โดยไม่ผิดเพี้ยน นี่คือสไตล์ที่เราคุ้นชินจากภาพยนตร์ของเทอร์เรนซ์ มาลิค ผู้กำกับชาวอเมริกันที่สร้างความฉงนฉงายให้กับผู้ชมมาอย่างยาวนาน ด้วยวอยซ์โอเวอร์พร่ำเพ้อล่องลอยอยู่เหนือภาพมุมกว้างที่ลื่นไหลสลับไปมาระหว่างผู้คน ทิวทัศน์ โลกธรรมชาติงามวิไล (และในบางครั้งก็ออกนอกจักรวาล!) การปะติดปะต่อกันของภาพ เสียง และถ้อยคำข้ามพื้นที่และกาลเวลาอย่างเป็นอิสระในหนังของมาลิคนั้น บางครั้งก็สุดแสนสะเปะสะปะจนทำคนดูเลิกล้มความตั้งใจที่จะทำความเข้าใจไปอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังชุด ‘ด้นสด-ไร้บท’ ในระยะหลังของเขาอย่าง To the Wonder (2012), Knight of Cups (2015) และ Song to Song (2017) ที่มักได้รับคำวิจารณ์ก้ำกึ่ง
ทว่าผลงานล่าสุดของเขาอย่าง A Hidden Life กลับต่างออกไป เพราะมันเป็นเรื่องแรกที่มาลิคหวนกลับมาสู่การทำหนังแบบมีบทหรือโครงสร้างอีกครั้ง โดยสร้างมาจากเรื่องจริงของชาวนาในออสเตรียผู้หนึ่งที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อนาซี ในขณะที่การปะติดปะต่อภาพในหนังยังคงลื่นไหล กระโดดจากชั่วขณะหนึ่งไปยังอีกชั่วขณะ แต่การเล่าเรื่องนั้นมีกลมเกลียวเป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้น มีการไล่เลี้ยงอารมณ์คนดูที่ทรงพลังขึ้น ทั้งยังมีการขบคิดประเด็นที่ทั้งชัดและคมคายมากกว่าเดิม เมื่อเทียบเคียงกับแค่ 3 เรื่องที่กล่าวไป ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่ผลงานคืนฟอร์มเรื่องนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดของมาลิคหลังจากผลงานปาล์มทองของเขาอย่าง The Tree of Life (2011)
Zhang Hongsen ผู้อำนวยการของสำนักภาพยนตร์ (Film Bureau of China) ได้กล่าวถึงความคาดหวังต่อการร่วมมือกันของภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของทั้งสองประเทศไว้ว่า “ประเทศทั้งสองต่างมีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ขนาดใหญ่ และอุตสาหกรรมของประเทศทั้งสองกำลังเชื่อมต่อกันภายหลังจากข้อตกลงฉบับนี้มีผล”
ในขณะที่ อาจิตต์ ฐากูร (Ajit Thakor) ซีอีโอของ บริษัท Eros Production มองว่าเป้าหมายสำคัญของการร่วมมือกันของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกสองประเทศแรกคือ การพาหนังเข้าถึงตลาดที่มีผู้ชมรวมกัน สองพันห้าร้อยล้านคนเป็นลำดับแรก จากนั้นจึงค่อยพุ่งเป้าไปที่ตลาดตะวันตก “ถ้าหนังร่วมทุนเหล่านี้ประสบความสำเร็จในทั้งอินเดีย และจีน มันก็ควรจะไปฉายในที่ต่างๆ ทั่วโลกพร้อมกับซับไตเติ้ล หรือไม่ก็ฉบับพากย์ภาษาอังกฤษ”https://www.screendaily.com/production/china-india-co-productions-a-golden-opportunity/5109969.article
ผลพวงจากข้อตกลงดังกล่าว ทำให้มีการร่วมผลิตภาพยนตร์ระหว่างกันของประเทศทั้งสอง ตามมาหลายเรื่อง อาทิ Monk Xuan Zang (2015)https://www.hollywoodreporter.com/news/india-china-coproduction-monk-xuan-795829 ซึ่งเป็นเรื่องราวของพระจีนในศตวรรษที่ 7 ที่เดินทางจาริกไปยังอินเดีย เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท China Film Group และ Eros Production นำแสดงโดยหวังเสี่ยวหมิง และ Kungfu Yoga (2017) หนังแอ็กชันโดยผู้กำกับสแตน ตงที่ผสมผสานระหว่างกังฟูซึ่งเป็นตัวแทนวัฒนธรรมจีน และโยคะซึ่งแทนวัฒนธรรมอินเดีย นำแสดงโดย แจ็คกี้ ชาน (เดิมทีเป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท Taihe Entertainment ของจีน กับ Viacom 18 ของอินเดีย แต่ต่อมาบริษัทอินเดียถอนตัว เพราะหนังนำเสนอมุมจีนมากเกินไป)http://chinafilminsider.com/film-review-kung-fu-yoga-jackie-chans-chinese-new-year-gift/ รวมถึง โปรเจกต์ The Jewel Thief หนังแอ็กชัน โดยผู้กำกับอินเดีย สิทธารถ อนันด์ (Siddharth Anand) และ The Zookeeper หนังทุน 25 ล้านเหรียญ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ดูแลสวนสัตว์ของอินเดียที่ต้องเดินทางมาตามหาหมีแพนด้าในเมืองจีน กำกับโดย กาบิร ข่าน (Kabir Khan) ที่เดิมมีกำหนดจะสร้างตั้งแต่ปี 2018 แต่จนถึงปัจจุบันยังอยู่ในขั้นพัฒนาอยู่http://m.china.org.cn/orgdoc/doc_1_29302_1245467.html
ในปี 2012 ข้าพเจ้ายืนมองแสงสีทองฉาบทามะนิลาเบย์จากระเบียงของอาคารศูนย์วัฒนธรรมแห่งฟิลิปปินส์ (Cultural Center of the Philippines) ในขณะที่รอเวลาฉายของหนังเรื่องถัดไปในเทศกาลภาพยนตร์ Cinemalaya
แต่ความฝันประการหนึ่งของอิเมลดาได้กลายเป็นจริง คือการนำร่างของ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ลงฝังในสุสาน Libingan ng mga Bayani เคียงข้างกับเหล่าวีรบุรุษแห่งชาติและอดีตประธานาธิบดีคนอื่นๆ
มอร์ริโกเน่เป็นเพื่อนที่เรียนมากับนักทำหนังระดับตำนานแห่งอิตาลี แซร์โจ เลโอเน่ และขึ้นสู่จุดสูงสุดกับหนัง The Good, The Bad And the Ugly (1966) อันได้รับการยกย่องว่าเป็นสกอร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดชิ้นหนึ่งของโลกภาพยนตร์ ซึ่งนอกจากหนังเกือบทุกเรื่องของเลโอเน่แล้ว มอร์ริโกเน่ยังทำสกอร์ให้ จูเซปเป้ ทอร์นาทอเร่ เกือบทุกเรื่องด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องที่หลายคนรักอย่าง Cinema Paradiso (1988)
มอร์ริโกเน่สร้างสรรค์ผลงานอันโดดเด่นมาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็น Days of Heaven, The Thing, The Mission, The Untouchables, Bugsy, The Ripley’s Game และ The Hateful Eight ซึ่งเรื่องหลังสุดนี้ทำให้เขาคว้าออสการ์มาครองได้ครั้งแรก และเป็นผู้คว้าออสการ์ดนตรีประกอบที่อายุมากที่สุดด้วย
หนังยาวเรื่องสุดท้ายของมอร์ริโกเน่คือ Correspondence ผลงานของทอร์นาทอเร่ที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยกันมาทุกเรื่อง Film Club ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของคนทำสกอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในโลกภาพยนตร์
เริ่มต้นกันอย่างนั้น และนี่คือหนังที่ถูกนับเป็นหนังเรื่องแรกของ Black Horor
ด้วยความสำเร็จทางการตลาดของหนัง ในปีเดียวกันนั้น ยังมีหนังทำนองนี้ตามออกมาอีกจำนวนหนึ่ง จาก Blacula (1972) หนังแดรกคูล่าคนดำ ไปสู่ Blackenstein (1973) หนังที่มีคนดำมารับบททหารเวียดนามผู้เสียแขนขาและถูกปลุกชีพให้เป็นแฟรงเกนสไตน์, Dr. Black and Mr. Hyde (1976) หนังดัดแปลง Jackle and Hyde ฉบับคนดำ และ Abby (1974) หนังรีเมก The Exorcist ให้เป็นคนดำผีเข้า
อาจบอกได้ว่าต้นธารของหนัง Black Horror เกิดจากการรีเมกเพื่อสร้างความหมายใหม่ เริ่มจาก Dracula รีเมกเป็น Blacula, FrankenstEIn รีเมกเป็น BlackensTein Dr. Jekyll and Mr. Hyde รีเมกเป็น Dr. Black and Mr. Hyde และ The Exorcist รีเมกเป็น Abby การเปลี่ยนโลกของคนขาวมาเป็นโลกของคนดำในเรื่องเล่าแบบเดียวกันกับสร้างผลที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ
Ganha & Hess เล่าเรื่องของ Dr. Hess (แสดงโดย Duane Jones นักแสดงนำจาก Night of The Living Dead ของ George Romero หนังที่ไม่ใช่ Blaxploitation แต่ถูกจดจำในฐานะหมุดหมายสำคัญหลายๆ ประการ หนึ่งในนั้นคือการที่มีตัวละครเอกเป็นคนผิวดำ ซึ่งแม้ Romero จะออกมาแบ่งรับแบ่งสู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นหนังที่ตัวละครหลักเป็นคนผิวดำเพื่อประเด็นทางการเมือง แต่นี่คือเรื่องของชายผิวดำที่ต้องต่อสู้กับคืนของซอมบี้ผีดิบท่ามกลางตัวละครคนขาวประสาทๆ มากมาย ก่อนจะลงเอยด้วยการถูกสังหารจากน้ำมือของตำรวจเพราะคิดว่าเขาเป็นซอมบี้ในเช้าวันต่อมา) นักมานุษยวิทยาที่กำลังวิจัยเรื่องชนเผ่าโบราณในแอฟริกาได้กริชมากระดูกสัตว์มาอันหนึ่ง เวลาต่อมาผู้ช่วยของเขาที่่ค่อยๆ เสียสติไปทีละน้อย (รับบทโดย Bill Gunn ผู้กำกับเอง) หยิบกริชอันนั้นมาแทงเขากลางดึกในคืนหนึ่งก่อนจะยิงตัวตาย
และไม่กี่ปีมานี้เอง Black Horror กลับมาอีกครั้ง ผ่านหนึ่งในหนังเรื่องสำคัญทั้งในฐานะหนังทำเงินและหนังชิงรางวัลปี 2017 คือ Get Out โดย Jordan Peele ซึ่งว่าด้วยหนุ่มผิวดำที่มีแฟนเป็นคนขาว สุดสัปดาห์เขาเดินทางไปบ้านแฟนซึ่งเป็นบ้านคนผิวขาวชนชั้นกลาง ในงานปาร์ตี้เขาพบคนดำท่าทางแปลกๆ เหมือนหุ่นยนต์และเริ่มรู้สึกผิดประหลาด เมื่อแม่ของคนรักที่เป็นจิตแพทย์พูดคุยและอาจจะเริ่มสะกดจิตเขา Get Out โด่งดังทั้งในฐานะหนังสยองขวัญและหนังที่ซ่อนประเด็นทางสังคมไว้อย่างเฉียบแหลม ก่อนที่ Jordan Peele จะวิพากษ์ผ่านหนังสยองขวัญอย่างหนักมือขึ้นในหนังเรื่องต่อมาคือ Us ที่วิพากษ์ชนชั้นของคนดำอย่างดุเดือด ซึ่งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ เราอาจกล่าวได้ว่าหนังสองเรื่องนี้เป็นลูกหลานของหนังในสายตระกูล Black Horror
หมายเหตุ : เนื้อหาบางส่วนของบทความเป็นการสรุปและเรียบเรียงจาก Novotony Lawrence และ Gerald R. Butters Jr., บรรณาธิการ. (2016). Beyond Blaxploitation . Detroit : Wayne State University Press
หลายคนที่ชมภาพยนตร์อเมริกัน อาจคุ้นตากับตัวละครผู้หญิงผิวดำ รูปร่างท้วม มีหน้าที่ทำงานบ้าน คอยดูแลครอบครัวคนขาวในหนังหลายเรื่อง ตัวอย่างเช่น บทของออคตาเวีย สเปนเซอร์ ใน The Help (2011) หลุยส์ บีเวอร์สใน Imitation of Life (1934) หรือบท ‘แมมมี่’ ของ แฮตตี แม็กแดเนียลใน Gone with the Wind (1939)
มิกกี แม็กเอลยา พูดในหนังสือ Clinging to Mammy: The Faithful Slave in Twentieth-Century America ว่า ปัญหาของการเล่าเรื่องในภาพของทาสรับใช้ผู้จงรักภักดีนี้ เป็นการลดประเด็นของความรุนแรงที่นายทาสมีต่อทาส และด้วยสถานภาพทาส การจงรักภักดีจึงเป็นเรื่องที่ทาส ‘ต้อง’ ทำMicki McElya, Clinging to Mammy: The Faithful Slave in Twentieth-Century America (Massachusetts: Harvard University Press, 1982), p. 5–6.
คิมเบอร์ลี วอลเลซ-แซนเดอร์ส เขียนในหนังสือ Mammy: A Century of Race, Gender, and Southern Memory ถึงการใช้คำว่า “แมมมี่” เพื่อพูดถึงทาสหญิงที่ดูแลเด็กผิวขาวทางตอนใต้ของอเมริกา ซึ่งโผล่ครั้งแรกๆ ในปี 1810 เป็นคำที่ใช้หมายถึงแม่ (ma’am + mamma) พอถึงปี 1820 คำนี้มักถูกใช้กับคนผิวดำผู้มีหน้าที่ดูแลเด็กๆ ผิวขาว แซนเดอร์สค้นคว้านิยายและบันทึกที่ถูกเขียนขึ้นทางตอนใต้ของอเมริกาในยุคแอนเทเบลลัม พบว่าตัวละครที่ทำหน้าที่นี้มีความหลากหลาย มีทั้งเพศชายและหญิง ไม่ได้มีรูปร่างใหญ่หรืออ้วนท้วม หรือรูปแบบพฤติกรรมเฉพาะ จนกระทั่งการมาถึงของนิยาย Uncle Tom’s Cabin (กระท่อมน้อยของลุงทอม) เขียนโดย แฮเรียต บีชเช่อร์ สโตว์ ในปี 1852Kimberly Wallace-Sanders, Mammy: A Century of Race, Gender, and Southern Memory (Michigan: University of Michigan Press, 2008), p. 4.
Scrub Me Mama with a Boogie Beat การ์ตูนปี 1941 สร้างจากเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับหญิงจากฮาร์เล็มผู้มีวิธีซักผ้าอย่างอัศจรรย์ จนทุกคนต่างก็มาดูเธอซักผ้า ขณะที่การ์ตูนพูดถึงการมาของหญิงผิวขาวที่ทำให้คนผิวดำในเมืองขี้เกียจตื่นตัว “Listen, Mammy. That ain’t no way to wash clothes! What you all need is rhythm!”
1889: ป้าจาไมม่ากับสูตรแพนเค้กแสนอร่อย
ซ้าย: แนนซี่ กรีน กับการสวมบทบาทเป็นป้าจาไมม่าคนแรก ตั้งแต่ปี 1893-1923 ขวา: โฆษณาแป้งแพนเค้กของป้าจาไมม่าใน New-York Tribune ปี 1909 แถมฟรีตุ๊กตาผ้าป้าจาไมม่ากับครอบครัว (Image by Davis Milling Company)
ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ ‘แมมมี่’ ปรากฏตัวคือ The Birth of a Nation (1915, ดี. ดับเบิลยู. กริฟฟิท) ภาพยนตร์เอพิคแห่งการเหยียดผิว สร้างจากนิยายปี 1905 เล่าถึงครอบครัวคนขาวสองครอบครัวในช่วงสงครามกลางเมือง ถ่ายทอดภาพคนผิวดำชั่วร้าย และคูคลักซ์แคลน (KKK) ในคราบอัศวินผดุงคุณธรรมhttps://womenintheology.org/2013/02/20/the-movie-django-unchained-is-not-about-slavery/ เจนนี่ ลี คือคนขาวผู้ทาหน้าดำเพื่อรับบทแมมมี่ในเรื่อง เธอมีหน้าที่ปกป้องบ้านของเจ้านายผิวขาวจากการรุกรานของทหาร
รวมถึงภาพยนตร์เสียงเรื่องแรกอย่าง The Jazz Singer (1927, อลัน ครอสแลนด์) ก็มีฉากที่ชายผิวขาวทาหน้าดำ (รับบทโดยเอล จอลสัน) ร้องเพลง ‘แมมมี่’ เช่นกัน
Laddie Cliff คือคนสหราชอาณาจักรที่ไปสหรัฐอเมริกาในปี 1907-1916 เขาประพันธ์เพลง Coal-Black Mammy ออกแสดงในลอนดอน ซึ่งต่อมาถูกนำไปแสดงในฝรั่งเศสhttps://blog.imagesmusicales.be/the-mammy-stereotype/ (ซ้าย) ปกโน้ตเพลง ประพันธ์โดย Francis Salabert วาดโดย Roger de Valerio (1921) แสดงให้เห็นว่าคนในยุโรปรู้จักคำคำนี้บ้างแล้ว แม้ว่าผู้วาดชาวฝรั่งเศสคนนี้อาจยังไม่เข้าใจสังคมอเมริกันทางใต้ดีพอ (กลาง) ปกโน้ตเพลง Carolina Mammy ประพันธ์โดย Billy James วาดโดย Dorothy Dullin (1922) นักวาดชาวอเมริกัน ที่ดูเข้าใจความหมายของแมมมี่มากกว่าภาพซ้าย (ขวา) ปกโน้ตเพลง My Mammy ประพันธ์โดย Walter Donaldson ขับร้องโดย Al Jolson (ผู้เคยร้องสองเพลงด้านบน) อยู่ในหนัง The Jazz Singer (1927) ภาพปกโดย L. R. Deléage (1929)
Al Jolson ร้องเพลง Mammy ในหนัง The Jazz Singer (1927)
แมมมี่ (แฮตตี แม็กแดเนียล) กับ สการ์เล็ตต์ (วิเวียน ลีห์) ใน Gone with the Wind (1939)
แต่บท ‘แมมมี่’ ซึ่งเป็นที่จดจำของผู้คนมากที่สุดน่าจะมาจากภาพยนตร์ Gone with the Wind (1939, วิคเตอร์ เฟรมมิ่ง) สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันปี 1936 รับบทโดยแฮตตี แม็กแดเนียล (หลุยส์ บีเวอร์สพลาดบทนี้ไป) นักแสดงผู้เคยรับบทแม่บ้านมาก่อนบ้างในหนังเหล่านี้ ซึ่งมีพระเอก-นางเอกเป็นดาราชื่อดัง อย่าง Alice Adams (นำแสดงโดยแคทารีน เฮปเบิร์น), China Seas (จีน ฮาร์โลว์https://www.facebook.com/watch/?v=1977899142243136 กับคลาร์ก เกเบิล), Show Boat Carlos E. Cortés, Multicultural America: A Multimedia Encyclopedia (California: SAGE Publications, 2013), p. 1936. (ไอรีน ดันน์), I’m No Angel (แม เวสต์ กับ แครี แกรนต์) The Little Colonel (เชอร์ลีย์ เทมเปิล) Blonde Venus (มาร์เลเนอ ดีทริช กับ แครี แกรนต์) และ Saratoga (จีน ฮาร์โลว์ กับ คลาร์ก เกเบิล) เป็นต้น คุณสมบัติอันโดดเด่นของเธอคือเสียงเลื่อนลั่นทรงพลัง ลักษณะของตัวละครที่เธอเล่นจึงชัดเจน นั่นคือ มั่นใจ แน่วแน่ และแกร่ง ไม่ใช่ในลักษณะโอนอ่อนยอมทำตามคนอื่นง่ายๆDonald Bogle, Hollywood Black: The Stars, the Films, the Filmmakers (New York: Running Press Adult, 2019), p. 74. ซึ่งเป็นคนละบุคลิกกับหลุยส์ บีเวอร์ส ที่มีบุคลิกอ่อนน้อม ปลอบโยนผู้อื่น ไม่เคยสร้างปัญหา และยอมทำงานด้วยใจรักhttps://www.americanheritage.com/mammy-her-life-and-times#3
(จากซ้ายไปขวา) แถวบน: แฮตตี แม็กแดเนียล ใน Blonde Venus (1932), I’m No Angel (1933) และ Alice Adams (1935) แถวล่าง: แฮตตี แม็กแดเนียล ใน China Seas (1935), The Little Colonel (1935) และ Saratoga (1937)
แฮตตีสวมชุดแม่บ้านเพื่อไปออดิชันในบท ‘แมมมี่’ ใน Gone with the Wind (มีบางข่าวบอกว่าคลาร์ก เกเบิล ผู้เคยร่วมงานกับแฮตตี บอกโปรดิวเซอร์ เดวิด โอ. เซลซนิก ว่าแฮตตีคือแมมมี่ที่เขาชอบที่สุดDonald Bogle, Hollywood Black: The Stars, the Films, the Filmmakers (New York: Running Press Adult, 2019), p. 172.) ก่อนจะได้บทแม่บ้านนิสัยดุดันต่อกรกับคุณหนูสการ์เล็ตต์ (วิเวียน ลีห์) ไป แม้จะพูดจาโต้เถียง แต่เธอก็ยังจงรักภักดีต่อนาย ทำคลอด และอยู่กับเจ้านายแม้ว่าทาสคนอื่นๆ จะหนีไปหมดแล้ว
(จากซ้ายไปขวา) แถวบน: เทเรซา แฮร์ริส ใน Hold Your Man (1933), ลิลเลียน แรนโดล์ฟ ใน It’s Wonderful Life (1946) และ รูบี แดนดริดจ์ ใน Dead Reckoning (1947) แถวล่าง: อีเธล วอเตอร์ส ใน The Member of the Wedding (1952), คลอเดีย แมคนีล ใน A Raisin in the Sun (1961) และ เอสเตลล์ อีแวนส์ ใน To Kill a Mockingbird (1962)
หลายคนสันนิษฐานว่าต้นแบบของตัวละครมาร์ธา เพจมาจาก โดโรธี อาซเนอร์ หนึ่งในผู้กำกับหญิงไม่กี่คนในฮอลลีวูดยุค 20-40 แถมยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้หญิงในชีวิตจริงอีกMichael Bennett, Vanessa D. Dickerson – Recovering the Black Female Body: Self-representations by African American Women (New Jersey: Rutgers University Press, 2000), p. 238.
เมื่อปี 2013 เกม The Last of Us ของค่าย Naughty Dog วางจำหน่ายพร้อมสถิติมากมายทั้งการเป็นหนึ่งในเกมที่มียอดขายสูงสุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการได้รับการยอมรับให้เป็นเกมที่ดีที่สุดของปีนั้น จากทุกเวทีรางวัล
…2020
The Last of Us Part II วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ยังคงทำยอดขายถล่มทลาย แต่กระแสตอบรับกลับไม่เอกฉันท์เหมือนเคย มันมีทั้งคนที่รักและเทิดทูนมันเสียยิ่งกว่าภาคแรก ขณะที่คนอีกไม่น้อยก็ก่นด่าสาปแช่งมันเละเทะ
เราอาจจะคิดว่า Naughty Dog ผู้ผลิต เสียรังวัดไปไม่น้อยที่มันไม่เป็นที่รักเหมือนเช่นเคย แต่ประทานโทษ นี่คือสิ่งที่นักพัฒนาเกมคิดไว้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเช่นนี้ เพราะ “ความไม่สบายใจขณะเล่นเกม” คือสิ่งที่พวกเขาอยากให้เป็น!
จากภาพด้านล่าง เราจะเห็นได้ว่าการเขียนบทเกมนี้ไม่ต่างจากการเขียนบทหนัง แต่ที่แทรกเข้ามาคือการกำหนดบทบาทและหน้าที่ของผู้เล่นด้วย ซึ่งนอกจาก ‘บท’ ของ The Last of Us ภาคแรกจะได้รับการยกย่องว่ามีลูกล่อลูกชนทั้งยังพาไปสำรวจจิตใจของตัวละครไม่ต่างจากการดูหนังดีๆ เรื่องหนึ่งแล้ว มันยังเป็นเกมที่ได้รับคำชมด้วยว่ามีระบบการเล่นที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี โดยที่ไม่ทิ้งผู้เล่นให้เคว้งคว้างกลางทางแต่อย่างใด
ภาษาหนังเป็นสิ่งสำคัญของเกม
สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือในความสำเร็จของเกม The Last of Us นั้น มันเต็มไปด้วยภาษาหนังที่แพรวพราว อย่างแรกคือบทเกมอันซับซ้อนทั้งเรื่องราวและอารมณ์ของตัวละคร และเหนือไปกว่านั้นคือการใช้ภาษาหนังขยี้ความรู้สึกของตัวละครและผู้เล่น อย่างเช่นในยามที่มีตัวละครได้รับบาดเจ็บ ผู้เล่นก็จะเจ็บไปกับตัวละครทั้งทางร่างกายและจิตใจจากการเซ็ตอัพปูมหลังของตัวละครดังที่เรายกตัวอย่างในข้างต้น นอกจากนี้มันยังเป็นเกมที่ทำสกอร์โดย กุสตาโว ซานตาโอลัลลา ผู้ที่เคยเข้าชิงออสการ์จาก Brokeback Mountain และ Babel มาแล้ว ทั้งหมดนี้มันนำไปสู่บทสรุปที่ชวนช็อคอันเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้เราพอรู้ว่า การที่เราทำความรู้จักกับตัวละครเป็นวันๆ ในฐานะผู้เล่นนั้น บางทีอาจไม่ได้ทำให้เรารู้จักคนคนนั้นดีพอด้วยซ้ำ และนี่คือสัญญาณเตือนว่าภาค 2 อาจไม่ทำให้ผู้เล่น ‘พึงพอใจ’ ไปเสียทั้งหมดอย่างแน่นอน
หาก The Last of Us Part II ทำให้คุณไม่สบายใจ …นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว!
หลังความสำเร็จของ The Last of Us ผู้กำกับ นีล ดรักมันน์ และคนเขียนบทร่วมของเขา ฮัลลี เวกริน กรอส ก็พัฒนาภาค 2 ต่อทันที โดยแนวคิดของดรักมันน์ (ซึ่งเป็นประธานบริษัท Naughty Dog ด้วย) คือการไม่ทำให้ The Last of Us Part II เป็นการผจญภัยครั้งใหม่ของโจเอลกับเอลลี่ แต่อยากให้มันมีความดีงามในตัวของมันเองเหมือน The Godfather Part II นำมาสู่แนวทางที่ทำให้มันเป็นเกมซึ่งมีคนรักและเกลียดมันพอๆ กัน
หากคุณคุ้นเคยกับหนังของ ลาร์ส ฟอน ทรีเยร์ คงพอนึกออกว่าหนังเขาสร้างการถกเถียงในโลกแห่งการวิจารณ์มากน้อยเพียงใด The Last of Us Part II เองก็ไม่ต่างกัน นั่นเพราะธรรมชาติของการเล่นเกมนั้น ผู้เล่นจะมีอำนาจในการกำหนดชะตากรรมหรือการตัดสินใจบางอย่างของตัวละครได้ไม่น้อย แต่สำหรับ The Last of Us Part II นั้นสวนทางโดยสิ้นเชิง เมื่อตัวละครกำลังสื่อสารกับผู้เล่นว่าพวกเขาก็มีชีวิตและจิตใจเป็นของตัวเองเหมือนกัน
หลังจาก Chocolate ออกฉายพร้อมชิงรางวัลปาล์มทองที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ในปี 1988 และได้รับคำชื่นชมล้นหลาม เดอนีส์ก็เฝ้าสำรวจปัญหาชีวิตของผู้คน ‘ชายขอบ’ -รวมถึงคนผิวสี- ที่แตกต่างหลากหลายในโลกเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นนักพนันชนไก่ใน No Fear, No Die (1990), ผู้ลี้ภัยใน I Can’t Sleep (1993), พลทหารใน Good Work (1999), พนักงานขับรถไฟใน 35 Shots of Rum (2008) หรือคนงานไร่กาแฟใน White Material — แต่กระนั้น ก็ดูเหมือนว่า ‘การแบ่งแยกทางเชื้อชาติ/ชนชั้น’ ระหว่างมนุษย์จะยังปรากฏให้เห็นในโลกความจริงนอกจอหนังอยู่เสมอ
Rat Film คือสารคดีความยาว 80 นาที ของ Theo Anthony ผู้กำกับภาพยนตร์อายุ 31 ปี ที่อาศัยอยู่ในบัลติมอร์ สหรัฐอเมริกา “คืนหนึ่งพอผมกลับมาบ้าน ผมได้ยินเสียงดังมาจากถังขยะ ผมเลยหยิบโทรศัพท์ออกมา และเริ่มต้นถ่ายสารคดีเรื่องนี้” Anthony เล่าถึงจุดตั้งต้นของ Rat Film
ชาวเมืองคนหนึ่งให้ Anthony ดูปืนลูกดอกที่เขาพัฒนาขึ้นเพื่อกำจัดหนูที่มักจะแอบเข้ามาในสวนหลังบ้านโดยเฉพาะ ในขณะที่วัยรุ่นอีกคู่หนึ่งก็ชวน Anthony ไปดูกิจกรรมโปรดในยามดึกของพวกเขานั่นคือ ‘การตกหนู’ โดยที่วัยรุ่นคนหนึ่งจะเกี่ยวเศษเนื้อสัตว์กับเบ็ดตกปลา เหวี่ยงออกไปในกองขยะ นั่งรอเวลาที่หนูจะวิ่งมางับเหยื่อ ส่วนวัยรุ่นอีกคนจะถือไม้เบสบอลเพื่อเตรียมที่จะวิ่งเข้าไปหวดหนูเคราะห์ร้ายตัวนั้นสุดแรง กิจกรรมในลักษณะนี้ดำเนินไปอย่างเป็นปกติไม่ต่างอะไรกับการตกปลา นั่นเพราะจำนวนของประชากรหนูในเมืองแห่งนี้มีมากมายมหาศาลไม่ต่างอะไรกับปลาในมหาสมุทร
ความน่าสนใจอยู่ที่ว่า แม้เรื่องราวของ Rat Film จะเริ่มต้นด้วยหนู แต่ Anthony กลับพาคนดูไปไกลเกินกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในเมือง กับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ โดยเชื่อมโยงให้เห็นประเด็นทางการเมืองที่หลบซ่อนอยู่ในฉากหลังของเมืองบัลติมอร์
ต่อมาในปี 1933 ช่วงภาวะเศรษฐกิจครั้งใหญ่ (The Great Depression) ก็ได้มีการก่อตั้ง the Home Oners’ Loan Corporation (HOLC) ขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่สูญเสียบ้านจากภาระหนี้สิน เช่นเดียวกับชื่อบริษัท หน้าที่ของ HOLC คือการให้ประชาชนกู้ยืมเงินในการซื้อบ้าน โดยที่เจ้าหน้าที่ของบริษัทจะลงสำรวจพื้นที่ ประเมิน และวาดแผนที่ที่แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของพื้นที่หนึ่งๆ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับความเป็นไปได้ในการจะอนุมัติเงินกู้ยืมให้กับประชาชนในพื้นที่อีกที แผนที่ที่ถูกวาดขึ้นนี้จึงปรากฏสีที่สะท้อนให้เห็นคุณภาพของพื้นที่หนึ่งๆ ภายใต้การประเมินของเจ้าหน้าที่จาก HOLC (ที่ล้วนแล้วแต่เป็นคนขาว) ในกรณีของบัลติมอร์ พื้นที่ซึ่งถูกประเมินด้วย ‘สีเขียว’ ว่าเป็นพื้นที่คุณภาพล้วนแล้วแต่เป็นชุมชนซึ่งคนขาวอาศัยอยู่ ในขณะที่พื้นที่ซึ่งถูกถมทับด้วย ‘สีแดง’ ว่าเป็นพื้นที่ไร้คุณภาพล้วนแล้วแต่เป็นสลัมของคนดำ ปฏิบัติการเช่นนี้รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘การขีดเส้นแดง’ (redlining) ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นสาเหตุให้คนดำไม่ได้รับอนุมัติการขอกู้ยืมเงินจาก HOLC และจำต้องทนอยู่ในสลัมต่อไป หากการขีดเส้นแดงยังผลิตซ้ำภาพจำต่อชุมชนคนผิวดำว่าเป็นพื้นที่สกปรก ไร้คุณภาพ และอันตรายThe Color of the Law, A Forgotten History of How Our Government Segregated America – Richard Rothstein
ในปี 1942 ท่ามกลางเปลวเพลิงแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐอเมริกาที่กังวลว่าเชื้อโรคอาจกลายเป็นอาวุธสำคัญของฝ่ายศัตรู และหนูอาจกลายเป็นอาวุธสำคัญในการแพร่กระจายเชื้อโรคจึงได้พยายามที่จะผลิตสารพิษกำจัดหนูขึ้นมา โดยที่บัลติมอร์ก็ได้กลายเป็นห้องทดลองสำหรับสารพิษนี้ Dr. Curt P. Richter นักชีววิทยาแห่งมหาวิทยาลัย John Hopkins ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ และทดลองสารพิษกำจัดหนูที่เขาคิดค้นขึ้นกับประชากรหนูในเมืองๆ นี้ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยเมื่อ Rat Film เปิดเผยกับเราว่า สลัมคนดำได้กลายเป็นพื้นที่สำหรับทดลองสารพิษชนิดนี้ไป นั่นเพราะด้วยสภาพแวดล้อมของชุมชนที่ชำรุดผุพังเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของหนู ในแง่นี้ สลัมคนดำจึงกลายเป็นห้องทดลองที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนาสารพิษสำหรับกำจัดหนู ขณะเดียวกัน เมื่อหนูคือสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมต่อการทดลองวิชาแพทย์สมัยใหม่ สลัมคนดำในบัลติมอร์จึงไม่เพียงแต่จะถูกรับรู้ในฐานะห้องทดลองสำหรับการพัฒนาสารพิษอีกต่อไป หากยังเป็นพื้นที่สำหรับการทดลองทางการแพทย์อื่นๆ กล่าวได้ว่า สาเหตุที่สลัมคนดำในบัลติมอร์ไม่ได้ถูกพัฒนาจึงประกอบด้วยหลายเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นการกีดกันทางเชื้อชาติที่ผูกพันอยู่กับการปฏิเสธโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนกู้ยืม และการที่พื้นที่แห่งนี้มีสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมต่อการทดลองทางการแพทย์ในประชากรหนู
ซีโมนกล่าวไว้ใน I Put a Spell on You หนังสืออัตชีวประวัติที่จะถูกตีพิมพ์ตามออกมาในปี 1992 “เพราะหลายเพลงมันก็ช่างเรียบง่ายและไร้จินตนาการเสียเหลือเกิน มันปลดเปลื้องศักดิ์ศรีจากผู้คน (ที่ออกมาต่อสู้เรียกร้อง) แล้วก็พยายามที่จะเฉลิมฉลองมากไปหน่อย” แถมเธอยังบอกอีกด้วยว่า การสรุปรวบยอดชีวิตของ ‘ผู้เสียสละ’ เหล่านี้ลงในบทเพลงที่มีความยาวแค่ 3 นาทีครึ่งนั้น เป็นเรื่องที่ ‘มักง่าย’ เกินไป
ด้วยเหตุนี้ Mississippi Goddam จึงขึ้นแท่นเป็น ‘เพลงสิทธิพลเมือง’ เพลงแรกของเธออย่างเต็มภาคภูมิ และหลังจากนั้น เธอก็ยังคงออกมาร้องเพลงอื่นๆ เพื่อเรียกร้องสิทธิอีกหลายเพลง ไม่ว่าจะเป็น Four Women (1966) ที่ชี้ให้เห็นถึงชีวิตอันยากเข็ญของผู้หญิงผิวสี 4 นางจากหลากหลายบทบาท; Backlash Blues (1967) ที่ตอกย้ำถึงสถานะ ‘พลเมืองชั้นสอง’ ของคนผิวสี; Ain’t Got No, I Got Life (1968) ที่พยายามยืนยันว่า แม้จะถูกสังคมกีดกันจนแทบไม่เหลือคุณค่าอะไร แต่คนผิวสีก็ยังมีชีวิตและจิตวิญญาณอันเสรี; Why? (The King of Love Is Dead) (1968) ที่อุทิศให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ผู้ถูกลอบสังหารอย่าง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ หรือ Be Young, Gifted and Black (1969) ที่พร่ำบอกให้คนผิวสีรุ่นใหม่จงภาคภูมิใจในเชื้อชาติของตัวเอง
เธอเป็นนางเอกของเรื่อง Nadia : The Secret of Blue Water ผลงานปี 1990 ของ ผู้กำกับ ฮิเดอากิ อันโนะ แห่งสตูดิโอ Gainax เป็นผลงานก่อนหน้าที่จะสร้างงานระดับตำนานอย่าง Neon Genesis Evangelion แต่ผลงานเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในอนิเมะที่คนญี่ปุ่นรักและจดจำมากเรื่องหนึ่ง ส่วนหนึ่งคงเพราะมันมี Mood and Tone แบบหนังของ มิยาซากิ ฮายาโอะ เนื่องจากฮิเดอากิ อันโนะเองก็เคยเป็นลูกหม้อของ Studio Ghibli มาก่อน อีกอย่าง โปรเจกต์นาเดียแต่เดิมในช่วง 70’s ทางสถานีโตโฮตั้งใจจะมอบหมายให้ฮายาโอะมาเขียนบทและวางตัวกำกับ แต่โปรเจกต์ก็ถูกระงับไปจนกระทั่งตกมาถึงมือ Gainax
Nadia : The Secret of Blue Water เป็นเรื่องของการผจญภัยของนาเดีย หญิงสาวปริศนาผู้มีอัญมณีปริศนา ”Blue Water” เธอถูกองค์กรปริศนาที่ต้องการแย่งชิงอัญมณีชิ้นนี้ตามล่า โดยมี ฌอง หนุ่มน้อยนักประดิษฐ์คอยช่วยเหลือเธอ และการผจญภัยครั้งนี้นำไปสู่ปริศนาของนครแอตแลนติสที่สูญหาย รูปลักษณ์ภายนอกและการแต่งกายของนาเดียมีลักษณะเหมือนชนพื้นเมืองแอฟริกา เพราะจากข้อสันนิษฐานของนักวิชาการ เมืองแอตแลนติสที่สูญหายนั้นน่าจะอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติก ติดกับประเทศโมร็อคโคที่อยู่ทวีปแอฟริกา ดังนั้นทางผู้สร้างจึงดีไซน์ให้นาเดียและชาวแอตแลนติสเป็นคนผิวดำ ซึ่งตรงพ้องกับอนิเมชั่น Atlantis : The Lost Empire ของค่าย Disney ที่ออกมาในปี 2001 ที่ให้นางเอกชาวแอตแลนติสเป็นคนผิวดำเช่นกัน เนื้อเรื่องและองค์ประกอบต่างๆ ของ Atlantis มีความคล้ายคลึงกับเรื่อง Nadia อย่างมากจนมีการตั้งข้อสงสัยว่างานชิ้นนี้ของดิสนีย์ได้รับอิทธิพลมาจากเรื่อง Nadia แต่ทางดิสนีย์ก็ปฏิเสธและบอกว่าเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น
นาเดียเป็นตัวละครเอกหญิงคนแรกของวงการอนิเมะที่มีผิวดำ ซึ่งถือเป็นสิ่งใหม่มาก ในช่วงแรกที่ออกฉายก็มีเสียงตอบรับไม่ดีนักกับการที่เป็นคนผิวสี แต่ภายหลังคนดูก็เริ่มเปิดใจให้เธอมากขึ้น จนในที่สุดนาเดียก็ถูกโหวตให้เป็นนางเอกแห่งปีจาก Anime Grand Prix 1991 จัดโดยนิตยสาร Animage ถือเป็นนางเอกผิวดำคนแรกที่ได้รับกการโหวตเป็นอันดับหนึ่งของรางวัลนี้และสามารถล้มแชมป์ตลอดกาลของรายการนี้อย่าง นาอุชิกะ จาก Nausicaa of the valley of the wind ที่เป็นผลงานของฮายาโอะลงได้
เขาเป็นเจ้าของเรือ Black Lagoon และเป็นหัวหน้าของทีมขนส่งของเถื่อน The Lagoon ในอดีตเขาเคยเป็นนาวิกโยธินของสหรัฐอเมริกาที่เข้าร่วมสงครามเวียดนาม ก่อนจะหลบหนีมายังประเทศไทยโดยทำงานเป็นทหารรับจ้าง และนักขนส่งของเถื่อนในนามบริษัท The Lagoon
Black Lagoon นั้นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ณ เกาะสมมติที่ชื่อว่า “รอนาปลา” ที่ซึ่งเป็นเขตปกครองพิเศษเต็มไปด้วยเหล่าทรชน คนนอกกฎหมาย แก๊งค์มาเฟียจากหลายประเทศ มารวมตัวกัน จึงทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน ที่ดูยังไงก็น่าจะได้แรงบันดาลใจจากพัทยา โดยบริษัท The Lagoon นั้นเป็นเหมือนทหารรับจ้างที่คอยส่งของให้กับธุรกิจโลกมืด และมักไปพัวพันกับการปะทะกันของเหล่าอาชญากรหรือแม้แต่ CIA FBI โดยในทีม The Lagoon มี เลวี่ (นางเอก)สาวสุดระห่ำที่เป็นมือปืน ร็อค อดีตมนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นที่ผันตัวมาเป็นอาชญากร คอยเจรจาและคิดแผน เบนนี่ แฮ็กเกอร์ผู้มีหน้าที่หาข้อมูล และ ดัทช์ หัวหน้าทีมที่คอยรับงานและปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วง
Fantasy Island ขึ้นอันดับ 1 หนังทำเงินประจำสัปดาห์ด้วยรายได้เพียง 1.8 ล้านบาทเท่านั้น ที่น่าจะพอบอกได้ว่า ผู้ชมยังไม่พร้อมกลับมาดูหนังในโรงได้เหมือนในช่วงก่อน โควิด-19 ในขณะที่อันดับ 2 คือ Guns Akimbo ที่ทำเงินไปราว 1.1 ล้านบาท ซึ่งในขณะที่หนังในโรงทั่วไปต่างทำเงินไปเรื่องละเล็กละน้อย กลับมีตัวเลขที่น่าสนใจคือ A Hidden Life ที่แม้ไม่เข้ามาใน 10 อันดับหนังทำเงิน แต่การเข้าฉายเฉพาะ House Samyan วันละไม่กี่รอบ แล้วทำเงินไป 74,600 บาท ก็ถือว่าเป็นรายได้ที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย
รายได้หนังประจำสัปดาห์ 18-24 มิถุนายน 2563
1. Fantasy Island – 1.81 ล้านบาท 2. Guns Akimbo – 1.17 ล้านบาท 3. พจมาน สว่างคาตา – 0.77 (6.64) ล้านบาท 4. Baba Yaga – 0.44 ล้านบาท 5. Emma – 0.43 ล้านบาท 6. I Still Believe – 0.29 ล้านบาท 7. Your Name – 0.14 (0.48) ล้านบาท *นับเฉพาะการกลับมาฉายใหม่เท่านั้น 8. A Beautiful Day in the Neighborhood – 0.13 (0.32) ล้านบาท *นับเฉพาะการกลับมาฉายใหม่เท่านั้น 9. Weathering with You – 0.11 (0.39) ล้านบาท *นับเฉพาะการกลับมาฉายใหม่เท่านั้น 10. Begin Again – 0.09 (0.35) ล้านบาท *นับเฉพาะการกลับมาฉายใหม่เท่านั้น