สมมติว่า Forget Me Not มีความยาวเท่ากับ 100 Times Reproduction of Democracy พอดีๆ (คือ 114 นาที) แล้วเปิดฉายสองเรื่องนี้ไปพร้อมๆ กัน จะพบความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งขึ้นมาอย่างคือสองเรื่องนี้จะทับกันสนิท เพียงเพราะต่างก็ถูกสร้างขึ้นด้วยกระบวนการที่ใกล้เคียงกันมาก จนมิอาจแยกออกจากกันเป็นหนังสองเรื่อง หากแต่ต้องประคองคู่เข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะโดยกระบวนการคิด, จุดมุ่งหมาย, วิธีนำเสนอ, การ presentation ในแง่ของภาพยนตร์
อันดับแรก ทั้ง Forget Me Not และ 100 Times Reproduction of Democracy มิได้เกิดมาเองตามลำพัง ทว่ามีการเกริ่นนำด้วยผลงานอื่น Forget Me Not มีบทประพันธ์ ‘ข้างหลังภาพ’ คอยเป็นตัวนำร่องให้ทั้งดัดแปลง, ตีความใหม่ (รวมทั้งยั่วล้อ) ซึ่งจุฬญาณนนท์ก็ได้พิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่า ด้วยโครงเรื่องเดียวกันก็สามารถสรุปจบได้ด้วยเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงกว่าๆ (เริ่มจากจดหมายฝากฝังจากท่านเจ้าคุณอธิการฯจนถึงความตายของคุณหญิง) ขณะที่ 100 Times Reproduction of Democracy เอง ก็ยังต้องอาศัยผลงานอื่นมาเป็นตัวนำร่องแบบเดียวกัน ทว่าเป็นผลงานก่อนหน้าของจุฬญาณนนท์เองก็คือหนังสั้นสารคดี ’ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง’ (2013)
’ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง’ (2013)
ก็เท่ากับว่าเมื่อใครดู Forget Me Not ก็จะได้รู้เรื่องราวใน ‘ข้างหลังภาพ’ เท่าๆ กับที่ต่อให้ใครที่ยังไม่ได้ดู ‘ไก่จิกเด็กตายฯ’ หนัง (100 Times Reproduction of Democracy) ก็จะถูกนำมาเล่าซ้ำอีกครั้งหนึ่ง แล้วคนดูก็จะค่อยๆ ซึมซับความ beyond ที่เกิดขึ้น ในแง่ของชะตากรรมที่บานปลายตัวของมันเองออก ซึ่งก็มิใช่ออกนอกเรื่องนอกราวที่ไหน แต่ทว่าเป็นการนำคนดูออกไปนอกกรอบและพื้นที่จำกัดแห่งมณฑลทางภาพยนตร์ (ในสภาพที่ควรจะเป็น โดยที่คนดูเองก็หวังที่อยากจะเห็นซึ่งน่าจะเป็นทิศทางของการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ในวันข้างหน้า)
หาก ‘ข้างหลังภาพ’ เกิดขึ้นมาได้ก็โดยศรีบูรพา (กุหลาบ สายประดิษฐ์) แต่ง หลังจากนั้นถึงค่อยถูกนำมาใช้แทนแบบพิมพ์เขียว จนกระทั่งได้ทั้งหนังและนิทรรศการ (ไม่ต่ำกว่าสองครั้ง) ซึ่งเป็นการขานรับกับเนื้อหาที่ได้ผ่านการวางรากฐานไว้ก่อนแล้ว ขณะที่ ‘ไก่จิกเด็กจายบนปากโอ่ง’ เป็นผลงานที่ถือกำเนิดโดยตัวจุฬญาณนนท์เอง โดยคนดูได้ถูกดึงเข้ามามีส่วนร่วมไปกับการต่อสู้ซึ่งมิใช่เพื่อเอาชนะข้อพิพาท (จากหน่วยงานรัฐซึ่งอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานหนังสั้น) ทว่าเป็นการต่อสู้บนบริบทของความจริง-ความถูกต้อง-ของแท้-ไม่แท้ซึ่งยิ่งตอกย้ำความคล้ายคลึงและจุดร่วมที่ทำให้ 100 Times Reproduction of Democracy ออกมาดูไม่ต่างไปจาก Forget Me Not
‘ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง’ ได้รับรางวัลวิจิตรมาตรา โดยมอบกันเป็นใบประกาศนียบัตรรับรองซึ่งต่อมาหน่วยงานผู้เป็นเจ้าของโครงการออกมาแสดงตนความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ซึ่งกลายเป็น content หลักให้กับสารคดี The 100 Times Reproduction of Democracy โดย
Ko Bo Maung มีแผนที่จะจัดงานบวชให้กับลูกชายหลังจากที่หมดฤดูเก็บเกี่ยวแล้วขายข้าวได้หมด แต่รัฐบาลกับกลุ่มนายทุนได้ยึดพื้นที่ทำเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านหนีออกมาและกลายเป็นคนไร้บ้าน วันหนึ่งเขาได้เห็นเพื่อนบ้านของตนเองขายไต ทำให้เขาคิดว่าจะขายไตเพื่อนำมาเงินมาจัดงานบวช แต่เขาก็ถูกปล้นระหว่างทางกลับบ้าน ทำให้เกิดการตัดสินใจที่มีจุดจบไม่สวยนัก
The Clinic (2012, Ko Ju & Aung Min & The Maw Naing)
Aung Min เป็นหมอชาวบ้านที่เปิดคลินิกรักษาคนไข้ที่ชานเมืองย่างกุ้ง และเดินทางไปรักษาคนไข้นอกสถานที่เช่นกัน เขาเป็นเจ้าของเรื่องและเป็นคนเขียนบทหนังอิสระในพม่าหลายต่อหลายเรื่อง นี่คือการติดตามชีวิตประจำวันของ Aung Min ไปพร้อมกับการรับรู้มุมมองความคิดของเขา และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ซึ่งค่อยๆ ก่อรูปร่างของหนังเรื่องนี้ จนกระทั่งทำให้เขาเป็นผู้กำกับร่วม
The Trial of The Chicago 7 คือรวมทุกองค์ประกอบของความเป็นหนังซอร์กิน มาแบบไม่กั๊กว่าจะเอาประเด็นอะไร ตัวละครต้องทำหน้าที่อะไร บทพูดแหลมแบบจงใจเหลาเอาแบบชัด แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์เราคือตอนจบอะ ถ้าฉากแบบนี้มันอยู่ในหนังสปีลเบิร์กหรือโนแลนมันคงเฉยๆ แต่พอมันเป็นหนังซอร์กินมันเลยเป็นฉากจบที่ดีมากจนต้องให้เดอะเบสต์ของปีไปจริงๆ เป็นการส่วนตัว
เมื่อวานนี้มีหนังใหม่เปิดตัวแค่เรื่องเดียว คือสารคดีสำหรับแฟนหงส์แดง The End of the Storm ซึ่งเป็นสารคดีต่างประเทศเรื่องแรกที่สามารถทำรายได้เป็นอันดับ 1 ประเทศไทย แต่ทำเงินไปได้แค่กว่า 1 แสนบาทเท่านั้น
รายได้หนังประจำวันที่ 28 ม.ค. 64
The End of the Storm – 0.15 ล้านบาท
Monster Hunter – 0.10 (22.51) ล้านบาท
Songbird – 0.07 (1.54) ล้านบาท
Soul – 0.06 (15.40) ล้านบาท
Wonder Woman 1984 – 0.03 (63.76) ล้านบาท
Your Eyes Tell – 0.03 (0.50) ล้านบาท
Demon Slayer: Kimetsu No Yaiba – 0.02 (73.52) ล้านบาท
Ready Player One – 0.02 ล้านบาท *นับเฉพาะรายได้จากการนำกลับมาฉายใหม่
The Lighthouse – 0.02 ล้านบาท *นับเฉพาะรายได้จากการนำกลับมาฉายใหม่
Detective Conan: The Scarlet School Trip – 0.01 (1.85) ล้านบาท
และนี่ก็อาจเป็นเหตุผลว่า ทำไม ‘พีช’ ใน Call Me by Your Name จึงถูกตัวละครที่กำลังทำความรู้จักกับ ‘ความเป็นเควียร์’ ของตนอย่างเอลิโอใช้ช่วยตัวเองด้วยความสุขสม
คือคำยืนยันจากนักเขียนชาวอิตาเลียน/อเมริกันอย่างอาซีแมนว่า เขาให้ความสำคัญกับฉากลูกพีชมาตั้งแต่ในนิยายต้นฉบับ ซึ่งเราไม่แน่ใจนักว่า มันเกี่ยวพันแค่ไหนกับการที่พีชเคยเป็นสัญญะสำคัญของ ‘ความปรารถนาต่อเพศเดียวกัน’ จากโลกศิลปะของอิตาลียุคเรอเนส์ซองซ์ (Italian Renaissance) ที่ก็ดูจะสอดคล้องกับภูมิประเทศอันเป็นฉากหลังของหนังและพื้นเพของเหล่าตัวละครที่สนใจใคร่รู้ในเรื่องราวประวัติศาสตร์ศิลป์โบราณไม่น้อย โดยศิลปินหลายรายในยุคนั้นนิยมใช้พีชมาเป็นองค์ประกอบในผลงานของตน ทั้งบทกวี Encomium to Peaches (1522) ของ ฟรังเชสโก แบร์นี ที่เฉลิมฉลองเซ็กซ์ประตูหลังของผู้ชายด้วยกันผ่านลูกพีช และภาพวาด Boy with a Basket of Fruit (1593) ของ การาวัจโจ ที่เป็นรูปเด็กชายเปลือยไหล่กำลังถือตะกร้าผลไม้ที่มีลูกพีชแล้วจ้องมองมาด้วยสายตายั่วยวน
แน่แท้ว่า ‘ฉากลูกพีช’ ใน Call Me by Your Name ไม่ใช่แค่การพยายามสื่อถึงสภาวะตระหนักรู้ทางเพศแบบเควียร์ๆ ของวัยรุ่นอย่างเอลิโอ ทว่ามันยังพ่วงความหมายที่ ‘ลึกซึ้ง’ กว่านั้นเข้าไปด้วย ทั้งในฉบับนิยายและฉบับหนัง
‘ไม่รู้’ แบบไร้เหตุผลรองรับใดๆ ทั้งสิ้นครับ ว่าทำไมเวลาเจองานรีเมคทีไร ใจผมมักนึกไปถึงหนังชื่อ The Last Remake of Beau Geste (1977, Marty Feldman) ก่อนเป็นอย่างแรก ซึ่งอย่างกับเป็นยันต์อาบวาจาสิทธิ์พระร่วงคอยสะกดไม่ให้มีใครเอาเรื่อง Beau Geste ที่ว่าเอากลับมาสร้างใหม่กันจริงๆ จนทุกวันนี้แทบไม่มีใครรู้จักหนังที่ชื่อ Beau Geste อะไรนี่กันแล้ว เหมือนโดนฆ่าตัดตอน ขณะที่อีกหลายเรื่องที่เหลือ ผ่านการรีเมคกันจนเกือบจะกลายเป็นมีมทุกครั้งที่มีข่าว
เช่นเดียวกับที่ Forget Me Not (2017-2019, จุฬญาณนนท์ ศิริผล) เองก็ไม่เคยออกตัวว่าเป็น The Last Remake of Behind the Paint แต่แล้วก็ผ่านการนับญาติขึ้นทำเนียบลำดับล่าสุดของการนำวรรณกรรม ‘ข้างหลังภาพ’ (ศรีบูรพา, กุหลาบ สายประดิษฐ์, ตีพิมพ์ครั้งแรก ๒๔๘๐) มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อย สำคัญก็แต่ ‘Behind the Paint น่าจะเข้าข่ายงานในกลุ่มไหนดี ระหว่างremake, parody, ตีความใหม่ (หรือแม้กระทั่งวิดีโอ-อาร์ต) ซึ่งไม่น่าเป็นเรื่องสำคัญ
เบญ ผู้เป็นแม่นั้นยึดโยงกับค่านิยมการทำงานหนักเพื่อไต่ระดับทางสังคมแบบคน Gen X ซึ่งไม่เข้าใจการค้นหาความหมายในชีวิตของโอม และการใช้เทคโนโลยีเป็นทางลัดไปสู่ความเป็นคนสำคัญ อันเป็นสิ่งที่คน Gen Z เข้าใจได้ ดูเหมือนในวันหนึ่ง การใช้ชีวิตตามกรอบแบบค่อยเป็นค่อยไปก็กลายเป็นค่านิยมที่ตกยุค และไม่สัมพันธ์กับสังคมสมัยใหม่ที่ความเร็วเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าใครจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เบญที่ตามไม่ทันโลกยุคนี้จึงเชื่อว่าการเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน และเชื่อฟังผู้มีอำนาจเท่านั้นจึงจะทำให้ลูกประสบความสำเร็จได้ ตามขนบของการศึกษาไทยที่ยังเหมือนถูกแช่แข็งอยู่ในยุคสงครามเย็น
นับตั้งแต่โควิดคุกคามไปทั้งโลก หนังหลายเรื่องต้องแก้บทและถ่ายเพิ่มเพื่อบันทึกช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้เอาไว้ เช่น Borat Subsequent Movie Film ที่ปั้นกันมาแรมปีแต่เพิ่งเพิ่มฉากล็อคดาวน์เข้าไปช่วงถ่ายทำ ส่วน Death to 2020 จริงๆ ก็เป็นโปรเจกต์เอาฮาของทีมผู้สร้าง Black Mirror ที่ทำป้อน BBC มาตั้งแต่ปี 2016 อยู่แล้ว หรืออย่างหนังไทย ‘อ้าย..คนหล่อลวง’ ก็เพิ่มเหตุการณ์โควิดเข้าไปในบท
ก่อนอื่นเราอย่าเพิ่งวี้ดว้ายกับการทำงานแบบนี้ของไลแมน มันเป็นปกติของเขา แม้ว่าจะมีหนังทำเงินอยู่ในเครดิตอย่าง The Bourne Identity, Mr. and Mrs. Smith, Edge of Tomorrow และ American Made ถึงขนาดยูนิเวอร์แซลขึ้นบัญชีดำเขาทันทีหลังปิดกล้อง The Bourne Identity
ตัวอย่างวีรกรรมของไลแมนไล่มาตั้งแต่หนังแจ้งเกิดทุนต่ำอย่าง Swingers ที่ทำให้เขาและทีมงานถูกจับกุมในวันปิดกล้องเพราะไปถ่ายบนไฮเวย์โดยไม่ขออนุญาต, งบแหกถือเป็นเรื่องปกติของไลแมนเพื่อสนองนี้ดส่วนตัว แหกที 20-30 ล้าน จนเขาเคยประกาศขายเครดิตผู้กำกับบนอีเบย์เพื่อเอาเงินมาโปะกับ The Bourne Identity ส่วน Mr. and Mrs. Smith ก็แหกไปเกือบ 30 ล้าน เขาเลยควักเงินส่วนตัวมาเซ็ตฉากในโรงรถแม่ตัวเอง ก่อนจะระเบิดมันทิ้งตามบท!
The Exorcism of Emily Rose เป็นแกะดำที่โผล่มาในยุค J-Horror ที่แม้แต่ Hollywood ก็ยังเอาวิธีการแบบหนังสยองขวัญญี่ปุ่นไปใช้ แต่หนังเรื่องนี้เลือกจะเล่าในวิธีการแบบหนังสยองขวัญอเมริกันปกติ เพียงแต่เนื้อหาที่พูดมันค่อนข้างหนักพอสมควร มันมีความเป็นทั้ง ราโชมอน ผสมกับ The Exorcism + หนังสืบสวนสอบสวน กลายๆ ซึ่งเอาจริงๆ ก็ล้ำเกินเวลาช่วงนั้นพอสมควร
จนถึงปี 2020 ท่ามกลางหนังผียุค Post James Wan เช่นพวกตระกูล Conjuring ทั้งหลายและหลังๆ ก็เริ่มมี Modern Horror (พวกหนังแบบ Us, Get Out, The Witch , Hereditary) เข้ามาแย่งชิงพื้นที่บ้างแล้ว แต่เรื่องนี้ (Emily Rose) ก็ยังคงเป็นแกะดำอยู่ ทั้งวิธีเล่าที่ค่อนข้างจะมาก่อนเวลาไปมาก คู่ขัดแย้งในหนังที่น่าสนใจ และที่สำคัญคือประเด็นที่หนังกำลังสื่อสาร
Contagion shows that capital is the real but invisible driver of climate change and global pandemics, which are interconnected. In the film, AIMM Alderson corporation deforests an area that acts as a natural buffer zone between human society and a previously isolated ecosystem, enabling the virus to jump from a wild bat into the food system and the working class and then multiplied by world travel. Capitalism is thus the virus. Today, as many people are yearning for a return to normalcy, the film reminds us that the ‘old normal’ is the problem. In short, revolutionary, anti-capitalist politics is the vaccine that we should all be making.”
ชอบซีรีส์ “photographer’s book tour” ของสำนักพิมพ์ MACK มากๆ
ไฮไลต์ คือ Alec Soth พาไปดูคอลเลกชันหนังสือที่เขาสะสมที่มีทั้งหนังสือเด็ก อัลบั้มรูปส่วนตัวและรูปถ่ายที่ได้มาจากตลาดนัด และหนังสือรูปต่างๆ เช่น Nein, Onkel: Snapshots From Another Front 1938–1945, The Face of Madness, White Trash Cooking ทุกอย่างมีที่มาที่ไปและสะท้อนวิธีคิดในงานของ Soth เอง
เนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์แรกในรอบทศวรรษที่ไม่มีหนังใหม่เข้าฉายเลย นอกจาก Be with You ซึ่งเป็นหนังเก่าที่เข้า House Samyan ที่เดียวเท่านั้น ทำให้โดยรวมรายได้หนังลดลงอย่างฮวบฮาบ เมื่อรวมรายได้หนัง 10 อันดับแรกตลอดทั้งสัปดาห์ ยังได้ไม่ถึง 10 ล้านบาทเสียด้วยซ้ำ และสัปดาห์นี้ก็ยังไม่มีหนังใหม่เข้าฉายต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์
รายได้หนังประจำสัปดาห์ 7 ม.ค. – 13 ม.ค. 64
Monster Hunter – 2.85 (19.69) ล้านบาท
Soul – 1.75 (13.38) ล้านบาท
Wonder Woman 1984 – 0.91 (62.90) ล้านบาท
Demon Slayer: Kimetsu No Yaiba – 0.62 (72.69) ล้านบาท
Detective Conan: The Scarlet School Trip – 0.58 (0.85) ล้านบาท