ชายวัยกลางคนที่ทำอาชีพก่อสร้าง เขาเชื่อในพระเจ้าอย่างมากและมีปณิธานที่อยากเป็นฮีโร่ เขารู้สึกว่าชีวิตหลังปลดประจำการจากสงครามนั้นช่างจืดชืดและฝันอยากทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ วันหนึ่งซาอีดรับรู้ถึงสัญญาณจากพระเจ้า สั่งให้เขาลักพาตัวโสเภณีและฆาตกรรมพวกเธอเพราะเชื่อว่าเป็นการทำสิ่งที่ถูก ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วเขาคือ “ฆาตกรแมงมุม” และเขาก็ยังใช้ชีวิตกับลูกชาย ลูกสาว และภรรยาตามปกติ

อีกด้านหนึ่ง ราฮิมิ นักข่าวสาวที่ติดตามเรื่องนี้ก็พยายามทุกวิถีทางที่จะหาฆาตกรเพราะเธอรู้สึกร่วมกับผู้หญิงเหล่านั้นได้ การเป็นนักข่าวหญิงในวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ช่างเป็นสิ่งที่ยากเย็น เธอไม่สามารถไปสืบคดีได้ด้วยตัวคนเดียวและต้องมีผู้ชายไปด้วยเสมอ ราฮิมิมีแรงผลักอยู่ลึก ๆ ที่จะทำให้สังคมนี้เท่าเทียมกันมากขึ้นเพราะเธอเองก็เคยถูกกระทำมาก่อน

หนังเรื่องนี้อาจเป็นหนังแนวตามสืบหาฆาตกรธรรมดา หากมันไม่ได้แฝงแง่มุมที่ดู “ไร้เหตุผล (absurd)” ของสังคมอิหร่านเอาไว้ คำว่า “ยุติธรรม” ดูจะเป็นสิ่งที่ดิ้นได้ ขึ้นกับว่าคนที่พูดมันออกมาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย  สำหรับซาอิด การที่หญิงโสเภณีหรือหญิงชั่วเหล่านั้นถูกลงโทษดูจะกลายเป็นสิ่งที่ยุติธรรมสำหรับพวกเธอแล้ว  และสังคมรอบ ๆ ตัวเขาที่นำโดยผู้ชายก็ขยายความคิดแบบนั้นของเขาออกไป ภาพของม็อบที่ออกมาเรียกร้องให้ปล่อยตัวซาอีดนั้น ในมุมหนึ่งมันแสดงความอัปลักษณ์บิดเบี้ยว (Grotesque) ของสังคมที่ขาดความเท่าเทียม และซ้ำร้าย คนที่ออกมาเรียกร้องกลางถนนกลับไม่ใช่แค่ผู้ชาย แต่ยังมีผู้หญิงและเด็กด้วย

สิ่งที่น่าเจ็บช้ำที่สุดก็คือ ภรรยาของซาอีดเองกลับเห็นดีเห็นงามกับการกระทำของสามี ทั้งที่เธอเองก็เป็นผู้หญิง  สิ่งนี้สะท้อนการกดขี่อย่างเป็นระบบที่ผลของมันทำให้ผู้ถูกกดขี่หันไปกดขี่กันเองอีกที เธอพูดออกมาเต็มปากว่าสามีไม่ได้ทำอะไรผิดและพวก “ผู้หญิงต่ำ ๆ” เหล่านั้นสมควรถูกฆ่าตายแล้ว

การกดขี่ผู้หญิงอย่างเป็นระบบ ในแง่หนึ่งมันทำให้ผู้หญิงไม่ได้เป็นเจ้าของเพศวิถี (Sexuality) ของตัวเอง ผู้หญิงที่ดีคือผู้หญิงที่ไม่แสดงออกทางเพศ และเพศของเธอควรถูกผูกโยงไว้กับสามีในฐานะเมียและแม่เท่านั้น  หากมีผู้หญิงคนไหนแสดงออกว่าเป็นเจ้าของเพศวิถี ซึ่งในกรณีของหนังเรื่องนี้คือการแสดงออกของเหล่าโสเภณี หญิงเหล่านั้นจะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงชั่ว ดังที่เราได้เห็นครอบครัวของโสเภณีเหล่านั้นอับอายและลังเลที่จะรับเงินยอมความคดีนี้ เพราะไม่อยากให้คนพูดถึงลูกสาวของพวกเขามากเกินไป แม่ของโสเภณีคนหนึ่งถึงกับปฏิเสธว่าในบ้านของเธอไม่เคยมีลูกสาวเสียด้วยซ้ำ

การดิ้นรนของราฮิมิที่จะปลดแอกตนเองออกจากระบบกดขี่ทางเพศที่เข้มข้นในวงการของเธอนั้น เริ่มจากการที่เธอย้ายงานจากที่เก่าที่ซึ่งเธอถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา (ซึ่งหากเธอไม่ยอม นั่นหมายถึงการเสียโอกาสทั้งหมดด้านการงาน) เมื่อเธอหนีมาได้ เธอก็ต้องเผชิญกับการกดขี่ใหม่จากผู้มีอำนาจรัฐ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมระหว่างผู้หญิงและผู้ชายแสดงออกอย่างชัดแจ้งในฉากที่นายตำรวจที่ดูแลคดีขอเข้ามาในห้องของเธอและบอกให้เธอสูบบุหรี่เป็นเพื่อน อาการลังเลของราฮิมิสะท้อนความรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่สุดท้ายเธอต้องเล่นตามเกมอำนาจไป เพราะ “เขา” เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และการพูดคุยกับเขามันสำคัญต่องานของเธอ

ฉากราฮิมิสูบบุหรี่กับตำรวจยังสะท้อนการที่ผู้ชายป้ายความผิดให้ผู้หญิงในอาชญากรรมที่พวกเขาก่อ นายตำรวจคนนั้นเป็นคนขอร้องแกมบังคับให้ราฮิมิสูบบุหรี่เป็นเพื่อน แต่หลังจากนั้นเขาก็บอกว่าเธอเป็นผู้หญิงชั้นต่ำ เพราะสูบบุหรี่กับผู้ชายไม่เลือกหน้า การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการโทษเหยื่อที่เป็นผู้หญิงในทุกครั้งที่อาชญากรรมเกิดจากผู้ชาย เช่น การโทษผู้หญิงที่ถูกข่มขืนว่าพวกเธอแต่งตัวยั่วยวนเอง ทั้งที่ผู้ชายเป็นคนใช้อำนาจกับเธอ

สังคมมีแนวโน้มจะทำให้ผู้ชายบริสุทธิ์ในอาชญากรรมที่พวกเขาก่อขึ้นกับผู้หญิง  ตัดภาพกลับมาที่ซาอีด เพื่อนของครอบครัวและครอบครัวของเขาเรี่ยไรเงินให้เขาสู้คดี หลายคนบอกว่าเขาเป็นฮีโร่ที่ช่วยทำให้เมืองสะอาดขึ้น การฆ่าคนตายเป็นการกระทำที่สูงส่งตั้งแต่เมื่อไหร่กันหรือ? โดยเฉพาะเมื่อการฆ่านั้นเกิดจากการที่เขาไปหลอกเหล่าโสเภณีว่าเขาเป็นลูกค้า การมีขึ้นของโสเภณีนั้นไม่ใช่เกิดจากเจตนาของฝ่ายหญิงเพียงอย่างเดียวแน่นอน แต่ฝ่ายชายนั้นลอยตัวเหนือปัญหาและบอกว่าตนเองไม่ผิด

ในแง่นี้ซาอีดจึงกลายเป็น “คนดี” ของสังคม โดยนิยามของคำว่าดีนั้นผูกโยงกับความเป็นชายมาก ๆ ซาอีดยึดถือในอิหม่ามคนปัจจุบันซึ่งเป็นผู้ชาย และพระเจ้าของเขาก็ยังเป็นผู้ชายอีกด้วย มันมีชั้นเชิงของการเป็นชายสอนหญิงอยู่ในความเป็นศาสนา  และซาอีดก็ถือว่าเขาจะเป็นตัวแทนของศาสนาที่จะลงโทษคนชั่ว ซึ่งก็คือเหล่าผู้หญิง

เมื่อองคาพยพของสังคมวางบนพื้นฐานของชายเป็นใหญ่ สิ่งที่ราฮิมิทำได้เพียงอย่างเดียวจึงเป็นการพึ่งกฎหมาย แม้กฎหมายจะถูกควบคุมด้วยผู้ชายอีกที เห็นได้ชัดว่าตลอดการสืบคดีนี้ไม่มีใครอยู่ข้างเธอหรือเห็นค่าของชีวิตโสเภณีที่ตายไปมากมายนัก ตำรวจเองก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือ ราฮิมิจึงต้องสืบคดีเองด้วยการปลอมตัวเป็นโสเภณี และเธอก็เจอกับซาอีดเข้าจริงๆ

ภาพที่ราฮิมิมือสั่นหลังพยายามหนีตายจากซาอีดเป็นภาพที่น่าสะเทือนใจและสะท้อนให้เห็นว่า ในการที่ผู้หญิงจะปลดแอกตนเองนั้น พวกเธอต้องใช้ “ชีวิตส่วนตัว” ของตัวเองเป็นเดิมพันและอาจถึงขั้นต้องตายเพื่ออุดมการณ์นั้น เพราะโครงสร้างของรัฐชายเป็นใหญ่ย่อมไม่สนับสนุนการปลดแอกผู้หญิง ราฮิมิมีเครื่องมือที่จะใช้ได้น้อยมากในกรณีนี้ และเครื่องมือสุดท้ายที่เธอมีก็มีเพียงชีวิตของเธอเอง น่าสนใจที่ประเทศแถบตะวันออกกลางจำนวนมากมีเหตุฆาตกรรมผู้หญิงนักกิจกรรมสิทธิสตรีเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง

แต่เรื่องราวที่น่าสะเทือนใจที่สุดอยู่ในฉากช่วงท้าย ๆ ของหนัง เมื่อราฮิมิขึ้นรถทัวร์กลับบ้าน เธอเปิดฟุตเทจที่ถ่ายสัมภาษณ์เด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกชายของซาอิดไว้ เขาชื่นชมในสิ่งที่ซาอิดทำเป็นอย่างมากและอธิบายได้อย่างละเอียดว่าซาอีดทำอะไรกับผู้หญิงโสเภณีเหล่านั้น เขาเรียกน้องสาวของตัวเองมาสาธิตการฆาตกรรมและมีสีหน้าที่ภูมิใจในพ่อของตัวเอง

เขาบอกกับกล้องว่า หลายคนอยากให้เขาสานต่อสิ่งที่พ่อของตัวเองทำและมีสีหน้ายิ้มกริ่มทุกครั้งที่คนให้ท้ายพ่อของเขา เขาถึงกับได้ของสดฟรีจากร้านขายของเพราะเจ้าของร้านนั้นสนับสนุนสิ่งที่พ่อทำ น่าสังเวชใจที่ครอบครัวของเขากลายเป็นที่รักของเพื่อนบ้านในชั่วข้ามคืนเพราะพ่อของเขาฆ่าคนตายไปนับสิบศพ

วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่อาจจะสืบทอดตนเองด้วยอะไรประมาณนี้ – ด้วยการยกชูจากเพื่อนบ้านและคนในสังคมในการใช้อำนาจเกินขอบเขตของผู้ชาย หรือด้วยการผูกโยงความเป็นชายที่สูงส่งเข้ากับการใช้อำนาจ พร้อม ๆ กันนั้นก็สร้างขั้วตรงข้ามของความเป็นชายเพื่อขับเน้นให้ความเป็นชายสูงส่งขึ้นไปอีก และเหยื่อที่ถูกกดไว้ให้ต่ำกว่านั้นก็คือขั้วของเพศหญิงซึ่งถูกผูกโยงเข้ากับความไร้เหตุผล ความป่าเถื่อน ความเป็นเด็ก และพื้นที่ส่วนตัวอยู่เสมอ

คำถามที่หนังทิ้งไว้ให้พวกเราครุ่นคิดดัง ๆ ก็คือ เราจะเลี้ยงลูกหลานของเราให้เติบโตมาเป็นคนอย่างไรในสังคมชายเป็นใหญ่นี้  ถ้าหากว่าเราเงียบและทำตามคนอื่น ๆ ก็เท่ากับว่าเราสนับสนุนขั้วของอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันนี้แล้วหรือเปล่า คงเป็นสิ่งที่คนดูต้องพิจารณาด้วยตนเอง

อะไรคือ ‘หนังภาษาไต้หวัน’

0

หมายเหตุ : เรียบเรียงจาก Taiwanese-Language Cinema: A Short Introduction

เล่าแบบรวบรัด ‘หนังภาษาไต้หวัน’ เป็นหนึ่งในหนังกระแสหลักของไต้หวันยุคตั้งแต่หลังสงครามโลก ยืนหยัดข้ามเวลาตลอดช่วงของกฎอัยการศึกและจบสิ้นลงในปลายทศวรษ 1970

ว่ากันว่าในช่วงเวลานั้นมีหนังถูกสร้างออกมาราวหนึ่งพันเรื่อง หนังเหล่านี้มีทุกขนบ ต้ังแต่หนังสายลับ สืบสวนสอบสวน หนังเด็ก หนังดราม่า ไปจนถึงหนังแอ็กชั่น เรียกว่าเป็นอุตสาหกรรมย่อม ๆ ในประเทศเลยก็ว่าได้ โดยไม่ใช่หนังที่ถูกสนับสนุนจากรัฐ

หนังกลุ่มนี้มีชื่อในภาษาจีนว่า Taiyupian (台語片) คำว่า pian แปลว่า หนัง ส่วน Taiyu นั้นอาจแปลคร่าว ๆ ได้ว่า สำเนียงไต้หวัน แต่การเรียกหนังกลุ่มนี้ว่า ‘หนังภาษาไต้หวัน’ หรือ ‘หนังจีนสำเนียงไต้หวัน’ ก็เป็นเรื่องซับซ้อน เพราะสองสำเนียงนี้อ่านไม่เหมือนกันจนไม่อาจเรียกว่าเป็น ‘สำเนียง’ และไม่สามารถจะฟังกันรู้เรื่อง มันจึงเหมาะกว่าที่จะเรียกว่า หนัง ‘ภาษา’ ไต้หวัน

เดิมทีในยุคที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น (1885-1945) นั้น ไต้หวันเองเป็นทั้งโลเคชั่นถ่ายทำและเป็นตลาดของหนังญี่ปุ่น แต่ยังไม่มีอุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็นของตนเอง จนกระทั่งก๊กมินตั๋งเข้ามาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นหลังแพ้เหมาเจ๋อตุงในปี 1949 นี่เองที่เริ่มมีการผลิตภาพยนตร์ขึ้นในไต้หวัน แต่ตอนนั้น รัฐก็มุ่งมั่นกับการทำหนังข่าวเพื่อจะสื่อสารกับคนพื้นเมืองเสียมากกว่า อย่างไรก็ดี คนพื้นเมืองในตอนนั้นก็ไม่เข้าใจภาษาจีนกลาง หนังที่สร้างโดยรัฐเลยไม่ประสบความสำเร็จนัก

กลับกลายเป็นว่า หนังจำนวนหนึ่งจากฮ่องกงที่เป็นหนังสำเนียง Amoy (หรืออีกชื่อคือ เซี่ยเหมิน-Xiamen คือเมืองในมณฑลฝูเจี้ยนที่เป็นชายฝั่งแผ่นดินใหญ่ที่ตรงกับไต้หวันเอง และสำเนียง Amoy นั้นคล้ายคลึงกับภาษาไต้หวันมาก ๆ) ซึ่งส่วนใหญ่เล่นโดยดารางิ้วและถูกนำมาฉายในไต้หวัน กลับประสบความสำเร็จมากกว่าเพราะคนดูรู้เรื่องโดยไม่ต้องแปล และนั่นเองทำให้คณะงิ้วในไต้หวันเริ่มคิดจะสร้างหนังขึ้นมาบ้าง นำมาซึ่งจุดกำเนิดหนังภาษาไต้หวันก่อนที่หนังภาษาไต้หวันจะลงหลักปักฐาน เมื่อมีหนังที่ไม่ใช่หนังงิ้วอย่าง Xu Pinggui and Wang Baochuan (1956) ถูกสร้างขึ้น

เราอาจบอกได้ว่า มีความซับซ้อนหลายประการในการอธิบายตำแหน่งแห่งที่ทางประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์ภาษาไต้หวัน ซึ่งอาจต้องย้อนไปยังความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลก และช่วงเวลาที่ไต้หวันกลับคืนสู่จีนชาตินิยมหลังสงครามในปี 1945 จวบจนรัฐบาลก๊กมินตั๋งพ่ายแพ้ให้แก่รัฐบาลคอมมิวนิสต์ในปี 1949

ในช่วงเวลานั้น งิ้วที่เคยโดนแบนจากญี่ปุ่นในยุคอาณานิคมเริ่มกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทัศนคติของรัฐบาลใหม่ที่มีต่อรูปแบบความบันเทิงแบบพื้นถิ่นนี้คือ เพื่อกำหนดวาระชาตินิยมในประเทศ คณะงิ้วขยายตัวด้วยการผลิตที่ต่ำและคุณภาพต่ำ ค่อย ๆ สูญเสียความนิยมไปสู่ความบันเทิงรูปแบบอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนตร์นำเข้า เมื่อถึงเวลาที่การผลิตภาพยนตร์ในประเทศเริ่มต้นขึ้น หนังจากงิ้วก็กลายเป็นหนังภาษาไต้หวันกลุ่มแรกๆ

เราอาจแบ่งยุคทองของหนังภาษาไต้หวันได้เป็นสองระลอก ระลอกแรกมาถึงในช่วงปลายทศวรรษ 1950 เริ่มจากบรรดาหนังงิ้ว หนังดัดแปลงจากบทละครของ Taiwan New Drama Movement*1 ที่เริ่มก่อตัวมาตั้งแต่สมัยอาณานิคมญี่ปุ่น หนังสร้างง่าย ๆ ใช้ทุนน้อย แต่ประสบความสำเร็จสูง น่าเสียดายที่หนังเหล่านี้มีเหลือรอดมาถึงปัจจุบันไม่มากนัก

ระลอกที่สองมาถึง เมื่อคนทำหนังภาษาไต้หวันเริ่มส่งหนังออกนอกประเทศ เป้าหมายคือบรรดาคนจีนอพยพที่พูดภาษา Minnan Hua ซึ่งคือเหล่าประชากรจีนฮกเกี้ยนที่อพยพมายังเอเชียอาคเนย์ อาจจะบอกได้ว่านี่คือยุคทองของแท้ เพราะมีหนังหลากหลายแบบ ตั้งแต่หนังสายลับอย่าง The Best Secret Agent หนังเด็กที่เอาคนมาแต่งป็นสัตว์อย่าง The Fantasy of The Deer Warrior หนังกังฟูอย่าง Vengeance of Phoenix Sisters หนังดราม่า Early Train from Taipei ไปจนถึงการดัดแปลงบทประพันธ์ฝรั่ง อย่าง The Bride Who Has Returned from Hell (ที่ดัดแปลงจากนิยาย Mistress of Mellyn ของ Victoria Holt) ก่อนที่ในที่สุดหนังเหล่านี้จะเสื่อมความนิยมไปในยุคทศวรรษที่ 1970

มีหลายสาเหตุที่ทำให้หนังภาษาไต้หวันเสื่อมความนิยมลง หนึ่งคือ การที่สตูดิโอหนังภาษาไต้หวันโดยมากเป็นเอกชนที่สายป่านสั้น ขณะที่สตูดิโอหนังภาษาจีนกลางอย่าง Central Motion Picture นั้นมีรัฐเป็นเจ้าของ ประกอบกับการที่การศึกษาในไต้หวันมุ่งเ้นให้ภาษาจีนกลางเป็นภาษาหลัก หนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ฟังจีนกลางรู้เรื่องจึงสามารถดูหนังได้โดยไม่ต้องแปล ในขณะที่กลุ่มผู้ชมดั้งเดิมของหนังภาษาไต้หวันแก่ตัวลง ร่วมกับการมาถึงของทีวี ทำให้ผู้ชมกลุ่มเดิมไปดูละครทีวีแทนจะมาดูหนังเหล่านี้

แล้วหนังภาษาไต้หวันก็ถูกลืมไป ไม่ต่างจากบรรดาหนังไทยยุค 16 มม. ที่เกินกว่าครึ่งหายสาบสูญ เพราะมันถูกมองเป็นเพียงความบันเทิงฉาบฉวยที่ไม่มีคุณค่ามากพอ จากภาพยนตร์ราวหนึ่งพันเรื่อง มีเพียงราวสองร้อยเรื่องเท่านั้นที่ยังเหลือรอดอยู่

อย่างไรก็ดี การก่อตั้งหอภาพยนตร์ไต้หวันในปี 1979 ทำให้ทัศนคติที่มีต่อภาพยนตร์เปลี่ยนแปลงไปทีละนิด ประกอบกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มวรรณกรรมชาตินิยมในทศวรรษ 1970 ทำให้อัตลักษณ์ของการเป็น ‘ไต้หวัน’ ค่อย ๆ เข้มข้นขึ้นทีละน้อย ต้านทานกับรัฐบาลก๊กมินตั๋งที่ต้องการให้คนไต้หวันตระหนักตัวเองในฐานะ ‘คนจีน’ จวบจนการยกเลิกกฎอัยการศึกในปี 1987 ก็เริ่มมีการรื้อฟื้นหนังกลุ่มนี้ออกมา มีการทำดีวีดีขาย และในที่สุดในปี 1989 หอภาพยนตร์ไต้หวันก็เริ่มโครงการอนุรักษ์ภาพยนตร์กลุ่มนี้ขึ้น ทั้งจัดหาจัดเก็บ จัดพิมพ์หนังสือ ทำบทสัมภาษณ์ผู้กำกับ จัดโปรแกรมฉาย และรีมาสเตอร์หนังกลุ่มนี้

จนอาจกล่าวได้ว่า การศึกษาภาพยนตร์ภาษาไต้หวันถึงที่สุดก็ได้รับแรงบันดาลใจจากการที่ไต้หวันเริ่มต้นเป็นประชาธิปไตย หลังกฎอัยการศึกอันยาวนาน



*1 จาก Movement of the Western Modern Drama in Taiwan and Its Modernity

House of The Dragon (Season 1) : ใครจะครองแผ่นดินโดยธรรม

ปีที่ 101 หลังการพิชิตดินแดนของเอกอน ราชวงศ์ทาร์แกเรียนประสบปัญหาใหญ่เมื่อตำแหน่งรัชทายาทของกษัตริย์เฒ่าเจเฮริสว่างลงจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายเบลอน พระองค์และสภาใหญ่จึงตัดสินใจแต่งตั้งวิเซริส หลานชายจากบุตรคนที่ 5 ขึ้นเป็นรัชทายาท วิกฤตผ่านพ้นไปได้โดยที่หลานจากบุตรคนโตที่มีอาวุโสสูงสุดอย่างเจ้าหญิงเรนิสถูกมองข้ามหัวไป

11 ปีต่อมาวิกฤตเกิดเกิดซ้ำ ราชินีเอมม่าสิ้นใจในการคลอดบุตรโดยไม่มีทายาทชายให้แก่กษัตริย์วิเซริส ในฐานะราชาผู้ทรงธรรมและพ่อผู้ภักดีต่อครอบครัว พระองค์จำเป็นต้องรับรองกับประชาชนและเหล่าขุนนางว่า เจ้าชายเดม่อนพระอนุชาผู้แสนโหดเหี้ยมจะไม่มีโอกาสได้ขึ้นครองบัลลังก์เหล็ก ด้วยการแต่งตั้งเจ้าหญิงเรนีร่าพระธิดาคนเดียวให้เป็นรัชทายาท แผ่นดินเวสเทอรอสถึงกับออกอาการอยู่ไม่สุข ไม่มีใครเชื่อว่าการให้ผู้หญิงขึ้นเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองจะนำมาซึ่งความผาสุก สถานการณ์ยิ่งส่อเค้าเลวร้ายยิ่งขึ้น เมื่อพระราชาสมรสใหม่กับบุตรีของลอร์ดราชหัตถ์และให้กำเนิดเจ้าชายเอกอนที่สองในครึ่งปีต่อมา เหล่าข้าราชบริพารและบรรดาลอร์ดทั้งน้อยใหญ่ต่างรู้กันดีว่า ช่วงเวลาแห่งการแตกหักอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียว

House of the Dragon เป็นได้ทั้งโอกาสแก้มือจาก Game of Thrones ที่ทำผลงานได้ไม่ดีนักในช่วงซีซั่นท้าย ๆ และโอกาสที่จะหยิบเอาโลกใบเดิมมาเล่าเรื่องราวในทิศทางใหม่ เหตุการณ์ที่ก่อความเสียหายให้กับแผ่นดินเวสเทอรอสมากที่สุดไม่ใช่การรุกรานจากอีกฟากทะเลแคบ ไม่ใช่การรบราระหว่างลอร์ดตระกูลใหญ่กับทรราช แต่เป็นความขัดแย้งในครอบครัวระหว่างผู้หญิงที่สู้เพื่อทุกสิ่งที่ตัวเองต้องการ กับผู้หญิงที่ยึดมั่นในตำแหน่งแห่งที่ของตน หากจะมีใครสมควรได้รับความดีความชอบที่ตัวซีรีส์จะประสบความสำเร็จ ก็คงต้องเป็น Ryan J. Condal และทีมเขียนบทของเขาที่หยิบเอางานเขียนของ George R.R. Martin มาดัดแปลงด้วยชั้นเชิงที่น่าประทับใจ ปูมสงครามชิงบัลลังก์ระหว่างสองคณะแห่งตระกูลทาร์แกเรียนครั้งนี้จึงกลายเป็นชุดหนังมังกรที่ถูกตัดเย็บมาให้เข้ากับสารอันว่าด้วยการต่อสู้ของผู้หญิงบนพื้นที่อำนาจของผู้ชายได้อย่างพอดิบพอดี

ตัวซีรีส์ดัดแปลงมาจากหนังสือของมาร์ตินที่มีชื่อว่า Fire and Blood ซึ่งเป็นวลีประจำตระกูลทาร์แกเรียน “อัคคีและโลหิต” ในที่นี้เป็นได้มากกว่าถ้อยคำข่มขวัญและความภาคภูมิของราชวงศ์มังกร เมื่ออัคคีหมายถึงอำนาจทางการเมืองที่ไม่อาจสยบให้เชื่อง โลหิตหมายถึงครอบครัวและหัวจิตหัวใจอันเป็นมนุษย์ House of The Dragon จึงเป็นเรื่องราวของครอบครัวที่บาดเจ็บสาหัสจากการพยายามควบคุมอำนาจไว้ให้อยู่มือ

ความคิดที่ว่าเราควบคุมมังกรได้เป็นเพียงภาพลวง”

คนที่ดูจะตระหนักถึงความร้ายกาจของอำนาจไม่ใช่ใครอื่นนอกจากวิเซริส ราชาผู้รักสันติต้องเผชิญบททดสอบมากมายจากตำแหน่งที่เขาไม่ได้คาดหวังจะได้รับ สำหรับเขา กษัตริย์ไม่ได้ครองอำนาจ แต่เป็นอำนาจต่างหากที่ครอบครองตัวกษัตริย์ ตำแหน่งกษัตริย์เป็นร่างกายทางการเมืองที่บงการกายเนื้อของพระราชา ทุกการกระทำ ทุกการตัดสินใจถือเป็นความรับผิดชอบต่ออำนาจมากกว่าที่จะเป็นการใช้อำนาจ ไม่เว้นแม้กระทั่งการเลือกคู่ครองและสร้างทายาทที่เหมาะสมเพื่อสืบทอดบัลลังก์

จริงอยู่ที่กษัตริย์บางคนอาจแสดงอำนาจตามใจชอบ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ต้องรับผลกรรม วิเซริสศึกษาประวัติศาสตร์มามากพอที่จะเข้าใจว่า การที่ผู้ปกครองแผ่นดินถูกตราหน้าเป็นทรราชย์ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เพลิงอำนาจพาบ้านเมืองไปสู่จุดจบอันน่าสยดสยอง เขาจึงเลือกเป็นวิเซริสผู้รักสันติ (Viserys The Peaceful) ผู้สืบทอดของเจเฮริสผู้ประนีประนอม (Jaehaerys The Concillator) สิ่งที่ทำให้วิเซริสแตกต่างจากกษัตริย์คนอื่น ๆ คือความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเขากับความรับผิดชอบต่อครอบครัวเป็นสิ่งเดียวกัน บ้านเมืองและบัลลังก์เหล็กเป็นมรดกที่ต้องส่งต่อให้กับทายาทที่จะปฏิบัติต่ออำนาจอย่างระมัดระวัง

การแสดงของอันยอดเยี่ยมของ Paddy Considine ในบทวิเซริสในผู้โรยราในตอนที่ 8 (Lord of The Tide) แสดงถึงความอ่อนล้าของร่างเนื้อที่ไปด้วยกันกับกายแห่งอำนาจได้อย่างดี ภายใต้หน้ากากทองคำที่ใช้ปฏิเสธสังขารอันผุพัง เขาเป็นเพียงชายรักสงบผู้เปี่ยมไปด้วยความรักครอบครัว เมื่อเขาปลดหน้ากากแล้วขอร้องให้ทุกคนทานมื้อค่ำร่วมกันอย่างสันติ เราจึงได้เห็นว่าภายใต้อาภรณ์แห่งอำนาจ กษัติรย์เป็นเพียงมนุษย์ที่เสื่อมสลายได้ไม่ต่างกับปุถุชนเดินดินทั่วไป

“ขอให้ท่านระลึกเอาไว้ว่า อำนาจที่ได้มา ไพร่ฟ้าเป็นคนมอบให้”

สิ่งที่ทำให้ House of the Dragon ล้ำไปไกลกว่า Game of Thrones คือการที่มันจัดสรรพื้นที่เล่าเรื่องส่วนใหญ่ไปกับตัวละครผู้หญิงหลายแบบในโลกสงครามแฟนตาซี (ซึ่งมักจะเป็นดินแดนของความเป็นชาย) ทั้งเจ้าหญิงเรนีร่า ผู้ถูกแรงกระทำของพวกขุนนางเบียดออกไปตลอดเวลาเพราะบังอาจเข้ามายืนในพื้นที่ที่ไม่ใช่ของตัว และราชินีอลิเซนต์ที่ทำ “หน้าที่ของผู้หญิง” ได้อย่างสมบูรณ์จนไม่รู้ความต้องการของตัวเอง

ตัวละครที่ผู้เขียนคิดว่าน่าสนใจไม่แพ้เจ้าคณะดำและเขียวคือ เจ้าหญิงเรนิส (Eva Best) และ มิซาเรีย (Sonoya Mizuno) คนแรกคือทายาทที่ถูกมองข้าม ส่วนอีกคนเป็นนางโลมเจ้าของเครือข่ายสายลับ ทั้งสองคนไม่มีความสนใจต่อเกมชิงบัลลังก์ แต่มีวิธีเล่นเกมในแบบของตัวเอง เจ้าหญิงเรนิสแสดงออกด้วยการไม่รับรองสิทธิในการปล้นอำนาจของคณะเขียว แล้วส่งต่ออำนาจการตัดสินให้แก่ผู้ชอบธรรมเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม ส่วนมิซาเรียทำแสบกว่านั้นด้วยการใช้ข้อมูลที่ซ่อนของเจ้าชายเรียกร้องให้ขุนนางดูแลความเป็นอยู่ของคนในสลัม เกมของพวกเธอคือการพลิกลำดับชั้นทางอำนาจเสียใหม่ ทำให้เราได้เห็นว่าอำนาจปกครองดำรงอยู่ได้เพราะคนที่อยู่ใต้ปกครองยินยอมให้มันดำรงอยู่ สิ่งนี้ถูกย้ำให้เห็นชัดอีกครั้งเมื่อลอร์ดหัตถ์ออตโต้สั่งการให้ต้อนผู้คนทั่วคิงส์แลนดิ้งให้มาเป็นพยานในพิธีราชาภิเษกเจ้าชายเอกอน สายตาของพสกนิกรเรือนหมื่นในดราก้ออนพิตกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเปลี่ยนเจ้าชายเสเพลให้กลายเป็นกษัตริย์เอกอนที่สอง ขณะที่ตำแหน่งรัชทายาทของเรนีร่าเป็นได้เพียงแค่มุกตลกในละครล้อเลียน

“ขณะที่ลอร์ดทุกคนรอบตัวเร่งเร้าให้เริ่มสงคราม นางเป็นคนเดียวที่แสดงความยับยั้งชั่งใจ”

คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่าสิ่งที่มีส่วนมากที่สุดในการส่ง House of the Dragon ให้เข้าไปอยู่ในใจคนดู คือการใส่หัวจิตหัวใจเข้าไปในระหว่างบรรทัดของหนังสือประวัติศาสตร์แฟนตาซี ทุกเสี้ยวเล็ก ๆ ของการแสดงอันละเอียดอ่อนเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่จะพาผู้ชมขึ้นรถไฟเหาะทางอารมณ์ ตั้งแต่อาการต่อต้านแรงกดดันของเจ้าหญิงเรนีร่า ความริษยาของราชินีอลิเซนต์ที่มีต่ออิสระของรัชทายาทหญิง ด้านอ่อนโยนของเจ้าชายนอกคอกอย่างเดม่อน ตลอดไปจนถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์ของราชทูตบนหลังมังกร ความใกล้ชิดระหว่างสามัญชนนอกจอกับราชนิกูลในโลกอันเหนือจริงนี้เองที่ทำให้เราตระหนักได้ว่ามนุษย์ทุกผู้ล้วนไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าชาติกำเนิดของพวกเขาจะสูงส่งเพียงใด

ความบันเทิงที่อยู่นอกเรื่องราวของ House of the Dragon คือการที่มันมอบโอกาสผู้ชมตัดสินผู้มีอำนาจได้โดยไม่มีภัยถึงตัว การได้อยู่ในระนาบเดียวกันกับผู้ชี้เป็นชี้ตายให้ประชาชนกระตุ้นให้รู้สึกถึงพลังอย่างน่าประหลาด ผู้เขียนต้องยอมรับว่าตื่นเต้นไม่น้อยกับการได้เห็นราชินีเรนีร่าตัดสินใจเลือกทางที่ก่อความเสียหายต่อบ้านเมืองให้น้อยที่สุด การได้เห็นคนบนจุดสูงสุดบริหารอำนาจโดยคำนึงถึงคนที่อยู่ล่างสุดนั้นเกือบจะเหนือจริงพอ ๆ กับมังกรไฟ แต่ขณะเดียวกันมันก็สะท้อนความจริงที่ว่าสุดท้ายแล้วคนที่ตัดสินความชอบธรรมให้กับราชาหรือราชินีพระองค์ใดก็เป็นไพร่ฟ้าพสกนิกรของพวกเขาเอง

หาใช่อำนาจของกษัตริย์ดังที่ขุนนางหน้าไหนหลอกลวง

แอน : Will We Belong?

0

*หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร​์

ในตอนท้ายเรื่องของ Where We Belong หลังจากที่ซูสูญเสียทุกความใฝ่ฝันที่จะออกไปให้พ้นจากเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบเหงานี้ ไปให้พ้นจากมรดกร้านก๋วยเตี๋ยวของพ่อและชีวิตที่เธอแทบไม่ได้เป็นเจ้าของ คืนนั้นหลังจากแน่แก่ใจว่าการไปจากเมืองคงไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอหวัง เธอมาที่บ้านของเบลล์เพื่อนสาวคนสนิทคล้ายมาเพื่อลา จากนั้นเธอก็เดินหายไปในความมืดที่สวนหลังบ้าน ป่าที่มืดสนิทในเมืองที่เธอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่ง โดยไม่รู้ตัวบางทีเธออาจตื่นขึ้นในห้องกรุวอลล์เปเปอร์ลายดอกไม้ ห้องปิดสนิทเหมือนห้องในโรงแรม หน้าต่างเป็นกระจกหม่นมัว มองไม่เห็นทัศนียภาพใด ๆ ในห้องมีหนังสือไบเบิล มีรูปที่ปลายเตียง รูปลายเส้นคล้ายใบหน้าทุกข์ทรมานของหญิงสาวหลายคนที่รวมกันเข้าเป็นภาพกวางตัวหนึ่ง และตอนนี้เธอชื่อแอน เหมือนกับเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันในห้องข้าง ๆ ที่ทุกคนก็ชื่อแอนเหมือนกัน แอนที่เป็นพหูพจน์ เป็นมวลไร้ใบหน้าเพราะใบหน้าของแอนเปลี่ยนไปทุกสองนาที 

เหล่าแอนพหูพจน์ในห้องปิดจะถูกฉีดยาให้สงบ ได้พบกับคุณหมอที่จะเข้ามาสะกดจิต ระหว่างนั้นพวกเธอจะเผชิญภาพฝันลึกลับที่เกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยว การขับรถในเวลากลางคืน ท้องทะเล หมวกที่ปลิวลงน้ำ และชายคนหนึ่งที่ยืนหันหลังให้

เหล่าแอนพหูพจน์ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง บางคนไม่กล้าออกไปไหน บางแอนพยายามชักชวนให้แอนอีกคนหนี บางแอนไปได้ใกล้ บางแอนไปได้ไกล ในแต่ละคืนเมื่อถึงเวลาสถานที่นั้นจะเปิดเพลงเป็นไปไม่ได้ของดิอิมพอสซิเบิ้ล เสียงเพลงเก่าแก่หลอนหลอก ปีศาจปรากฏ พวกเธอจะโดนไล่ล่าโดยเวติโก ปีศาจหัวกวาง ที่มาเพื่อฆ่า ไม่ว่าจะอยู่ในห้องหรือหลบหนีออกไป ปีศาจหัวกวางก็จะตามฆ่าเหล่าแอน ทุกคืนจบลงด้วยความตาย 

มันคือลูปที่ปรากฏซ้ำ แอนเอกพจน์คนที่หนึ่งตายลง อาจกลายเป็นแอนเอกพจน์คนที่สองและจะตายเพื่อกลายเป็นแอนเอกพจน์คนที่สามในวันต่อมา แอนค้นพบว่า ‘ถ้าเราทำไม่เหมือนเดิม ผลลัพธ์ก็จะไม่เหมือนเดิม’ น่าขันที่ไม่ว่าแอนจะพยายามกี่ครั้งก็ตามแต่ เวติโกก็จะตามมาฆ่าแอน เพื่อที่จะตื่นมาในห้องและโดนสะกดจิตโดยหมอคนเดิม แอนค้นพบแอนอีกมากมายที่พูดเหมือนที่แอนพูด และเป็นแอนแทนที่ในวงจรของการทำไม่เหมือนเดิมของแอนที่ผลลัพธ์สุดท้ายก็เหมือนเดิมไปเสียอย่างนั้น

หนังจึงคือการพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าของแอนในการหลบหนี ทั้งจากที่นี่ และจากเวติโก เมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องสู้ แม้จะไม่รู้ว่าจะชนะหรือแพ้ก็ตาม 

นับจาก สยิว (2003) มาจนถึงตอนนี้ เราอาจบอกได้เต็มปากว่า คงเดช จาตุรันต์รัศมี คือหนึ่งในคนทำหนังที่คมคายที่สุดในการบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยผ่านหนังที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเมือง หนังของเขามักเล่าเรื่องตัวละครที่แปลกแยกผิดมาตรฐานของสังคมและชะตากรรมพิลึกพิลั่นที่พวกเขาและเธอต้องเผชิญ ซึ่งสามารถตีความย้อนกลับไปยังสภาพของบ้านเมืองในแต่ละช่วงที่ห่มคลุมอยู่ เราไม่อาจปฏิเสธชั้นของการเมืองบาง ๆ ที่ห่มคลุมอยู่ในหนังของคงเดชมาตลอด หนักบ้างเบาบ้าง จนอาจกล่าวได้ว่าไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ หนังของเขาสามารถใช้อธิบายประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของสังคมไทยได้ตามลำดับเวลาใต้โครงสร้างของหนังรัก หนังเดินทาง หรือหนังวัยรุ่น

ฉิ่ม (2005) คว้าจับห้วงยามปลายยุคทักษิณที่ความดีความงามความจริงถูกท้าทายตรวจสอบ ทำลายล้างโลกอันสงบสุขแบบเดิมๆ ของ นายสมบัติ ดีพร้อม แท็กซี่คนซื่อที่มีชีวิตแต่ในโลกเฉพาะที่เขาสร้างขึ้นมาเอง, กอด (2008) อธิบายยุคสมัยหลังการรัฐประหารครั้งแรกของไอ้ขวานสามแขนที่เดินทางไปในโลกดิสโทเปียของถนนหลวงในประเทศนี้, แต่เพียงผู้เดียว (2011) พูดประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้างของช่างกุญแจกับเด็กร้านหนังสือที่แอบเข้าไปใช้ความทรงจำในห้องของผู้อื่นและพบว่าความทรงจำของตัวเองต่างหากที่ถูกขโมย ความทรงจำอันเลอะเลือนและถูกสร้างขึ้นใหม่ในขวบปีที่ประเทศแตกออกเป็นสองด้วยชุดของประวัติศาสตร์ที่ไม่เหมือนกัน ก่อนที่ทุกอย่างจะระเบิดออกใน ตั้งวง (2013) ภาพบันทึกความสับสนของเด็กวัยรุ่นสี่คนตลอดช่วงการชุมนุมใหญ่และการสลายการชุมนุมที่เหี้ยมโหด ที่ถึงกับมีฉากที่หนึ่งในสี่ร่วมอยู่ในคืนนั้นกลางแยกดินแดงหลายปีต่อมา Snap (2015) คว้าจับบรรยากาศแปดปีหลังรัฐประหารที่ทุกอย่างถูกแช่แข็งเชื่องช้า ผ่านความสัมพันธ์ของคู่รักเก่าที่กลับมาพบกันในงานแต่งงานของเพื่อน ในขณะที่ Where We Belong (2019) เล่าเรื่องเด็กสาวสองคนที่โตมาพร้อมกับภาระบนหลังไหล่และความพยายามไปเสียจากที่นี่ดูจะเป็นความหวังเดียวของพวกเธอ ที่โดยไม่ได้ตั้งใจหนังกลายเป็นสัญญาณแรก ๆ ของความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย เพราะหลังจากหนังออกฉายไม่นานหลังการเลือกตั้งในปี 2019 ที่คนรุ่นใหม่เลือกทางเลือกใหม่อย่างพรรคอนาคตใหม่กันล้นหลาม ตามด้วยการยุบพรรคที่เป็นเหมือนชนวนต่อการประท้วงใหญ่ในปี 2020 โดยช่วยไม่ได้ แอน (2022) จึงได้กลายเป็นหนังที่พูดถึงสภาพจิตใจของวัยรุ่นหลังการประท้วงใหญ่ในปี 2020 ที่กล่าวตามจริงว่าไม่ได้รับชัยชนะ แม้ว่าในท้ายที่สุดเพดานสังคมจะขยับสูงขึ้นจนพอหายใจได้เต็มปอดขึ้นอีกนิดก็ตาม

ในบทสัมภาษณ์หนึ่งคงเดชเล่าว่า ไอเดียของหนังได้มาจากการสัมภาษณ์เด็กผู้หญิงจำนวนมากระหว่างที่เขารีเสิร์ชบทในหนัง Where We Belong บรรดาเด็กสาวเล่าเรื่องความอึดอัดคับข้องในโลกของพวกเธอ โลกที่โลกจริงและโลกเสมือนไหลซึมเข้าหากัน เขาและ ราสิเกต์ สุขกาล โปรดักชันดีไซเนอร์คนสำคัญของวงการภาพยนตร์อิสระไทย จึงร่วมมือกันในการค้นลึกเข้าไปในจิตใจเด็กสาว ผ่านทางบทและการสร้าง ‘โลกเฉพาะ’ ในจิตใจของพวกเธอขึ้นมา

หนังทั้งเรื่องจึงเป็น ‘โลกในจิตใจ’ ของแอน แอนที่ไม่มีใบหน้า หนังให้เราเห็นใบหน้า ‘ภายนอก’ ของแอนเป็นจำนวนมากในโลกภายในของแอน แต่หนังไม่ให้เราเห็นใบหน้า ‘ที่แท้จริง’ ของแอน -The Faces of Anne- ตามชื่อหนัง ที่ไม่ได้เติม S แสดงความเป็นพหูพจน์ที่แอนน์ แต่เติมที่ใบหน้า บอกเป็นนัยถึงความเป็นหลากใบหน้าของคนคนเดียว เอกพจน์ที่มีใบหน้ามากมายจนในที่สุดกลายเป็นไร้ใบหน้า 

มันอาจจะเป็นเรื่องคลิเชอีกเรื่องหนึ่งที่เราจะพูดเรื่องตัวตนในโลกเสมือน โลกอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย จะดูดกลืนตัวตนของเราในโลกจริง เพราะความวิตกกังวลเหล่านี้ถูกนำเสนอในหนังสยองขวัญระทึกขวัญกันมานานตั้งแต่แรกมีอินเทอร์เน็ต ตัวละครถูกปลอมภาพ เปลี่ยนชื่อลบตัวตนจากฝีมือของแฮ็กเกอร์ ไปจนถึงเด็กหนุ่มสาวที่ถูกทำลายตัวตนผ่านการถูกกลั่นแกล้งออนไลน์ 

แต่ความกังวลของยุคสมัย 2020 นั้นต่างออกไปจากปลายทศวรรษที่ 1990 อย่างยิ่ง เพราะเด็กวัยรุ่นในปัจจุบันที่เกิดหลังปี 2000 ไม่ได้เกิดมาในโลกที่แยกขาดระหว่างโลกในและนอกอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาเกิดมาในมัน การสร้างและดำรงคงอยู่ของตัวตนของคนรุ่นปัจจุบันไม่ได้มีปัจจัยจากเพียงแค่การเลี้ยงดู กลุ่มเพื่อน หรือสื่อที่พวกเขารับมาอีกแล้ว โลกในอินเทอร์เน็ต โรงแรมที่กักขังแอนเป็นจำนวนมาก เป็นโลกจริงที่จริงกว่าห้องนอนของตนและชีวิตร่วมกับพ่อแม่หรือโรงเรียนเสียด้วยซ้ำ วัยรุ่นก่อร้างสร้างตัวตนโดยไม่ได้เพียงแค่ถูกหล่อหลอม กำหนด หรือควบคุมโดยแค่พ่อแม่ ครู หรือกลุ่มเพื่อน แต่คนที่สอดส่อง สร้างแรงปรารถนา วิพากษ์วิจารณ์ตัวตนของพวกเขาคือคนไม่รู้จักทั้งโลกในพื้นที่โลกเสมือน

สำหรับหลายคนพวกเขาอาจรู้วิธีที่จะรับมือสิ่งนี้ แยกขาดจากมัน หรือไม่ก็หลอมรวมโลกในโซเชียลมีเดียเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตนโดยสมบูรณ์ แต่มีเด็กวัยรุ่นอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถรับมือวิกฤตการณ์ของตัวตนได้ ความหมกมุ่นกับตัวเองของเด็กวัยรุ่นในปี 2020 จึงไม่ได้มีแค่ตัวเอง หากในแง่หนึ่งจึงเป็นความหมกมุ่นอันเป็นสาธารณะด้วย เพราะแม้พวกเขาอยู่ในห้องนอนที่ปิดล็อกในบ้าน แต่มันก็ดูเหมือนพวกเขาเติบโตในห้องที่มีกระจกใสให้ผู้คนสอดส่องตลอดเวลา แรงกดจากโลกที่คืบคลานเข้ามาถึงตัวส่งผลต่อการก่อร่างบุคลิกภาพและความใฝ่ฝันของพวกเขาชนิดที่คนรุ่นก่อนอาจไม่เคยประสบและไม่มีทางจะเอาไปเปรียบเทียบกันได้ และสำหรับพวกเขา เพื่อให้ได้รับการยอมรับหรือถูกเชิดชูก็เท่ากับต้องยินยอมให้ถูกสอดส่องด้วย แอนจึงอยู่ในห้องปิดที่ประตูปิดล็อกหรือเปิดตามใจ หมอจะเข้ามาให้กำลังใจตอนไหนก็ได้ มาย้ำซ้ำ ๆ ให้แอนค้นหาตัวตนที่แท้จริงราวกับนั่นคือภารกิจที่เธอได้รับมอบหมาย ในขณะเดียวกันเวติโกจะบุกเข้ามาฆ่าเธอตอนไหนก็ได้เช่นกัน

การสร้างและดำรงคงอยู่ของตัวตนของคนรุ่นปัจจุบันไม่ได้มีปัจจัยจากเพียงแค่การเลี้ยงดู กลุ่มเพื่อน หรือสื่อที่พวกเขารับมาอีกแล้ว โลกในอินเทอร์เน็ต โรงแรมที่กักขังแอนเป็นจำนวนมาก เป็นโลกจริงที่จริงกว่าห้องนอนของตนและชีวิตร่วมกับพ่อแม่หรือโรงเรียนเสียด้วยซ้ำ วัยรุ่นก่อร้างสร้างตัวตนโดยไม่ได้เพียงแค่ถูกหล่อหลอม กำหนด หรือควบคุมโดยแค่พ่อแม่ ครู หรือกลุ่มเพื่อน แต่คนที่สอดส่อง สร้างแรงปรารถนา วิพากษ์วิจารณ์ตัวตนของพวกเขาคือคนไม่รู้จักทั้งโลกในพื้นที่โลกเสมือน


มันจึงน่าสนใจอย่างยิ่งที่แอนหลายใบหน้านั้นสามารถแบ่งได้เป็นสองระดับ อาจจะเรียกว่าแอนเทียร์หนึ่งและแอนเทียร์สอง โดยแอนเทียร์หนึ่งใช้นักแสดงหญิงที่มีชื่อเสียงสูงกว่าแอนเทียร์สอง และตัวแอนจะสลับใบหน้าไปมาระหว่างแอนเทียร์หนึ่งและเทียร์สอง ก่อนที่หนังจะเฉลยว่า แอนเทียร์หนึ่งซึ่งไม่ใช่ ‘ใคร ๆ ก็คือแอน’ เพราะทุกคนรู้ดีว่านี่คือ มินนี่ ปันปัน อิงค์วรันธร หรือวี วีโอเลต พวกเธอมาจากไอจีของคนที่แอนอยากเป็น ใบหน้ามหาชนจึงเป็นภาพแทน ‘ใบหน้าในฝัน’ ใบหน้าที่สมบูรณ์พร้อม  ขณะที่แอนเทียร์สอง บรรดาแอนนักแสดงหญิงจากแวดวงหนังอิสระ ซึ่งโดยมากคือแอนในห้อง แอนที่ไม่ได้ออกไปข้างนอก แอนที่เจ็บปวดและโดนสะกดจิตซ้ำไปซ้ำมา หนังเฉลยอย่างเกือบจะทื่อมะลื่อว่าหลาย ๆ แอนอาจคือแอน ‘แอคหลุม’ แอนที่ปลอมแปลงตัวเองเป็นคนอื่น แอนเทียร์หนึ่งเป็นภาพฝันที่ต้องการเปิดเผยให้ผู้คนมาสอดส่อง หากปิดลับตัวตนที่แท้จริงเอาไว้  ขณะที่แอนเทียร์สองกลายเป็นแอนที่ปิดลับ เพื่อเปิดเผยความดำมืด ความโกรธเกรี้ยว ความทุกข์ ความปวดร้าวในจิตใจ 

และหากใบหน้าของแอนคือ ทัศนียภาพหรือพื้นที่ทางการต่อสู้ของแอน สถานที่เกิดเรื่องก็เป็นทัศนียภาพที่สำคัญเช่นกัน การที่หนังสร้าง ‘ทัศนียภาพทางใจ’ ให้เป็นอะไรที่อยู่ตรงกลางระหว่างโรงพยาบาล/โรงแรม ไปจนถึงภาพกว้างที่บอกว่านี่คือเรือสำราญลอยเท้งเต้งกลางทะเลนั้น ก็เข้ากันดีกับสภาวะภายในของแอนที่อยู่ในพื้นที่ที่หนีไม่ได้ ออกจากห้องก็มาเจอตึก ดาดฟ้าตึกทำให้รู้ว่าเป็นเรือ และเรือลอยกลางมหาสมุทร ทัศนียภาพตัดขาดจากทุกความมั่นคง

แต่ยังไม่พอ หนังยังทำให้แอนเป็นเพียง ‘ตัวละคร’ ของกองถ่ายที่ถ่ายทำแอนอยู่ แอนทุกแอนจึงเป็น ‘ชีวิตการแสดง’ ที่ไม่ได้หมายถึงการเป็นนักแสดง แต่คือการรับบททุกบทในชีวิต แม้แต่แอนในจิตใจของแอนก็เป็นเพียงสิ่งที่แอนต้องแสดง แบบที่เราต้องแสดงเพื่อปฏิสัมพันธ์กับโลก ในฐานะ ลูก คนไข้ เกมเมอร์ เพื่อน อินฟลูเอนเซอร์ คนรัก และในฐานะตัวเอง ในแง่นี้ ‘พื้นที่’ ในแอนจึงแชร์ไอเดียวร่วมกับ ‘พื้นที่’ ใน แต่เพียงผู้เดียว พื้นที่ที่เป็นของคนอื่นและถูกลักลอบเข้าไปใช้ ไปจนถึง ‘ผี’ ที่หนังตั้งคำถามว่าถ้าผียึดติอยู่กับพื้นที่ ถ้าพื้นที่นั้นเปลี่ยนแปลงไป ผีจะหายไปด้วยหรือไม่ อาคารของแอนเป็นเพียงพื้นที่ที่ไม่มีจริงพอ ๆ กับมีจริง ผู้อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมมอบความหมายให้พื้นที่และดึงคืนไปได้ด้วย พื้นที่ของเรา ประเทศของเราจึงเป็นของเราพอ ๆ กับไม่เป็นของเรา เป็นเจ้าของพอ ๆ กับเป็นผู้เช่า แบบที่อ.ธเนศ วงศ์ยานนนาวาเคยพูดไว้

‘พื้นที่ที่เราได้เป็นตัวเองจริง ๆ’ จึงดูจะเป็นพื้นที่ที่ไม่มีอยู่จริงมากกว่าพื้นที่ใดในโลก ในฉากเดียวของหนังที่พาแอนและผู้ชมออกนอกอาคาร คือการที่แอนคนที่หลบหนีออกไปได้ ตื่นจากความฝันอยู่ในทัศนียภาพงดงามริมทะเลกับหนุ่มรุ่นพี่ (แต่หากมองไกล ๆ เราจะเห็นเรือสำราญอยู่ที่เส้นขอบฟ้า) แอนที่เมื่ออยู่กับแม่ก็เป็นแอนที่เจ็บปวดเก็บกดไม่แพ้แอนในห้อง เมื่ออยู่กับหมอก็อาจจะต่อต้านท้าทายหมอขึ้นมานิดหน่อย แอนบอกว่าการอยู่กับรุ่นพี่เป็นช่วงเวลาเดียวที่แอนได้เป็นตัวเอง แล้วรุ่นพี่ก็ถามกลับว่า แล้วปกติไม่เป็นตัวเองหรือ หรือพื้นที่ของการเป็นตัวเองอย่างแท้จริงเป็นเพืยงพื้นที่ในจินตนาการที่เป็นข้ออ้างต่อพื้นที่ในชีวิตที่ไม่อาจควบคุม เพื่อหลบหนีจากความจริงว่า ‘no-where we belong’ ที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของฉัน บ้าน คลินิก โรงเรียน ไม่ใช่ที่ของฉัน แต่ฉันไม่แน่ใจว่าที่ไหนที่ใช่ ตอนนี้ใช้ริมทะเลกับเธอไปพลาง ๆ ก่อน ก่อนที่แอนจะกลับมายังที่ของแอน ที่ที่มีแต่ตัวเองมากจนล้นเกิน

พื้นที่ที่ได้เป็น ‘ตัวเอง’ กลายเป็นเป้าหมายเท่า ๆ กับเป็นคำสั่ง เมื่อหมอพยายามบอกแอนว่า “คุณต้องหาตัวเองให้เจอ” ใบหน้าจะได้หยุดเปลี่ยนจะได้เป็นตัวเอง หรือจะได้เป็น ‘ตัวจริง’ เป็นผู้รอดชีวิตจากการถูกเวติโกฆ่า ในฉากหนึ่งแอนและแอนค้นพบห้องของแอน ห้องที่เต็มไปด้วยเด็กสาวท่องบทสนทนารอเวลาจะถูกเลือกไปเป็นแอน การกลายเป็นตัวจริงด้วยเป็นตัวเองด้วย ในทางหนึ่งเสียดสีวัฒธรรมป๊อปไอดอล ซึ่งจริง ๆ ไอเดียเริ่มแรกของหนังก็มาจากการร่วมงานกับวงป๊อปไอดอลนี้ ที่ทุกคนมีโอกาสเท่ากันบนเวที เต้นไปพร้อมกันในท่าทางเดียวกัน แต่มีคนเดียวที่จะถูกเลือกเป็นเซ็นเตอร์ มีกล้องจ้องจับ เต้นเหมือนกันอย่างไม่เหมือนกัน 

การเป็นตัวจริงในฉากนี้ ทำให้นึกถึงฉากหนึ่งใน Resident Evil สักภาค เมื่อตัวละครหลักของ Milla Jovovich บุกเข้าไปในรังของ Umbrella สำเร็จ และเธอพบว่ามีตัวเธอ-ในชุดแบบเดียวกับเธอ-อยู่อีกเป็นร้อยเป็นพันในสต็อกของโรงงาน ตัวเธอเหล่านั้นเป็น clone ของเธอที่เป็น ‘ตัวจริง’ หรือที่จริงแล้วเธอต่างหากที่เป็น ‘clone’ ในโลกที่ทุกคนแสวงหาความเป็นตัวจริง เป็นตัวแท้ แต่ไม่มีตัวจริงเหลืออยู่อีกแล้ว ตัวจริงที่เป็นตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เพราะแม้แต่การแสวงหาทางออกผ่านทางการ ‘ทำไม่เหมือนเดิม ผลลัพธ์จะไม่เหมือนเดิม’ ก็เป็นเพียงบทที่ทุกคนท่องจำ ไม่ใช่การตระหนักรู้จากภายใน 

เช่นเดียวกับหนังเรื่องอื่น ๆ ของคงเดช เราอาจมองหนังผ่านบริบททางการเมืองได้อยู่ไม่น้อย ผ่านทางองค์ประกอบบาง ๆ เช่น การปล่อยให้ตัวละครฟังข่าวเกี่ยวกับการประท้วงของคณะนักเรียนเลวที่ประกอบขึ้นจากบรรดานักเรียนชั้นมัธยม ซึ่งมีเป้าหมายการประท้วงกระทรวงศึกษาธิการในประเด็นการจัดการการศึกษาที่บ้าแต่ระเบียบและพิธีการ การประท้วงของนักเรียนเลวเป็นส่วนหนึ่งของม็อบใหญ่ที่เรียกร้องประชาธิปไตยและเสรีภาพในการพูดมาตลอดช่วงปี 2020 แอนในโลกจริงนั่งฟังข่าวนี้พลางเล่นมือถือ แอนอาจเป็นหนึ่งในขบวนนักเรียนเลว การประท้วงโบว์ขาวหรืออะไรก็ตามแต่ หนังก็อาจพูดถึงแรงกดทางการเมืองที่ระเบิดออก เมื่อบรรดาแอนที่ถูกกักขัง ถูกสะกดจิต ถูกทำให้เหมือนกัน ลุกขึ้นมาต่อสู้กับเวติโก เพราะถ้าเราทำเหมือนเดิม ผลลัพธ์ก็จะเหมือนเดิม แต่ถ้าเราทำไม่เหมือนเดิม ผลลัพธ์จะไม่เหมือนเดิม

ในแง่ดี ความตายซ้ำ ๆ ของแอนหมายเลขหนึ่ง สอง และสาม ก็เป็นเหมือนกับบรรดาเด็กที่ถูกลักพาตัวมาฆ่าในหนังเรื่อง  Blackphone (2022) ซึ่งว่าด้วยเด็กชายคนหนึ่งโดนฆาตกรโรคจิตลักพาตัวมาขังไว้ในห้อง กลางดึกคืนนั้นเด็กชายได้รับโทรศัพท์ลึกลับจากโทรศัพท์บ้านที่ไม่ได้ต่อสายไว้ในห้อง มันเป็นเสียงจากเหยื่อคนก่อน ๆ ที่โดนลักพามา เสียงนั้นเล่าถึงวิธีที่พวกเขาต่อสู้พ่ายแพ้และตาย เด็กชายฟังและเรียนรู้จากผีของผู้มาก่อนเพื่อหาทางหนีออกไปจากห้อง คนหนุ่มสาวเรียนรู้จากผู้ล้มเหลวก่อนหน้า ต่อสู้ ล้มเหลวให้ดีขึ้น เพื่อจะสู้ใหม่ ล้มเหลวให้ดีกว่าเดิมจนกว่าจะสำเร็จ แอนเรียนรู้จากแอนว่าทำไม่เหมือนเดิม ผลลัพธ์จะต่างไป วิธีต่อสู้กับเวติโกส่วนหนึ่งก็ประกอบขึ้นจากการถูกมันฆ่าซ้ำ ๆ จนกระทั่งแอนคนหนึ่งพบว่าเวติโกไม่ใช่ผีปีศาจ แต่เวติโกก็ ‘เป็นคนเหมือนกัน’

อย่างไรก็ตาม หนังไม่ได้เลือกที่จะเป็นหนังการเมืองที่บันทึกการต่อสู้ของเด็กวัยรุ่นกับผู้ปกครอง (แม้ฉากแอน…โทนีที่กลายเป็นพ่อที่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความล่มสลายทางใจของแอน จะมีนัยยะทางการเมืองที่ตลกมาก) หากหนังเลือกให้คู่ต่อสู้ของแอนคือแอน เมื่อเวติโกไม่ใช่แค่คนเหมือนกัน แต่เป็นแอนเหมือนกันต่างหาก เวติโกฆ่าแอนคนอื่นเพื่อให้ตัวเองเป็นแอนที่รอด เป็น ‘ตัวจริง’ และเป็น ‘ตัวเอง’ การต่อสู้ของแอนจึงถูกทอนความเป็นการเมืองลงไปจนเหลือแค่การต่อสู้กับตัวเอง ฉากอันแสนประหลาดของการกลับมาปะทะของแอนคนสุดท้ายที่ไม่อยากเป็นแอนตัวจริงและไม่อยากเป็นแอนอีกแล้ว กับแอนในฐานะของเวติโก กลายเป็นการปะทะกันของสภาวะ depressive สุดขั้ว กับ maniac สุดขั้ว และนำไปสู่บทสรุปรวบรัดที่ลดทอนความหมายอื่น ๆ ไปให้จำกัดเป็นเพียงหนังของจิตที่แตกยับของเด็กวัยรุ่นและทอนความเป็นไปได้ของมันลงไปอย่างน่าเสียดาย

ถึงที่สุดมันจึงกลายเป็นว่า แอนนั้นเป็นนักต่อสู้ และเธอต่อสู้กับตัวเองเพื่อที่จะเป็นตัวของตัวเองโดยที่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรคือตัวเอง ถ้าใบหน้าของเธอหยุดเปลี่ยน มันจะหยุดที่ใบหน้าที่แท้จริงหรือใบหน้าที่มีแต่กระดูกหัวกวางของเวติโก ปัญหาของแอนที่อาจจะเป็นปัญหาของหนังในการพูดถึงสปิริตของวัยรุ่นร่วมสมัยไปด้วยคือ แอนอาจจะเป็นนักต่อสู้ แต่แอนไม่ใช่นักต่อต้าน 

ศัตรูของแอนอาจไม่ใช่เวติโก และไม่ใช่แอน บางทีศัตรูของแอนอาจคือหมอและพยาบาล คนที่กำหนดให้แอนต้องเป็นแอน คนที่รื้อฟื้นเอาประสบการณ์ของแอนขึ้นมา แอนบอกว่าหมอก็เป็นสิ่งที่แอนสร้างขึ้น แต่หมอไม่ได้มาจากแอน หมออาจจะเป็นแอนอีกคนหนึ่งในความหมายหนึ่ง แต่หมอมาจากโลกข้างนอกของแอน  หมออาจคือผลลัพธ์ของพ่อแม่ ครู  สังคม แรงกดที่แอนเข้าใจว่าเป็นผู้ช่วย แอนสร้างหมอขึ้นมาเพื่อให้เป็นผู้ควบคุมที่แท้ หมอคือคนที่ในที่สุดแอนยอมตามจนต้องทำลายตัวตนของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า การที่หนังไม่ให้แอนต่อต้านหมอ ทำให้แอนกลายเป็นเพียงภาพร่างของการแตกสลายของเด็กสาว ที่มองจากสายตาห่วงใยอาลัยของผู้เป็นพ่อ เป็นหมอ และเป็นผู้ชม ยิ่งเมื่อหนังเลือกใส่ภาพโฮมวิดีโอของคงเดชเองที่เขาถ่ายครอบครัวเอาไว้ มาเป็นภาพความทรงจำไม่ปะติดปะต่อ มันยิ่งทำให้หนังไม่ได้พูดเรื่องของเด็กสาวร่วมสมัย แต่พูดแทนเด็กสาวเหล่านั้นจากสายตาของคนอีกวัยหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหนังที่ทะเยอทะยานมาก ๆ ทั้งในการคิดไอเดียตั้งต้น วิธีการ และเทคนิคต่าง ๆ หนังละเอียดลออในการเล่า และพาหนังไทยอออกจากวังวนเดิมไปสู่สิ่งใหม่ที่คาดเดาได้ยาก ไม่ว่าหนังจะพาเรื่องเล่าของมันไปได้ไกลแค่ไหน หรือประสบความสำเร็จหรือไม่ มันก็เป็นหนังไทยที่น่าตื่นเต้นที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบหลายปี 

หาก Where We Belong ตั้งคำถามว่า ที่ตรงไหนจะเป็นที่ที่เป็นของเรา The Faces of Anne ก็ตั้งคำถามใหม่ว่า ในที่แห่งนั้น ไม่ว่าคือที่ไหน เราจะได้เป็นส่วนหนึ่งของมันจริงไหม แม้แต่ในใจของเราที่กลายเป็นเรือสำราญร้างกลางมหาสมุทร เราจะ Belong กับตัวเราหรือไม่? หรือให้ใหญ่กว่านั้นคือเราจำเป็นต้อง Belong กับสิ่งใดด้วยอย่างนั้นหรือ? 

She-Hulk: Attorney At Law (นางยักษ์: เพราะเป็นยักษ์หรือเพราะเป็นนาง)

เจนนิเฟอร์ วอลเทอร์ส ทนายสาวมั่น บังเอิญได้รับเลือดของ บรูซ แบนเนอร์ ญาติสนิท เจ้าของสมญาฮัลค์ยักษ์เขียวจอมพลังแห่งทีมอเวนเจอร์ส อุบัติเหตุเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล นางยักษ์ตนใหม่ถือกำเนิดพร้อมพลังอันยิ่งใหญ่และความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งที่เธอไม่เคยต้องการ เจนกลับเข้าสังคมด้วยทักษะการควบคุมร่างได้ดั่งใจนึก ผดุงความยุติธรรมด้วยกฎหมายอย่างที่เธอต้องการ ปัญหาก็คือ ไม่ใช่ทุกคนที่จะพึงใจกับนางยักษ์เขียวและเจนในคราวเดียวกัน โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่มักจะลำบากใจเรื่องการดำรงอยู่ของผู้หญิงที่ทรงพลัง

ตลกร้าย ความอึดอัดใจของพวกชายแท้ในจักรวาลมาร์เวล ส่งออกมาถึงพวกชายแท้นอกจอได้ราวกับพวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบาน

She-Hulk: Attorney At Law เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ข้อสังเกตที่ว่า “มาร์เวลสตูดิโอจะบ้าบิ่นเป็นพิเศษในกระบวนการผลิตเนื้อหาที่เป็นซีรีส์” ได้รับการยืนยัน เช่นเดียวกับที่ WandaVision ใช้ครึ่งซีซั่นในการบูชาละครซิตคอม การฉายภาพความปั่นป่วนภายในของผู้มีปัญหาสุขภาพจิตอย่างเข้มข้นใน Moon Knight และชีวิตช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเด็กสาวมุสลิมใน Ms. Marvel สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของที่แฟนหนังมาร์เวลยินดีจะตีตั๋วเข้าไปดูในโรงหนัง แม้จะมีชิ้นส่วนของจักรวาลอันยิ่งใหญ่แฝงฝังไว้มากแค่ไหนก็ตาม หรือต่อให้ She-Hulk มีหนังใหญ่ฉายโรงเป็นของตัวเอง ชะตากรรมด้านรายได้และเสียงตอบรับของมันก็อาจจะไม่ได้หนีรุ่นพี่อย่าง Captain Marvel และ Black Widow เท่าไรนัก

คำถามก็คือ อะไรเล่าที่ทำให้มาร์เวลสตูดิโอตัดสินใจสร้างซีรีส์นางยักษ์เขียวผู้แสนจะมั่นหน้ามั่นโหนกคนนี้ขึ้นมาในยุคที่ผู้ชมทนเห็นการสำแดงพลังหญิง (หรือกลุ่มเชื้อชาติที่ไม่ใช่คนขาว) โดยที่อดใจไม่บ่นถึงความโว้กแทบไม่ได้ พวกเขาจะสร้างซีรีส์ว่าด้วยผู้หญิงโมโหร้ายขึ้นมาทำไม ในเมื่อค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่น้อย ๆ และแฟนมาร์เวลจำนวนหนึ่งก็ไม่ได้ปลื้มผู้หญิงที่ไม่น่ารักแบบนี้อยู่แล้ว

มีอะไรที่พวกเขายังไม่ได้พูดไปในหนังผู้หญิง ๆ พวกนั้น

“ฉันก็คุมอารมณ์อยู่ทุกวัน เพราะถ้าไม่ทำก็โดนตราหน้าว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ หรือเอาใจยาก หรือไม่ก็โดนฆ่าตาย”

She-Hulk พูดผ่านปากของเจน วอลเทอร์ส (Tatiana Maslany) ว่าการควบคุมอารมณ์ไม่ใช่พลังวิเศษ แต่เป็นคุณสมบัติทั่วไปที่มนุษย์พึงมี ผู้ชายที่ไม่ควบคุมอารมณ์อาจจะมีภาพเป็นคนเลือดร้อน หรือเป็นจอมพลังผู้แสนจะตรงไปตรงมาแบบฮัลค์ แต่ผู้หญิงที่ไม่ควบคุมอารมณ์อาจจะเป็นได้แค่จอมดราม่า หรือที่แย่กว่านั้นความผิดอาจจะไปตกอยู่กับฮอร์โมน คลื่นความอึดอัดใจลูกแรกมาจากการที่เจนตอกหน้าบรูซ (และอาจจะผู้ชายอื่น ๆ ที่รับชมอยู่หน้าจอ) ว่าพลังวิเศษของเขามันไม่ได้พิเศษอย่างที่คิดกัน วิชาการเป็นฮัลค์ที่เขาอุตส่าห์ตั้งใจสอนก็เป็นได้เพียง Mansplaining (การที่ผู้ชายอธิบาย – หรือฉอด – สิ่งที่คนเขาก็เห็นกันชัด ๆ อยู่แล้ว ด้วยความภูมิใจแบบผู้ชาย แน่นอนว่าบทความนี้เขียนโดยผู้ชาย คุณจะนับมันรวมเข้าไปด้วยก็ได้) หนำซ้ำเธอยังปฏิเสธพลังเหนือมนุษย์ราวกับมันเป็นโรคร้าย และยืนยันจะผดุงความยุติธรรมด้วยวิธีที่สามัญที่สุดอย่างการต่อสู้ในชั้นศาล

ทนายวอลเทอร์สจึงเป็นได้ทั้งนางยักษ์ตัวเขียวในจักรวาลหนัง และนางยักษ์สำหรับ “แฟนบอย” ในโลกจริง เธอพูดจาเป็นเหตุเป็นผลมากเกินไป ใช้วิธีการที่ดูเป็นมนุษย์มนาเกินไป ความสมเหตุสมผลในระดับนี้ไม่เป็นที่ต้อนรับในจักรวาลที่มีฮีโร่นับสิบนับร้อย ซึ่งใช้พลังเกินมนุษย์กับวิธีคิดวิธีตัดสินใจที่น่ากังขาเพื่อดูแลการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ จุดยืนของชีฮัลค์ไม่ใช่สิ่งที่แฟนหนังฮีโร่ที่ต้องการความบันเทิงเบาสมองเรียกร้อง แต่พวกเขาก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะมาร์เวลจับเอาความสมบูรณ์แบบในการรับชมจักรวาล (หรือพหุจักรวาล) ของพวกเขาไว้เป็นตัวประกัน

“ผู้หญิงอย่างเรานี่ต่อให้ทำดีแค่ไหน พวกผู้ชายที่มีอินเทอร์เน็ตมันก็จะบอกว่ามันเก่งกว่าอยู่ดี”

ลำพังแค่ฉากรวมพลังฮีโร่หญิงใน Avengers: Endgame ก็เคืองหัวใจแฟนบอยจะแย่ She-Hulk พาเราไปไกลกว่านั้นด้วยการนำเสนอผู้ชายเกือบทั้งหมดในเรื่องให้กลายเป็นตัวปัญหา ทั้งปัญหาแบบโจ่งแจ้งอย่างผู้ชายมั่นหน้าที่ชอบพูดจาข่มผู้หญิง แอคหลุมในอินเทอร์เน็ตที่ไม่พอใจเวลาเป็นผู้หญิงโดดเด่นจนเล่นสกปรก คนอมตะที่เดินออกจากความสัมพันธ์ด้วยการแกล้งตาย ไปจนถึงตัวปัญหาที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอย่างผู้ชายที่เดทกับเจนเพื่อผลประโยชน์ และเจ้านายที่จ้างหรือเลิกจ้างเธอโดยใช้สถานะยอดมนุษย์เป็นเกณฑ์ 

ความน่ากลัวของ Intelligencia ไม่ใช่การที่มันเป็นกลุ่มรวมตัวร้ายที่ฉลาดที่สุดหรือแข็งแกร่งที่สุด แต่มันคือกลุ่มผู้ชายที่ทนเห็นผู้หญิงได้ดิบได้ดีไม่ไหวจนต้องรวมมือกันทำลาย น่ากลัวตรงที่มันสมจริง พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปตามโซเชียลเน็ทเวิร์ก ก่อความเสียหายได้จริงและเป็นความเสียหายแบบถาวรด้วยเครื่องมืออย่างการถล่มรีวิว เอาทัวร์ไปลง และข้อความประทุษร้ายนานา โดยที่ผู้เสียหายไม่อาจตอบโต้โดยไม่ถูกตราหน้าว่า “ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์” ได้เลย

ผู้ชายใจดีจำพวกเดียวที่ปรากฏในเรื่องคือ กลุ่มตัวร้ายกลับใจที่ค่ายบำบัดของเอมิล (Abomination) และแมต เมอร์ด็อก ตลกดีพวกผู้ชายที่เข้าอกเข้าใจผู้หญิงมาก ๆ คือพวกคนที่ละอัตตา เลิกสมาทานความแข็งแกร่งแบบเดิม ๆ ไปแล้ว และผู้ชายตาบอด กลับกันผู้หญิงร้ายมาก ๆ อย่างไททาเนียคือคนที่ทำให้ผู้หญิงต้องตั้งคำถามกับตัวตนของตัวเอง ทั้งด้วยการขโมยชื่อไปใช้และการโหมโฆษณาดีชีวิตดี ๆ ผ่านโซเชียลเน็ทเวิร์กอย่างไม่หยุดหย่อน

เอาเข้าจริง ปัญหาภัยความมั่นในเรื่องนี้เกี่ยวโยงเข้ากับชีวิตจริงของพวกเราได้มากกว่าผู้ร้ายข้ามมิติเสียอีก

“ฉันต้องไปคุยกับเควินเดี๋ยวนี้”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วคนที่มาร์เวลอยากจะสื่อสารด้วยก็คือผู้ชาย และมันจะเป็นเช่นนั้นต่อไป ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ การหยิบเอาลูกเล่นการทำลายกำแพงที่สี่อันเป็นเอกลักษณ์ของชีฮัลค์มารับใช้สารของตัวเรื่องถือเป็นทางเลือกที่เข้าท่าไม่น้อย มันคือวิธีการที่ทำให้สตูดิโอหันมาสบตากับผู้ชมตรง ๆ และบอกว่าพวกเขารับรู้ถึงความไม่พอใจได้มากน้อยแค่ไหน “แต่ฉันไม่แคร์ นี่คือเรื่องราวของฉัน” แม้แต่ลูกรักตัวทำเงินของดิสนีย์ก็ยังรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างกับกระแสต้านโว้กในหมู่แฟน ๆ

ฉากทำลายเพดานเละเทะในตอนสุดท้ายของซีรีส์ถือได้ว่าเป็นการแสดงความกล้าหาญครั้งแรก (และน่าจะครั้งเดียว) ที่มาร์เวลภายใต้การชี้นำของเควิน ไฟกี ได้ประกาศต่อแฟน ๆ แล้วว่า จักรวาลของพวกเขากว้างใหญ่เกินกว่าจะให้พวกชายแท้ผูกขาดไว้กับตัวเองแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าสุดท้าย ถ้อยแถลงนี้อาจเป็นได้เพียงแค่ลูกเล่นโหนกระแสชั่วครั้งชั่วคราวก่อนที่จะกลับไปผลิตเนื้อหาแมน ๆ ตามเดิม การแหกกรอบชั่วคราวออกมาชำแหละตัวเองในครั้งนี้ก็ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจและทิ้งคำถามสำคัญเอาไว้ให้กับบรรดาแฟนบอยทั้งหลายไปขบคิดกันต่อว่า พวกเขาจะพึงพอใจต่อไปได้อีกนานแค่ไหน กับสูตรสำเร็จหนังฮีโร่ที่ใช้กันมาเป็นสิบปีในหนังกว่าสามสิบเรื่องที่ผ่านมา

และลองทบทวนตัวเองอีกครั้งถึงสิ่งที่ทำให้ซีรีส์นางยักษ์เขียวขัดเคืองใจพวกเขาเหลือเกิน ว่าคือการที่ยอดมนุษย์ไม่ให้คุณค่ากับการต่อสู้พิทักษ์โลก 

หรือการต้องทนดูผู้หญิงต่อสู้เพื่อตัวเองในแบบที่เธอเลือก?

POPRAN : สูญสิ้นความเป็นชาย

0

*หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์

หนึ่งในข่าวมโนสาเร่ในช่วงนั้นคือ ข่าวปลาบินได้ ที่พบเห็นทั่วไปในญี่ปุ่น ไม่มีใครจับมันได้ หรือเห็นรูปทรงมันจริง ๆ เห็นเป็นเพียงบางอย่างที่บินอย่างว่องไวผ่านหน้าไปที่ตรงนั้นตรงนี้

ทัตสึยะเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี หน้าที่การงานเยี่ยม เขาเป็นเจ้าของแอปพลิเคชั่นอ่านการ์ตูนออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จนมีนิตยสารมาขอสัมภาษณ์และพยายามขุดคุ้ยเรื่องที่เขาทิ้งเพื่อนที่ร่วมคิดแแอปนี้ด้วยกันมา ทิ้งลูกเมียและพ่อแม่ไว้ที่บ้านนอกมาประสบความสำเร็จอยู่คนเดียว แน่นอนว่าเขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

คืนนั้นเขาไปปาร์ตี้ ได้สาวสวยคนหนึ่งกลับมาด้วย พอตื่นเช้าลุกไปฉี่ เขาก็พบว่า กระปู๋ของเขาหายไปทั้งยวง! เหลือเพียงช่องเปิดสำหรับขับถ่ายเท่านั้น

หมอไม่มีคำตอบให้ แต่ไม่นานเขาก็พบชมรมลับของคนกระปู๋หายที่ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว และพบความจริงว่านับจากเวลาที่มันหลุดออกเขา มีเวลาหกวันนับจากวันในการตามหาไล่จับและส่งกลับคืนที่ หากไม่ทันเวลา กระปู๋บินจะตาย พวกเขาจะกลายเป็นชายไร้กระปู๋ที่ต้องนั่งฉี่ ไม่ก็ใช้ถ้วยช่วยปกปิดไปตลอดกาล ส่วนการตามหานั้นไม่ได้มีอะไรยากเย็น พวกเขาแค่กลับไปยังที่ที่คุ้นเคย ที่ที่พวกเขาฝันเห็นในคืนที่มันหายไป ที่ที่มีความสำคัญต่อพวกเขาจริง ๆ จงไปตามหากระปู๋และแก้ไขสิ่งผิดของตน ทัตสึยะจึงต้องออกเดินทางตามหากระปู๋ที่หายไป ด้วยการกลับไปหาเพื่อนเก่า อดีตภรรยา และพ่อแม่ของตน

กล่าวตามสัตย์ หนังเล่าเรื่องได้ลื่นไหลและสนุกสนานกับมุกต่าง ๆ นานาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ในฐานะหนังเรียบ ๆ ง่าย ๆ หนังมั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองเล่า และมีเซนส์ความขบขันที่น่าทึ่ง กระนั้น แม้พลอตตั้งต้นจะดูหวือหวา ทะลึ่งทะเล้น แต่ก็เดาได้ไม่ยากหลังจากหนังออกตัวไปสักพักว่านี่คือหนังว่าด้วยผู้ชายที่ตามหาตัวเอง คนที่กู้ความเป็นชายของตนคืนด้วยการกลับไปรับผิด ขอโทษ และคืนดีกับอดีตของตนเอง

เราจึงบอกได้ว่านี่คือหนังของผู้ชายที่สูญสิ้นความเป็นชาย และได้โอกาสในการกลับมาใคร่ครวญความเห็นแก่ตัวชั่วร้ายของตนเองที่เคยทำไว้ต่อคนรอบข้างทั้งในฐานะเพื่อน สามี และลูก ความเป็นชายที่กดทับตัวผู้ชายเองผ่านทางความกระหายอยากชื่อเสียง ความสำเร็จ จนมองคนอื่น ๆ เป็นเพียงผู้แพ้ ภาระ และบาดแผล

แต่นี่เป็นหนังของชายแท้ โดยชายแท้ และเพื่อชายแท้ การสูญสิ้นความเป็นชายจึงไม่ใช่สภาวะของการต้องเจ็บปวดจากความเป็นชายของตน หรือเข้าใจว่าโลกชายเป็นใหญ่ทำอะไรกับชีวิตของตนและคนรอบข้าง สำนึกบาปและเข้าอกเข้าใจ หากหนังทั้งเรื่องคือการพยายามตามความเป็นชายของตัวเองคืนกลับด้วยวิธีการที่เห็นแก่ตัวพอ ๆ กันกับตอนที่เขาทิ้งไป ผู้ชายกลับมาเพื่อผลประโยชน์ของตน สะสางเรื่องติดค้างในอดีตและหวังว่าจะได้แก้ไขความผิดพลาด ‘เฉพาะ’ ของตัวเอง เขาไม่ได้ทำเพื่ออีกฝ่ายมากไปกว่าทำเพื่อหวังว่าจะเจอกระปู๋ของตน จะได้กลับมาเป็นชายสมชาย และเรื่องน่าขายหน้าพวกนี้จะได้สิ้นสุดลง

การสูญสิ้นความเป็นชายจึงกลายเป็นเพียงรูปแบบการสรรเสริญความเป็นชายที่มีกระปู๋เป็นศูนย์กลาง โดยตัวละครผู้นิยมการมูฟออน ก้าวข้าม ผ่านพ้น เฉพาะแต่ตัวเอง โดยไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายอยากจะก้าวข้ามหรือแคร์การก้าวข้ามนั้นหรือไม่ หากการก้าวข้ามของตนนั้นชอบธรรมแล้ว

มันจึงเป็นเรื่องงดงาม เมื่อเขาถูกเพื่อนเก่าชกหน้าที่พอดังก็แยกวง แต่กระนั้น สิ่งที่เขาได้รับไม่ใช่ความรู้สึกผิดบาป หากกลับได้อุดมการณ์ของนักอ่านการ์ตูนที่เขาทำหายคืน ต่อมาเมื่อภรรยาเก่าบอกเขาว่าอย่ามาที่นี่อีก กลายเป็นว่าสิ่งที่เขารับมาไม่ใช่การถูกหยามหมิ่น แต่คือการได้เสียสละตัวเอง จากไปเพื่อให้คนที่รักเขาได้มีชีวิตที่ดีที่ไม่มีเขา นั่นยิ่งกลายเป็นการขัดถูความเป็นชายให้เรืองรองมากขึ้น โดยหนังไม่ให้เวลากับความรู้สึกผิดที่ทิ้งไป ความเจ็บปวดที่ไม่อาจเยียวยาใด ๆ นอกจากเพียง “กระปู๋ของกูอยู่ไหน”

แต่มันถึงจุดสูงสุดเมื่อเขากลับมาบ้าน เพื่อเผชิญหน้ากับความเป็นชายที่เหนือกว่าเขา นั่นคือพ่อของเขาเอง ในฉากนี้แม่ถูกผลักออกไปเป็นเพียงตัวประกอบ เป็นที่พักพิงที่จะรอคอยเขาเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ทำกับข้าว ดูแลห้องหับและเป็นล่ามระหว่างเขากับพ่อที่ห่างเหินกันประสาพ่อลูกแบบเอเชีย แม่ไม่มีส่วนร่วมในการตามหากระปู๋ แม่เป็นแม่และเป็นได้แค่แม่เท่านั้น

ฉากสำคัญของเรื่องจึงเป็นกิจกรรมพ่อลูกผูกพันในการตามความเป็นชายคืนกลับ ด้วยการช่วยกันตามจับปู๋บิน เหตุการณ์ที่เป็นการร่วมหวนรำลึกวันชื่นคืนสุขของพ่อลูกที่ตอนนี้ไม่พูดกันแล้ว การไม่แสดงความรักแบบผู้ชายกีดกันทั้งคู่ออกจากกัน แต่ทั้งคู่ไม่ได้เรียนรู้ว่าสิ่งนั้นคือปัญหา แต่ที่เรียนรู้คือเรามาแสดงออกถึงความรักต่อกันแบบผู้ชายผู้ชาย ด้วยการได้กลับมาเป็นพันธมิตรแบบรบเคียงบ่าเคียงไหล่ของพ่อลูก หันหลังชนกันเพื่อต่อสู้

ออกจะน่าขันที่การต่อสู้ของพวกเขาไม่ใช่การกู้โลก แต่คือการไล่จับความเป็นชาย มันจึงเป็นเรื่องของผู้ชาย ออกไปเรียนรู้ความผิดพลาดจากความเป็นชายแบบเดิม เพื่อจะยังคงเป็นผู้ชายที่ครองอำนาจนำแบบเดิม แม่กลายเป็นแม่แบบเดิม เมียกลายเป็นเมียเก่าแบบเดิม มีแต่เขาเท่านั้นที่ได้เรียนรู้ความเป็นชายแท้ ผ่านทางการสูญสิ้่นความเป็นชาย เพื่อที่จะเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัวในแบบที่ดีกว่าเดิม

Severance (Season 1) : เวิร์ก-ร้าย บาลานซ์

จะดีสักแค่ไหน หากเราทำมาหาเลี้ยงชีพได้โดยไม่มีปัญหาชีวิตส่วนตัวมาเป็นอุปสรรค และคงจะดียิ่งขึ้นไปอีกหากเราใช้ชีวิตส่วนตัวได้โดยไม่มีปัญหาจากงานที่รักตามกลับมากวนใจที่บ้าน สมดุลระหว่างชีวิตและการงาน (Work-Life Balance) เป็นวิถีชีวิตในอุดมคติที่ถูกยกมาพูดถึงกันอย่างหนาหูตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 2010 และจะยังคงถูกพูดถึงต่อไปอีกนาน ในโลกที่ฝืดเคืองเสียจนผลตอบแทนจากการทำงานแบบสู้ตายถวายชีวิตไม่คุ้มกันกับค่าซ่อมแซมร่างกายและจิตใจที่เสียหาย

ในอนาคตอันใกล้ Lumon Indystry ค้นพบเทคโนโลยีที่จะทำให้อุดมคตินี้เป็นจริง พวกเขาเรียกมันว่า ‘การแยกโลก’ (Severance) พนักงานส่วนหนึ่งของบริษัทยินยอมปลูกถ่ายเทคโนโลยีนี้ และย้ายลงไปทำงานในชั้นใต้ดินของบริษัท ทุกคนที่อยู่ในชั้นแยกโลกจะเริ่มงานด้วยการลงลิฟต์ตามเวลาที่กำหนด และลืมตาขึ้นมาพบว่าเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงได้ผ่านไปแล้วโดยไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับงานเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้มีแต่ได้กับได้ บริษัทได้งานจากพนักงานที่ไม่มีชีวิตส่วนตัวมากวนใจ พนักงานได้ค่าตอบแทนโดยไม่มีงานที่รักตามกลับมารบกวนชีวิตประจำวัน แต่ในขณะที่เทคโนโลยีแยกโลกเป็นวาระเข้าสภาเพื่อพิจารณาให้มีกฎหมายรับรองการเอาออกมาใช้ในโลกภายนอก มีคนจำนวนไม่น้อยต่อต้านมันในฐานะการกระทำที่ผิดต่อมนุษยธรรมอย่างรุนแรง

นี่คือเรื่องราวพื้นหลังของ Severance ซีรีส์ระทึกขวัญว่าด้วยชีวิต การงาน และความเป็นมนุษย์ของ Apple TV+ ที่ชวนให้ขบว่าใครคือผู้รับประโยชน์สูงสุดจากแนวคิด Work-Life Balance ผ่านสายตาของ ‘มาร์ก เอส’ หัวหน้าคนใหม่แห่งแผนกคัดกรองข้อมูลมหภาค และ ‘มาร์ก สเกาต์’ ชายจมทุกข์ที่ใช้งานเป็นเครื่องมือในการหลบหนีความโศกเศร้าวันละ 8 ชั่วโมง

สิ่งที่บริษัทลูมอนจงใจไม่บอกเล่าต่อสาธารณะคือ รายละเอียดของงานในชั้นแยกโลก และระเบียบปฏิบัติของบรรดาพนักงาน ความลับทางธุรกิจเป็นเรื่องที่อาจจะพอทำความเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ความลับแบบไหนกันที่บริษัทยักษ์จำเป็นต้องทำถึงขั้นห่มคลุมชีวิตของพนักงานเอาไว้ใต้ม่านของความลับทางธุรกิจและระบบรักษาความปลอดภัยแบบเต็มขั้น

ในวันแรกของการทำงาน ทุกคนจะตื่นขึ้นมาในห้องปริศนาโดยไม่มีความทรงจำใด ๆ เกี่ยวกับตัวตนของตัวเอง สิ่งเดียวที่ยืนยันว่าพวกเขามีตัวตนอยู่จริงบนโลกคือวิดีโอที่ ‘คนนอก’ อัดเก็บไว้ให้เป็นคำอธิบาย พนักงานทุกคนต้องทำงานที่ตัวเองไม่รู้รายละเอียดอะไรนัก นอกจากว่ามัน “สำคัญต่อโลก” กฎและศาสนาเดียวที่มีในชั้นใต้ดินแห่งนี้คือ หลักคิดของ เคียร์ อีแกน บิดาผู้ก่อตั้งบริษัท การนำสิ่งใดออกไปข้างนอกและนำเข้าสิ่งของจากภายนอกถือเป็นข้อห้ามสูงสุด คนที่ทำงานได้ตามเป้าจะได้รับรางวัลเป็นการเฉลิมฉลองเล็ก ๆ ภายในแผนก ส่วนคนที่กระทำความผิดจะถูกลงโทษโดยการส่งเข้าห้องปรับทัศนคติ

และเมื่อถึงเวลาเลิกงาน ทุกคนต้องขึ้นลิฟต์เพื่อลืมตาขึ้นมาเจอเวลาเข้างานของวันใหม่ วงจรชีวิตของพนักงานในชั้นพิเศษของลูมอน คือชั่วโมงแห่งการทำงานที่ถูกร้อยติดกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงวันเกษียณ ไม่มีใครมีปัญหาอะไรกับงานในชั้นแยกโลก จนกระทั่งวันหนึ่งที่มีการประกาศว่าหัวหน้าของมาร์กลาออกกะทันหัน และ เฮลลี่ อาร์ พนักงานใหม่ถูกส่งลงมาแทนที่เขา นับแต่นั้น เวิร์ก-ไลฟ์ บาลานซ์ของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างไม่อาจหวนกลับ

นโยบายชั้นแยกโลกของลูมอน ชวนให้คิดถึงหลักคิดสมดุลการทำงานและชีวิตในมุมที่ไม่มีใครพูดถึง นั่นคือ มันไม่ใช่แค่ฝันดีสำหรับเราคนทำงานเท่านั้น แต่มันเป็นฝันดีของนายทุนในโลกทุนนิยมเสรีด้วย ไม่มีอะไรที่จะรักษาประสิทธิภาพในการทำงานและแก้ปัญหาเรื่องความภักดีต่อองค์กรที่เปลี่ยนไปของคนในยุคนี้ได้ดีเท่ากับการทำให้พนักงาน “เชื่อ” ว่าพวกเขาเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองโดยสมบูรณ์


นโยบายชั้นแยกโลกของลูมอน ชวนให้คิดถึงหลักคิดสมดุลการทำงานและชีวิตในมุมที่ไม่มีใครพูดถึง นั่นคือ มันไม่ใช่แค่ฝันดีสำหรับเราคนทำงานเท่านั้น แต่มันเป็นฝันดีของนายทุนในโลกทุนนิยมเสรีด้วย ไม่มีอะไรที่จะรักษาประสิทธิภาพในการทำงานและแก้ปัญหาเรื่องความภักดีต่อองค์กรที่เปลี่ยนไปของคนในยุคนี้ได้ดีเท่ากับการทำให้พนักงาน “เชื่อ” ว่าพวกเขาเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองโดยสมบูรณ์ แม้ว่าอันที่จริงแล้ว ชีวิตนอกที่ทำงานของพวกเขาจะถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบต่อชีวิตในเวลาทำงานด้วยก็ตาม

ตัวซีรีส์นำเสนอเรื่องนี้ผ่านปฏิกิริยาต่อต้านของมาร์ก (Adam Scott) ที่มีต่อกลุ่มผู้ประท้วงกระบวนการแยกโลก ในชั้นหนึ่งเขาแสดงออกเพื่อปกป้องการตัดสินใจของตัวเอง แต่ในอีกชั้นหนึ่ง เขาก็ปกป้องคนในของเขาในฐานะทรัพยากรของบริษัท เป็นทรัพยากรที่ก็ “น่าจะ” มีชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่มีทุกข์ร้อนวุ่นวายอะไรอย่างที่ผู้ประท้วงพูดกัน – แต่คำพูดของเขาจะไปมีน้ำหนักอะไร ในเมื่อเขาเองก็ไม่ใช่ประจักษ์พยานที่รู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากลงลิฟต์ไปทำงาน

สิ่งที่น่าสนใจอีกประการก็คือ การใช้คำเรียกพนักงานคนเดียวกันที่อยู่ในเวลาทำงานกับนอกเวลาทำงานว่า “คนใน” กับ “คนนอก” (Innies กับ Outies) มันเหมือนเป็นการยอมรับกลาย ๆ ว่ากระบวนการแยกโลกนั้นทำได้มากกว่าการแยกงานออกจากชีวิตส่วนตัว คนในไม่ใช่ส่วนหนึ่งในชีวิตของคนนอก แต่เป็นทรัพย์สินของบริษัท สำนึกเรื่องคนใน-คนนอกฉีกแยกมนุษย์คนหนึ่งออกเป็นสองตัวตนโดยสมบูรณ์ สำหรับมาร์ก สเกาต์ คนในของเขาเป็นเพียง 8 ชั่วโมงที่บริษัทขอซื้อไปจากเขา อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะได้พบกับ พีตี้ (Yul Vazquez) ชายที่อ้างตัวว่าเป็นอดีตพนักงานที่เสี่ยงตาย “รวมโลก” กลับคืนมา การปรากฏตัวของพีตี้เป็นเหมือนปริศนาชิ้นแรกที่ทำให้ทั้งเขาและคนดูเริ่มคิด ว่าอะไรกันแน่ที่ใช้นิยามว่าตัวตนหนึ่งเป็นมนุษย์หนึ่งคน และพวกเขากำลังขายอะไรให้บริษัทกันแน่

อีกตัวละครหนึ่งที่ทำให้คำถามนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นคือ ฮาร์โมนี คอร์เบล (Patricia Arquett – Boyhood, Broadwalk Empire) ผู้อำนวยการใจโหดแห่งชั้นใต้ดิน เธอมีอีกตัวตนเป็นหญิงชราใจดีที่อาศัยอยู่ข้างบ้านมาร์กด้วยเหตุผลบางอย่าง ศรัทธาอันแรงกล้าที่เธอมีต่อเคียร์ ทำให้เธอเป็นมือเท้าให้บริษัทโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีล้ำสมัย คอร์เบลเป็นเหมือนด้านกลับของมาร์กกับเพื่อน ๆ ในแผนกคัดกรองข้อมูลมหภาค เธอมีอำนาจในตัวเองอย่างเต็มที่ มีอิสระมากที่สุดในพื้นที่แห่งการควบคุม แต่เลือกที่จะอุทิศชีวิตนอกเวลางานให้กับบริษัทโดยไม่สนว่ามันจะมีค่ามากมากน้อยแค่ไหนในสายตาของบอร์ดบริหาร คำถามก็คือ เจตจำนงเสรีนั้นเสรีแค่ไหนเมื่อมนุษย์คนหนึ่งเลือกบูชาการทำงานเหนือสิ่งอื่นใด

Severance ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนภาพฝันแรงงานออฟฟิศให้กลายเป็นนรกด้วยการออกแบบงานสร้างที่ยอดเยี่ยม ทั้งห้องทำงานที่มีบรรยากาศคล้ายลานกว้างน่าขนลุก คอกพนักงานและอุปกรณ์สำนักงานที่ดูเหมือนของเล่น โถงทางเดินยาวสีขาวที่วกวนราวกับเขาวงกต และภาพเขียนคลาสสิกเชิดชูผู้ก่อตั้งบริษัท การออกแบบงานสร้างของ Jeremy Hindle เป็นส่วนสำคัญของตัวซีรีส์ พอ ๆ กับบทของ Dan Erickson และการกำกับที่น่าจับตาของ Ben Stiller (อำนวยการสร้างและกำกับ 6 จาก 9 ตอน) เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่คอยหล่อเลี้ยงการผจญภัยของมาร์ก เฮลลี่ ดีแลนและเออร์วิงแห่งแผนกคัดกรองข้อมูลมหภาคให้น่าติดตาม พร้อมกับทิ้งคำถามสำคัญให้เราได้ขบคิดกันต่อว่าอำนาจการซื้อของทุนนิยมเสรีเต็มขั้นจะไปได้ไกลแค่ไหน เมื่อมันอำพรางตัวเองมาในรูปแบบของชีวิตที่ดี และเจตจำนงเสรีจะเติบโตได้อย่างไรในสำนักงานปิดทึบที่ไม่อนุญาตให้สิ่งใดเล็ดลอดเข้าไป

แม้กระทั่งความทรงจำส่วนตัว

มายาพิศวง : เมื่อชีวิตทั้งหกตามหาผู้กำกับ ‘การแสดง’

0

‘การที่ แม่ ตะโกนใส่ผู้กำกับ ยังแสดงให้เห็นถึงคุณค่าพิเศษของรูปแบบทางศิลปะ กล่าวคือ เป็นรูปแบบที่ไม่ห่อหุ้มชีวิต และไม่ทำลายชีวิต และชีวิตก็ไม่สึกหรอ’ – Luigi Pirandillo  

จากคำนำผู้ประพันธ์ที่เขียนขึ้นในปี 1925 หลังจากละครออกแสดงครั้งแรกในปี 1921 ที่กรุงโรม และเราควรเริ่มต้นจากคำนำของผู้ประพันธ์ ที่เป็นเสมือนข้อวิพากษ์ต่อละครที่เขาเขียนขึ้น ละครที่เล่าเรื่องข้อวิพากษ์ตัวละครมีต่อผู้ประพันธ์ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้คำนำชิ้นนี้เป็นการอรรถาธิบายตัวบทที่ต่อต้านตัวบท และกลายเป็นตัวบทใหม่ซ้อนตัวบทเดิมที่วิพากษ์การเมืองของการเป็นตัวบท 

ในความซับซ้อนนี้เราควรกลับไปเริ่มที่ตัวบท

มันเกิดขึ้นในโรงละครแห่งหนึ่ง ผู้กำกับการแสดงกำลังง่วนกับละครเรื่องใหม่ ระหว่างเตรียมซ้อมรอนักแสดง ก็มีคนหกคนเดินเข้ามาในโรงละคร พวกเขาไม่มีชื่อ มีแต่ตำแหน่งแห่งที่ในชุดความสัมพันธ์ภายในของพวกเขาเอง พวกเขาคือพ่อ แม่ ลูกชาย ลูกเลี้ยง เด็กหญิงและเด็กชาย

พวกเขาอ้างว่ามาตามหานักประพันธ์ ที่เขียนชีวิตของพวกเขาขึ้นแต่ไม่ยอมนำพวกเขาออกมาใช้ชีวิต พวกเขาอยากมีชีวิต แต่ชีวิตมีขึ้นได้ผ่านการแสดงเรื่องราวของพวกเขาออกมาเท่าน้ัน พวกเขาจึงมาตามหานักประพันธ์ แต่เมื่อไม่มีนักประพันธ์พวกเขาก็ตัดสินใจจะเล่าเรื่องของพวกเขาให้ผู้กำกับละครฟัง เพื่อให้ผู้กำกับเอาไปทำละครเรื่องใหม่ เอาไปแสดง และพวกเขาจะได้ใช้ชีวิต การเป็นตัวละครทำให้พวกเขาเป็นนิรันดร์ ในแง่ที่ว่า เมื่อมีการอ่านใหม่ พวกเขาจะยังคงเหมือนเดิม อายุเท่าเดิมพูดและทำแบบเดิม แต่ถ้ามันไม่ถูกอ่าน /ไม่ถูกแสดง พวกเขาก็ไม่มีความหมาย มีชีวิตแต่ไม่ถูกใช้ แล้วพวกเขาก็เริ่มเล่าเรื่อง

เรื่องของพวกเขาคือเรื่องของครอบครัวผิดประหลาด แม่ที่คบชู้และพ่อที่เก็บลูกชายไว้ ไล่แม่ไปอยู่กับชู้รักจนมีลูกเต้าด้วยกัน จนเมื่อชายคนรักของแม่ตาย และลูกสาวของแม่โตเต็มวัย โชคชะตาก็บังเอิญให้พวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง แม่ผู้ตกระกำลำบากไม่รู้ว่าลูกสาวขายตัว แม่พาลูก ๆ กลับเข้ามาในบ้าน กลับมาหาลูกชายเฉยชาที่เธอทิ้งไป และนำไปสู่โศกนาฏกรรม 

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องทั้งหมดของเรื่อง เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นแค่การเล่าของตัวละคร เรื่องที่แท้จริงคือผู้กำกับที่สนใจเรื่องเล่านั้น เขาอยากทดลองละครแบบใหม่ ๆ จากเรื่องเล่านั้น แต่ใช้นักแสดงของเขาแทน ตัวละครพากันหัวเราะเยาะนักแสดงเมื่อเริ่มซ้อม เพราะนั่นไม่เหมือนพวกเขาเอาเสียเลย แต่นั่นคือจุดที่ศิลปะแตกต่างจากชีวิต มันเป็นเรื่องเล่า (ลืมไปเสียว่ามันเปลี่ยนจากชีวิตมาเป็นบทประพันธ์ก่อน) จากนั้นบทประพันธ์ถูกสร้างเป็นละคร /ภาพยนตร์ แต่ละขั้นตอนมีช่องว่างที่ทาบทับกันไม่สนิท ศิลปะจึงไม่ใช่ชีวิต ห่อหุ้มไม่ได้ ทำลายไม่ลง และบทละครสำรวจช่องว่างระหว่างกันของสิ่งเหล่านั้นมากกว่าสนใจเรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง บทประพันธ์ชิ้นนี้จึงเป็นการเมืองของการดัดแปลงมากกว่าการดัดแปลง  และเมื่อมันถูกนำมาดัดแปลง ไม่ใช่แค่แสดง แต่ดัดแปลงจากละครเวทีมาเป็นภาพยนตร์ และในภาพยนตร์ยังเป็นการถ่ายภาพยนตร์ไม่ใช่การแสดงละครเวที มันจึงยิ่งเป็นการดัดแปลงการเมืองของการดัดแปลง ไม่ใช่แค่ข้ามสื่อ แต่ยังข้ามทวีป ข้ามภาษาและข้ามเวลาเสียด้วยซ้ำ

ในที่สุดมันกลายเป็นงานชิ้นสุดท้ายของ มล. พันธุ์เทวนพ เทวกุล ว่ากันว่าบทละครนี้เป็นหนึ่งในบทละครที่เขารักที่สุด หม่อมน้อยทำงานมาอย่างยาวนาน ทั้งในแวดวงละครเวที ภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ เป็นครูผู้สอนการแสดง เป็นคนทำหนังที่ใช้เวลาในช่วงทศวรรษสุดท้ายไปกับการทำหนังที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ เขากลายเป็นผู้กำกับที่นักแสดงตามหาขึ้นมาจริง ๆ เพราะประพันธกรตายลงแล้ว ทั้งตายจริงและตายเมื่อการดัดแปลงเริ่มต้นขึ้น หม่อมน้อยกลับมาหางานดัดแปลงที่กลายเป็นทั้งการกลับไปทำงานที่รัก และเป็นข้อสรุป อย่างน้อยก็กับชีวิตในช่วงท้ายของเขาเอง ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในวันแรกที่หนังออกฉาย 

ดังเช่นที่เราควรพูดถึงหนังของหม่อมน้อยในยุคดัดแปลงวรรณกรรมมาตลอด หนังดัดแปลงของหม่อมห้าเรื่องสุดท้ายที่ประกอบด้วย ชั่วฟ้าดินสลาย (ดัดแปลงจากนิยายของ มาลัย ชูพินิจ) อุโมงค์ผาเมือง (ดัดแปลงจากเรื่องสั้นสองเรื่องของ อะคุตะงาวะ และภาพยนตร์ของคุโรซาวา (ที่ก็ดัดแปลงเรื่องสั้นสองเรื่องนั้นมาเหมือนกัน) จัน ดารา 1 และ 2 (ดัดแปลงจากนิยายของ อุษณา เพลิงธรรม) แผลเก่า (ดัดแปลงจากนิยายของ ไม้ เมืองเดิม และหนังของ เชิด ทรงศรี) และ แม่เบี้ย (ดัดแปลงจากนิยายของ วาณิช จรุงกิจอนันต์) งานในยุคนี้ยกเว้น ‘แม่เบี้ย’ ล้วนเป็นการดัดแปลงที่น่าสนใจ เมื่อหนังแทบทุกเรื่องถูกชักพาไปอยู่ในบริบทช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และกลายเป็นหนังที่วิพากษ์วิจารณ์คณะราษฎร หรือฟากฝั่งประชาธิปไตยจากสายตาฝั่งอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว ภาพแทนของการกระหายประชาธิปไตยกลายเป็นภาพของหญิงร่านรักที่สร้างปัญหาให้กับโครงสร้างสังคมแบบดั้งเดิม เพศกลายเป็นการเมือง และการพยายามรักษาตำแหน่งแห่งที่ดั้งเดิมของสังคมศักดินา จะเว้นก็แต่แม่เบี้ยที่เป็นหนังร่วมสมัยเต็มตัว 

หากใน มายาพิศวง หนังเรื่องสุดท้ายนี้ มันกลับกลายเป็นการผลิบานของทุกความหลงใหลที่ผ่านมา การเมืองถูกผลักออกไปให้พื้นที่กับศิลปะ ตั้งแต่การดัดแปลงบทละครเวที ความเป็นละครเวที /ภาพยนตร์ แฟชั่นยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง กลิ่นอายแบบยุโรป ศิลปะการแสดง และถึงที่สุดความหมกมุ่นที่มีต่อศิลปะการแสดง ทุกอย่างถูกนำมาใช้ในหนังเรื่องนี้อย่างไม่ประนีประนอมต่อผู้ชมอีกต่อไป

ใน ‘มายาพิศวง’ หนังเรื่องสุดท้ายนี้ มันกลับกลายเป็นการผลิบานของทุกความหลงใหลที่ผ่านมา การเมืองถูกผลักออกไปให้พื้นที่กับศิลปะ ตั้งแต่การดัดแปลงบทละครเวที ความเป็นละครเวที /ภาพยนตร์ แฟชั่นยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง กลิ่นอายแบบยุโรป ศิลปะการแสดง และถึงที่สุดความหมกมุ่นที่มีต่อศิลปะการแสดง ทุกอย่างถูกนำมาใช้ในหนังเรื่องนี้อย่างไม่ประนีประนอมต่อผู้ชมอีกต่อไป


แม้ว่าเราไม่อาจบอกได้ว่ามันคือความสำเร็จหรือล้มเหลว แต่ที่เราพอจะยืนยันได้แน่นอนคือ นี่เป็นหนังไทยแบบที่ ‘แปลก แหลกแนว ไม่ซ้ำแบบใคร’ ตามที่ตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องพูดกับผู้กำกับโดยแน่แท้ ฉากหลังทั้งหมดเกิดในโรงถ่ายซึ่งเป็น ‘ดินแดนไร้สถานที่และกาลเวลา’ เพราะมันคือสนามที่เราจะเนรมิตได้ทั้งพื้นที่ แสง เงา ช่วงเวลา โลกของการถ่ายหนัง (ซึ่งประดักประเดิดมาก ๆ เมื่อปรับจากบริบทต้นเรื่องที่คือละครเวทีที่มีโอกาสและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน) สามารถทำให้อะไร ๆ เกิดขึ้นได้ เราจึงสามารถเห็นตัวละครในเครื่องแต่งกายแบบยุโรปยุคอาณานิคม อยู่ร่วมเฟรมกับทีมงานที่สวมเสื้อหนังเหมือนหลุดมาจากยุค 1970’s ความไร้พื้นที่และกาลเวลาเปลี่ยนทุกข้อจำกัดให้เป็นไปได้ จักรวาลใกล้เคียง (อย่างน้อยก็ในหนังไทย) ที่เราพอจะนึกออกคือ จักรวาลแบบ ‘หอแต๋วแตก’ (แม้จะเป็นการเปรียบเทียบที่ออกจะผิดฝาผิดตัวอยู่สักหน่อย) ที่ตัวละครจะสามารถสวมชุดทำผมอะไรก็ได้ เปลี่ยนชุดกี่ครั้งก็ได้ เดินทางไปไหนอย่างไรก็ได้ โลกที่ความสมจริงถูกกันไว้ข้างนอกตั้งแต่ต้น เพื่อให้สิ่งอื่น ความงามชนิดอื่นได้เจิดจ้าอย่างเต็มที่ ด้วยสุนทรียะบางอย่างที่เชื่อมถึงกัน ‘มายาพิศวง’ กลายเป็นสิ่งที่ ‘หอแต๋วแตก’ อาจจะอยากเป็นแต่เป็นไม่ได้ ทั้งความหรูหราของเครื่องทรง บทสนทนาที่เผ็ดร้อนและตัวละครที่มีจริตจะก้านขั้นสูงสุด หนังสามารถฉายไฟให้ตัวละครตัวหนึ่งได้พูด ดับไฟทั้งฉากลง และทำให้มันสว่างขึ้นมาใหม่ เทคนิคแบบละครเวทีขับเน้นความไม่สมจริงในความเป็นภาพยนตร์ ทำให้มันข้นขึ้นและเป็นเหมือนโลกครึ่งฝันมากกว่าจริง

ยิ่งไปกว่านั้น หลาย ๆ องค์ประกอบในหนังชวนให้หวนคิดไปถึงบรรดาหนังอาร์ตจากยุโรปหลายต่อหลายเรื่อง หนังกลายเป็นการคารวะความหอมหวานของศิลปะภาพยนตร์และการเนรมิตขึ้นมาใหม่ ตั้งแต่การที่ มาริโอ้ เมาเร่อ ในฐานะผู้กำกับไว้หนวดสวมแจ็กเก็ตหนัง ภาพที่ชวนให้นึกถึง ไรเนอร์ แวร์เนอร์ ฟาสบินเดอร์ (Reiner Werner Fassbinder) คนทำหนังชาวเยอรมัน หนำซ้ำยังมีหุ่นลองเสื้อสองตัวปรากฏในหนังที่ทำให้นึกถึงหนังที่เกือบจะเป็นละครเวทีอย่าง The Bitter Tears of Petra von Kant จะว่าไปฟาสบินเดอร์ก็มีบางอย่างคล้ายกับหม่อมน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เป็นคนทำหนังเท่า ๆ กับการเป็นคนทำละครเวที ในขณะที่ตัวละครแม่ที่รับบทโดย แอฟ ทักษอร กับลูกเล็กทั้งสองของเธอในชุดกะลาสีก็ชวนให้ระลึกนึกถึงภาพยนตร์กึ่งอัตชีวประวัติของ อิงมาร์ เบิร์กแมน (Ingmar Bergman) คนทำหนังชาวสวีเดน อย่าง Fanny and Alexander ซึ่งพลอตหนังสองเรื่องนี้ก็พ้องพานกันอย่างน่าสนใจ เพราะมันคือเรื่องของพี่สาวน้องชายที่ต้องระหกระเหินตามแม่ไปอยู่กับพ่อเลี้ยงที่เป็นบาทหลวงเลือดเย็น หลังจากพ่อแท้ ๆ ที่เป็นศิลปินนั้นตายลง มิพักต้องคิดว่าตัวเบิร์กแมนก็เป็นอีกคนที่ทำงานในส่วนของภาพยนตร์เท่า ๆ กับกำกับละครเวที และ Fanny and Alexander ก็บรรจุความหลงใหลที่ตัวเขามีต่อศิลปะการละครและภาพยนตร์อย่างเต็มที่ 

The Bitter Tears of Petra von Kant

Fanny and Alexander

ฝั่งนักแสดงที่ในหนังถูกทำให้เป็นเพียงผู้ชม เป็นหุ่นนิ่งที่โพส ถ้าจ้องมองตัวละครเล่าเรื่องก็ชวนให้นึกถึงหนังอย่าง India Song ของ มาร์เกอริต ดูราส (Marguerite Duras) หนังที่พูดถึงเรื่องรักของบรรดาตัวละครในสถานกงสุลแห่งเมืองกัลกัตตา ในหนังเรื่องนี้ดูราสกำกับนักแสดงโดยไม่ให้นักแสดงแสดง นักแสดงทำเพียงฟังเสียงคำสั่งแล้วทำตาม เต้นรำ เดินจากซ้ายไปขวา นั่งนิ่ง ๆ เหม่อลอย หยุดยืน ล้มลงนอน โพสท่า เดิน พวกเขาและเธอไม่แม้แต่ต้องพูด เพราะหนังเล่าด้วยเสียงเล่าจากคนนอกฉาก เสียงเล่าที่มากกว่าหนึ่งเสียง ทั้งพูดแทนและวิพากษ์วิจารณ์ 

‘มายาพิศวง’ เลยกลายเป็นหนังที่รับเอาวิธีการของ India Song มาใช้ ขณะเดียวกันก็ยืนอยู่ตรงฝั่งข้ามกับ India Song เพราะหนึ่งในประเด็นหลักของหนังคือ ‘การแสดง’ นักแสดงยืนเป็นหุ่นลองเสื้อ เพื่อจะรอซึมซับเรื่องราวและลุกขึ้นมาแสดง

India Song

แต่การแสดงไม่ใช่การทำตามความจริง สิ่งที่บทประพันธ์ถากถางและหม่อมน้อยสำรวจคือ ช่องว่างระหว่างความจริงกับการแสดง เพราะผู้กำกับบอกแก่ตัวละครว่า ต่อให้เรื่องของพวกเขาเป็นจริง มันก็ออกแสดงไม่ได้ มันต้องถูกปั้นแต่งเสียก่อน แบบที่หม่อมน้อยปั้นแต่งบทประพันธ์ด้วยรสนิยมทางภาพ เสียงและแฟชั่นแบบหม่อมน้อยเสียก่อนจะลงมือเล่า การที่หนังฉายภาพการแสดงแข็งแห้งประดักประเดิดของนักแสดงกลายเป็นทั้งการเสียดเย้ยทั้งโลกภาพยนตร์และตัวเอง ยิ่งเมื่อผู้กำกับบอกว่า “เขาไม่ได้มาดูเรื่องราวของพวกคุณ เขามาดูดาราของผมต่างหาก” ยิ่งทำให้หนังกลายเป็นหนังแห่งการโบยตีตัวเอง เพราะหนัง ‘มายาพิศวง’ นี่เต็มไปด้วยพาเหรดดารา หรือพูดให้กว้างกว่านั้น เราสามารถใช้ดาราและบทบาทของพวกเขามาเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงหนังของหม่อมน้อยทั้งชุดได้ด้วยซ้ำ 

เพราะแม้โครงเรื่องทั้งหมดแทบจะคัดลอกตามบทประพันธ์ต้นฉบับเปลี่ยนก็เพียงให้เหตุการณ์เกิดในไทย และบ้านของตัวละครย้ายไปนครสวรรค์ แต่เมื่อเราลองวางโครงเรื่องของเรื่องนี้ทาบลงบนงานกลุ่มสุดท้ายของหม่อมน้อย มันกลับทาบทับกันได้อย่างเหลือเชื่อ เมื่อตัวละครผู้กำกับรับบทโดยมาริโอ้ เมาเร่อ ที่เคยรับบทเป็นพระใน ‘อุโมงค์ผาเมือง’ ผู้มีหน้าที่รับฟังความจริงหลายชุดจากคนตัดฟืน ชายหน้าผีและเรื่องเล่าของนักรบกับเมียและโจรป่า หากคราวนี้กลายเป็นตัวละครทั้งหกแทน ในขณะที่ตัวละครพ่อที่รับบทโดย ศักราช ฤกษ์ธำรง อีกหนึ่งขาประจำของหม่อมน้อย และผูกขาดบท ‘พ่อ’ ผู้ปกครอง (ยกเว้นใน ‘ชั่วฟ้าดินสลาย’ ที่เขาได้บทรองลงมา) และเรื่องราวของพ่อ แม่ และ นทีชู้รัก ก็เป็นพลอตเดียวกันกับพลอตของ ‘ชั่วฟ้าดินสลาย’ เมื่อเขายกหญิงคนรักให้กับเลขา ให้เขาและเธอไปอยู่ด้วยกัน หากบทยุพดีกลับไม่ใช่บทของแอฟ ทักษอร ที่เล่นเป็นแม่ แต่กลับเป็นบทลูกเลี้ยงของ แพนเค้ก เขมนิจ บทหญิงร่านก่อเรื่องที่เป็นบทหลักในหนังหม่อมน้อยชุดนี้เกือบทั้งหมด แต่แพนเค้กไม่ได้เป็นแค่ยุพดี / เมียนักรบ หรือคุณบุญเลื่อง เธอยังเป็น ‘จัน’ จาก ‘จัน ดารา’ เพราะบทของเธอคือคนที่ถูกพ่อใจยักษ์เฉดออกจากบ้าน และกลับมาเพื่อล้างแค้นบิดาตนในบ้านสุดฉาวคาวโลกีย์ (บทพ่อก็รับบทโดยศักราชเช่นกัน) ให้พินาศฉิบหายไปพร้อม ๆ กัน

ยิ่งไปกว่านั้น แพนเค้กจริง ๆ ถือว่าเป็นดาราที่สำคัญที่สุดในเรื่องในแง่ที่ว่านอกจากเป็นนักแสดง เธอก็มีเวอร์ชั่น ‘ตัวละคร’ ของตัวเองด้วย นั่นคือแพนเค้กที่ถูกใช้เป็นไอดอลให้กับโก๊ะตี๋ในบท ‘อีแพงเค้ก’ ของ ‘หอแต๋วแตก’ เธอมีประวัติศาสตร์ของการก้าวข้ามเส้นระหว่างการเป็นนักแสดงและตัวละครพอ ๆ กับบรรดา ‘ตัวละคร’ ในหนัง และเธอเคยแม้แต่ล้อตัวเธอเองที่เป็นตัวละครมาแล้วในหนังอย่าง พจมาน สว่างคาตา กล่าวให้ถูกต้องแพนเค้กจึงเหมาะที่สุดในการรับบทตัวละครที่ยิ่งกว่าตัวละคร – ที่มาเพื่อวิพากษ์การแสดงเป็นตัวเธอ- ของนักแสดงในฐานะตัวละครในหนังเรื่องนี้

ถึงที่สุด หนังพาผู้ชมกลับไปคุยกับวิธีการที่ศิลปินสร้างสรรค์งานขึ้น ผ่านทางฉากที่เขียนเพิ่มขึ้นมา ในตอนจบของบทละคร หลังเรื่องดำเนินมาถึงจุดสุดท้าย หลังจากการถกเถียงระหว่างตัวละครทั้งหกและนักแสดงที่อาจจะต้องมารับบทตัวละครว่าความตายเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ผู้กำกับก็ตะโกนขึ้นมาว่า 

เรื่องแต่ง! เรื่องจริง! ไปตายห่ากันให้หมด! เปิดไฟ!  เปิดไฟ! 

แต่นี่ไม่ใช่บทสรุปของหม่อมน้อยผู้ที่เชื่อในการแสดง ในการใช้ช่องว่างระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องแต่ง (ในหลายกรณีคือเรื่องแต่งชนิดหนึ่งกับการละครและการแสดง) และหวังว่า การปั้นแต่งใหม่จะช่วยทำให้ความจริงปรากฏขึ้นอย่างเข้มข้นขึ้น เข้าใจได้มากขึ้น สวยงามมากขึ้น หากข้อความสุดท้ายที่เหมือนผู้กำกับจู่ ๆ จะเข้าใจถึงจิตวิญญาณมนุษย์ในตัวละครจึงเป็นได้ทั้งการยืนยันวิถีของตัวหม่อมน้อยเอง และในทางเดียวกันก็คล้ายคำสารภาพของการพลัดตกลงไปในช่องว่างนี้  การเรียนรู้ความ ‘พิศวง’ ของ ‘มายา’ ที่ใช้เวลากันทั้งชีวิต  

นี่ไม่ใช่บทสรุปของหม่อมน้อยผู้ที่เชื่อในการแสดง ในการใช้ช่องว่างระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องแต่ง (ในหลายกรณีคือเรื่องแต่งชนิดหนึ่งกับการละครและการแสดง) และหวังว่า การปั้นแต่งใหม่จะช่วยทำให้ความจริงปรากฏขึ้นอย่างเข้มข้นขึ้น เข้าใจได้มากขึ้น สวยงามมากขึ้น หากข้อความสุดท้ายที่เหมือนผู้กำกับจู่ ๆ จะเข้าใจถึงจิตวิญญาณมนุษย์ในตัวละครจึงเป็นได้ทั้งการยืนยันวิถีของตัวหม่อมน้อยเอง และในทางเดียวกันก็คล้ายคำสารภาพของการพลัดตกลงไปในช่องว่างนี้  การเรียนรู้ความ ‘พิศวง’ ของ ‘มายา’ ที่ใช้เวลากันทั้งชีวิต  


ถึงที่สุด ไม่ว่า ‘มายาพิศวง’ จะสำเร็จหรือล้มเหลวในแง่ของการยืนยันสิ่งที่ตัวเองเชื่อ หรือในแง่ของการดัดแปลงบทประพันธ์ หนังมีอยู่ฉากหนึ่งที่พิเศษที่สุด เป็นฉากที่ไม่อยู่ในบทละครดั้งเดิม และเป็นฉากที่ทั้งน่าตื่นเต้นและน่าขันที่สุด นั่นคือฉากที่ลูกเลี้ยงกลับเข้าไปยั่วพ่อเลี้ยงในบ้านตัวเอง ในฉากนี้ลูกเลี้ยงเปิดเผยส่วนลึกในใจว่าเธอปรารถนาตัวพ่อเลี้ยงนับตั้งแต่ได้พบกันครั้งแรกตอนยังเยาว์​ (แพนเค้กวางท่ายั่วยวนบนตั่งด้วยท่าทางที่ดูผิดสัดส่วนจนออกมาพิลึกพิลั่น) และพ่อ ที่นั่งดูลูกเลี้ยงยั่วยวนตนจากบนเตียง ในมือถือรูปถ่ายคนที่เขาอาจจะรักที่สุดแต่ไม่มีใครรู้ และนั่นไม่ใช่รูปของแม่ แต่เป็นรูปของเลขาหนุ่มชู้รักของภรรยาเขาต่างหาก

ในฉากสั้น ๆ นี้เอง ตัวละครออกจากบทประพันธ์ ไปสู่การเป็นตัวละครของหม่อมน้อย ตัวละครที่เก็บกดความปรารถนาของตัวเองไว้ท่ามกลางโลกแห่งการเปิดเผยความปรารถนา ความปรารถนาที่แท้จริงยังไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ ทั้งหมดจึงเป็นเรื่องเศร้ามากกว่าเรื่องเพศ ตัวละครทั้งหกไม่ได้เป็นแบบทดสอบทางศีลธรรม แต่เป็นมนุษย์ที่ขับเคลื่อนด้วยปราถนาที่ไม่อาจเติมเต็ม การมีอยู่และความประดักประเดิดของฉากนี้ต่างหาก ที่ทำให้ ‘มายา’ ของหม่อมน้อยนั้น พิศวง และยังคงจะพิศวงต่อไป 

กล่าวตามสัตย์ สิ่งที่ผู้กำกับเชื่อ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผ่านการทำให้เป็นศิลปะก่อนนั้น อาจจะเป็นความเชื่อที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้เป็นสัจนิรันดร์ อย่างน้อยศิลปะกับชีวิตก็เคยทั้งหนุนเสริม ต่อต้าน กัดกินทำลายกัน ศิลปะเคยเหยียดหยามชีวิต เคยรับใช้ผเด็จการ ศิลปะเคยตลบแตลง ชีวิตก็เช่นกัน ศิลปะอันปราศจากชีวิตเคยมีบรรจุชีวิต ชีวิตที่ปราศจากศิลปะก็เคยเป็นศิลปะยิ่งกว่าศิลปะ มันจึงเป็นไปตามที่ปิรันเดลโลว่าไว้ ศิลปะไม่ห่อหุ้มชีวิต และไม่ทำลายชีวิต และชีวิตก็ไม่สึกหรอ 


อ่านเพิ่มเติมได้ที่ “การเมืองเรื่องของหญิงร่าน : ว่าด้วยภาพยนตร์ดัดแปลงของหม่อมน้อย” โดย Filmsick

PLAN 75 : DIE TOMORROW

0

ปีนี้คุณอายุ 78 ไม่มีลูกมีหลาน อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวในอะพาร์ตเมนท์เก่า ๆ ที่มีหนังสือแจ้งให้ย้ายออกก่อนหมดปี ถึงจะอายุขนาดนี้คุณยังต้องทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นแม่บ้านในโรงแรม เพื่อนรอบ ๆ ตัวก็เป็นคนอายุวัยไล่เลี่ยกัน ต่างคนต่างอยู่ลำพัง

ในปีนั้นเกิดคดีไล่ฆ่าคนแก่ โดยฆาตกรมีสเตตเมนท์ชัดเจนว่า นี่คือหนทางในการลดภาระค่าใช้จ่ายของประเทศ ลดจำนวนประชากรและทรัพยากรในการดูแล เขาทำเพื่อความสงบสุขของญี่ปุ่น เขาฆ่าตัวตายหลังไล่ฆ่าคนแก่ไปหลายคน นำไปสู่การออกแคมเปญโดยรัฐที่ชื่อว่า แผน 75

กล่าวอย่างง่ายคือ โครงการนี้รับสมัครผู้ที่มีอายุ 75 ปีเพื่อไปตาย ผู้สมัครเข้าโครงการจะได้เงินพิเศษหนึ่งแสนเยนสำหรับการใช้จ่ายฟรี ๆ และเปลี่ยนใจได้ตลอดโครงการ หลังจากเข้าร่วม ทางโครงการจะนัดวันตายให้กับคุณ คุณแค่เตรียมตัวให้พร้อม เดินทางมายังสถานที่ตามเวลาที่กำหนด เข้านอนบนเตียงพร้อมกับสูดดมแก๊ส จากไปอย่างสงบ

คุณคิดว่าไม่มีใครจะเหมาะกับโครงการนี้มากไปกว่าคุณอีก ปราศจากบ่วงห่วงใย ไม่มีมรดกทรัพย์สิน คุณเข้าร่วมโครงการ ระหว่างนั้นคุณก็รอ มีเจ้าหน้าที่โทรมาติดตามพูดคุยทุกวันศุกร์ครั้งละ 15 นาที คุณค่อย ๆ เก็บข้าวของ บอกลา แต่ความตายไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้นแม้จะเป็นความตายที่ได้รับการรับรองโดยรัฐ

ในเดือนกรกฎาคม ปี 2016 ญี่ปุ่นมีคดีสำคัญนั่นคือ การสังหารหมู่ผู้พิการในสถานดูแล Sagamihara*1 คดีสะเทือนขวัญที่มีผู้เสียชีวิต 19 ราย บาดเจ็บอีก 26 รายนี้สะเทือนขวัญกว่าที่คิด เพราะก่อนเกิดเหตุหลายเดือน ชายหนุ่มที่เป็นฆาตกรและอดีตลูกจ้างของสถานพยาบาลแห่งนี้เคยพยายามยื่นจดหมายให้กับโฆษกรัฐบาลของชินโซ อาเบะ แต่ไม่สามารถทำได้ เนื้อความในจดหมายบอกว่า บรรดาผู้พิการเหล่านี้ควรได้รับการกระทำการุณยฆาต เพราะการมีชีวิตของพวกเขาสร้างภาระให้กับผู้ดูแลอย่างใหญ่หลวง การกำจัดผู้คนเหล่านี้จึงเป็นการทำเพื่อ ‘เห็นแก่ญี่ปุ่นและสันติภาพของโลก’ หนังเรื่องนี้เริ่มต้นจากคดีนั้น*2 และรวมเข้ากับวิกฤตสำคัญอีกกรณี นั่นคือปัญหาของสังคมสูงวัย เพราะจากตัวเลขในปี 2020 ประเทศญี่ปุ่นมีประชากรสูงวัยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีสูงถึง 28.7%*3 ซึ่งน่าจะสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก และอาจจะเป็นประเทศแรกของโลกที่ต้องผเชิญกับวิกฤตสังคมสูงวัย

หนังเรื่องนี้จึงเริ่มต้นขึ้นเช่นนั้น เปลี่ยนจากคดีการไล่แทงคนพิการผู้สูงอายุและนำมาซึ่งแคมเปญลดจำนวนประชากรที่มีอายุมากกว่า 75 ปี ที่เป็นเหมือนด้านกลับของแคมเปญสนับสนุนให้ผู้คนมีลูก แต่นี่ไม่ใช่สิ้งใหม่ อย่างน้อยก็ในสังคมญี่ปุ่นที่มีตำนาน Ubatsue*3 อันหมายถึงการเอาหญิงชราไปทิ้ง ซึ่งในอีกความหมายหนึ่งคือ การแบกพ่อแม่ที่แก่เฒ่าขึ้นไปทิ้งให้ตายบนภูเขา แม้ไม่มีหลักฐานปรากฏว่าเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ แต่ก็เป็นตำนานที่สำคัญเรื่องหนึ่งถึงขนาดที่มีคนเอาไปเขียนนิยายและกลายเป็นหนังอย่าง The Ballad of Narayama (1958/1983) ที่เล่าเรื่องของแม่ผู้พยายามหาเมียใหม่ให้ลูกชายและตระเตรียมตัวเองกับการขึ้นไปพบเทพเจ้าแห่งภูเขาในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงตามกฏของหมู่บ้าน ถึงขนาดยอมเลาะฟันตัวเองเพื่อยืนยันว่าแก่เฒ่ามากพอจะขึ้นไปตายบนเขาได้แล้ว ตัวหนังอธิบายบริบทว่าเกิดขึ้่นในสังคมหมู่บ้านที่อดอยากและจะยิ่งลำบากมากขึ้นในฤดูหนาวที่ทำการเกษตรไม่ได้ การพาพ่อแม่ขึ้นไปตายบนเขาเป็นการลดจำนวนประชากร ลดปากท้องที่ต้องดูแล การตายของคนรุ่นพ่อแม่จึงเป็นการตายเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ในยุคที่คำว่าชาติยังไม่ได้ก่อรูปขึ้น

การตายเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ใน Plan 75 ก็เป็นเช่นเดียวกัน มันคือโครงการของรัฐที่สนับสนุนให้คนแก่ลุกออกมาตายเพื่อชาติ ให้ความหมายของการตายในทำนองของการเสียสละเพื่อคนรุ่นหลัง เพียงแต่ไม่ต้องลำบากเดินทางขึ้นไปตายบนภูเขา แค่เพียงลงทะเบียน รับเงิน นัดวัน ทุกคนทำเพื่อชาติได้ พร้อมกับคำขวัญว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะตายได้

หนังติดตามคนแก่อย่างน้อยสองคนที่ลงทะเบียนเข้าโครงการ คนแรกคือ หญิงชราโดดเดี่ยวที่การตายน่าจะคลี่คลายปัญหาของเธอได้ กับชายชราอีกคนหนึ่งที่ตั้งใจมาลงทะเบียนตายในวันเกิดของตัวเอง ในขณะเดียวกันหนังยังตามตัวละครหนุ่มสาวที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้อีกสองสามคน คนแรกคือชายหนุ่มที่ทำหน้าที่รับลงทะเบียน พูดจาโน้มน้าวผู้คนราวกับชักชวนให้ซื้อบ้าน หรือไปรบ จนเขาพบว่าลุงของเขาเป็นคนที่มาสมัครลงทะเบียนกับโครงการ ลุงที่เป็นสมาชิกแกะดำของครอบครัว แม้แต่วันตายของพ่อก็ไม่มา อีกคนเป็นหญิงแม่บ้านชาวฟิลิปปินส์ที่ย้ายจากงานดูแลคนแก่ในบ้านพักคนชรามาเป็นแม่บ้านในโครงการฆ่าคนแก่ ทำงานคัดแยกสมบัติของผู้ตาย เธอมาทำงานที่ญี่ปุ่นเพื่อหาเงินไปดูแลให้ลูกสาวมีชีวิตรอดจากโรคร้าย และคนสุดท้ายคือสาวคอลล์เซนเตอร์ที่ทำหน้าที่อยู่เป็นเพื่อนคนชราที่เข้าร่วมโครงการ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและรับฟังรายละ 15 นาทีต่อสัปดาห์ จนกระทั่งเธอผูกพันกับคุณยายคนที่กำลังจะไปตาย

สิ่งที่น่าสนใจคือแทนที่หนังจะโฟกัสที่ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการุณยฆาต ทั้งในแง่สนับสนุนและต่อต้าน ปัญหาทางการแพทย์ หรือกฏหมาย หรือจริยธรรม หนังกลับเลือกทิ้งไว้เป็นเพียงฉากหลังจางๆ ขณะที่หนังเลือกตัวละครที่เหมาะเจาะที่สุดสำหรับการตัดสินใจยุติชีวิตตัวเอง คนที่ไม่มีอะไรต้องพะวง คนที่ชีวิตยามชรายังต้องดิ้นรนเลี้ยงปากท้องอย่างยากลำบาก ความตายดูจะเป็นทางออกเบ็ดเสร็จทั้งต่อชีวิตในโลกทุนและต่อความสิ้นยินดีในการมีชีวิตอยู่ คนที่ถูกสังคมบีบคั้นให้ตายเพราะเหมาะที่จะตาย แต่ในขณะเดียวกันก็พูดถึงเยื่อใยของมนุษย์ที่มีต่อกันทั้งต่อความตายและการมีชีวิตอยู่

สิ่งที่หนังสนใจคือการจ้องมองชีวิตหลังการเลือกที่จะตาย ช่วงเวลาจากการสมัครเข้าโครงการจนถึงวันที่เราจะขึ้นรถเมล์ไปตาย หนังติดตามไปดูปัญหาของคนสูงวัยที่อาศัยอยู่โดยลำพัง ซึ่งชวนให้ผู้ชมได้จ้องมองความกลัวของตัวเองแบบหน้าตรง หนังมีฉากที่ทรงพลังมาก ๆ เมื่อเธอไปนอนบ้านเพื่อนสนิทที่อยู่ในวัยใกล้ ๆ กัน คุณยายสองคนกินข้าวเย็นแล้วเข้านอน เพื่อนของเธอบอกว่า งั้นคืนนี้ปิดทีวีนอนได้ เพราะมีคนมาอยู่บ้านด้วย ไม่ต้องกังวลเรื่องโจรอีก หลังปิดไฟเธอเอื้อมมือไปจับมือเพื่อนสาวเอาไว้ ถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กันในวันที่ยังทำได้ หรือการติดตามฉากชายหนุ่มไปเยี่ยมเยียนลุงของตนแล้วก็เจอว่าลุงเคยไปมาแล้วทุกที่ ไม่ว่าจะไปไหนก็ไปบริจาคเลือดเพื่อเก็บบัตรบริจาคไว้เป็นคอลเล็กชัน -ตัวคนเดียวอย่างฉันใครจะเรียกไปที่ไหนก็ไปได้ทันที- ชายชราพูดขึ้นโดยหันหลังให้กล้อง ขณะบ่นว่าตอนนี้บัตรบริจาคเลือดกลายเป็นเพียงการ์ดใบเดียวน่าเบื่อไปแล้ว หรือการให้ตัวละครหลักสองตัวได้มีความสุขกับโมงยามท้าย ๆ ของชีวิต ผ่านทางการออกไปเล่นโบว์ลิงกับสาวคอลล์เซนเตอร์ หรือการไปกินอาหารมื้อสุดท้ายกับหลานชาย

อย่างไรก็ดี ความงดงามคือหนังไม่ได้ทำให้ตัวละครหลักของพวกเขาลังเลที่จะตาย พวกเขาเพียงรื่นรมย์กับโมงยามสุดท้ายของชีวิต หลานชายสั่งสาเกให้ขายเฒ่าดื่มเป็นครั้งสุดท้าย ระหว่างทางเขาอ้วกออกมา ไม่ใช่เพราะกลัวตายแต่อาจจะเพราะเมา คนเช่นเขาและเธอถูกทำให้ไม่มีค่าในการมีชีวิต แต่มีค่าในความตาย เราบอกได้หรือไม่ว่านี่คือความตายโดยสมัครใจ ความตายอันแสนสุข หรือเป็นเพียงการตายเพื่อให้พ้นไปจากชีวิตที่ทรมาน และเราจะนับว่านี่คือความตายจากการถูกทำให้ตาย หรือสมัครใจที่จะตายกันแน่

กระนั้นความตายยังคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและชวนหวาดหวั่น ไม่มีความตายที่สงบเพียงพอ ในช่วงท้าย หนังให้ตัวละครได้จ้องมองความตายแบบตรงหน้า ขณะที่ตัวเองกำลังตายเช่นกัน ความตายถูกทำให้ง่าย สะอาดและไม่เจ็บปวด ถึงที่สุดก็คือความตาย ขณะที่ฉายภาพอันอบอุ่นอ่อนโยนของมนุษย์ทั้งในการมีชีวิตและตายไป หนังก็ไม่ได้ทำให้ความตายกลายเป็นความโรแมนติก เพราะความตายมันน่ากลัว ต่อให้ไม่ใช่การนอนติดเตียงในโรงพยาบาล ไม่ใช่การตายอย่างโดดเดี่ยวในห้องปิด หรือตายอย่างน่าเวทนาในอุบัติเหตุ ความตายที่สะอาดที่สุดก็ยังเป็นความตายชนิดหนึ่ง หญิงชราลุกขึ้นมานั่งมองชายชราเตียงข้าง ๆ ค่อย ๆ หมดลมหายใจ ภาพความตายฉายชัดตอนที่เธอเองก็มาตาย

ในทางตรงกันข้าม หนังก็ฉายภาพคนหนุ่มสาวที่อาจจะเห็นดีเห็นงามกับความตาย และความผูกพันที่ก่อขึ้นในใจพวกเขา เพราะเมื่อคนตายเปลี่ยนจากคนที่ไร้ชื่อไร้ใบหน้ามาเป็นมนุษย์คนหนึ่งจริง ๆ คนจริง ๆ ที่มีเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ไม่ใช่เพียงเสียงจากปลายสายหรือชื่อในเอกสาร แต่เป็นคนจริง ๆ ที่มีความทุกข์ ความกลัว ความรักและความโดดเดี่ยวเป็นของตัวเอง หนังให้น้ำหนักกับชายหนุ่มที่แม้จะเกลียดลุงมาตลอด แต่ก็พบว่าความตายของลุงที่เขาไม่ควรใส่ใจกลับรบกวนจิตใจเขาอย่างยิ่ง จนในตอนท้ายเขาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อรักษาเยื่อใยในความเป็นมนุษย์ของตัวเอง หรือแม้แต่หญิงแม่บ้านชาวฟิลิปปินส์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสังคมนี้ เธอมีหน้าที่คัดแยกสิ่งของที่ครั้งหนึ่งมันเคยมีคุณค่าทั้งทางกายและใจต่อผู้คน แต่ตอนนี้ไม่มีความหมาย แรงงานข้ามชาติอย่างเธอได้ประโยชน์จากกิจการความตายนี้เพราะมันคืองานที่มอบเงินให้เธอและลูกสาวได้มีชีวิต ขณะเดียวกันเธอก็พบว่า คนตายกลายเป็นสิ่งของแบบเดียวกันกับที่เธอกำลังคัดแยก

ในฉากหนึ่งชายหนุ่มบอกกับคุณยายว่า ถ้าเลือกการเผารวม คุณยายจะไม่ต้องกันเงินที่ได้ไว้เป็นค่าทำศพ และคุณยายบอกว่าตายไปแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรแล้วนี่นะ ในเวลาต่อมาเขาพบว่าบริษัทที่รับเผาศพสามารถนำเถ้ากระดูกที่ได้ไปถมที่ ผู้คนในหนัง (และในความเป็นจริง) จึงเป็นเพียงวัตถุที่ต้องถูกนำมาใช้ประโยชน์สูงสุดในสายตาของรัฐ ความตายที่รัฐมอบให้ผ่านโฆษณาชวนเชื่อเรื่องการเลือกความตายได้เองจึงไม่ได้เป็นการเลือกโดยเจตจำนงเสรีที่แท้ แต่เป็นการเลือกกึ่งบังคับผ่านทางการหว่านล้อมและการที่สังคมที่บอกกับผู้สูงวัยว่าไปตายได้แล้ว ในฉากหนึ่ง คุณยายพยายามมองหาอะพาร์ตเมนท์ใหม่ แต่ไม่มีนายหน้าคนไหนหาให้ได้เพราะเจ้าของไม่อยากให้คนแก่ที่ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งเข้าอยู่ ไม่นานคุณยายก็โดนไล่ออกจากงานหลังเพื่อนของเธอล้มในที่ทำงาน เพราะพนักงานสูงวัยทำให้เกิดความเสี่ยง โลกทุนบีบให้คนที่หมดประโยชน์ต่อการผลิตต้องออกจากสังคมไปอย่างเงียบ ๆ และรัฐช่วยจัดการให้เป็นไปอย่างถูกกฏหมายอีกชั้นหนึ่ง

หนังยังชวนให้นึกถึงสารคดีเรื่อง Peace (2010, Kazuhiro Soda) ที่ติดตามสองผัวเมียวัยชราที่ทำงานอยู่สถานพยาบาลสำหรับเยี่ยมบ้านคนแก่หรือคนพิการ สามีเป็นคนขับรถรับส่งคนพิการ ส่วนภรรยาเป็นพยาบาลเยี่ยมบ้าน พวกเขาดูแลคุณตาวัย 91 ที่เคยเป็นทหารเก่า ตอนนี้อยู่ในบ้านคนเดียวนอนคอยความตายเพราะเป็นมะเร็งปอด แต่ยังแข็งแรงพร้อมจะกล่าวขอโทษทุกคนที่อาการป่วยของตาทำให้คนอื่นต้องลำบาก หนังเฝ้าสังเกตติดตามสองผัวเมียที่ตัวเองอีกไม่กี่ปีก็จะกลายเป็นผู้ถูกดูแลเสียเอง แต่ที่เศร้าที่สุดคือคุณตาที่อยู่คนเดียวในบ้านแคบ ๆ สกปรก ๆ ยังคงสูบบุหรี่เพราะเป็นความรื่นรมย์เดียวที่เหลืออยู่ ไม่เช่นนั้นก็จะเหลือแค่หายใจเข้า หายใจออก รอความตายไปเรื่อย ๆ ฉากที่รุนแรงมากคือการตามคุณตาที่ดูแข็งแรงไปโรงพยาบาล แล้วไปแอบฟังหมอพยาบาลคุยกันว่า ดูจากสภาพมันน่าจะร้ายแรงแล้ว แต่คุณตายังยิ้มขอบคุณทุกคน พอออกจากโรงพยาบาล คุณตาก็นั่งลงริมถนนและจุดบุหรีสูบทันที มันเหนื่อยมากจริง ๆ ที่การกำลังตายของเรามันยังต้องเป็นภาระของคนอื่น และแน่นอนหนังจบลงพร้อมกับชีวิตของคุณตา

กล่าวตามสัตย์ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นฝั่งสนับสนุนกฏหมายการุณยฆาต อย่างน้อยตัวเองก็หวังว่าจะได้ใช้สิทธิ์ในการเลือกที่จะตายเมื่อเวลามาถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากดูหนังอย่าง Peace ฉากจบของ Plan 75 อาจจะชวนให้ตั้งคำถามเมื่อหนังเลือกเข้าข้างชีวิตที่นึกไม่ออกว่ามันจะดีกว่าความตายสักแค่ไหน แต่สิ่งที่หนังฉายภาพให้เห็นก็ทำให้รู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่งทั้งในฐานะปัจเจกที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายโดยลำพัง เพราะไม่มีใครพาใครไปส่งถึงความตายได้จริง และในฐานะพลเมืองที่ความตายกลายเป็นเครื่องมือของรัฐที่ไม่ใช่แค่อนุญาต หากยังจัดการให้เสร็จสรรพอีกด้วย

หนังที่ดูเหมือนสนใจแค่มนุษย์จำเพาะชื่อจึงวิพากษ์รัฐและการจัดการที่ไม่ได้แตกต่างไปจากกฏหมู่บ้านอันแสนป่าเถื่อนของสังคมชาวนาโบราณใน The Ballad of Narayama มันเป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเครื่องทรงและโฉมหน้า จากการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือว่าการไปตายบนเขาคือการกลับไปหาเทพเจ้า ยังมีประเด็นให้ถกเถียงอีกมากเกี่ยวกับกฏหมายการุณยฆาต ทั้งประเด็นในทางการแพทย์ที่แพทย์อาจจะเลือกทางที่ง่ายกว่าอย่างการมอบความตาย แทนที่การพยายามการรักษาและต่อสู้เพื่อคนไข้ถึงที่สุด หรือการให้เอกชนเข้ามาจัดการการค้าความตาย ผ่านการประกอบธุรกิจรับจ้างทำให้ตาย (ซึ่งในหนังพูดถึงไว้นิดหน่อย) หรือการใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการมรดก*5 ความตายไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นการมีชีวิตอยู่ที่ไร้ทางเลือก ความตายไม่ได้มาจากศักดิ์ศรีของการมีชีวิตมามากพอแล้ว แต่เพราะชีวิตไม่อาจทนรับได้อีกต่อไป ตายไปเพื่อไม่ให้เป็นภาระของผู้ดูแล มาตายเพื่อช่วยชาติและตายเพื่อหลุดพ้น หากไม่ใช่หลุดพ้นจากวัฏสงสาร แต่หลุดพ้นจากโลกทุนนิยมที่ไม่ต้องการคุณอีกแล้ว จึงไม่ใช่ความตายอันแสนสุขอย่างที่เราเข้าใจเสียทีเดียว


*1 https://en.wikipedia.org/wiki/Sagamihara_stabbings
*2 https://www.facebook.com/hotguyinthemovies/posts/pfbid02k37Xs9DAfVcoD1JuXYxhLJ1YkHCrbSRhCMcDULMJR4F8MMbiSf7gSZt3AZ7zG78Bl?fbclid=IwAR2CAi0gvXveHmmATl5c9zB8XcjZpjgo2mxrgXy7pQscjZkB4fHhAcI1iQ4
*3 https://www.europarl.europa.eu/RegData/etudes/BRIE/2020/659419/EPRS_BRI(2020)659419_EN.pdf
*4 https://en.wikipedia.org/wiki/Ubasute
*5 อ่านดีเบทเรื่องการุณยฆาตเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3612319

สรุปผล “เวนิซ 2022” : หนังสารคดีคว้าสิงโตทองคำ หนังพูดอังกฤษกวาดรางวัลใหญ่

ระหว่างที่ช่วงเวลา 11 วันเต็มของ “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิซประจำปี 2022” ยังคงดำเนินอยู่ ดูเหมือนว่าหนังในสายประกวดหลักทั้ง 23 เรื่อง กลับไม่มีเรื่องไหนพุ่งทะยานขึ้นยืนหัวแถวเป็นตัวเก็ง (พร้อมกับการสวาปามพื้นที่สื่ออย่างตะกละตะกรามโดยชุดเปิดหลังสีแดงของ ทิโมเธ ชาลาเมต์ และข่าวแซ่บหลังกองถ่าย Don’t Worry Darling ที่ซึมมาถึงพรมแดง) ก่อนคณะกรรมการที่มี จูลีแอนน์ มัวร์ (Julianne Moore) เป็นประธานจะอ่านคำประกาศผลรางวัลซึ่งแทบถูกยึดครองเบ็ดเสร็จโดยหนังพูดภาษาอังกฤษ แม้ว่า “หนังสตรีมมิ่ง” และ “หนังขายดารา” ที่เป็นตัวเรียกกระแสช่วงก่อนเริ่มเทศกาลเกือบทุกเรื่องจะมือเปล่ากลับบ้านแล้วก็ตาม

All the Beauty and the Bloodshed

อย่างเหนือความคาดหมาย รางวัลสิงโตทองคำปีนี้ตกเป็นของสารคดีเพียงหนึ่งเดียวในสายประกวด All the Beauty and the Bloodshed ของ ลอรา พอยทราส (Laura Poitras – ผู้กำกับ CitizenFour) หนังเล่าชีวิตของศิลปินภาพถ่าย แนน โกลดิน (Nan Goldin) โดยใช้ผลงานของเธอซึ่งบันทึกภาพและได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มเพื่อนเควียร์กับพี่สาวที่ฆ่าตัวตาย ถักทอเป็นทั้งภาพส่วนตัวระยะใกล้ของศิลปินหญิงคนสำคัญ และภาพการเมืองเมื่อเธอกลายเป็นแอ็กติวิสต์ผู้เรียกร้องต่อต้าน “การกุศลอาบยาพิษ” ของตระกูลแซ็คเลอร์ (Sackler) เจ้าของบริษัทยาซึ่งร่ำรวยด้วยยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์เสพติด และบริจาคเงินมหาศาลเป็นผู้อุปถัมภ์สนับสนุนพิพิธภัณฑ์หรือองค์กรด้านศิลปะ

นี่เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์เวนิซที่ภาพยนตร์สารคดีชนะรางวัลสูงสุด (เรื่องแรกคือ Sacro GRA ของ จานฟรังโก โรซี เมื่อปี 2013) และเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่คณะกรรมการมอบรางวัลสิงโตทองคำให้ผลงานของผู้กำกับหญิง (ถัดจาก Nomadland และ Happening)

เจ้าพ่อตลกร้ายจากไอร์แลนด์ มาร์ติน แม็คโดนาห์ (Martin McDonagh) กลับมาคว้ารางวัลบทยอดเยี่ยมเวนิซอีกรอบจาก The Banshees of Inisherin (ห้าปีหลัง Three Billboards Outside Ebbing, Missouri) ด้วยการแท็กทีมกับคู่หูที่ช่วยแจ้งเกิดเขาเมื่อครั้ง In Bruges (2008) แถมคราวนี้ยังพา โคลิน ฟาร์เรลล์ (Colin Farrell) ไปถึงรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยม จากบทไอ้หนุ่มหัวทึบที่ไม่เลิกตามตื๊อหลังถูกเพื่อนรุ่นลุงบอกเลิก จนเรื่องมันเตลิดเปิดเปิงไปทุกสิ่ง ชัยชนะครั้งนี้ส่งผลให้เขากลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งของรางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมปีหน้าไปทันที

Bones and All

ในขณะที่เจ้าบ้านซึ่งคนอิตาเลียนรู้สึกว่าเป็นคนนอกอย่าง ลูกา กวาดัญญิโน (Luca Guadagnino) ก็ได้รางวัลจากเวนิซติดมือกับเขาเสียที หลังเข้าสายประกวดแล้วมือเปล่ามาสามครั้ง (I Am Love ในสายรอง, A Bigger Splash กับ Suspiria ในสายหลัก) โดยนอกจากรางวัลสิงโตเงินสาขาผู้กำกับแล้ว หนังเรื่อง Bones and All ที่โยนเจ้าน้องทิมมี่ลงไปเรียนรู้รักชายขอบคาวเลือดในบ้านนอกอเมริกายุคโรนัลด์ เรแกน ก็จุดประกายให้นักแสดงหญิงดาวรุ่ง เทย์เลอร์ รัสเซลล์ (Taylor Russell, คนไทยอาจคุ้นหน้าจากซีรี่ส์ Lost in Space, หนัง Escape Room สองภาค และ Waves ของ เทรย์ เอ็ดเวิร์ด ชูลทซ์) คว้ารางวัล Marcello Mastroianni Award ตามรอยรุ่นพี่ที่เป็นดาวไปแล้วอย่าง มุนโซรี, กาเอล การ์เซีย เบร์นัล, ดิเอโก ลูนา, เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, มิลา คูนิส, ไท เชอริแดน, ฟุมิ นิไคโดะ, โชตะ โซเมทานิ และ เพาลา เบียร์

เคต แบลนเชตต์ (Cate Blanchett) ชนะรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก Tár หนังยาวเรื่องแรกในรอบ 16 ปีของ ท็อดด์ ฟิลด์ (Todd Field) บทวาทยกรหญิงคนแรกที่ได้ถือไม้บาตองคุมวงออร์เคสตราใหญ่ในเยอรมนี ทำให้เธอเป็นนักแสดงหญิงคนที่ 4 ที่ได้ถือถ้วย Volpi Cup มากกว่าหนึ่งครั้ง (ถัดจาก เชอร์ลีย์ แม็กเคลน, อิซาแบลล์ อูแปต์ และ วาเลเรีย โกลิโน) – ดูเหมือนว่าถ้ามาเวนิซต้องเล่นหนังดนตรีให้ท็อดด์ เพราะบทที่คว้ารางวัลให้เธอเมื่อ 15 ปีก่อนก็คือ บ๊อบ ดีแลน จาก I’m Not There (2007, ท็อดด์ เฮย์นส์)

เท่ากับว่าเหลือพื้นที่เพียงสองรางวัลให้หนังที่พูดภาษาอื่น และหนังที่คณะกรรมการเลือก ต่างก็ใกล้เคียงความเป็นสารคดีทั้งคู่

รางวัลลำดับ 3 ของเทศกาล (Special Jury Prize) ตกเป็นของ No Bears ผลงานล่าสุดก่อนถูกรัฐบาลอิหร่านจับเข้าคุกอีกรอบของ จาฟาร์ ปานาฮี (Jafar Panahi) ที่แสดงเองในหนังซ้อนหนัง รับบทตัวเองที่ย้ายไปอยู่บ้านนอกเพื่อหลบสายตาทางการ ลอบกำกับสารคดีเรื่องคู่รักที่วางแผนหนีออกนอกประเทศด้วยพาสปอร์ตปลอมผ่านซูม แต่ระหว่างที่เน็ตไม่เสถียรก็ถูกลากไปพัวพันกับอีกคู่รักที่พยายามหนีวัฒนธรรมคลุมถุงชนในเมืองที่ตัวเองอาศัยอยู่

Saint-Omer

ส่วนรางวัลรองชนะเลิศ (Grand Jury Prize) คือหนังฟิกชั่นขนาดยาวเรื่องแรกของ อลิซ ดิออป (Alice Diop) ผู้กำกับสารคดีหญิงฝรั่งเศสเชื้อสายเซเนกัล ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมล้นหลามที่สุดเรื่องหนึ่งในเทศกาลปีนี้ นั่นคือ Saint-Omer ซึ่งเล่ามิติอันซับซ้อนของความเป็นหญิงและความเป็นแม่ที่ผูกโยงกับสตรีเชื้อสายแอฟริกันในสังคมฝรั่งเศส ผ่านการเฝ้าสังเกต รับฟัง คิดวิเคราะห์ตามการไต่สวนพิจารณาคดีแม่ฆ่าลูกในศาล ผ่านตัวละครนักเขียนที่เข้าฟังคำให้การของจำเลยหวังหยิบใช้เรื่องไปเขียนหนังสือ ซึ่งยืนพื้นจากตัวดิออปเองที่เคยเข้าไปฟังคดีจริงในศาล แล้วพบว่าจำเลยในคดีนี้ไม่อาจอธิบายให้ศาลหรือใครต่อใครฟังได้ว่าทำไมเธอจึงฆ่าลูกเล็กของตนเอง

ในสายตาสมาคมนักวิจารณ์นานาชาติ (FIPRESCI) กลับฉีกไปอีกทาง เมื่อหนังสิงโตทองคำที่พวกเขาลงมติคือ Argentina, 1985 ผลงานล่าสุดของ ซันติอาโก มิเตร (Santiago Mitre) ซึ่งทำหนังการเมืองดูสนุกมาร่วมๆ สิบปี แต่อาจยังไม่ดังเท่าคนทำหนังอาร์เจนตินารุ่นใกล้ๆ กัน (La Cordillera (2017) เสียดสีประธานาธิบดีที่ต้องเคลียร์ชีวิตไปพร้อมๆ กับประชุมระดับทวีป) โดย Argentina, 1985 โฟกัสการเตรียมตัวก่อนขึ้นว่าความหน้าบัลลังก์เพื่อเอาผิดคณะรัฐบาลทหารอาร์เจนตินาของทีมทนายความรุ่นใหม่ในยุค 1980

ฟากสายประกวดรอง (Orizzonti) ซึ่งมีผู้กำกับหญิงชาวสเปน อิซาเบล โกยเซต์ (Isabel Coixet) เป็นประธานกรรมการ มอบสองรางวัลใหญ่ให้หนังที่มีจุดร่วมคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง ทั้งที่ตัวละครหลักมีพื้นเพตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

คู่หูนักทำหนังชาวอิตาเลียน-ออสเตรีย ทิซซา โควี กับ ไรเนอร์ ฟริมเมล (Tizza Covi, Rainer Frimmel) ยังคงผสมผสานสารคดีกับฟิกชั่นด้วยการให้นักแสดงเล่นเป็นตัวเอง (ในระดับที่เคยพูดว่า “เมื่อถ่ายไปจนจบ เราก็ไม่รู้อีกต่อไปว่าอันไหนเรื่องจริง อันไหนเราสร้างขึ้นมา”) โดย Vera เล่าเรื่องของ เวร่า ลูกสาวดาราอิตาเลี่ยนชื่อดังที่เบื่อชีวิตชนชั้นสูงในกรุงโรม จนวันหนึ่งเกิดขับรถชนเด็กเข้าแถบชานเมือง เธอเลยเริ่มสานสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับครอบครัวของเด็ก ก่อนที่ความจริงจากโลกเก่าจะกลับมาตามตัวเข้าให้ – หนังชนะทั้งผู้กำกับยอดเยี่ยมและนักแสดง(?)หญิงเจ้าของบทเวร่า

World War III

เจ้าของรางวัลหนังยอดเยี่ยมกับนักแสดงชาย คือหนังอิหร่าน World War III ของ ฮูมาน เซเยดี (Houman Seyyedi, ผู้ชนะรางวัล New Currents จากปูซานเมื่อปี 2014) ที่ตัวเอกเป็นคนไร้บ้าน หากินเป็นกรรมกรรับจ้างรายวัน จนวันหนึ่งถึงได้รู้ว่าตัวเองกำลังสร้างฉากค่ายกักกันนาซีเพื่อถ่ายหนัง แล้วเกิดจับพลัดจับผลูจะได้เป็นดารา ได้บ้าน ได้ชื่อเสียง ได้ชีวิตที่ดี ก่อนความจริงจากโลกข้างนอกคือแฟนสาวหูหนวกจะกลับมาตามตัวเข้าให้ แล้วทุกอย่างก็ทำท่าจะพังทลายไปต่อหน้าต่อตา

เวนิซปีนี้ไม่มีหนังไทย (ผิดคาดไม่น้อยเมื่อ Morrison ของ พุทธิพงษ์ อรุณเพ็ง ซึ่งเคยเป็นผู้ชนะสาย Orizzonti หลุดโผ) และนอกจากหนังอิหร่านก็ไม่มีหนังเอเชียชนะรางวัลหลักๆ ของเทศกาล แต่ตัวแทนจากฝั่งเอเชียตะวันออกก็ยังมีเครดิตติดตัวกลับบ้านอยู่บ้าง

โดยรางวัลหนังสั้นยอดเยี่ยมสาย Orizzonti คือ Snow in September หนังวัยรุ่นวุ่นเซ็กส์ของผู้กำกับน่าจับตาชาวมองโกเลีย ลัคกวาดุลัม ปูเรฟ-โอชีร์ (Lkhagvadulam Purev-Ochir), รางวัล Best Immersive Experience หรือหนังยอดเยี่ยมของสาย Venice Immersive (มอบให้กับหนัง VR) ตกเป็นของ The Man Who Couldn’t Leave (ซิงกิง เฉิน, ไต้หวัน) ซึ่งเล่าประสบการณ์และความทรงจำของนักโทษที่ต้องติดคุกภายใต้ระบบเผด็จการในยุค white terror ช่วงทศวรรษ 1950 ของไต้หวัน และ Autobiography (มัคบุล มูบารัค, อินโดนีเซีย, เข้าประกวดในสาย Orizzonti) ซึ่งเจาะลึกถึงความภักดีต่ออำนาจนิยมของคนเดินดินในประเทศที่กลิ่นเผด็จการยังไม่จางหาย ผ่านตัวละครพ่อบ้านวัยรุ่นประจำคฤหาสน์ของนายพลเกษียณที่ติดตามช่วยแคมเปญเลือกตั้งท้องถิ่นของเจ้านาย ก็ได้รับตำแหน่งหนังยอดเยี่ยมนอกสายประกวดสิงโตทองคำของ FIPRESCI

Snow in September

ผลรางวัลทั้งหมด

1) Main Competition (สายประกวดหลัก)

  • สิงโตทองคำ : All the Beauty and the Bloodshed (ลอรา พอยทราส, สหรัฐอเมริกา)
  • สิงโตเงิน (Grand Jury Prize) : Saint-Omer (อลิซ ดิออป, ฝรั่งเศส)
  • สิงโตเงิน (ผู้กำกับ) : ลูกา กวาดัญญิโน จาก Bones and All (อิตาลี/สหรัฐอเมริกา)
  • Special Jury Prize : No Bears (จาฟาร์ ปานาฮี, อิหร่าน)
  • Golden Osella (บทภาพยนตร์) : The Banshees of Inisherin (มาร์ติน แม็คโดนาห์, ไอร์แลนด์/อังกฤษ/สหรัฐอเมริกา)
  • Volpi Cup (นักแสดงหญิง) : เคต แบลนเชตต์ จาก Tár (ท็อดด์ ฟิลด์, สหรัฐอเมริกา/เยอรมนี)
  • Volpi Cup (นักแสดงชาย) : โคลิน ฟาร์เรลล์ จาก The Banshees of Inisherin
  • Marcello Mastroianni Award (นักแสดงรุ่นใหม่) : เทย์เลอร์ รัสเซลล์ จาก Bones and All

2) Orizzonti (สายประกวดรอง)

  • ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม : World War III (ฮูมาน เซเยดี, อิหร่าน)
  • ผู้กำกับยอดเยี่ยม : ทิซซา โควี และ ไรเนอร์ ฟริมเมล จาก Vera (ออสเตรีย)
  • Special Jury Prize : Bread and Salt (ดาเมียน โคคูร์, โปแลนด์)
  • นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม : เวรา เจ็มมา จาก Vera
  • นักแสดงชายยอดเยี่ยม : โมห์เซ็น ทานาบานเดห์ จาก World War III
  • บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม : Blanquita (เฟร์นันโด กุซโซนี, ชิลี/เม็กซิโก/ลักเซมเบิร์ก/ฝรั่งเศส/โปแลนด์)
  • Lion of the Future (หนังยาวเรื่องแรกยอดเยี่ยม) : Saint-Omer

3) Venice Days (สายประกวดคู่ขนาน)

  • Cinema of the Future Award : The Maiden (แกรห์ม ฟอย, แคนาดา)
  • Director’s Award : Wolf & Dog (เกลาเดีย วาเรเชา, โปรตุเกส)

4) Critics’ Week

  • Grand Prize : Eismayer (ดาวิด วากเนอร์, ออสเตรีย)
  • Special Mention : Anhell69 (เธโอ มอนโตยา, โคลอมเบีย/โรมาเนีย/ฝรั่งเศส/เยอรมนี)

5) Venice Immersive

  • Best Immersive Experience : The Man Who Couldn’t Leave (ซิงกิง เฉิน, ไต้หวัน)
  • Grand Jury Prize : From the Main Square (เปโดร ฮาร์เรส, เยอรมนี)
  • Special Jury Prize : Eggscape (เคร์มัน เฮลเลอร์ / ฆอร์เก เตเรโซ / เฟเดริโก เฮลเลอร์, อาร์เจนตินา)

6) FIPRESCI Award (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยสมาคมนักวิจารณ์นานาชาติ)

  • สายประกวดหลัก : Argentina, 1985 (ซันติอาโก มิเตร, อาร์เจนตินา/สหรัฐอเมริกา)
  • นอกสายประกวดหลัก : Autobiography (มัคบุล มูบารัค, อินโดนีเซีย/ฝรั่งเศส/เยอรมนี/โปแลนด์/สิงคโปร์/ฟิลิปปินส์/กาตาร์)