Dark จุดเริ่มต้นคือจุดจบ และจุดจบคือจุดเริ่มต้น

(2017-2020, Baran bo Odar, Jantje Friese)

*บทความมีเนื้อหาเปิดเผยตอนจบของซีรีส์

คงไม่เป็นการเกินเลยนัก หากเราจะยกย่องว่า Dark ซีรีส์ความยาวสามซีซั่นสัญชาติเยอรมัน คือหนึ่งในซีรีส์ที่ทะเยอทะยานด้านงานสร้างและการเล่าเรื่องอย่างที่สุด ด้วยการสร้างโครงข่ายความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงของตัวละครกว่าสามสิบชีวิตผ่านมิติทางพื้นที่และเวลาอันซับซ้อน จนเว็บไซต์ของซีรีส์ต้องสร้างแผนผังตระกูลของตัวละครในเรื่องไว้ให้เปิดเป็นคู่มือคอยอ่านไปดูไประหว่างที่ซีรีส์ออกฉาย (แถมผังที่ว่านี้ยังเปลี่ยนทุกซีซั่นตามความสัมพันธ์ของตัวละครอีกนะ!)

สิ่งที่น่าสนใจเมื่อดูจบทั้งสามซีซั่นแล้วก็คือ ทีมงานใช้ประโยคของคนมีชื่อเสียงในอดีตเป็น ‘ฉากเปิด’ ของแต่ละซีซั่นเพื่อเป็นการเซ็ตพื้นฐานให้คนดูเข้าใจถึงธีมและสิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ ดังนั้น เพื่อความสะดวกในการทำความเข้าใจ ผู้เขียนจึงขอเขียนแยกแต่ละซีซั่นคร่าวๆ โดยใช้ประโยคเปิดทั้งสามเป็นเส้นแบ่งสำคัญ


“ความแตกต่างระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นเพียงสิ่งลวงตาที่คงอยู่อย่างดื้อดึง” – อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

ซีซั่นแรกนั้นทีมงานปักหมุดชัดเจนว่าซีรีส์กำลังจะเล่าเรื่องของการเดินทางข้ามเวลา โดยในวินเดล หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในเยอรมนี ซีรีส์เปิดมาด้วยฉากที่ มิคาเอล คุห์นวาล์ด (เซบาสเตียน รูดอล์ฟห์) ชายวัยกลางคนผูกคอตายในบ้านตัวเอง ทิ้งไว้เพียง ฮันนาห์ (มายา โชน์) ภรรยากับ โยนาส (หลุยส์ ฮอฟมันน์) ลูกชายวัยรุ่นไว้หลังจบชีวิต ระหว่างนั้น วินเดลซึ่งดูเป็นเมืองเงียบๆ มาตลอดก็มีเรื่องน่าตระหนกเพราะมีรายงานว่าเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งหายตัวไปนานกว่าสองสัปดาห์ และเด็กคนนั้นคือเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกันกับโยนาส ซึ่งใช้เวลาในแต่ละวันอยู่กับ บาร์โทสซ์ ทินเดอร์มันน์ (พอล ลักซ์) กับ มาร์ธา นีลเซน (ลีซา วิคารี) แฟนสาวของบาร์โทสซ์ที่โยนาสแอบชอบ

ไปพร้อมกันนั้น เหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจก็กระจายตัวกันตามหาวัยรุ่นที่หายสาบสูญไปอย่างเต็มกำลัง นำทีมโดย อุลริช นีลเซน (โอลิเวอร์ มาซักกี) พ่อของมาร์ธาที่ยุ่งหัวปั่นเพราะคดีไม่คืบหน้า หนำซ้ำชีวิตส่วนตัวยังง่อนแง่นเพราะเขาลักลอบไปเป็นชู้กับฮันนาห์ (แม่ของโยนาส) แถมเมียอย่าง คาธารีนา (ยอร์ดีส์ ทรีเบล) ก็ทำท่าว่าจะจับได้ ลูกชายคนโตอย่าง มักนุส (มอริตซ์ ยาห์น) ก็เป็นวัยรุ่นและอีโมใส่เขาทุกวันๆ ขณะที่ลูกสาวคนรองอย่างมาร์ธาก็เก็บเนื้อเก็บตัวเงียบเชียบ มิกเกล (ดัน เลนเนิร์ด ลีเบรนซ์) ลูกชายคนเล็กก็ยังดูแลตัวเองไม่ได้ เขาจึงต้องกำชับให้ลูกคนโตสองคนคอยดูแลมิกเกลไม่ห่าง

นั่นจึงเป็นเหตุผลให้สามพี่น้องนีลเซนต้องกระเตงกันเข้าไปเที่ยวในป่าแถบใกล้กันกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ พร้อมกันกับ ฟรานซิสกา ด็อปป์เลอร์ (จีนา สตีไบต์ซ) แฟนสาวของมักนุส และมาร์ธาที่มีบาร์โทสซ์ติดสอยห้อยตามมาในฐานะของแฟนหนุ่ม และโยนาสในฐานะเพื่อนของทั้งสองอีกทีหนึ่ง อย่างไรก็ตาม โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงประหลาดแว่วดังมาจากในถ้ำร้างใกล้ๆ กันกับโรงไฟฟ้า ท่ามกลางความมืดสนิทนั้น ไฟฉายของพวกเขากะพริบก่อนจะดับลง ทั้งหมดจึงออกวิ่งหนีไปให้พ้นจากถ้ำแห่งนั้น โดยโยนาสที่อยู่ใกล้มิกเกลที่สุดคว้าเด็กชายมาด้วย แต่หลุดมือ เมื่อหันกลับมาอีกที มิกเกลก็หายไปแล้ว อันเป็นการเปิดประตูไปสู่โลกแห่งความสลับซับซ้อนของจักรวาล Dark 

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ดังที่ปรากฏในด้านบนนั้นเป็นแค่เพียงเรื่องราวของตัวละครในเอพิโซดแรกเท่านั้น เพราะนับจากนั้นไป โยนาสที่ไปเจอจดหมายลาตายของพ่อ, ค้นพบสะพานเวลาอันลึกลับ, อุลริชที่สาวมือไปถึงคดีในอดีต หรือเมื่อบาร์โทสซ์ค่อยๆ ระแคะระคายเรื่องราวในครอบครัวของตัวเองว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับคดีอาชญากรรมในอดีตอย่างลับๆ ตลอดจนเส้นตายคือ ‘วันสิ้นโลก’ เมื่อโรงไฟฟ้าระเบิดจนถล่มวินเดนราบเป็นหน้ากลองทั้งเมือง

มากไปกว่านั้น -และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่อง- คือการที่โยนาสพบว่า มิกเกลเดินทางกลับไปยังอดีตปี 1986 ก่อนจะติดอยู่ที่นั่นจนเติบใหญ่กลายมาเป็น มิคาเอล คุห์นวาล์ด พ่อของเขาที่เพิ่งฆ่าตัวตายไปเมื่อไม่กี่วันก่อน!! 

นี่เองที่เป็นแรงระเบิดสำคัญที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ถูกกล่าวถึงภายในเวลาไม่นานหลังออกฉายครั้งแรก เพราะโผล่มาแค่ไม่กี่ตอน ซีรีส์ก็ ‘เล่นท่ายาก’ ด้วยการโชว์คนดูว่าพวกเขาไม่ได้มาเล่าเรื่องของคนที่เดินทางข้ามเวลาแบบหนังเรื่องก่อนๆ ที่พยายามหลีกเลี่ยงจุดตัดของเส้นเวลาเพื่อคงสภาพเรื่องราวไม่ให้ยุ่งเหยิง หากแต่ความยุ่งเหยิงนี่แหละที่ถูกหยิบมาเป็นจุดขายสำคัญของซีรีส์ 

ต้นกำเนิดของซีรีส์ชวนปวดสมองเรื่องนี้มาจากไอเดียโคตรล้ำของ โบรัน โบ โอดาร์ กับ ยานต์เต ไฟร์ส คู่รักนักเขียนบทชาวเยอรมันที่หวังอยากทำซีรีส์ธริลเลอร์ผสมไซ-ไฟอลังการขึ้นมาสักเรื่อง ก่อนนี้พวกเขาเคยร่วมมือกันเขียนบท Who Am I (2014 -ว่าด้วยแฮ็คเกอร์หนุ่มผู้ทะเยอทะยานอยากเป็นที่รู้จักระดับโลก) และชิงรางวัลเขียนบทยอดเยี่ยมจากเวทีรางวัลภาพยนตร์เยอรมันหลังออกฉาย ทั้งหนังเรื่องนี้เองที่เป็นประตูบานสำคัญที่ไปเตะตาทีมเน็ตฟลิกซ์ซึ่งกำลังมองหาคนมาปั้นโปรเจ็กต์หนังและซีรีส์ลงแพล็ตฟอร์มพอดี สารตั้งต้นของทั้งโอดาร์และไฟร์สจึงเป็นซีรีส์ลึกลับ (ที่พวกเขาบอกว่าคล้ายๆ The Missing ซีรีส์จากสหราชอาณาจักร) ที่พวกเขาอยากได้องค์ประกอบที่ทำให้มันน่าสนใจมากไปกว่าการเป็นซีรีส์ธริลเลอร์ที่ว่าด้วยเด็กหนุ่มและการขุดหาความลับ พวกเขาจึงจับเอาประเด็นการเดินทางข้ามเวลาเข้ามาเป็นส่วนผสมสำคัญของซีรีส์ (ก่อนนี้ โอดาร์เคยกำกับ Das letzte Schweigen หนังยาวลำดับที่สองของเขาที่ว่าด้วยเด็กหญิงวัย 13 ที่หายตัวไปบริเวณเดียวกันกับที่เมื่อ 23 ปีก่อน เกิดคดีฆาตกรรมหญิงสาวขึ้นที่นี่) 

ทั้งนี้ Dark ซีซั่นแรกออกฉายในปี 2017 และยังความประทับใจมาให้ผู้ชมทั้งในและนอกเยอรมนีอย่างมาก ภายหลังจากที่มันพาคนดูทะลวงไปหาความซับซ้อนถึงสามยุคสามสมัยด้วยกันคือ 1953, 1986 และ 2019 โดยไทม์ไลน์สำคัญนั้นแบ่งออกเป็นเหล่าตัวละครแต่ละตระกูลในหลายยุคหลายสมัย (เช่น ช่วงปี 1953 จะเล่าถึงยุคที่รุ่นปู่ย่าในปัจจุบันยังเยาว์วัย หรือปี 1986 จะเป็นเส้นเรื่องของคนรุ่นพ่อแม่โยนาส เช่นอุลริชและฮันนาห์ ยังเป็นวัยรุ่น) ซึ่งลำพังสามช่วงเวลานี่ก็จำตัวละครกันเหนื่อยแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังไม่สาแก่ใจทีมสร้าง เพราะพวกเขาหักมุมด้วยการเปิดปากถ้ำตอนจบว่า โยนาสหลุดเข้าไปในอีกช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ใช่ในอดีต แต่เป็นในอนาคตคือปี 2052 กับเหล่าผู้รอดชีวิตหลังวันสิ้นโลก


“และหากมองลงไปในนรกอย่างยาวนาน นรกก็จะมองกลับมาที่คุณเช่นกัน” ฟรีดริช นีตเชอ

ซีซั่นสองออกฉายปี 2019 ทีมงานไม่ได้เลือกเปิดเรื่องที่ปี 2052 ดังที่ปิดเรื่องไว้เมื่อซีซั่นแรก แต่พาคนดูย้อนไปยังปี 1921 เมื่อชายหนุ่มสองคนลงมือก่อสร้างบางสิ่ง และเอ่ยถึง ‘อดัม’ ชายซึ่งเป็นเสมือนผู้สั่งการอยู่เบื้องหลังงานนี้ ลงเอยด้วยการที่เด็กหนุ่มนาม โนอาห์ สังหารชายอีกคนอย่างโหดเหี้ยม แล้วหนังจึงตัดไปยังช่วงเวลาที่โนอาห์เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ เป็นมือขวาของอดัมซึ่งคนดูยังไม่เห็นหน้าค่าตา

เป้าหมายหลักของโยนาสในซีซั่นนี้คือการขัดขาไม่ให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นวงเวียนอีกครั้ง โดยเฉพาะการที่พ่อของเขาต้องฆ่าตัวตาย ดังนั้นเขาจึงพยายามทำทุกทาง -ไม่ว่าจะย้อนอดีตหรือเดินทางไปอนาคต- เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมที่จะเกิดขึ้น หากแต่ก็พบว่าตัวเขาในอนาคตนั่นแหละที่คอยยับยั้งเขาไว้ นำมาสู่เงื่อนไขสำคัญของวังวนการเดินทางข้ามเวลาคือ จุดเริ่มต้นตือจุดจบ และจุดจบคือจุดเริ่มต้น

ซีรีส์เฉลยภายหลังว่าอดัมนั้นคือโยนาสในวัยชรา ที่เดินทางข้ามเวลาบ่อยเสียจนรูปร่างบิดเบี้ยว และโยนาสในวัยชรานี้เองที่พยายามหยุดโยนาสวัยรุ่นทุกทางไม่ให้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นวงเวียน เพราะหากโยนาสวัยรุ่นยับยั้งไม่ให้พ่อของเขาฆ่าตัวตายได้ ก็แปลว่าเด็กชายมิกเกลจะไม่ได้เดินทางย้อนเวลา ไม่ได้โตมาเป็นมิคาเอลและครองรักกับฮันนาห์ นำมาสู่ข้อเท็จจริงที่ว่า โยนาสก็จะไม่ได้ถือกำเนิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากว่าธีมของซีซั่นแรกคือเส้นใยที่ตัวละครโยงเข้าหากันผ่านช่วงเวลา ธีมของซีซั่นที่สองคือการ ‘กลาย’ เป็นอื่นที่พวกเขาไม่อยากเป็นในตอนแรกเริ่ม

“และหากมองลงไปในนรกอย่างยาวนาน นรกก็จะมองกลับมาที่คุณเช่นกัน” มาจากหนังสือปรัชญา Beyond Good and Evil  ของนีตเชอ โดยประโยคเต็มของมันนั้นคือ “ผู้ที่สู้กับปิศาจ ต้องระวังตัวว่าอย่ากลายเป็นปิศาจเสียเองในท้ายที่สุด และหากมองลงไปในนรกอย่างยาวนาน นรกก็จะมองกลับมาที่คุณเช่นกัน”

เพื่อจะบรรลุเป้าประสงค์ที่พวกเขาตั้งไว้ ตัวละครจึงเดินหน้าทำทุกอย่างเพื่อให้สมดังความตั้งใจ โยนาสยอมแลกทุกอย่างกับการเดินทางข้ามเวลาเพื่อทำลายวังวนไม่ให้เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็ไปสารภาพรักกับมาร์ธา ซึ่งเขาก็รู้ทั้งรู้ว่าคบกับบาร์โทสซ์ เพื่อนสนิทของเขาอยู่, อุลริชออกตามหามิกเกลจนหลุดเข้าไปอยู่ในปี 1953 และตั้งใจจะลงมือฆ่า เฮเกล ด็อปป์เลอร์ ซึ่งเขาเชื่อว่าหากปล่อยให้เฮเกลมีชีวิตรอดต่อไปจะทำให้วังวนเกิดขึ้นอีกครั้ง, ฮันนาห์ผู้ชอกช้ำจากอุลริช สะกดรอยตามเขามายังปี 1953 เพียงเพื่อจะแค่เยาะเย้ยความพ่ายแพ้ของชายที่เธอไม่อาจครอบครองให้เห็นสีหน้าและความพยาบาทของอีกฝ่ายจนสาแก่ใจ แล้วจึงเดินจากมา พร้อมกันนั้น ก็ตัดสินใจจะไม่หวนกลับไปยังโลกปัจจุบันอีกแล้วเพราะที่นั่นไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ ที่นั่น เธอเป็นแม่ม่ายผัวผูกคอตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ ลูกชายเงียบขรึมและห่างเหิน ชู้รักก็ไม่มีวันทิ้งเมียมาอยู่กินกับเธอ เธอจึงเลือกจะล่องลอยอยู่ในอดีต ที่ซึ่งเธอไม่มีตัวตน ไม่มีรากให้ใครสืบตามหา และลงเอยด้วยการคบชู้กับนายตำรวจที่สืบคดีวุ่นวายในวินเดลอย่าง เอกอน ทินเดอร์มันน์ และจุดชนวนความวุ่นวายตามมาหลังจากนั้นอีกหลายชั่วอายุคน


“มนุษย์เลือกทำตามเจตจำนงตัวเองได้ แต่เลือกเจตจำนงของตัวเองไม่ได้” อาร์ทัวร์ โชเพินเฮาเออร์

ทั้งอย่างนั้น สองซีซั่นที่ผ่านมา Dark ก็ยังเล่าเรื่องในแนวดิ่ง หรือก็คือเรื่องราวที่ว่าด้วยการเดินทางข้ามย้อนเวลาไปสู่อดีต ปัจจุบันและอนาคต ก่อนที่ซีซั่นที่สาม จะพาคนดูเวียนหัวอีกตลบด้วยการเพิ่มเรื่องแนวขวางจาก ‘โลกคู่ขนาน’ ที่เต็มไปด้วยผู้คนหน้าตาเหมือนชาววินเดลที่โยนาสรู้จัก ทั้งมาร์ธา, ฮันนาห์ แม่ของเขาหรือบาร์โทสซ์ เพื่อนสนิท… หากแต่ไม่มีใครรู้จักโยนาส เพราะโลกนั้นไม่มีโยนาส

เช่นเดียวกับโยนาส คนดูไม่รู้มาก่อนเลยว่าสองซีซั่นที่ผ่านมา เราใช้ชีวิตและมองผ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกของอดัมมาตลอด ซีซั่นที่สามจึงพาคนดูไปสำรวจโลกคู่ขนานที่เกิดขึ้นในโลกของ ‘เอวา’ หรือก็คือมาร์ธาในวัยชรา ซึ่งเป้าประสงค์ของเธอมีเพียงอย่างเดียวคือยับยั้งทุกแผนการของอดัม (โยนาสวัยชรา) ให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ต้องหลอกใช้ตัวตนของพวกเธอในอดีตมากแค่ไหน นั่นเพราะท้ายที่สุด อดัมเปลี่ยนเป้าหมายไปสู่การยอมหยุดวังวนอันแสนซับซ้อน แต่เอวานั้นตรงข้าม เธอต้องการให้เรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปในวังวนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาชีวิตลูกชายในครรภ์ของตัวเองในวัยสาว ซึ่งจะตายได้หากว่าวงจรนั้นหยุดลงตามความต้องการของอดัม

สองซีซั่นก่อนหน้า เรารับรู้มาโดยตลอดว่าตัวละครหลักอย่างโยนาส, มาร์ธาหรือคนอื่นๆ พยายามจะฝืนชะตากรรมวังวนโดยการเลือกเจตจำนง (will) ของตัวเอง เลือกที่จะไม่เป็นส่วนหนึ่งของวงจรเวลาอันน่าเศร้าด้วยการขัดขวางตัวตนของพวกเขาในอดีตหรือในอนาคต แต่มันนำมาสู่คำถามเชิงปรัชญาที่ว่า แท้จริงแล้ว แม้มนุษย์จะเลือก ‘ทำ’ ตามเจตจำนงได้ มนุษย์ ‘เลือก’เจตจำนงของตัวเองได้หรือไม่ หรือแท้จริงแล้วเราเพียงแต่เต้นรำไปตามสิ่งที่ชะตากรรมขีดไว้อย่างมืดบอด

และไม่ว่าเราจะเลือกทำ (หรือไม่ทำ) อย่างไรกับเจตจำนงของตัวเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือ มันล้วนส่งผลกระทบต่อคนรอบตัวเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่นเดียวกับโยนาสกับมาร์ธา -ที่เข้าไปอยู่ในห้วงเวลาตรงกลางระหว่างโลกของอดัมและโลกของเอวา- จับมือกันหยุดยั้งการประดิษฐ์เครื่องมือข้ามเวลาของนักวิทยาศาสตร์อันเป็นต้นตอของการกำเนิดวังวน สิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นคือ เมื่อไม่มีการย้อนเวลา ตัวละครหลายๆ ตัวจึงไม่มีตัวตนอีกต่อไป ไม่ใช่แค่ตัวโยนาสหรือมาร์ธา แต่เป็นตัวละครอื่นๆ ที่เป็นลูกหลานของทั้งสองด้วย

นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทั้งโยนาสและมาร์ธาถูกเรียกว่า อดัมและเอวา (หรืออีฟ) ในวัยชรา เพราะช่วงวัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ พวกเขาได้เดินทางข้ามย้อนเวลาและให้กำเนิดผู้คนที่ในเวลาต่อมาจะกลายมาเป็นพ่อแม่ของตัวเอง พวกเขาจึงเปรียบเสมือนมนุษย์คู่แรกของโลกที่เป็นดังต้นธารของมนุษยชาติตามคัมภีร์ไบเบิล และด้วยเหตุผลเช่นนี้เอง เมื่อวงจรการเดินทางข้ามเวลาหยุดชะงักลง นักวิทยาศาสตร์ไม่ประดิษฐ์เครื่องมือย้อนเวลาอีกต่อไปแล้ว ทั้งอดัมและอีฟหรือโยนาสกับมาร์ธาก็จะไม่มีตัวตนอีกต่อไป พวกเขาจึงต้องสูญสลายหายไปพร้อมวังวนและตัวละครอื่นๆ ที่ก่อกำเนิดขึ้นมาจากการข้ามเวลาในครั้งนั้น

ฉากจบของเรื่องจึงมีเพียงตัวละครที่ไม่ได้เป็นลูกหลานของโยนาสหรือมาร์ธาหรือมาจากถิ่นฐานอื่น เช่นพี่น้องวอลเลอร์ ที่คนพี่ ทอร์เบน แต่งงานกับฮันนาห์ (เพราะโลกนี้ไม่มีมิคาเอลหรือมิกเกล), ปีเตอร์ ด็อปป์เลอร์ เด็กหนุ่มที่ย้ายมาจากเมืองอื่นครองรักกับวอลเลอร์คนน้อง ขณะที่คาธารีนาก็มีชีวิตอย่างผาสุกในโลกที่ไม่มีอุลริช สิ่งที่น่าสนใจคือฮันนาห์ซึ่งกำลังตั้งท้องอยู่นั้น เหม่อมองไปยังเสื้อคลุมฝนสีเหลืองแล้วรำพึงว่า เธออยากตั้งชื่อลูกว่าโยนาส โดยเราไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะก่อให้เกิดวังวนรูปแบบใหม่อันไม่รู้จบหรือไม่ หรือจะเป็นแต่เพียงโลกอันสงบสุขอย่างที่โยนาส -ในโลกเดิม- หวังให้เป็นมาโดยตลอด


ดู Dark ได้ใน Netflix

LATEST REVIEWS