Lupin – แหกกรอบชนชั้นด้วยแฟนตาซีงานนอกกฎหมาย

(2021, George Kay)

ในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำ ดูเหมือนผู้คนจะใฝ่หาแฟนตาซีมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงจากความตึงเครียดในชีวิตประจำวัน และหนึ่งในสื่อที่มอบแฟนตาซีที่ผู้คนต้องการได้ก็คือหนัง ไม่น่าแปลกใจที่หนังแนวแอ็กชัน อาชญากรรมได้เลื่อนอันดับขึ้นมาติดสิบอันดับของ Netflix ได้ไม่ยาก หนึ่งในนั้นคือ The White Tiger หนังอเมริกันที่เดินเรื่องในอินเดีย เล่าเรื่องคนขับรถธรรมดาที่พลิกชะตาตนเองมาเป็นเจ้าของธุรกิจ และอีกเรื่องหนึ่งก็คือ Lupin จอมโจรลูแปง ซีรีส์ปล้นเหนือเมฆที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์หลอกตาเหนือชั้นของจอมโจร

“ซีรีส์เรื่องนี้ไม่เสียเวลาแม้แต่วินาที มันเติมเต็มทุกจังหวะด้วยปริศนา เมื่อคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้รวมกัน ซีรีส์นี้คือตัวเต็งที่จะแย่งพื้นที่สื่อในฐานะหนังที่ดีที่สุดแห่งปี” – Karen Han จาก Slate1 https://slate.com/culture/2021/01/lupin-review-2021-netflix-series-omar-sy.html

นักวิจารณ์ต่างชื่นชอบซีรีส์ Lupin และคาดการณ์ว่ามันจะทำปรากฏการณ์ฮิตในระดับนานาชาติได้ไม่ยาก ซีรีส์เรื่องนี้เล่าเรื่องของอาสซาน เด็กชายผิวดำชาวเซเนกัลที่อพยพมาอยู่ฝรั่งเศสกับพ่อของเขา พ่อของเขาได้งานเป็นคนขับรถที่บ้านของมหาเศรษฐีตระกูลเพลเลอกรินี และถูกกล่าวหาว่าขโมยเครื่องเพชรมูลค่ามหาศาลของตระกูลไป ไม่นานพ่อของเขาก็ฆ่าตัวตายในคุก ทิ้งให้อาสซานจมอยู่กับความคิดว่าพ่อตัวเองเป็นอาชญากรอยู่นาน ระหว่างที่เติบโตขึ้น เขาได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือจอมโจรลูแปง ที่พ่อของเขามอบให้ และผันตนเองมาเป็นอาชญากรนักโจรกรรมสุดไฮเทค ในเวลาเดียวกัน เขาก็วางแผนเข้าไปขโมยสร้อยพระศอพระราชินี ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อเขาถูกกล่าวหาว่าขโมย และพบว่าพ่อเขาถูกใส่ความ ภารกิจตามหาความจริงและล้างมลทินให้พ่อตนเองของอาสซานจึงเริ่มขึ้น

ในแง่ของพล็อตเรื่อง หนังทำให้เราตื่นตาตื่นใจกับความฉลาดมีไหวพริบของจอมโจรอย่างอัสซาน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลูแปงได้เป็นอย่างดี แม้คนที่ไม่เคยดูหรืออ่านเกี่ยวกับลูแปงก็สามารถตามเรื่องได้ไม่ยาก เพราะหนังจะคอยให้อัสซานแนะนำเสมอว่ากลเม็ดแบบไหนบ้างที่อยู่ในหนังสือชุดลูแปง จนทำให้คนดูอยากไปตามอ่าน หนังเดินเรื่องตามแบบฉบับหนังแอ็กชัน อาชญากรรมทั่วไป ที่ให้ตัวเอกมีความสามารถรอบด้าน ทั้งการปลอมตัว ทักษะนักล้วง หรือการใช้เทคโนโลยีเช่นโดรน การแฮ็ค การตัดต่อภาพเพื่อสร้างโปรไฟล์ปลอม หรืออะไรก็ตามที่โจรไฮเทคต้องมี ใครชอบหนังแนว Now You See Me หรือ Money Heist อาจตกหลุมรัก Lupin ได้ไม่ยาก

แต่ส่วนที่ทำให้หนังเข้มข้นมากขึ้นคือส่วนที่มีความเป็นการเมือง อย่างเช่นประเด็นสีผิวของอาสซาน เขาและพ่อเป็นผู้อพยพผิวดำและถูกมองว่าต้อยต่ำเสมอ ในฉากหนึ่ง คุณนายเพลเลอกรินีรถเสียกลางสายฝน และเมื่อเธอเห็นพ่อของอาสซานเดินเข้ามาใกล้ เธอถึงกับรีบล็อครถ โดยยังไม่ทราบว่าเขาจะมาช่วย หรือเมื่ออาสซานได้เข้าโรงเรียนเอกชนสุดหรูด้วยความช่วยเหลือจากผู้บริจาคใจดีรายหนึ่ง คนทั้งโรงเรียนกลับมองเขาเป็นตัวประหลาด และคอยพูดจาเหน็บแนมกลั่นแกล้งเขา ดูเหมือนสิ่งหนึ่งที่ทั้งน่าขมขื่นและน่าทึ่งเกี่ยวกับตัวอาสซาน ก็คือการที่ใครๆ ล้วนไม่สังเกตเห็นเขา หรือมองว่าเป็นคนสำคัญ ฉากการประมูลเพชรที่มีแต่คนผิวขาวและมีเขาคนเดียวเป็นคนผิวดำในนั้น สะท้อนให้เห็นถึงการเมืองของความเหลื่อมล้ำอันเกิดจากสีผิว และแม้แต่ผู้ดูแลการประมูลก็กล่าวว่าเขาไม่นึกว่า “คนแบบอาสซาน” จะชนะการประมูลนี้ได้

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจใน Lupin ก็คือประเด็นว่าด้วยชนชั้น ในสังคมทุนนิยม นายทุนเป็นผู้ควบคุมปัจจัยการผลิต และได้รับมูลค่าส่วนเกินจากการผลิตมาสร้างความมั่งคั่งให้ตนเอง ขณะที่ลูกจ้างในระบบ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานมีฝีมืออย่างพนักงานออฟฟิศ หรือแรงงานไร้ฝีมือเช่นคนขนถ่านหิน ต่างทำงานวนเวียนอยู่กับสิ่งเดิมๆ จนเกิดความรู้สึกแปลกแยก (Alienation/อัญภาวะ) จากงานของตนเอง งานแต่ละส่วนถูกซอยออกเป็นกระบวนการย่อยๆ ที่แบ่งคนออกไปทำกระบวนการซ้ำๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือเห็นกระบวนการผลิตครบทั้งระบบ และพวกเขากลับผลิตทรัพยากรมาเพื่อให้นายทุนใช้ทรัพยากรนั้นกดขี่ตนเองอีกที กล่าวให้สั้น ระบบทุนนิยมทำให้คนติดอยู่ในวงจรที่ไม่สามารถมีอิสระได้เต็มที่ในการทำงานที่มีความหมาย หรือแม้พวกเขาจะรู้สึกว่ามันมีความหมาย พวกเขาก็กำลังถูกหลอก

กล่าวให้สั้น ระบบทุนนิยมทำให้คนติดอยู่ในวงจรที่ไม่สามารถมีอิสระได้เต็มที่ในการทำงานที่มีความหมาย หรือแม้พวกเขาจะรู้สึกว่ามันมีความหมาย พวกเขาก็กำลังถูกหลอก

สิ่งที่อาสซานทำคือการแหกกรอบของโลกทุนนิยมโดยแท้ เพราะเขาทำงานให้ตนเอง มีเป้าหมายเพื่อตนเอง และเลือกวิธีการของตนเอง งานนอกกฎหมายที่อาสซานทำนั้น เขาทำโดยไม่รู้สึกแปลกแยกกับมันแต่อย่างใด และเขายังใช้มันเลื่อนชนชั้นให้ตนเองจนกลายเป็นคนมั่งคั่งขึ้นมา เขาปฏิเสธที่จะเข้าไปอยู่ในระบบ เพราะแม้กระทั่งระบบติดตามคนของรัฐก็ยังตามตัวเขาไม่ได้ เขาเป็นตัวอย่างหนึ่งของขบถที่เหล่าชนชั้นกลางในระบบที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ใฝ่ฝันที่จะเป็น ทุกคนล้วนต้องการเสรีภาพและการกำหนดชีวิตตนเองได้แบบอาสซาน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ยิ่งเมื่อคำนึงถึงบริบทของคนผิวดำที่เป็นเด็กกำพร้ายิ่งแล้วใหญ่ 

การวางตัวละครแบบอาสซานเข้ามาอยู่ในบริบทที่เขาอยู่เหนืออำนาจรัฐได้เกือบทุกอย่าง เปรียบเสมือนการทำให้ความฝันของ Extreme User ในเกมทางสังคมกลายเป็นจริง คนอย่างอาสซานเป็นตัวแทนของผู้ถูกกดขี่ทางสังคม ดังนั้น การทำให้คนแบบนี้ผงาดขึ้นมาเป็นพระเอก กลายเป็นคนเก่งรอบด้าน และร่ำรวย มันจึงเปรียบเสมือนการทำให้ฝันของคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีชีวิต “extreme” เท่ากับอาสซานกลายเป็นจริงขึ้นมาด้วย คนทุกสีผิวที่ยังทำงานอยู่ในวงจรของระเบียบโลกแบบทุนนิยมเข้าใจเขาได้ เพราะทุกคนเคยผ่านประสบการณ์ของการเป็นผู้ถูกกดขี่ แม้จะน้อยกว่า

คนอย่างอาสซานเป็นตัวแทนของผู้ถูกกดขี่ทางสังคม ดังนั้น การทำให้คนแบบนี้ผงาดขึ้นมาเป็นพระเอก กลายเป็นคนเก่งรอบด้าน และร่ำรวย มันจึงเปรียบเสมือนการทำให้ฝันของคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีชีวิต “extreme” เท่ากับอาสซานกลายเป็นจริงขึ้นมาด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น หากโลกทุนนิยมของมาร์กซ์คือการต่อสู้กันระหว่างชนชั้นนายทุนที่ร่ำรวย (Bourgeoisie) และชนชั้นกรรมาชีพ (Proletariat) อาสซานก็ไม่ได้ขโมยเพียงความมั่งคั่งของเหล่าผู้ดีเท่านั้น แต่ยังขโมยสถานภาพทางสังคม (status) ของพวกเขา ผ่านการนิยามตนเองว่าเป็น “สุภาพบุรุษจอมโจร (Gentleman Cambrioleur)” ซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษนี้ถูกผูกโยงเข้ากับชนชั้นสูงมากเป็นเวลาเนิ่นนาน และอาสซานได้ใช้มันชุบตัวเองใหม่ แต่เขาก็ไม่ได้กลายเป็นชนชั้นสูง เพราะเขาได้สร้างพื้นที่ระหว่างกลาง ที่อยู่นอกเกมอำนาจแบบทุนนิยมขึ้นมาด้วยตนเอง ลูแปงเป็นจอมโจรพันหน้าฉันใด อาสซานก็มีสถานะที่ลื่นไหลฉันนั้น เขาไม่ได้ “เป็นอะไร” หรือ “เป็นใคร” ในระบบทุนนิยมที่เชี่ยวกรากนี้เลย เพราะเขาสลัดตนเองจนหลุดพ้นจากระบบ อาจเรียกได้ว่าเขา “ไม่เป็นใครเลย (no one)”

การสลัดพ้นจากอำนาจทางสังคมยังสะท้อนผ่านการไม่นับถือศาสนา หรือพูดถึงศาสนาของอาซานด้วย หากมาร์กซ์บอกว่า “ศาสนาคือฝิ่น” อาสซานอาจจะเห็นด้วยกับมัน ฉากที่เกี่ยวข้องกับศาสนามีอยู่น้อยมาก หนึ่งในนั้นคือฉากที่ครูคนหนึ่งมอบไบเบิ้ลให้อาสซาน แต่เขากลับนำหนังสือจอมโจรลูแปงไปเย็บสอดไส้มัน และอ่านอยู่ตลอดเวลา ฉากนี้เป็นฉากที่บ่งบอกว่า อุดมคติของอาสซานก้าวพ้นไปจากโลกที่มีศาสนา ศาสนาไม่ได้เป็นที่ยึดเหนี่ยวสำหรับเขา แต่เป็น “อุดมคติ (Idealism)” ต่างหากที่เขาใช้สร้างตัวตนขึ้นมาจากคนที่ไม่มีอะไรเลย เป็นอุดมคติที่ไม่เกี่ยวพันกับศรัทธาความเชื่อใดๆ นอกจากความเชื่อในปัจเจก (Individual)

โดยรวมแล้ว ซีรีส์ Lupin จอมโจรลูแปง เป็นซีรีส์ที่ครบรสทั้งในด้านการเป็นหนังแอ็กชัน อาชญากรรม หรือเป็นหนังที่สะท้อนการเมืองเรื่องสีผิวและชนชั้น ภาพของอาสซานอาจสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนเกี่ยวกับการแปรเปลี่ยนชะตาชีวิตตนเองด้วยความสามารถส่วนบุคคล และการยึดมั่นในอุดมคติประจำใจ ซึ่งทำให้หนังมีความเป็นเอกภาพ (Integrity) อยู่มาก


ดู Lupin ได้ที่ Netflix

นภัทร มะลิกุล
จบการศึกษาจากเอกปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ปัจจุบันเป็นนักวิจารณ์หนังและหนังสือให้กับสื่อออนไลน์ และยังเป็น co-founder ของบล็อกคุยเรื่องหนัง afterthescene.com เธอชอบเรียนรู้เรื่องมนุษย์ผ่านสื่อและศิลปะ และมีเป้าหมายอยากเป็นนักเรียนรู้ตลอดชีวิต

LATEST REVIEWS