About Some Meaningless Events ความหมายของเหตุการณ์ที่ไม่มีความหมาย

(1974, Mostafa Derkaoui)

หนังเริ่มต้นจากกองถ่ายหนึ่งที่อยู่ในบาร์ Casablanca เพื่อทำการจำลองภาพของบางอย่างจากสคริปต์ ไปสู่การสัมภาษณ์ผู้คนทั่วไปที่อยู่ในละแวกนั้น ถามว่าพวกเขาเคยดูหนังของประเทศโมร็อคโคหรือเปล่า แล้วหนังที่ควรจะเป็นของประเทศโมร็อคโคนั้นเป็นอย่างไร บางคนตอบว่าได้ดูหนังบ้าง ไม่ได้ดูหนังบ้าง ด้วยภาพยนตร์เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยทางการเงิน รวมถึงกระทั่งเวลา แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ตอบก็คือพวกเขาไม่ได้ดูหนังของประเทศตัวเองเลย แต่เมื่อถามว่าหนังของโมร็อคโคนั้นควรเป็นอย่างไร พวกเขาส่วนใหญ่จะตอบว่าต้องการให้หนังของประเทศได้แสดงถึงปัญหาของสังคมที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ปัญหาปากท้องเอย หรือการแสดงภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านทุกวันนี้

คำถามต่อคนทำหนังที่มีต่อหนังก็คือ หนังสามารถทำหน้าที่อะไรได้บ้างนอกจากความบันเทิง หนังเรื่องนี้โยนคำถามนั้นลงไปในหนังเลยทั้งก้อน ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คอนเซปต์ของหนัง แต่มันเป็นบทสนทนาของทีมงานในหนังเรื่องนี้ ว่าด้วยเรื่องของทีมงานของหนังเรื่องหนึ่ง ที่พยายามสัมภาษณ์ผู้คนในโมร็อคโคไปเรื่อยๆ ว่า พวกเขาเคยดูหนังโมร็อคโคหรือไม่ แล้วพวกเขาอยากให้หนังโมร็อคโคมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร เพื่อที่เขาจะได้ทำภาพยนตร์ที่ออกมาเป็นภาพแทนของคนในโมร็อคโคอย่างแท้จริง พวกเขาไล่สัมภาษณ์ไปหลายคนจนได้ตามคนงานคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่ท่าเรือ เขาตอบว่าเขาไม่รู้จะตอบว่ายังไง แต่ดูเหมือนเขาตอบปัดๆ เหมือนเก็บงำข้อมูลอะไรบางอย่างมากกว่าไม่รู้เรื่องจริงๆ ทีมงานจึงแอบตามชีวิตของเขาอยู่ห่างๆ จนสุดท้ายชายคนนี้ลงมือฆ่าเจ้านายของตัวเอง แล้วหนังก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ตัวหนังนั้นเริ่มพลิกจากคำถามที่เคยตั้งต้นไปสู่การจำลองเหตุการณ์จริง เมื่อเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมภายในหนัง ทำให้เหล่าคนทำหนังพลิกตัวเองกลายเป็นนักข่าวผู้ตามหาความจริงว่าทำไมผู้ก่อเหตุถึงกระทำการดังกล่าว ซึ่งก็คือชายคนนั้นที่พวกเขาตามมาตลอดนั่นแหละ คนที่ดูภายนอกแล้วไม่น่ามีปัญหาอะไรกับใครได้ หนังจากที่กลายเป็นฟุตเทจรวบรวมคนสัมภาษณ์อย่างเลื่อนลอย คนที่อยู่รอบๆ ตัวของคนฆ่า คนร่วมงานหรือเพื่อนๆ ของเขา เหมือนหนังเริ่มเดินทางเพราะเริ่มมีจุดประสงค์ของคนทำมากขึ้น นั่นคือหนังเพื่อตามหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น อะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้เกิดการฆาตกรรม พวกเขาอาจจะได้สิ่งที่ต้องการ จุดประสงค์บางอย่างของการทำหนัง แต่ผลสุดท้ายกลับคือการไม่มีคำตอบต่อความต้องการ การมีพลังของสื่อในมือของตัวเองอาจไม่ช่วยอะไร ในเมื่อพวกเขายังไม่เข้าใจโลกภายนอกเลย

หนังเรื่องนี้สาบสูญไปถึงหลายสิบปี เพราะด้วยรัฐบาลโมร็อกโกสั่งแบนหนังก่อนที่จะได้ฉาย ทางรัฐอ้างด้วยเหตุผลที่ว่าไม่เหมาะสมที่จะให้ผู้ชมชาวโมร็อคโคได้ชมในช่วงนั้น แต่แท้จริงแล้วพวกเขาแบนหนังเรื่องนี้เพราะว่าท่าทีของหนังที่กำลังตั้งคำถามกับบทบาททางสังคมของหนังในประเทศที่ควรมีมากกว่าความบันเทิง และแสดงออกถึงแนวความคิดของคนรุ่นใหม่ในช่วงนั้น ทำให้หนังได้โลดแล่นเพียงแค่งานฉายหนังใต้ดินเพียงแค่ไม่กี่งาน เวลาผ่านไปสี่สิบปี หนังเรื่องนี้ถูกนำมาฉายในเทศภาพยนตร์เบอร์ลินเมื่อปี 2019 มันได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าเป็นหนังที่มาก่อนกาล ทั้งเทคนิคและเนื้อหาที่ผสมผสานระหว่างการเป็นสารคดีและเรื่องแต่งเอาไว้ในเรื่องเดียวกันจนแยกไม่ออกว่านี่คือเหตุการณ์จริงหรือว่าเป็นเซ็ตติ้งที่ถูกถ่าย หนังมีการใช้สเลทของกองถ่ายเขียนบอกซีน คัท เทค ต่อหน้ากล้องบ่อยครั้ง นี่อาจเป็นหนังที่เอาไว้จำลองสถานการณ์ถึงความเป็นจริงในโมร็อคโคช่วงนั้น นึกถึงหนังของ Abbas Kiarostami ในการผสมเรื่องเล่าลงไปในความจริง การประกอบเหตุการณ์จากเรื่องเล่าที่เคยเกิดขึ้นจนกลายเป็น Close-Up เป็นต้น

มันได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าเป็นหนังที่มาก่อนกาล ทั้งเทคนิคและเนื้อหาที่ผสมผสานระหว่างการเป็นสารคดีและเรื่องแต่งเอาไว้ในเรื่องเดียวกันจนแยกไม่ออกว่านี่คือเหตุการณ์จริงหรือว่าเป็นเซ็ตติ้งที่ถูกถ่าย

ในเรื่องมีแต่การโคลสอัพให้เห็นใบหน้าของผู้คนยืนเบียดแออัดกันอยู่ในเฟรม และความตลบอบอวลของเสียงพูดที่ไม่สามารถโฟกัสได้ชัดเจน ราวกับว่าไม่แน่ใจว่าจะมีความสำคัญในเสียงของพวกเขามากขนาดไหน หรือจะแสดงความวุ่นวายในสังคมโมร็อคโคมากขนาดไหน อาจจะเพราะทุกคนต้องการที่จะพูดก็ได้ ทั้งเรื่องมีแต่การจับจ้องระยะกลางถึงใกล้ สถานที่ใจกลางเรื่องคือในบาร์แห่งหนึ่งที่ทุกคนเดินขวักไขว่ เราจึงไม่สามารถโฟกัสไปยังใครคนใดคนหนึ่งได้พิเศษ เพราะมันมีแต่ความวุ่นวาย โกลาหล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายภายในบาร์แห่งนั้น เหมือนกับสิ่งที่พวกเขาทำก็กลายเป็นแค่เหตุการณ์หนึ่งที่ไม่มีใครสนใจตามชื่อหนัง แต่ความไม่สำคัญของเหตุการณ์จะทำยังไงให้มันสำคัญขึ้นมาได้ ถ้ามันถูกบันทึกไว้จะสำคัญขึ้นมาได้ไหม

หนังตั้งคำถามกับความเป็นสื่อ ทับซ้อนกับการเป็น meta-fiction ที่พยายามใช้เรื่องเล่าทาบไปกับความเป็นจริงอีกที ว่าพลังของสื่อที่มีอยู่ในโมร็อคโคนั้นสามารถช่วยอะไรชาวบ้านตาดำๆ ที่ต้องทำมาหากินไปวันต่อวันได้หรือไม่ หนังที่เป็นตัวแทนของพวกเขาในช่วงนั้นมันมีอยู่จริงหรือไม่ มองในอีกด้านหนึ่ง ตัวหนังก็กำลังตั้งคำถามต่อกลุ่มคนทำภาพยนตร์ในประเทศช่วงนั้นด้วยว่า พวกเขากำลังทำอะไรกันแน่ พวกเขาสนใจความเป็นไปของคนในประเทศนั้นจริงๆ เหรอ พวกเขาแค่ทำสื่อที่ออกมาปลอบประโลมด้วยความบันเทิงลืมทุกข์โศกชั่วครั้งชั่วคราวกันไป ก่อนจะกลับมาเผชิญหน้าความจริงที่น่าเศร้ากันต่อ หรือกลายเป็นสื่อโฆษณาชวนเชื่อคอยอนุรักษ์ค่านิยมบางอย่างให้ยังอยู่เพื่อดำรงไว้ซึ่งอำนาจของผู้มีอำนาจเพียงเท่านั้น

มีซีนหนึ่งที่เหล่ากลุ่มคนทำหนังกำลังถกเถียงเรื่องเหตุผลว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมขึ้น แรงจูงใจคืออะไร และเหตุการณ์นี้น่าสนใจที่จะมาทำเป็นหนังหรือไม่ แต่บทสนทนาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในซีนนั้นช่างแตกต่างและซับซ้อนกว่าภาษาชาวบ้านธรรมดาทั่วไป มันได้แยกบทสนทนาออกเป็นสองเลเยอร์ ระหว่างกลุ่มคนทำหนังทรงปัญญา กับชาวบ้านธรรมดาที่ใช้ภาษาพูดของตัวเอง เหมือนว่าหนังเป็นการล้อเลียนตัวเองอีกทีหนึ่ง ที่ไม่สามารถสื่อสารให้คนภายในประเทศได้เห็นว่าหนังของประเทศโมร็อคโคแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่ หรือหนังกลายเป็นแค่ของเล่นของคนชนชั้นกลางที่มีอันจะกินและไม่สื่อสารกับพวกเขาโดยตรงเสียที

เหมือนว่าหนังเป็นการล้อเลียนตัวเองอีกทีหนึ่ง ที่ไม่สามารถสื่อสารให้คนภายในประเทศได้เห็นว่าหนังของประเทศโมร็อคโคแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่ หรือหนังกลายเป็นแค่ของเล่นของคนชนชั้นกลางที่มีอันจะกินและไม่สื่อสารกับพวกเขาโดยตรงเสียที

ในหนังเกิดซีนระหว่างการสัมภาษณ์ผู้หญิงสองคนในบาร์ กลายเป็นว่าผู้กำกับและตากล้องเกิดผันตัวเองกลายเป็นแคสติ้งทันที เมื่อเห็นสาวสวยคนหนึ่งสนใจในกองถ่ายนั้นๆ อาจจะหวังว่าตัวเองจะได้เข้าวงการบันเทิงสักวัน ส่วนเหล่าคนทำหนังก็หวังจะใช้ผลประโยชน์ของการอยู่ในวงการภาพยนตร์ เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยการขอชื่อ-ที่อยู่ของเธอ เพื่อที่จะได้สานสัมพันธ์ต่อ แทนที่จะสนใจถามคำถามหลักที่พวกเขาต้องการสัมภาษณ์ และทำให้ชายอีกคนที่พยายามจะเข้ามาจีบเธอเหมือนกันก็เริ่มแสดงอาการไม่พอใจเหมือนแมวที่โดนแย่งปลาไปต่อหน้า ก็อาจจะทำให้เราเห็นบางๆ ว่า พวกเขาอาจจะไม่ได้เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่อย่างชัดเจน เขาแค่ทำตามหน้าที่และใช้อภิสิทธิ์พิเศษในการเป็นกองถ่ายให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง

และพอได้สังเกตในเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในหนังจริงๆ หนังก็ไม่ได้แสดงความสลักสำคัญอะไรอย่างชัดเจน นอกจากผู้ที่เห็นเหตุการณ์รอบข้างแล้ว ไม่มีผู้ตื่นตระหนก ไม่มีใครโวยวาย เหมือนกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยทั่วไป และไม่ใช่เรื่องของพวกเขาที่จะเข้าไปส่อ ความไร้อำนาจของผู้คนทำให้พวกเขาเฉื่อยแฉะ ไร้ความกระตือรือร้น แล้วใครที่จะพลังพอที่กระตุ้นให้เหตุการณ์นี้มีความหมายมากขึ้น ก็คนที่ถือสามารถบันทึกเรื่องราวเหล่านี้ได้ไง แต่เมื่อมีคำถามของฆาตกรที่ถามพวกเขาว่าพวกคุณคิดว่าการบันทึกทุกอย่างลงไปในกล้องจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้เหรอ การพยายามหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสังหารเจ้านายตัวเองจะทำให้คุณเข้าใจปัญหาของผมมากขึ้นเหรอ โดยที่คุณก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตของผมสักอย่าง คำถามเหล่านี้มันย้อนกลับไปหาตัวกลุ่มคนทำหนัง หรือผู้ที่ชมเองว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นอยู่นี่มันได้ช่วยอะไรใครกันแน่ หรือมันไม่เคยเป็นอะไรมาตั้งแต่แรก

การกระทำบางอย่างอาจไร้ความหมายถ้าไม่มีผู้พบเห็น เหตุการณ์บางเหตุการณ์อาจไม่มีความหมายถ้าไม่มีคนบันทึกเหตุการณ์ หนังบางเรื่องถ้าไม่มีคนดู มันอาจไม่มีความหมายเพราะไม่มีผู้คนได้รับชม และความหมายของมันอาจไม่ถูกตีความอย่างหลากหลายเพราะไม่มีคนได้ดูเป็นจำนวนมาก การที่หนังจะสร้างแรงกระเพื่อมอะไรบางอย่างต่อผู้ชม หรือสังคมในวงกว้าง ต้องเกิดการปะทะระหว่างหนังกับคนดูที่มากมาย อย่างเช่นหนังเรื่องนี้อาจจะไม่มีความหมายถ้ามันไม่ถูกค้นพบและนำมาบูรณะมาฉายอีกครั้งให้คนได้ดูมันอีกรอบ แต่ความหมายของหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ต้องดูเพราะเกิดการแบนหนังเรื่องนี้ มันเกิดการปะทะระหว่างผู้สร้างกับรัฐไปแล้ว และสิ่งนี้จะถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มคนทำที่ต่อต้านรัฐ แต่ความหมายของแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในหนังและนอกหนังนั้นสำคัญหรือเปล่า เหตุการณ์การฆาตกรรมในบาร์นั้นน่าสนใจขนาดไหน การที่หนังเรื่องนี้ถูกแบนสร้างผลกระทบอะไรต่อวงการภาพยนตร์โมร็อคโคในช่วงนั้น หรือจริงๆ แล้วหนังของประเทศโมร็อคโคนั้นเป็นอย่างไรในตอนนี้ นั่นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าสนใจมันในแง่ไหน และต้องค้นหาคำตอบกันเอง


สามารถรับชมได้ที่ MUBI

LATEST REVIEWS