เรียมได้สร้างสัตว์ประหลาดขึ้นสำเร็จและมันคือภาพพาฝันของคนชั้นกลางทั้งหมด ภาพที่แกว่งไปมาระหว่างบ้านของคุณนายทองคำเปลว (ฝ่ายอักษะ before it was cool นุ่งกิโมโนก่อนจอมพลป.สมยอมญี่ปุ่น) และท้องทุ่งสีทองโลโม่คินโฟล์ค นี่คือเรียมที่เราควรเป็น เรียมที่เราฝันจะเป็น เรียมที่ไม่มีจริง
แม้ว่าด้านหนึ่ง After Spring หาได้เป็นอะไรไปมากกว่าบทบันทึกช่วงเวลาที่ผู้อพยพต้องใช้ชีวิตในรถบ้าน และสร้างสังคมของพวกเขาขึ้นมาเองในเวิ้งกว้างสุดลูกหูลูกตาที่มีแต่ผู้อพยพแห่งนั้น แต่ในอีกด้าน มันก็ได้บันทึกเสี้ยวเวลาชีวิตของผู้คนมากมาย ทั้งผู้อพยพใหม่ที่ดวงตายังเรื่อแดงด้วยความชอกช้ำ คนที่พิการหรือบาดเจ็บสาหัสเพราะสงคราม เรื่อยไปจนคนที่อยู่มานานเสียจนแววตาชินชาและไม่ไยดีในการจะออกกล้องหรือแม้แต่มองหาความหวัง สีหน้าเหนื่อยหน่ายของเหล่าวัยรุ่นที่ฆ่าเวลาด้วยการออกเดินไปรอบๆ ลานกว้าง คอยมองดูเหล่าเด็กเล็กซึ่งสมควรจะอยู่ในรั้วโรงเรียนวิ่งเล่นอยู่ห่างออกไป พวกเขาไม่รู้จะจัดวางตัวเองอย่างไรกับโลกใหม่ที่ไม่มีพื้นที่ให้พวกเขา หลายคนล้มเลิกความตั้งใจจะไปโรงเรียน และอีกมากที่ใช้พลังงานของคนหุ่มสาวไปกับการก่อปัญหาและต่อยตี
After Spring มันอาจหมายถึงความปรารถนาของชาวซีเรียที่อยากย้ายถิ่นฐานจากค่ายผู้ลี้ภัยในจอร์แดนกลับไปสู่บ้านเกิดหลังฤดูใบไม้ผลิ พวกเขาทำได้เพียงเฝ้ารอสถานการณ์ในบ้านเกิดสงบลงเพื่อจะได้กลับไปมีชีวิตอยู่ที่นั่น -แต่ดูเหมือนฤดูใบไม้ผลิจะยังมาไม่ถึง- และไม่เคยมาถึงพวกเขาสักทีในโลกสมัยใหม่ ในสายตาสหประชาชาติ และในสายตาประชาคมโลกที่เฝ้ามองพวกเขาล้มตายเงียบเชียบในแต่ละวัน
“ก่อนหน้านั้นในแง่การรับรู้ของคนส่วนใหญ่จะมองว่าหนังสารคดีมันน่าเบื่อ จนเราได้เริ่มดูหนังที่ทาง Documentary Club เอามาฉายก็ได้รู้ว่าหนังสารคดีมันดูง่ายก็มีอยู่นะ อย่างเช่นเรื่องที่เราชอบมากๆ อย่าง All Things Must Pass (2015, โคลิน แฮงค์ส) เพราะว่าเราก็เกิดในยุค Tower Records แล้วผ่านช่วงเวลานั้นมา มันก็ยิ่งทำให้เราดูสนุกและอินกับมันมาก”
พวกเขาถือตนเองว่าเป็นชนชาติที่ได้รับเลือกโดยพระเจ้า (Chosen people) มีหน้าที่กำจัดคนที่เห็นต่างหรือต่อต้านพระเจ้า (anti-christ) มีเจตจำนงเป็นของตนเอง (self-determinism) หวังจะมาสร้างดินแดนใหม่แห่งนี้ตามเจตจำนงของพระเจ้าให้เป็นดินแดงแห่งความถูกต้องและความสุข (Millennium) John Winthrop หนึ่งในผู้นำการเดินทางออกสู่ทวีปอเมริกากล่าวไว้ว่า “เราจะเป็นดั่งนครบนภูเขา (Wee shall be as a City upon a Hill)” ที่แบบอย่างที่ดีให้คนทั้งโลกต้องจับจ้อง
พวกเขาถือตนเองว่าเป็นชนชาติที่ได้รับเลือกโดยพระเจ้า (Chosen people) มีหน้าที่กำจัดคนที่เห็นต่างหรือต่อต้านพระเจ้า (anti-christ) มีเจตจำนงเป็นของตนเอง (self-determinism) หวังจะมาสร้างดินแดนใหม่แห่งนี้ตามเจตจำนงของพระเจ้าให้เป็นดินแดงแห่งความถูกต้องและความสุข (Millennium) John Winthrop หนึ่งในผู้นำการเดินทางออกสู่ทวีปอเมริกากล่าวไว้ว่า “เราจะเป็นดั่งนครบนภูเขา (Wee shall be as a City upon a Hill)” ที่แบบอย่างที่ดีให้คนทั้งโลกต้องจับจ้อง
พวกเขาเข้ามาตั้งชุมชนที่พักอาศัย เพาะปลูก และป้อมปราการหลบภัยจากชนพื้นเมืองและชาวต่างชาติ และสร้างเมืองในฐานะ “นครแห่งพระผู้เป็นเจ้า (a city of God)” ในปลายศตวรรษที่ 18 ผู้อพยพไม่ได้มาเพราะความเชื่อทางศาสนาเพียงอย่างเดียวแต่ยังรวมถึงนักแสวงโชคและหาโอกาสในการทำธุรกิจด้วย รูปแบบการเมืองของพวก Puritans สนับสนุนให้เกิดการเมืองแบบตัวแทน (representative) แม้จะมีกฎหมายที่ควบคุมอาณานิคมยังต้องผ่านกฎหมายของอังกฤษ (Act of 1430) นี่จึงเท่ากับเป็นการส่งทอดมรดกการเมืองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชของอังกฤษมาสู่การเมืองอเมริกันยุคอาณานิคม ผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งก็ยังจำกัดอยู่ในคนที่มีทรัพย์สินโดยสมบูรณ์ (freehold property) เช่นต้องมีเงินอย่างน้อย 50 ปอนด์ หรือมีที่ดินอย่างน้อย 100 เอเคอร์
ยุคมืดของคนผิวดำหลัง ค.ศ. 1877 โดยเฉพาะในรัฐทางใต้และตะวันออกที่สมาชิกผู้แทนฯ กลุ่มเดโมแครตขึ้นมีอำนาจ เต็มไปด้วยแนวคิดการแบ่งแยกผ่านระบบ Jim Crow หรืออีกาดำ ถ้าคนดำฝ่าฝืนจะถูกจับหรือสังหาร การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองกลับมาอีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากคนผิวดำเข้าร่วมรบสงคราม และต้องการมีสิทธิเลือกตั้ง ผ่านการตั้งสมาคมโดย W. E. B. Du Bois ที่มีสมาชิกกว่าห้าแสนคน จนถึงทศวรรษ 1950 ก็เกิดการร้องเรียนไปยังศาลสูงสุดแห่งสหรัฐฯจำนวนมาก โดยประเด็นสำคัญคือการโจมตีแนวคิดแบ่งแยกแต่เสมอภาค (seperate but equal) ซึ่งเป็นการกระทำที่ย้อนแย้ง เพราะถึงแม้ว่ามีการแยกโรงเรียนคนดำและคนขาว แต่โรงเรียนของคนผิวดำก็มีคุณภาพต่ำกว่ามาก
การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเข้มข้นในปี ค.ศ. 1955-56 หลังจากโรซา ปาร์ค ช่างตัดเสื้อผิวดำถูกจับเพราะไม่ยอมยกที่นั่งให้คนขาว เป็นชนวนให้เกิดการลุกต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติทั่วประเทศและมีคนถูกจับจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือ Martin Luther King, Jr. ที่ใช้แนวทางสันติวิธีแบบคริสตศาสนาและมองว่าคนขาวและคนดำอยู่ร่วมกันได้ เน้นแนวคิดเรื่องเสรีภาพ ตรงข้ามกับ Malcolm X ในทศวรรษที่ 1960 ที่เน้นความรุนแรงและประกาศชัดเจนว่าคนดำเป็นศัตรูกับคนผิวขาว มีการเรียกร้องสิทธิมากขึ้นในภาคใต้ พร้อมๆกับการประท้วงสงครามเวียดนาม แสดงออกผ่านกลุ่มนักศึกษาและ Freedom ride ซึ่งตระเวนขึ้นรถจากเหนือลงใต้เพื่อแสดงถึงเสรีภาพ
Lyndon B. Johnson ผลักดันรัฐบัญญัติสิทธิพลเมืองสำเร็จในปี ค.ศ. 1964 รวมไปถึงการสิทธิเลือกตั้งปี ค.ศ. 1965 (Voting Rights Act) ที่ให้พลเมืองทุกคนมีสิทธิเลือกตั้งโดยไม่ต้องทดสอบการรู้หนังสือและไม่ต้องคำนึงถึงภาษีรายหัว (Poll taxes) และครอบคลุมตั้งแต่คนอายุ 18 ปีขึ้นไป เมื่อปี ค.ศ. 1970 หลังการเรียกร้องของทหารที่ไปสงครามเวียดนาม พวกเขาถูกเกณฑ์ไปตั้งแต่อายุ 18 ปี แต่กลับไม่มีสิทธิเลือกตั้ง
นี่เป็นการตกย้ำภาพจำของ model minority หรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ก้าวขึ้นมามีฐานะทางสังคมของคนเอเชียได้เทียบเท่ากับคนขาว นั่นยังรวมไปถึงรายได้ที่ได้เท่าๆกับคนขาวและการถูกตัดสินทางคดีความที่ได้รับโทษเบากว่าคนผิวดำ มีการศึกษาในปี ค.ศ. 1994 โดย The National Conference of Christians and Jews สอบถามคนอเมริกันหลากหลายเชื้อชาติราว 3,000 คน พบว่าทั้งคนขาวและคนเอเชียต่างมีมุมมองเช่นเดียวกันว่า “คนผิวดำไม่มีทางเจริญหรือดีได้เท่าพวกเขาหรอก”
นี่เป็นการตกย้ำภาพจำของ model minority หรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ก้าวขึ้นมามีฐานะทางสังคมของคนเอเชียได้เทียบเท่ากับคนขาว นั่นยังรวมไปถึงรายได้ที่ได้เท่าๆกับคนขาวและการถูกตัดสินทางคดีความที่ได้รับโทษเบากว่าคนผิวดำ มีการศึกษาในปี ค.ศ. 1994 โดย The National Conference of Christians and Jews สอบถามคนอเมริกันหลากหลายเชื้อชาติราว 3,000 คน พบว่าทั้งคนขาวและคนเอเชียต่างมีมุมมองเช่นเดียวกันว่า “คนผิวดำไม่มีทางเจริญหรือดีได้เท่าพวกเขาหรอก”
The Half of It เป็นผลงานกำกับเรื่องที่สองของอลิซ วู (จาก Saving Face) ที่คนดูต่างตกหลุมรัก หนังอเมริกันที่มีคนเอเชีย-อเมริกันเป็นตัวเอก พ่วงประเด็น LGBT การันตีด้วยรางวัลภาพยนตร์เล่าเรื่องยอดเยี่ยม (Best Narrative Feature) จากเทศกาลภาพยนตร์ทริเบกา (Tribeca Film Festival) เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
The Half of It คือผลงานกำกับเรื่องที่สองของอลิซ วู หนังเรื่องก่อนหน้าคือเรื่อง Saving Face เมื่อ 16 ปีก่อน พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสาวเลสเบี้ยนในย่านคนจีนที่ควีนส์ และเป็นหนึ่งในหนังฮอลลีวูดเรื่องแรกๆ ที่เล่าถึงคนจีนในสหรัฐฯ และมีตัวละครเอกเป็นเลสเบี้ยน
สาเหตุที่เธอหายจากการกำกับไปนานก็เพราะต้องคอยเฝ้าดูแลแม่ที่ป่วยและเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเป็นประจำ และตัดสินใจออกจากวงการไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เธอไม่ได้เขียนอะไรอีกเลย The Half of It เป็นแค่ไอเดียที่วนเวียนไปมาอยู่ในหัวตั้งแต่เก้าปีก่อน จนเมื่อสองสามปีที่แล้ว แม่อาการดีขึ้นและเธอเพิ่งออกจากความสัมพันธ์อันยาวนานมา เธอก็เริ่มมานั่งคิดว่า “ฉันจะทำอะไรกับชีวิตดี หน้าที่ของฉันก็แค่เป็นลูกสาวหรือแฟนที่ดีให้กับใครบางคนงั้นเหรอ มีอะไรอีกบ้างที่ฉันทำได้ และนั่นก็ทำให้ฉันเริ่มลงมือเขียนอีกครั้ง”
“ฉันเคยคิดว่าความรักมีสมการตายตัวแบบเดียว เช่น A + B – C = ความรัก แล้วพอฉันผ่านโลกมานานขึ้น ก็พบว่าที่จริงมันยังมีอีกหลายสูตร หลากรูปแบบ เกินกว่าที่เคยจินตนาการไว้”
เคร็ก กอร์ โพสต์ภาพถือปืนยืนหน้าบ้าน พร้อมขู่ว่าจะจัดการกับไอ้อีที่เข้ามายุ่มย่ามกับบ้านเขา เมื่อวันที่การชุมนุมเพิ่งดำเนินไปหลังการตายของ จอร์จ ฟลอยด์ เพียงไม่กี่วัน ท่ามกลางแรงสนับสนุนจากเพื่อนของเขามากมาย …นั่นคือการแสดงออกของคนเขียนบท Law and Order ซึ่งหากคุณคิดว่าการเสพข่าวอาชญากรที่ถูกทำให้ตายหรือหายไปโดยเจ้าหน้าที่รัฐคือสิ่งที่รับได้ เพราะอาชญากร ‘ควรจะได้รับการลงโทษ’ บางทีคุณอาจคล้อยตามกอร์ไปแล้ว
ขณะที่ซีรีส์โดยทั่วไปมีอายุเพียงชั่วระยะหนึ่งก็ต้องอำลา แต่ซีรีส์สืบสวนอย่าง CSI, NCIS, Criminal Minds, Law and Order ฯลฯ กลับมีอายุไม่ต่ำกว่าสิบปีกันทั้งนั้น ทั้งยังแตกสาขาไปสู่จักรวาลการสืบคดีของเจ้าหน้าที่รัฐได้อีกไม่สิ้นสุด จนปฏิเสธไม่ได้ว่าเราอยู่กับซีรีส์ประเภทนี้จนถูกบิดเบือนการรับรู้เรื่องการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐจนเป็นเหตุแห่งการยอมรับความรุนแรงเหล่านั้น
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดเอาเอง แต่มีงานวิจัยเป็นเรื่องเป็นราวจากองค์กร Color of Change หัวข้อ “การทำให้ความอยุติธรรมเป็นเรื่องปกติ: อันตรายจากการบิดเบือนเป็นซีรีส์สืบสวนทางโทรทัศน์” (Normalizing Injustice: The Dangerous Misrepresentations that Define Television’s Scripted Crime Genre) เผยแพร่ที่เทศกาลซันแดนซ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ราชาด โรบินสัน ประธาน Color of Change กล่าวว่า “เรารู้แล้วว่าซีรีส์เหล่านี้มีอิทธิพลต่อวิธีคิดของผู้ชมทั่วโลกอย่างไร ดังนั้นอันตรายของบทซีรีส์กลุ่มนี้ก็คือการบิดเบือนความเข้าใจของผู้คนต่อคดีอาชญากรรม เพศ และเชื้อชาติ แทนที่จะบอกเล่าความจริงเพื่อผลเชิงบวกในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม ซีรีส์เหล่านี้กลับเพิกเฉยที่จะกระตุ้นให้เกิดการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง”
หลังจาก เคร็ก กอร์ ผู้อยู่เบื้องหลังบท Law and Order โพสต์รูปที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงงัดกับความรุนแรงไม่ต่างกันนักกับท่าทีในซีรีส์ที่เขาเขียน ทำให้กอร์ถูกเด้งออกจากโปรเจกต์ภาคแยกของซีรีส์เรื่องดังกล่าวทันที
We Are One เป็นเทศกาลหนังออนไลน์ ที่รวมเอาหนังเทศกาลทั้งจากคานส์ ซันแดนซ์ ไปยันเยรูซาเลม มาเก๊า ฯลฯ เริ่มแล้วบน youtube และมีจำกัดเวลาดูเพียง 7 วันหลังพรีเมียร์ ด้านล่างคือหนังส่วนหนึ่งจากหลายเรื่องที่ Film Club แนะนำ
ตามธรรมชาติของหนัง omnibus ที่นำหนังสั้นจากต่างคนต่างที่มารวมกันภายใต้โจทย์เดียวกัน หนังบางเรื่องย่อมกลบรัศมีของบางเรื่อง พลังและความแหลมคมย่อมไม่เท่ากัน แต่สำหรับ Bridges of Sarajevo มีอยู่ 4 เรื่องที่แข็งแรง ทรงพลัง และคุ้มค่าอย่างยิ่งที่จะลอง
The Bridges of Sighs ของ Jean-Luc Godard (ซึ่งอินการเมืองและประเด็นบอสเนียมากๆ อยู่แล้ว) คือคอลลาจเดือดพล่านร้อนแรงที่ทำหน้าที่ถ้อยแถลงการเมืองอย่างท้าทาย ผ่านการใช้ภาพ เสียง และตัวอักษรของประวัติศาสตร์ในพื้นที่ ตรงข้ามกับสายตาสงบนิ่งแต่คมกริบของ Reflections ที่กำกับโดย Sergei Loznitsa ซึ่งจ้องมองภาพถ่ายของกองกำลังติดอาวุธที่ลุกขึ้นปกป้องซาราเยโวในช่วงสงคราม ผ่านกระจกแกลเลอรี่ที่สะท้อนทัศนียภาพของเมือง ในขณะที่ Quiet Mujo ของ Ursula Meier คือการส่งผ่านความทรงจำจากผู้ใหญ่ที่บอบช้ำ ถ่ายทอดให้เด็กน้อยที่ยังบริสุทธิ์ผ่องแผ้วและขาดจากประสบการณ์เลวร้ายที่มนุษย์เคยเผชิญในที่แห่งนั้น และ Sara and Her Mother ของ Teresa Villaverde คือการนำเสนออดีตอันเจ็บปวดที่สงบนิ่งเงียบเชียบ ในบ้านที่เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความทรงจำเลวร้ายยังคงกัดกร่อนและบ่อนเซาะตัวตนของคนคนหนึ่งอย่างเยียบเย็น
หนังหมดระยะเวลาการดูไปแล้ว
Shiraz: A Romance in India (1928,Franz Osten)
Franz Osten คือคนทำหนังชาวเยอรมันที่มีบทบาทสำคัญในยุคแรกเริ่มของภาพยนตร์ในอินเดีย (ก่อนต้องยุติบทบาทเมื่อถูกกองทัพอังกฤษจับกุมตัว โดยในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเขาเป็นสมาชิกพรรคนาซี แต่หลังจากนั้นได้เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสตูดิโอซึ่งต่อมาพัฒนาเป็น Bavaria Film Studio ที่ยังทำหนังอยู่ในเยอรมนีปัจจุบัน) หลังจากทำหนังเยอรมันตั้งแต่ปี 1911 และเป็นนักข่าวกับทหารในช่วงสงคราม เขาได้รับการติดต่อจาก Himansu Rai นักเรียนกฎหมายที่มุ่งมั่นจะก่อตั้งสตูดิโอภาพยนตร์ในอินเดีย (ซึ่งต่อมาเป็นอีกหนึ่งผู้บุกเบิกคนสำคัญ) ก่อนจะลงเอยด้วยการทำหนังในอินเดียถึงเกือบ 20 เรื่อง และ Shiraz คือหนึ่งในนั้น
Air Conditioner เป็นภาพยนตร์รสแปร่งที่มีลีลาแสนกลแบบหนังที่ใช้ภาษาโปรตุเกสทั่วไป ตัวหนังโดดเด่นด้วยบทเพลงที่เลี้ยงบรรยากาศเศร้าสุขระคอไปด้วยกัน ที่สำคัญคือตัวหนังเล่นกับอุปลักษณ์การเปรียบเปรยทางสังคม แต่ลีลาการกำกับที่อ่อนหวานก็ไม่ได้ถีบคนดูให้หนีห่างแต่สามารถปรุงการเล่าเรื่องแบบสัญลักษณ์ได้กลมกล่อมชวนติดตาม
หนังหมดระยะเวลาการดูไปแล้ว
Adela Has Not Had Supper Yet (1978, Oldrich Lipský, Czechoslovakia)
หรืออีกชื่อภาษาอังกฤษว่า Dinner for Adele (แต่ชื่อ Adela เก๋กว่าตั้งเยอะ) ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของเทศกาล We Are One ที่เหมาะสมสำหรับผู้ต้องการหนังหลุดโลก ปั่นประสาท และควรค่าแก่การรับชมเป็นหมู่คณะเพื่อความบันเทิงสูงสุด หลังจากที่หลายๆ คนได้เจออิทธิฤทธิ์ปืนไฟบาแก็ตของ Crazy World จากยูกันดาไปแล้ว
เวสลีย์ มอร์ริส ให้ข้อสังเกตไว้ในบทความ “ทำไมรางวัลออสการ์มักปลาบปลื้มหนังแฟนตาซีว่าด้วยการประนีประนอมทางเชื้อชาติ” (Why Do the Oscars Keep Falling for Racial Reconciliation Fantasies?) ในนิวยอร์กไทมส์ ถึงหนังสามเรื่องที่มีความเชื่อมโยงกันโดยบังเอิญ ได้แก่ Driving Miss Daisy หนังออสการ์ปี 1989 ของ บรูซ เบเรสฟอร์ด, Green Book หนังออสการ์ปี 2018 ขอบ ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี และ The Upside หนังปี 2017 ของ บีล เบอร์เกอร์ (ที่ดัดแปลงจากหนังฝรั่งเศส The Intouchables ปี 2011)
Driving Miss Daisy ว่าด้วยโชเฟอร์คนดำ (มอร์แกน ฟรีแมน) กับนายจ้างสูงวัย (เจสสิก้า แทนดี้) ส่วน Green Book เป็นการสลับบทบาทกัน โดยโชเฟอร์เป็นคนขาว (รับบทโดย วิกโก มอร์เทนเซน) ส่วนนายจ้างเป็นนักเปียโนผิวดำ (มาเฮอร์ชาลา อาลี) ขณะที่ใน The Upside เควิน ฮาร์ท รับบทเป็นคนดำที่ถูกจ้างให้มาดูแลชายพิการผิวขาวเอาแต่ใจ (ไบรอัน แครนสตัน) ทั้งสามเรื่องนำเสนอการเดินทางร่วมกันของลูกจ้าง-นายจ้างต่างสีผิวที่นำไปสู่การเรียนรู้ชีวิตกันและกัน จนก่อเกิดเป็นมิตรภาพอันงดงาม
มอร์ริสตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า มิตรภาพที่เกิดขึ้นในหนัง 3 เรื่องนี้ล้วนเป็นผลมาจาก “การว่าจ้าง” และ “การที่คนขาวหยิบยื่นโอกาสให้กับคนดำ” ถึงแม้ใน Green Book จะมีการสลับบทบาทผู้ว่าจ้างให้คนดำมีอำนาจเหนือกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เอาเข้าจริงแล้วหน้าที่ของตัวละครคนดำในเรื่องก็มีไว้เพื่อ “ช่วยให้คนขาวได้แก้ไขความผิดพลาดของตนเองและมีความเป็นมนุษย์ยิ่งขึ้น”
The Upside
ยังมีหนังอีกมากมายที่มีเนื้อหาว่าความขัดแย้ง-การคืนดีของคนขาวกับคนดำ และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่บนเวทีรางวัล อาทิ The Blind Side และ Crash ซึ่งนำไปสู่บทสรุปว่าด้วยการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง แต่กลับไม่สามารถสะท้อนและตีแผ่ปัญหาทางโครงสร้างที่แท้จริงได้
และที่ขำไม่ออกคือ เมื่อบนเวทีรางวัล มีหนังว่าด้วยความขัดแย้งระหว่างคนขาวกับคนดำมากกว่า 1 เรื่อง หนังที่นำเสนอประเด็นนี้ในเชิงประนีประนอมก็มักจะเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ ตัวอย่างเช่น ปีที่ Driving Miss Daisy ผงาดบนเวทีออสการ์ ในปีนั้นยังมีหนังตีแผ่ชีวิตสุดขมขื่นของคนดำอย่าง Do the Right Thing ของ สไปค์ ลี ด้วย และในปีที่ Green Book ชนะหนังยอดเยี่ยม ก็มี BlackKklansman ของลีชิงชัยด้วยเช่นกัน
จึงน่าสังเกตว่า นับจากความสำเร็จของ Driving Miss Daisy, Crash มาจนถึง Green Book และขณะนี้ที่ The Help สามารถก้าวขึ้นอันดับ 1 ใน Netflix อเมริกา อาจสะท้อนว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสีผิวในประเทศนี้ก็ยังคงถูกฝังกลบไว้ ภายใต้ความต้องการจะประนีประนอมของคนส่วนใหญ่อยู่นั่นเอง?
ในส่วนของฝั่งสายคานส์คลาสสิคที่ปีนี้จะมี In the Mood for Love ของหว่องกาไว และจะถูกประกาศเร็วนี้ๆ ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง และสำหรับ In the Mood for Love ก็มีแผนที่จะฉายทั่วฝรั่งเศสในเดือนธันวาคม
ในบรรดาหนังทั้งหมด 56 เรื่อง เราคงไม่พูดถึงหนังรวมดาวเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ Wes Anderson ไม่ได้ The French Dispatch ปล่อยตัวอย่างมาเรียกเสียงฮือฮาให้ชมกันตั้งแต่ช่วงต้นปี หนังบอกเล่าชีวิตของนักข่าวชาวอเมริกันผู้ทำงานในฝรั่งเศส หนังถูกบรรยายว่ามันเป็น “จดหมายรัก” ถึงนักข่าว ร่วมด้วยดาราเกือบยี่สิบชีวิตที่ถ้าหนังได้ฉายในเทศกาลปีนี้เราคงเห็นภาพพรมแดงล้นทะลัก The French Dispatch มีกำหนดฉายในเดือนตุลาคมจากกำหนดการเดิมในเดือนมิถุนายน
Lover’s Rock (BBC)
Steve McQueen จาก 12 Years a Slave และ Shame มีหนังอยู่ในรายชื่อถึงสองเรื่อง (Lover’s Rock, Mangrove) เขาออกมาประกาศว่าหนังทั้งสองเรื่องเกี่ยวกับการเหยียดผิวในประเทศอังกฤษ และเขาขออุทิศหนังเรื่องนี้แด่ George Floyd และเหล่าผู้คนผิวสีทั่วโลก ทั้ง Lover’s Rock และ Mangrove เป็นส่วนหนึ่งของทีวีซีรีส์จากอังกฤษที่เขาทำมีชื่อว่า “Small Axe” มีที่มาจากสำนวนแอฟริกันที่พูดว่า “ถ้าคุณเป็นต้นไม้ใหญ่ ฉันก็เป็นขวานอันเล็กๆ” McQueen เป็นหนึ่งในสองผู้กำกับผิวสีที่อยู่ในไลน์อัพปีนี้
เกาหลีเจ้าของปาล์มทองและออสการ์ปีล่าสุดกลับมาพร้อมกับหนังสองเรื่อง Heaven: To the Land of Happiness โดย Im Sang Soo ซึ่งถือเป็นการกลับมาครั้งที่สี่ในเวทีนี้หลังจาก The President’s Last Bang, The Housemaid และ The Taste of Money นำแสดงโดย Choi Min Sik ที่ทุกคนจะจำเขาได้ใน Old Boy เรื่องราวของชายสองคนที่พบกันโดยบังเอิญและมุ่งหน้าออกเดินทางไปสู่ความสุขสุดท้ายในชีวิต ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ Peninsula โดย Yeon Sang-Ho ภาคต่อของ Train to Busan เรื่องราวสี่ปีหลังจากภาคแรก ผู้กำกับให้สัมภาษณ์ว่า หนังจะอยู่ในจักรวาลเดียวกัน แต่เรื่องและตัวละครจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน รวมถึงสเกลหนังที่จะใหญ่ขึ้น โดย “Peninsula จะทำให้ Train to Busan ดูเป็นหนังอินดี้ไปเลยล่ะครับ” ผู้กำกับ Yeon กล่าว หนังเกาหลีทั้งสองเรื่องนี้มีกำหนดฉายในครึ่งหลังปีนี้
นอกจาก Kawase แล้ว ยังมีผู้กำกับญี่ปุ่นอีกสองคนที่ได้รับเลือกในปีนี้ เรื่องแรกคือ Aya and the Witch โดย Goro Miyasaki ลูกชาย Hayao Miyasaki นี่เป็นแอนิเมชั่นเรื่องแรกจากสตูดิโอจิบลิที่จะใช้เทคนิคตอมพิวเตอร์กราฟฟิค ตัวเรื่องดัดแปลงจากนิยายของ Diana Jones ที่ Hayao เคยดัดแปลงมาแล้วครั้งหนึ่งใน Howl’s Moving Castle ส่วน Aya and the Witch มีกำหนดฉายในช่อง NHK ช่วงฤดูหนาว แต่ยังไม่มีวันเวลาที่ชัดเจน เรื่องที่สองเป็นผลงานจาก Kôji Fukada ที่เราคงคุ้นเคยจาก Harmonium ในชื่อ The Real Thing เรื่องราวของชายหนุ่มแสนดีผู้กำลังตกหลุมรักหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังจะพาเขาเข้าไปสู่ด้านมืด ตัวหนังเดิมเป็นซีรีส์ยาว 10 ตอน ความยาวรวม 5 ชั่วโมง ส่วนฉบับที่เดิมวางแผนไว้ว่าจะเปิดตัวที่เทศกาลน่าจะเป็นเวอร์ชั่นที่ตัดตอนมาจากซีรีส์ในความยาว 3 ชั่วโมง 48 นาที ถือเป็นหนังที่มีความยาวที่สุดในเทศกาลปีนี้
อีกหนึ่งแอนิเมชั่นในจำนวนสี่เรื่องในปีนี้คือ Soul ของสตูดิโอพิกซาร์ โดย Pete Docter จาก Up และ Inside Out ทางพิกซาร์ได้ออกมาบอกว่า Soul เปรียบเสมือนกับ Inside Out ในรูปแบบที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่า ตัวเรื่องเล่าเรื่องราวของ ชายหนุ่มผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักดนตรีแจ๊ซ และกำลังจะได้ขึ้นแสดง แต่โชคร้ายที่เขาเกิดอุบัติเหตุทำให้วิญญาณหลุดออกไปจากร่างและเขาต้องร่วมมือกับจิตวิญญาณเพื่อหาทางกลับมายังร่างกายของเขา ตัวหนังมีกำหนดฉายในเดือนพฤศจิกายนในปีนี้
Ammonite
หนึ่งในผู้กำกับที่ได้รับเลือกครั้งแรกที่น่าสนใจคือ Francis Lee (God’s Own Country) ในผลงาน Ammonite นำแสดงโดย Kate Winslet และ Saoirse Ronan เรื่องราวของ Mary Anning นักขุดฟอสซิลหญิงผู้โด่งดังและความสัมพันธ์ของเธอกับหญิงสาวผู้หนึ่ง ตัวหนังอื้อฉาวตั้งแต่ยังไม่ถ่ายทำ เมื่อลูกหลายของ Anning ออกมาบอกว่า หนังสร้างเรื่องที่เธอเป็นเลสเบี้ยนขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีการยืนยันว่าเธอเป็นจริงๆ ไหม ในขณะที่ Lee เองก็โต้ตอบใน Twitter ของเขาอย่างยาวเหยียดเช่นเดียวกัน ส่วนตัวหนัง Ammonite ยังไม่มีกำหนดฉายที่ชัดเจนในตอนนี้
Septet: The Story Of Hong Kong จากฮ่องกง เป็นหนึ่งในหนังที่น่าตื่นเต้นมากๆ ในปีนี้ โดยหนังรวมผู้กำกับชาวฮ่องกง 7 คนมาทำหนังสั้นเกี่ยวกับฮ่องกงในมุมมองของตน ประกอบไปด้วย Johhny To (ตู้ ฉีฟง), Hark Tsui (ฉีเคอะ), Ann Hui, Ringo Lam, Patrick Tam, Sammo Hung (หง จินเป่า) และ Yuen Wo Ping ตัวหนังรอได้รับการฉายมาหลายปีและจะได้เปิดตัวในปีนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เทศกาลถูกยกเลิกและตอนนี้ยังไม่มีข่าวออกมาว่าหนังจะฉายเมื่อไหร่
Castle Rock เลือกหยิบเอาเมืองสมมติชื่อ Castle Rock อันเป็นเมืองที่คิงใช้เป็นฉากหลังในนิยายหลายต่อหลายเรื่องของเขา แม้ตัวซีรีส์จะ หยิบเอาองค์ประกอบของนิยายดังๆ ของเขามาเป็นลูกเล่น ตั้งแต่ The Shining, Carrie, Needful Things ไปจนถึง The Shawshank Redemption และ It แต่จุดร่วมของทั้งสอง Season คือชุมชนที่ชื่อ Castle Rock
โชว์ Lost in Translation จึงน่าสนใจมาก ๆ ตรงที่โนอาห์ใช้อารมณ์ขันและความสามารถอันเหลือล้นในการลอกเลียนสำเนียง ท่าทางของผู้คนในสังคมอเมริกามาห่อเคลือบประเด็นความเหลื่อมล้ำทางชาติพันธ์ุในโลกของคนขาวแล้วสื่อสารออกมาอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่สูญเสียความตลกอันเป็นเสน่ห์ของโชว์ตลกสแตนด์อัพไปแม้แต่น้อย