Blog Page 14

Box Office Report : รายได้หนังประจำวันที่ 12 พ.ย. 63

เมื่อวานนี้มีหนังไทยเปิดตัวสองเรื่อง คือ My Rhythm ที่นำแสดงโดย คริส พีรวัส ทำเงินวันแรกไป 0.15 ล้านบาท อีกเรื่องคือ ‘คนทรงผี’ ที่เปิดรอบสนีคก่อน 1 สัปดาห์ ทำเงินไป 5 หมื่นบาทเท่านั้น

รายได้หนังประจำวันที่ 12 พ.ย. 63

  1. The Witches – 0.55 (9.05) ล้านบาท
  2. รักหนูมั้ย – 0.25 (3.66) ล้านบาท
  3. The Empty Man – 0.20 ล้านบาท
  4. The Outpost – 0.15 (2.93) ล้านบาท
  5. My Rhythm – 0.15 ล้านบาท
  6. Z – 0.08 (1.33) ล้านบาท
  7. The Broken Hearts Gallery – 0.08 ล้านบาท
  8. Happy Together – 0.07 ล้านบาท
  9. คนทรงผี – 0.05 ล้านบาท
  10. Leap – 0.02 (0.38) ล้านบาท

Box Office Report : รายได้หนังประจำสัปดาห์ 5 – 11 พ.ย. 63

สัปดาห์แรกของหนังไทย ‘รักหนูมั้ย’ จากผู้สร้าง ‘ไทบ้านเดอะซีรีส์’ ยังตามหลัง The Witches อยู่เกือบเท่าตัว ส่วนการเข้าฉายครั้งแรกในเมืองไทยของ In the Mood for Love หนังทำเงินเกินล้านแล้วจ้า

รายได้หนังประจำสัปดาห์ 5-11 พ.ย.63

  1. The Witches – 8.50 ล้านบาท
  2. รักหนูมั้ย – 3.41 ล้านบาท
  3. The Outpost – 2.78 ล้านบาท
  4. Z – 1.25 ล้านบาท
  5. หลวงพี่กะอีปอบ – 1.23 (9.90) ล้านบาท
  6. Cosmoball – 0.43 (2.76) ล้านบาท
  7. Leap – 0.37 ล้านบาท
  8. In the Mood for Love – 0.26 (1.09) ล้านบาท
  9. She Dies Tomorrow – 0.25 ล้านบาท
  10. Impetigore – 0.24 (1.50) ล้านบาท

รักหนูมั้ย : #ให้มันไม่จบที่รุ่นเรา

0

มันคือเรื่องของ กิว ออฟ จอน เพื่อนซี้สามคนที่เป็นนักเรียนอยู่บ้าง ตกงานอยู่บ้าง หรือมีงานไม่เป็นชิ้นเป็นอันอยู่บ้าง คืนหนึ่งพวกเขาเรียกสาวไซด์ไลน์มาบริการที่บ้าน ร่วมสนุกกันข้ามคืน หากผลิดอกออกผลในอีกห้าเดือนต่อมา เมื่ออ้อมสาวไซด์ไลน์แรกรับงานคนดังกล่าว อยู่ดีๆ ถือวิสาสะหอบกระเป๋าเข้ามาอยู่ในบ้านพร้อมกับท้องโตที่ไม่รู้ว่าใครกันแน่คือพ่อที่แท้จริง

แล้วครอบครัวพิลึกพิลั่นเริ่มต้นขึ้นตรงนั้นอย่างไม่ประสีประสา ไม่รู้เรื่องรู้ราว เหมือนกับเด็กเล่นขายของเสียมากกว่า เมื่อจอนตัดสินใจให้อ้อมเข้ามาอยู่ร่วมชายคา คอยดูแลจนกว่าลูกจะคลอดออกมา จากนั้นค่อยมาตรวจ DNA กันอีกทีว่าใครคือพ่อของเด็ก กิวหนุ่มรักสนุกไม่ยอมเป็นพ่อคนแน่ๆ ส่วนออฟเองก็มีความสัมพันธ์รักๆ เลิกๆ กับแฟนสาว ขณะที่จอนเองก็ยังเป็นเพียงเด็กนักเรียนศิลปะที่ยังไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับชีวิต 

จนเมื่อลูกคลอดออกมา จนเมื่อตรวจ DNA รู้ว่าใครคือพ่อที่แท้แล้วก็ตาม มันก็ยังไม่ได้ง่ายขึ้น ถึงที่สุดทั้งห้าก็ลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เริ่มจากการไม่มีทางเลือกกระเสือกกระสนไปตามศีลธรรมในจิตใจไปสู่การเลือกที่จะสร้างทางใหม่ๆ ด้วยตัวเอง

พล็อตเรื่องน่าตื่นเต้นยิ่ง มันพร้อมจะกลายเป็นนิทานสาธก หนังสั่งสอนศีลธรรมสาวรักสนุก หรือเด็กหนุ่มๆ ไม่คิดหน้าคิดหลัง ในอีกทางมันก็สามารถเป็นพล็อตอบอุ่นหัวใจของสามหนุ่มที่เปลี่ยนไปเพราะต้องมาดูแลทารก แบบที่หลายๆ คนอาจคุ้นเคยจากหนังอย่าง Three Men and A Baby ในอีกทางหนึ่งสุดท้ายมันอาจเป็นพล็อตสำหรับหนังรัก เมื่อเด็กที่เกิดมาทำให้เด็กสาวต้องเลือกว่าใครกันแน่ที่เธอจะรักสร้างครอบครัวไปด้วยกัน 

ครอบครัวกลายเป็นสิ่งที่หนังสำรวจตรวจสอบอย่างน่าสนใจ เมื่อจินตนาการถึง ‘ครอบครัว’ เรามีตัวอย่างอย่างง่ายและเล็กที่สุดในรูปแบบของพ่อแม่ลูก อาจจะพร่องพ่อ หรือพร่องแม่ หรือไม่มีลูก แต่มีแกนกลางที่ความสัมพันธ์สองแบบคือทางสายเลือด และการแต่งงาน อาจจะกว้างไปกว่านั้นคือครอบครัวที่เติมเอาคนรุ่นปู่ยาตายายเอาไว้ด้วยเป็นครอบครัวขยาย เลยไปกว่านั้นในสังคมเอเซีย เราอาจจินตนาการได้ถึงครอบครัวผัวเดียวหลายเมียขยายเพิ่มเข้าไป แต่ในพื้นที่ทางจินตนาการที่ผ่านการรับรองของรัฐนั้น ครอบครัว ไม่ได้มีพื้นที่ให้กับ ครอบครัวของคนรักเพศเดียวกัน หรือครอบครัวที่ไม่ผูกพันทางสายเลือด และอย่างท้าทายที่สุดสำหรับสังคมเอเซียคือครอบครัวเมียเดียวหลายผัว

เราอาจบอกได้ว่าหนังสำรวจตรวจสอบความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของครอบครัว จากผู้คนที่มาจากครอบครัวแบบเดิมที่ล้มเหลว ทั้งปูมหลังของอ้อมที่ทำให้เธอเป็นคนไม่มีที่ไป หรือสามหนุ่มที่ดูไม่เป็นโล้เป็นพายพอที่จะเป็นครอบครัวขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนนี่จะเป็นหนังไม่กี่เรื่องนับจากหนังอย่าง ‘หน่าฮ่าน’ ของ ฉันทนา ทิพย์ประชาติ ที่โลกในหนังทั้งใบประกอบขึ้นจากตัวละครวัยรุ่นโดยปราศจากผู้ใหญ่ หากจะมีผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ทำหน้าที่เป็นอุปสรรคกีดขวางการสร้างทางเลือกของตัวละครวัยรุ่น ในโลกที่คนรุ่นก่อนหน้ากับคนรุ่นปัจจุบันฉีกขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิงนี้เอง เราจึงได้เห็นการดิ้นรนใหม่ๆ ของหนุ่มสาวร่วมสมัย 

อย่างไรก็ดี หนังมีความบกพร่องอยู่มากเพราะเมื่อเลือกที่จะเป็นหนังโทนอบอุ่นหัวใจ ข้อเสนอตั้งต้นแรงๆ ที่หนังโยนขึ้นมาทั้งเรื่องของท้องไม่พร้อม แม่วัยใส สภาพชีวิตเมียเดียวหลายผัว ก็ถูกทอนออกไป ตั้งแต่การเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาทางเศรษฐกิจของการเลี้ยงดูหญิงตั้งครรภ์และทารกแรกคลอดด้วยการหาทางออกง่ายๆ เช่นการขายของเก่าในบ้าน ซึ่งเป็นไปได้จริง แต่การที่หนังแทบไม่มีความวิตกกังวลในเรื่องนี้ก็ทำให้หนังอ่อนบางลงจนเหมือนโลกฝันมากกว่าจริง หรือจากทางที่หนังเลือก หนังก็จำต้องโยนทิ้งปัญหากำหนัดทางเพศของผู้ชายสามคนกับผู้หญิงหนึ่งคน จนทำให้เพื่อที่จะให้เป็นไปได้ ทั้งสี่คนต้องสร้าง Platonic Friendship ผูกพันในฐานะครอบครัวโดยไม่มีโครงสร้างความสัมพันธ์เรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง/แปดเปื้อน 

เช่นเดียวกันภายใต้โครงสร้างหนังที่เล่าเรื่องเมียเดียวหลายผัว นี่ก็ไม่ใช่หนังที่สำรวจตรวจสอบความเป็นหญิง อำนาจและการต่อสู้ของผู้หญิงที่น่าพอใจนัก เพราะเช่นเดียวกับหนังร่วมตระกูลอย่าง ไทบ้าน เดอะซีรีส์ หนังเป็นโลกของผู้ชายที่มุ่งสำรวจตรวจสอบผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้หญิงในเรื่องทั้งแม่และลูกสาวเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ของบรรดาผู้ชายในเรื่อง คนหนึ่งเรียนรู้ที่จะเป็นคนที่ดีกว่านี้ อีกคนเรียนรู้ที่จะเลือกสร้างความสัมพันธ์ที่จริงจัง และอีกคนเรียนรู้ที่จะรัก ขณะที่ตัวละครหญิงในเรื่อง ซึ่งน่าจะอ่อนไหวที่สุด เจ็บปวดที่สุด และต้องเรียนรู้มากที่สุด กลับเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดและไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ตลอดเวลาที่หนังดำเนินไป ในฐานะตัวละครที่เข้มข้นที่สุดทั้งประเด็นและปูมหลัง อ้อม กลายเป็นคนที่แข็งแรงที่สุด ในขณะเดียวกันก็ไม่ถูกค้นหามากที่สุดทั้งที่น่าค้นหาหว่าใครเพื่อน ผู้หญิงในเรื่องจึงทำหน้าที่ทั้งเป็นโสเภณีและแม่พระในการมาเยียวยาและปรับปรุงจิตวิญญาณของผู้ชายสามคน ในจุดนี้ก็ถือว่าน่าเสียดาย ยิ่งพอคิดว่าปัญหาหนึ่งของหนังในชุดนี้คือการไม่สามารถเข้าถึงหรือเข้าใจตัวละครหญิงของตัวเองได้มากกว่าการเลือกสาวสวยมาแสดงความเข้มแข็ง เลยคิดว่านี่เป็นความท้าทายของกลุ่มไทบ้านในอนาคตมากๆ

อย่างไรก็ดี หนังกลับมีตอนจบที่น่าสนใจและท้าทายกว่าที่คิด โดยเฉพาะต่อสิ่งที่กำหนดโชคชะตาของตัวละครนั่นคือโครงสร้างของการเป็นเรื่องเล่า เราอาจบอกได้ว่าโครงสร้างของเรื่องเล่าถึงที่สุดเป็นข้อจำกัดของตัวเรื่องเล่าเอง ความกระเหี้ยนกระหือรือของความต้องการ ‘บทสรุป’ ของเรื่องเล่า ล้วนส่งผลกำหนดชะตาชีวิตตัวละครมานักต่อนัก ความเป็นเรื่องเล่าจะทำให้หนังหลายเรื่องที่มีพล็อตที่ก้าวหน้ามากๆ ต้องวกกลับมาสู่ทางลงเพื่อตอบสนองศีลธรรมจริยธรรมของผู้ชม ยกตัวอย่างแบบหนังรักสามเส้า ที่มักมีทางเลือกจบว่าตัวละครเลือกใครคนใดคนหนึ่ง หรือตัวละครไม่เลือกใครและไปจากกัน การจบความสัมพันธ์ที่กระอักกระอ่วนไม่ถูกต้องเพิ่อ ’มุปอร’ ก้าวไปข้างหน้าคือ ‘บทสรุป’ ที่เรื่องเล่าต้องมอบให้ผู้ชม ความมั่นคงที่ผู้ชมปรารถนา โลกกลับคืนสู่สมดุลดังเดิม หากจบสุข มันก็เติมแฟนตาซีให้ผู้ชม หากจบเศร้า ความเศร้าก็จะขัดถูความโรแมนติคของการเสียสละ และหากจบแบบเลวร้าย ก็จะกลายเป็นบทเรียนสอนใจ ไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อคุณลงมือเล่า เรื่องเล่าจะเรียกร้องให้คุณจบมันลง และการจบทำให้คุณต้องเลือก แต่ไม่ว่าจะเลือกอะไรคุณก็เลือกให้มันจบลงอย่างเลือกไม่ได้ทั้งสิ้น 

การเลือกที่จะไม่เลือกในหนังอย่างรักหนูมั้ยจึงเป็นทางเลือกที่ดูเหมือนน่าตะขิดตะขวงใจอย่างยิ่ง เพราะหนังเริ่มต้นจากความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ และถูกมุ่งหวังให้เดินไปสู่ความสัมพันธ์ที่ชัดแจ้งในการเลือกสร้างครอบครัวจริงๆ กับใครสักคนเพียงคนเดียว ในหนังตัวละครถึงกับพูดขึ้นว่า ‘เขาคงไม่คิดว่าอ้อมเป็นเมียพวกพี่หรอก อย่างมากก็คงคิดว่าอ้อมเป็นกะหรี่ก็เท่านั้น’ ราวกับว่าทางเลือกของครอบครัวมีเพียงสองแบบ คือเป็นเมีย เป็นแม่/แม่พระ เลือกใครสักคน หรือไม่เลือกใครเลย ทางเลือกแบบอื่นๆ คือการเป็น ‘กะหรี่’ ที่สังคมกระอักกระอ่วนใจที่จะยอมรับ

ตอนจบของหนังทำให้นึกถึงหนังที่พูดเรื่องคล้ายคลึงกัน แต่ประนีประนอมน้อยกว่ามากๆ อย่าง Ema ของ Pablo Larrain ที่เปลี่ยนให้ผู้หญิงที่ไม่มีความเป็นแม่ กลายเป็นผู้คุมเกมในการสร้างครอบครัวแบบใหม่และความเป็นแม่แบบใหม่ที่ไม่ได้เป็นแค่ mono หรือ polygamy หากทำลายล้างกระทั่งบทบาททางเพศและจำนวนลงไปด้วย 

รักหนูมั้ยจึงท้าทายอย่างยิ่งและเป็นวัยรุ่นอย่างยิ่งเช่นเดียวกับทางเลือกใหม่ๆ ของสังคมไทยในตอนนี้ มันคือการลุกมาประกาศของเด็กรุ่นใหม่ที่จะให้การจบทางเลือกชีวิตตามขนบที่มีมาก่อนหน้าเป็นสิ่งที่ #ให้มันจบที่รุ่นเรา ทางเลือกของหนังเป็นการท้าทายกับขนบเดิม โดยที่ผู้ชมมองไม่เห็นความเป็นไปได้ว่ามันจะไปรอด หากความเป็นไปไม่ได้นี้เอง กลับเป็นความเป็นไปได้ครั้งแรกของคนหนุ่มสาวร่วมสมัย ที่ลุกขึ้นยืนบอกว่า ฉันไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ฉันจะโยนข้อบังคับที่เคยได้รับมาทิ้งไป และฉันจะไปต่อข้างหน้าด้วยตนเอง และความไม่ยอมจำนนแบบนี้นี่เองที่อาจจะเป็นสารัตถะของยุคสมัยปัจจุบันที่น่าทึ่ง 

“ผมเบื่อฮอลลีวูดฉิบหาย” เดวิด ฟินเชอร์ด่าก่อนส่ง “Mank” หนังเต็งออสการ์เรื่องใหม่ท้าทายคนดู

“ยุคนี้ถ้าคุณไม่ทำหนังฟอร์มยักษ์ตลาดจ๋าแบบ ‘แฮปปี้มีล’ ล่ะก็ ก็บอกได้เลยว่าไม่มีใครสนใจหนังคุณหรอก” ฟินเชอร์ให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับนิตยสาร Total Film ก่นด่าสตูดิโอที่ให้ค่าแต่หนังประเภทที่สามารถแตกยอดไปผลิตสินค้าอื่นๆ พ่วงขายได้ “แล้วเดี๋ยวนี้เราทำหนังออกมาหวังขายกันแค่ปีละ 2 ช่วง เราเลยมีแต่ ‘หนังฤดูร้อนชุดผ้ายืด’ (เขาใช้คำว่า spandex summer หมายถึงเหล่าหนังซูเปอร์ฮีโร่) กับ ‘หนังฤดูหนาวสุดร้าวรวด’ (affliction winter) ถ้าหนังคุณพลาดสองฤดูนี้ มันก็จะถูกเอาเข้าฉายในอีก 2 ฤดูที่เหลือซึ่งมีความหมายเท่ากับการถูกโยนทิ้งน่ะ งี่เง่าไหมล่ะ”

“ผมถึงได้บอกว่าเบื่อฉิบหาย ไม่ใช่แค่ว่าผมเบื่อฉิบหายเฉยๆ นะ แต่ผมเจอมากับตัวเองจนเบื่อฉิบหาย”

เลยไม่แปลกที่ฟินเชอร์เลือกทดลองทำหนังใหม่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างออกมา งานกำกับหนังล่าสุดของเขาซึ่งเว้นห่างจากเรื่องที่แล้ว (Gone Girl) ถึง 6 ปี ก็คือ Mank ที่เข้าฉายโรงแบบจำกัดในอเมริกาและจะเปิดตัวบน Netflix 4 ธันวาคมนี้ หนังสร้างจากชีวิตจริงของ เฮอร์มาน เจ แมงคีวิกซ์ (ผู้เขียนบทหนังคลาสสิกเรื่อง Citizen Kane ปี 1941) จากบทที่เขียนเสร็จตั้งแต่ปี 1997 นู่นโดย แจ็ค ฟินเชอร์ นักข่าว-นักเขียนซึ่งเป็นพ่อของเดวิด ฟินเชอร์นั่นเอง

ความน่าสนใจของ Mank มีหลายจุดมากๆ ไม่ว่าจะเป็น

1) ตัวแมงคีวิกซ์ได้ชื่อว่าเป็นมือเขียนบทสุดเฉียบคม แต่ก็เป็นคนประเภท “ทำลายตัวเอง” ด้วยการติดเหล้าติดพนันจนอนาคตแทบดับ กระทั่งโอกาสใหญ่มาถึงเมื่อ ออร์สัน เวลส์ ชวนเขามาเขียนบทหนังสุดทะเยอทะยานอย่าง Citizen Kane ซึ่งหลายปีต่อมามันได้กลายมาเป็นหนึ่งในหนังดีที่สุดตลอดกาลของโลกภาพยนตร์

2) และเมื่อหนังเกี่ยวข้องกับเบื้องหลังการสร้าง Citizen Kane ฟินเชอร์ก็เลยวางโจทย์ทะเยอทะยานพอกันให้ตัวเอง ด้วยการทำเป็นหนังขาวดำ เสียงโมโน และจำลองงานสร้างตามยุคสมัยจน Mank ดูเหมือนหนังจากยุค 1940 ด้วยจริงๆ (เขาเล่าว่าความที่ Netflix ตอบตกลงให้ทำตามใจโดยไม่ลังเลเลยทำให้เขาปลื้มมาก / อนึ่ง ช่วงที่ไม่ได้กำกับหนังโรง เขาก็ไปทำซีรี่ส์สุดเจ๋ง Mindhunter ให้ Netflix นี่แหละ)

3) หนังคว้าคำชมถล่มทลายจากนักวิจารณ์ ทั้งจากความเยี่ยมยอดของตัวหนัง การแสดงนำของ แกรี โอลด์แมน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคืองานบทและการกำกับ ซึ่งขุดเจาะชีวิตจิตใจของแมงคีวิกซ์ผู้ผจญกับความขัดแย้งทั้งภายในตัวเองและความบ้าคลั่งของฮอลลีวูด แล้วค่อยๆ ก่อรูปร่างความคิดอันสลับซับซ้อนจนสามารถให้กำเนิดตัวละครอย่าง “ชาร์ลส์ ฟอสเตอร์ เคน” ขึ้นมาได้

Mank ได้รับคำชมว่าเป็นหนังที่ถ่ายทอดตัวตนและจิตวิญญาณของฮอลลีวูดยุคทองได้อย่างคมคาย กลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดของฟินเชอร์ และหนึ่งในตัวเต็งสำหรับออสการ์ปีหน้าเรียบร้อยแล้ว

ดูตัวอย่างหนัง

She Dies Tomorrow

นี่ก็เป็นตุเป็นตะ ซะ แต่ก็ต้องนับว่าเป็นการฉีกรูปแบบการจัดรอบสื่อเท่าที่เคยมีมาในดินแดนแหลมสุวรรณภูมิ (ซึ่งจริงๆแล้วน่าจะใช้คำว่าอีเวนท์น่าจะเหมาะกว่า)

เริ่มจากสถานที่จัดฉายซึ่งก็ไม่ใช่โรงหนังด้วยครับ แต่เป็นคาเฟ่แบบเข้าไปแล้วกะจะให้รำลึกถึงวันตาย พอเข้างานปุ๊บ ทางเจ้าภาพทักทายก่อนประโยคแรก ‘คุณเอมี่ไม่ได้มาด้วยนะครับ’ (แหงเน่าะ เอ-ม่ง, เอ-มี่มีตัวตนอยู่จริงที่ไหน, ถ้าหมายถึงตัวดารา คือคุณ Kate Lyn Sheil นักแดง เค้าคงมาอยู่หร่อก) ประเดี๋ยวก็มีเลี้ยงอาหารประจำตามงานศพ ต่อด้วยทางเจ้าภาพมีการพาทัวร์สี่สถานีหลัก ว่าไปตามวงจรชีวิตคนเราตามคติพุทธ มีเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย

บรรยากาศรวมๆ ของคาเฟ่คัลท์ที่ว่านี้ มีส่วนผสมระหว่างคาเฟ่บวกธีมปาร์ค (แล้วลบออกด้วยสถานปฏิบัติธรรม) คือหลังจากที่ตอนเด็กๆ รร. พาไปทัศนศึกษาวัดไผ่โรงวัวแล้วก็เพิ่งจะมีหนนี้แหละครับกับคาเฟ่ ที่ได้รับสัมผัสบรรยากาศกับความตายกันชนิดใกล้ตัว เหมือนกับเอาโลกใน The Addams Family กับบ้าน Beetlejuice เมื่อทุกอย่างเชื่อมร้อยเข้าไว้ด้วยกับมรณานุสติ

ที่นี้ก็มาถึง main attraction กันจริงๆ ซะที ก็คือตัวหนัง She Dies Tomorrow (2020, Amy Seimetz – เหม่งๆ มั้ยครับที่ตัวผกก.กะบทนำมีชื่อเหมือนกัน) โดยแถวที่นั่งคนดูมีการจำลองแบบมาจากพิธีฟังสวดพระอภิธรรม (ทั้งๆ ที่ตัวละคร Amy เป็นแหม่มนะ) ทีนี้พอตัดพิธีสงฆ์ปั๊บ พอหนังฉายขึ้นจอ (ซึ่งก็ไม่ได้มาจากโปรเจกต์เตอร์อะไร แต่เป็นแอลดีทีวีขนาด 80 นิ้ว) กลับโอเคแฮะ ตรงที่ สามารถเอามาใช้แทนพระสวดได้เลย แถมเวลาที่ใช้ก็ใกล้เคียงกับฟังพระสวดสามจบซึ่งถ้าจะมีใครนำไปประยุกต์ใช้กับงานสวดจริงๆ ก็น่าจะได้ แถมยังออกแนวอินดี้ๆ ไม่เบา

ไม่แปลกอะไรครับ เพราะทางเมืองนอกเองก็ไม่หวังฉายโรงอยู่แล้ว คือจะยิงตามโรงพวกไดรฟ์-อินก่อน เสร็จแล้วก็ลงสตรีมมิงเลย เพราะด้วยความยาวพอสัณฐานประมาณเท่ากันนี้ หนังคัลท์ฟิล์มเกรดบีที่อยู่คู่กับจอกลาง

แปลงของฝรั่งก็สร้างออกมาไม่ถึงชั่วโมงครึ่งเหมือนกัน

หลายฝ่ายพยายามทั้งลากทั้งจูงแล้วโยงหนัง She Dies Tomorrow นี้ให้เข้ากับบรรยากาศช่วงการแพร่ระบาดของโควิด19 (ซึ่งก็ได้อยู่), เนื้อหาในเรื่องก็มีเรื่องของการผ่องถ่ายความรู้สึกของคนที่รู้ตัวว่ากำลังจะตายในอีกหนึ่งวันข้างหน้า (โดยไม่ต้องมีสาเหตุว่ารู้ได้ไง) ก็แพร่ระบาดไปยังคนใกล้ชิดข้างเคียง เหมือนมีคลื่นลับถ่ายทอด (นี่ก็ฟังขึ้น) และในทางกลับกันก็อาจแย้งต่อไปได้อีกว่า เป็นการทำงานของอาการอุปทานหมู่ (mass hysteria) ก็ยังพอไหว, ครั้นจะมองให้เป็นวิทย์คือท้ายๆ เรื่องมีภาพคล้ายๆ ตัวจุลินทรีย์กำลังแบ่งตัวของมันออกซึ่งก็เป็นได้ทั้งไวรัสแล้วก็แบคทีเรีย ซึ่งนั่นก็เป็นความพยายามที่จะให้คำตอบในทางวิทยาศาสตร์ว่าอะไรที่ทำให้เอมีประหวั่นพรั่นพรึงไปกับความคิดที่แว่บเข้ามาในหัว คือลองถ้ามีคนเชื่อ แล้วมีคนคล้อยตามกัน ก็เรียกได้ว่าเข้าไปใกล้กับการเกิดของ ‘ลัทธิ’ (cult)

หนังที่พูดเรื่อง (เตรียมตัวก่อนจะถึง) ‘วันตาย’ เคยมีคนทำมาก่อนแล้ว และที่สำคัญคือพอมีใครมาจับเรื่องนี้มักได้หนังที่ได้รับการยกย่องไปกันหมดอย่างมหาเทวะ Godard ก็เคยทำมาแล้ว (Vivre Sa Vie, 1962), พอ Kurosawa ทำ Ikiru(生きる, 1952) ก็กลายเป็นมาสเตอร์พีซ หรืออย่างที่ Bob Fosse ทำ All That Jazz (1979) ออกมาแล้วเหมือนรู้ตัวว่ากำลังจะตาย (แม้ในอีกหลายปีให้หลัง) ก็กลายเป็นซิกเนเจอร์ประจำตัวไปเลย, อย่างของไทยก็มี ‘ลูกบ้าเที่ยวล่าสุด’ (2536/1993, อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์) ที่ล่าสุดก็ขึ้นทะเบียนมรดกฯ เรียบร้อย ขนาดเต๋อ นวพลเองก็ทำกับเขาอยู่เรื่อง (ขนาดชื่อหนังยังมีกลิ่น aspire+inspire ไงๆ ชอบกลคือตัด She ทิ้ง ชะรอยว่าตัวต้นทางที่ปล่อยเชื้อน่าจะอยู่แถวนี้ไม่ไกล)

คือถ้าโปะเรื่องของ Amy เข้าไปท้ายหนัง Die Tomorrow (2017) จะได้อีก segment ที่ต่อกันเนียนๆ ส่วนที่ออกมาเป็นหนังสือกันไปแล้ว เคยมีงานเขียนอยู่เล่มใช้ชื่อว่า “ฉันจึงเลือกเอาความตาย” (นิรนาม นิรันดรซึ่งออกมาก็หลายปีอยู่ แต่ผมมารู้จักเอาเมื่อราวปี 2532) โดยทำออกมาในรูปแบบที่คล้ายหนังสืองานศพซึ่งคนเขียนก็ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อหรือตัวตน ขนาดรูปถ่ายยังใช้พื้นที่สีดำซึ่งตอนนั้นเราก็ซื่อ+หัวอ่อนซะ (ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่, ฮา-ฮา-ฮา) คือเพ่งมองไปที่พื้นที่ดำมืดผืนนั้น ในใจหวังจะมองให้เป็นหน้าคน (ผู้เขียน) กับเขาขึ้นมา กลับพบความสยดสยองในอีกรูปแบบไปเลย (และคล้ายๆ ว่ามีบางแว้บมองเป็นหน้าคนได้จริงด้วยนะเออ) 

สำหรับรูปแบบของหนังสือเล่มที่ว่านี้ ผู้แต่งต้องการจดบันทึกวาระวินาทีช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างความเป็นกับความตาย โดยลงทุนดื่มยาพิษแล้วทำการจดบันทึกด้วยลายมือไปเรื่อย ด้วยข้อความในหนึ่งหน้ากระดาษ แรกๆ ก็อ่านได้ใจความดีๆ อยู่ พออ่านไปๆๆ ตัวเริ่มโย้เย้ อ่านจับความไม่ได้ก่อน เขยิบต่อไปอีกเริ่มไม่ป็นตัว สุดท้ายก็เหลือลายเส้น ที่ลากยาวลงจนสุดหน้ากระดาษ แต่กับ She Dies Tomorrow นี่ไม่ ตัวเอกเอมี่พร่ำเพ้ออยู่กับความคิดที่ว่าตัวเธอจะตายๆๆ โดยบอกสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้เอาเลย (อันเนื่องมาจากโรคร้าย – รู้ตัวว่ากำลังติดเชื่อโควิด – หรือไม่ก็เป็นเรื่องของ ‘ใจ-สั่ง-มา’) แต่ที่น่าเอะใจกว่า ตรงที่เธอดันเผื่อแผ่ความรู้สึก (mind-setting) ที่ว่านี้ไปยังคนอื่นรอบข้างด้วย นี่ซิ

เมื่อ Seimetz ให้คำตอบคนดูไม่ได้ ขณะที่ในหนัง สิ่งที่ลุกลามอยู่ตลอดเวลากลายเป็นคนที่คิดว่าตนเองกำลังจะตาย กลับเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนโรคติดต่อ ข้างคนดูเองก็เริ่มจะมีปฏิกริยาโต้ตอบกลับไปบ้าง นั่นคือสิ่งที่กำลังคุกคามเอมี่ กลายเป็นว่าไม่ใช่ตัวความตายซะแล้ว ทว่าเรากลับพบภาวะอาการที่โน้มเอียงไปทางโรคซึมเศร้า (depress) แทนซะแล้วซิ เมื่อคนคนหนึ่งกำลังหมกมุ่น, obseesed กับเรื่องอะไรบางอย่าง หนำซ้ำยังส่งต่อไปถึงผู้อื่นแบบยื่นไม้ผลัดวิ่งสี่คูณร้อย ขณะที่ตัวต้นลำธาร + คนแพร่เชื้ออย่างเอมี่ ก็เริ่มเข้าสู่ภาวะของการหลุดพ้น, ดวงตาเริ่มเห็นสัจธรรม (epiphany) หรือมองภาพเริ่มจะไม่เหมือนกับเราเข้าทุกขณะ 

ความรู้สึกในบางช่วงอาจดูเหมือนหนังอยู่กับที่ไม่ยอมไปไหนไกล ทว่าในทางกลับกันกลับพบการผสมผสานกันระหว่างภาวะซึมเศร้า (บวก) อุปทานหมู่ และเผลอๆ อาจมีการผสมโรงจากอาการระบาดของเชื้อที่ยังพิสูจน์อัตลักษณ์ตัวตนหรือยังไม่เคยเป็นที่รู้จักมาก่อนประกอบกันซึ่งถ้าแพร่กระจายกว้างออกไปอีก รูปการณ์ก็คงไม่ต่างจากการเผชิญภัยพิบัติบางอย่างร่วมกัน แบบเดียวกับมีดาวเคราะห์น้อยที่เตรียมจะพุ่งเข้าชนโลก ทว่ามิใช่เกิดจากการปะทะ (impact) แบบตรงตัวทางวัตถุหรือกายภาพ (แบบใน Melancholia หรือ Greenland) ทว่าเป็นเชื้อประหลาดที่สร้างผลกระทบทางจิตใจและภาวะอารมณ์ซึ่งมีความเป็นวิทยาศาสตร์ (ตามตำรับของหนังคัลท์ฟิล์มเกรดบี)

(เอาเป็นว่าไม่สปอยล์แล้วกันครับ แต่มาจากตัวใดตัวหนึ่งจากตัวอย่างที่กล่าวมาย่อหน้าบนๆ นี้) ที่มีอยู่เรื่องหนึ่งสร้างความหวังในการใช้ชีวิต คือที่เคยหวั่นวิตกว่าจะตายในอีกชั่วโมงครึ่ง แต่ตัวหนังจริงกลับยาวเกินเงื่อนเวลาที่กำหนด หมายความว่าตัวเอกก็ยังคงมีชีวิตต่อไป เช่นเดียวกับที่คำว่า ‘tomorrow’ เองก็ว่าจะมีอยู่กะเขาจริง เพราะไม่ว่าจะตื่นมากี่เช้า ชีวิตก็ยังจะต้องเจอแต่วันนี้ๆๆๆ อยู่ร่ำไป

ช่วงต้นเรื่องของ She Dies Tomorrow นี่อีกเช่นกันที่มีการอ้างถึงหนังเรื่องหนึ่ง (ติ๊ต่างว่ามีคนในเรื่องกำลังจะดูดี/ไม่ดูดี) แล้วกล่าวต่ออีกว่ายาว (แค่) ชั่วโมงครึ่ง เอ๊ะ นี่เค้ากำลังหมายถึงตัวหนัง (she dies tomorrow) เอง หรือว่าเรื่องอื่น

In the Mood for Love : อุ่นไอ ‘บะหมี่เกี๊ยว’ ในคืนที่เปลี่ยวดาย …สัมพันธ์ลับหลังกำแพง และคนในบ้านผู้กลายเป็นอื่น

กรุ่นไอร้อนจากหม้อซุปพวยพุ่งขึ้นหยอกเย้าดวงไฟท่ามกลางสลัวมืดในซอกหลืบของอาคารเก่าทรุดยุค 60 …‘เขา’ และ ‘เธอ’ ผู้ที่บังเอิญเช่าห้องติดกัน คือลูกค้าขาประจำที่มักพาตัวเองมาฝากท้องกับร้านบะหมี่เกี๊ยวแห่งนี้ เขาแต่งกายด้วยชุดสูทภูมิฐานเข้มขรึมเหมือนเพิ่งได้หลุดออกจากวัฏจักรการทำงานอันเหนื่อยหนัก ส่วนเธอสวมใส่กี่เพ้าเข้ารูปสีสวยสดราวกับต้องการเป็นจุดสนใจให้คนรอบข้างเหลียวมอง

จึงไม่น่าแปลกที่ระหว่างการเดินสวนกันในตรอกบันไดเล็กแคบ เขาจะลอบมองเธอ ขณะที่เธอก็ลอบมองเขาเช่นกัน – แววตาของสองหนุ่มสาวที่ล้วนถูก ‘คู่ชีวิต’ ของตนทำตัวเหินห่าง ฉายประกายความเจ็บปวดโหยไห้ออกมาไม่ต่างกัน และสายตาที่คอยจดจ้องด้วยความห่วงใยอยู่เสมอ ก็นำทั้งคู่ไปสู่สัมพันธ์ครั้งใหม่ที่ดูจะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละคืนวันที่ผันผ่าน พวกเขาค่อยๆ กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันในหน้าประวัติศาสตร์ชีวิตอันยาวนานถัดจากนั้น

— เหล่านี้คือบางบรรยากาศสุดหวามไหวที่สร้างความตราตรึงใจให้แก่ผู้ชมตลอดมาใน In the Mood for Love (2000) ผลงานขึ้นหิ้งของ หว่องกาไว ผู้กำกับภาพยนตร์ระดับโลกชาวฮ่องกงที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการบอกเล่าสภาวะอารมณ์เปลี่ยวเหงาของผู้คนผ่านงานภาพที่โดดเด่น ทั้งจากแสงเงา สีสัน และการเคลื่อนกล้อง

โดยในหนังยาวลำดับที่ 7 เรื่องนี้ หว่องกาไวยังคงสามารถบอกเล่าชีวิตรักลับๆ ที่แสนเศร้าของ ‘เขา’ และ ‘เธอ’ ออกมาได้อย่างหมดจดงดงาม …ผ่านอาหารที่เรียบง่าย-แต่แฝงความหมายย้อนแย้ง-อย่าง ‘บะหมี่เกี๊ยว’ ซึ่งถูกขับเน้นในฐานะของ ‘เมนูสานสัมพันธ์’ ระหว่างสองตัวละครนี้


1

แม้ว่า ‘บะหมี่’ และ ‘เกี๊ยว’ จะเป็นอาหารที่ต่างฝ่ายต่างถือกำเนิดขึ้นมาเป็นร้อยเป็นพันปีก่อนคริสตกาล ทว่า ‘บะหมี่เกี๊ยว’ ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในวัฒนธรรมการบริโภคของชาวจีนทุกวันนี้นั้น ได้แพร่หลายมาจากเมืองกวางโจวของมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งภาพจำที่เด่นชัดที่สุดคงหนีไม่พ้นสถานะการเป็น ‘อาหารหาบเร่’ ที่คนขายนิยมออกเดินเรียกลูกค้าด้วยการเคาะซีกไม้ไผ่ไปตามบ้านเรือน (หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า ‘หมี่ป๊อก’ ซึ่งมีที่มาจากเสียงเคาะนั่นเอง) กระทั่งเมนูดังกล่าวถูกส่งต่อมายังฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ และบ้านเรา โดยเฉพาะ ‘เกี๊ยว’ -ซึ่งออกเสียงตามสำเนียงแต้จิ๋ว- ที่ถูกนำไปดัดแปลงให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทอดให้กรอบแล้วกินคู่กับน้ำจิ้มต่างๆ หรือการประยุกต์ส่วนผสมของไส้จนกลายสภาพเป็นของหวาน

ไส้เกี๊ยวสูตรกวางตุ้งต้นตำรับมักทำจากเนื้อหมู เนื้อกุ้ง ปลาป่น และไข่แดงที่คลุกเคล้ากัน ก่อนนำมาห่อด้วยแป้งแผ่นบางสีเหลือง ซึ่งแตกต่างจากเกี๊ยวสูตรแต้จิ๋วที่มีแผ่นแป้งหนากว่าและเป็นสีขาว โดยเกี๊ยวที่ถูกเรียกว่า Wonton หรือ ‘หวั่นทั่น’ ในภาษากวางตุ้งนั้น จะสามารถแปลหยาบๆ ได้ว่า ‘เมฆ’ ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะทางกายภาพของมันที่ดูเหมือน ‘ก้อนเมฆที่กำลังล่องลอยอยู่ในน้ำซุป’ – แม้บางตำราจะบอกว่าเหมือน ‘พระจันทร์เสี้ยว’ มากกว่าก็ตาม

ขณะที่ไส้เกี๊ยวสูตรฮ่องกงจะเลือกใช้กุ้งทั้งตัว-ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายสำหรับการเป็นเมืองท่าติดทะเล-กับเนื้อหมูสับ โดยจะถูกนำไปกินคู่กับน้ำซุปเด็ดสูตรเฉพาะร้านใครร้านมัน และบะหมี่ที่มีเส้นเล็กบางดุจเส้นด้าย ซึ่งเป็นการผสมแป้งเข้ากับไข่เป็ดที่ผ่านการนวดคลึงแบบดั้งเดิมด้วยลำไม้ไผ่ขนาดใหญ่เพื่อให้ได้ความนุ่มหนึบที่ต่างออกไป

ในฮ่องกง บะหมี่เกี๊ยวเริ่มเป็นที่แพร่หลาย-โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นแรงงาน-นับจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากชาวจีนจำนวนมาก-ที่ทนการรุกรานของญี่ปุ่นไม่ไหว-ได้พากันอพยพหลบหนีจากบ้านเกิด เข้ามาตั้งรกรากทำมาหากินที่นี่ ซึ่งหนึ่งในอาชีพยอดนิยมก็คือการค้าขายบะหมี่เกี๊ยว จนมันกลายเป็นเมนูท้องถิ่นที่สามารถพบเจอได้ทั่วไปตามท้องถนนของฮ่องกงในเวลาต่อมา

และก็เป็นร้านบะหมี่เกี๊ยวริมทางนี่เอง ที่มีส่วนช่วยให้ ‘เขา’ -โจวมู่หวัน (รับบทโดย เหลียงเฉาเหว่ย)- และ ‘เธอ’ -โซวไหล่เจิน (จางหม่านอวี้)- ใน In the Mood for Love ได้มีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน

เพราะนับตั้งแต่ได้ค้นพบว่า ภรรยาและสามีของตนต่าง ‘เป็นชู้’ กันมาได้ระยะหนึ่ง พวกเขาก็พยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์กระอักกระอ่วนชวนหดหู่ตรงหน้า ด้วยการช่วยกันค้นหาสาเหตุว่า ทำไมคู่ของตนจึงลักลอบไปมีความสัมพันธ์กันได้ มีใครในพวกเขาที่ทำอะไรผิดพลาดจนคู่ครองต้องหมางใจไปตอนไหน และพวกเขาก็ถึงขนาดร่วมกันซักซ้อมบทบาทสมมติในร้านอาหารว่า หากถึงเวลาต้องไล่เบี้ยถามหา ‘ความจริง’ กับคู่ของตน ทั้งคู่ควรปฏิบัติตัวเช่นไร

ในช่วงเวลานี้เองที่อาหารธรรมดาๆ อย่างบะหมี่เกี๊ยวได้ช่วย ‘เยียวยา’ ความเปลี่ยวดายในชีวิตของคนทั้งสอง และทำให้พวกเขาสนิทสนมแน่นแฟ้นกันมากขึ้นไปทีละนิด – โดยแทบไม่รู้ตัว


2

มีเรื่องเล่าขานจากคนจีนโบราณว่า ในฤดูหนาวปีหนึ่งที่หิมะตกหนัก อากาศที่เย็นจัดเริ่มกัดกินใบหูของผู้คนจนเป็นแผลลุกลามไปทั่วทั้งหมู่บ้าน หมอยานายหนึ่งจึงจัดแจงนำเอาสมุนไพรฤทธิ์ร้อนที่น่าจะรักษาอาการนี้ได้ มาต้มเป็นซุปแจกจ่ายให้ชาวบ้าน โดยเขาใช้สมุนไพรเหล่านั้นมาผสมกับเนื้อแพะสับเพื่อปรุงเป็นไส้ ก่อนปั้นแป้งห่อทับจนมีรูปทรงคล้ายกับ ‘ใบหู’ ของคน แล้วใส่ลงไปด้วย

หลังจากที่ซุปสูตรนี้ของหมอยาสามารถรักษาคนให้หายขาดจากอาการ ‘หูเน่า’ ได้ ในทุกสิ้นปีที่มักมีสภาพอากาศหนาวเย็น ชาวบ้านจึงพากันทำซุปใส่แป้งห่อชนิดนี้-ที่ต่อมาถูกเรียกว่า ‘เกี๊ยว’-เป็นประเพณีสืบมาเพื่อสรรเสริญคุณงามความดีของหมอยาท่านนี้  

เรื่องเล่านี้ดูจะสอดคล้องกับบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่บอกว่า เกี๊ยวถือเป็น ‘อาหารมงคล’ ของชาวจีนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะมันคือหนึ่งในเมนูสำหรับจัดถวายองค์จักรพรรดิในงานราชพิธีต่างๆ โดยจะถูกปั้นให้มีลักษณะคล้ายทองแท่งโบราณ และถูกสอดไส้ด้วยวัตถุดิบต่างๆ ที่ส่วนใหญ่หมายถึงความมั่งคั่ง (เช่น เนื้อวัว เนื้อปลา หรือเห็ดหอม เป็นต้น) ดังนั้น เกี๊ยวจึงน่าจะเป็นอาหารบำรุงร่างกายที่มีความหมายมงคลสำหรับคนชนชาติจีนมาช้านาน

ทว่าสำหรับเกี๊ยวที่อยู่ในชามบะหมี่ของโจวมู่หวันกับโซวไหล่เจิน แม้ในแง่หนึ่งจะยังสามารถตีความให้ยึดโยงอยู่กับความหมายเชิง ‘บวก’ นี้ได้ แต่ขณะเดียวกัน มันก็พ่วงเอาความหมายเชิง ‘ลบ’ มาด้วย

เพราะถึงเขาและเธอจะใช้บะหมี่เกี๊ยวที่กรุ่นร้อนมาช่วยเยียวยาตัวเอง แต่มันก็กลับเป็น ‘อาหารจานเดียว’ ที่สะท้อนถึงช่วงเวลาอันแสนโดดเดี่ยวเปล่าเหงาของพวกเขา-ในคืนวันที่ไม่สามารถร่วมโต๊ะอาหารแบบครบสำรับกับคู่ครองของตนเหมือนครอบครัวอื่นได้-ไปพร้อมๆ กัน…


3

หว่องกาไวอาจขึ้นชื่อว่าเป็นคนทำหนังที่มีความรุ่มรวยในสไตล์การเล่าเรื่องผ่านมุมภาพ เพลงประกอบ และเครื่องแต่งกายของตัวละคร แต่น้อยคนนักที่จะสังเกตว่าเขาใส่ใจกับ ‘อาหารการกิน’ ในหนังไม่น้อยไปกว่าใคร ทั้งการใช้ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด-รวมถึงอาหารหลากชนิด-มาเป็นศูนย์กลางของเรื่องเล่าใน Chungking Express (1994) หรือวิถีการดื่มกินที่สามารถสร้างและทำลายความสัมพันธ์ได้มากพอๆ กันใน Happy Together (1997)

หากแต่ใน In the Mood for Love นี้ เขาได้พยายามใช้อาหารมาเป็น ‘ตัวดำเนินเรื่องหลัก’ ตั้งแต่แรกเริ่ม

ก่อนหน้านี้ หว่องกาไวเคยถึงขั้นตั้งชื่อโปรเจ็กต์นี้ว่า Story about Food (บางแหล่งก็ระบุว่า A Story of Food หรือ Three Stories about Food) ซึ่งประกอบขึ้นจากเรื่องเล่า 3 เรื่องโดยมีอาหารเป็นตัวเชื่อมโยง เพราะเขาตั้งใจจะทำหนังที่แสดงถึงวัฒนธรรมการกินอันเปี่ยมเอกลักษณ์ของฮ่องกง ทั้งในร้านริมทาง ในภัตตาคาร และในมื้อค่ำรูปแบบต่างๆ โดยถึงขั้นเตรียมจ้างแม่ครัวเก่าแก่มาช่วยรังสรรค์เมนูอาหารเซี่ยงไฮ้ให้ออกมาใกล้เคียงมากที่สุดกับเมนูของจริงในยุค 60 -อันเป็นยุคที่บะหมี่เกี๊ยวริมถนนกำลังเป็นที่นิยม- เลยทีเดียว

ทว่าระหว่างที่กำลังพัฒนาเรื่องเล่าอยู่นั้น เขากลับติดใจเรื่องราวของหนุ่มสาวข้างห้องคู่หนึ่งที่ถูกโชคชะตาชักพาให้มาพบเจอกันในร้านบะหมี่เกี๊ยว เจ้าตัวจึงตัดสินใจยืดขยายเนื้อหาและตัวละครเหล่านั้นมาเล่าเป็นหนังทั้งเรื่องแทน โดยหลงเหลืออาหารชนิดอื่นเอาไว้ให้เล่าเพียงประปราย (ยกตัวอย่างเช่น สเต็ก ที่นอกจากจะช่วยแสดงถึงพัฒนาการระหว่างตัวละครทั้งคู่แล้ว ยังแสดงถึงความนิยมที่คนฮ่องกงมีต่ออาหารยุโรปสไตล์ฟิวชั่น-กล่าวคือสูตรต่างชาติที่ถูกนำมาปรับให้เข้ากับวัตถุดิบและรสชาติแบบท้องถิ่น-ในเวลานั้น เป็นต้น)

บะหมี่เกี๊ยวในหนังเรื่องนี้ของหว่องกาไวช่วยผลักดัน ‘แรงปรารถนาที่จะใกล้ชิดกัน’ ของตัวละครโจวมู่หวันและโซวไหล่เจินให้ชัดเจนขึ้น เมื่อในวันหนึ่ง-หลังจากที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มรุดหน้าไปไกล ความชุลมุนของกลุ่มเพื่อนบ้านบริเวณห้องพักได้ทำให้พวกเขา-ที่ล้วนอยู่ตามลำพังเพราะคู่ครองติดภารกิจยังต่างแดน-ต้องเก็บตัวขลุกอยู่ด้วยกันในห้องของฝ่ายชาย พลางนั่งกินบะหมี่เกี๊ยวที่ถูกแบ่งปันร่วมกัน ระหว่างรอให้ผู้คนรอบห้องหนีหายไปจนหมดเสียก่อน — มันเป็นโมงยามที่พวกเขาต่างรู้อยู่แก่ใจว่าตนกำลังจะ ‘ล้ำเส้น’ มากไปกว่าการเป็นเพียงที่ปรึกษาให้กัน

การกำหนดให้ร้านอาหาร-อย่างร้านบะหมี่เกี๊ยว-กลายมาเป็นสถานที่ที่ทั้งคู่ต้องพบหน้ากันบ่อยๆ ในช่วงแรก และการใช้บะหมี่เกี๊ยวกับฉากข้างต้นในช่วงหลัง แสดงให้ผู้ชมเห็นว่า แม้จริงแล้ว บ้านอาจไม่ใช่สถานที่ที่ทำให้เราอุ่นใจได้เสมอไป และแม้แต่คนในบ้านเองก็ยังสามารถถูกกีดกันจากสมาชิกครอบครัวให้กลาย ‘เป็นอื่น’ ได้เสมอ หากพวกเขาเกิดขัดแย้งหรือเบื่อหน่ายกัน

คนเหงาเหล่านั้นจึงต้องหลบซ่อนอยู่หลัง ‘กำแพง’ ของตน เฝ้ากระซิบบอกความคับข้องใจที่คุกรุ่นอยู่ภายในกับกำแพงนั้น และโหยหาความความรักความสัมพันธ์ที่อาจช่วยโอบอุ้มความรู้สึกแย่ๆ ของพวกเขาได้มากกว่า …จากนอกกำแพงบ้าน


4

หนึ่งในฉากจำของ In the Mood for Love ที่แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาหาร แต่ก็มักถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง คือฉากที่ตัวละครโจวมู่หวันยืนกระซิบกระซาบกับกำแพงมี ‘รู’ ในนครวัดที่กัมพูชา แล้วใช้ก้อนดินก้อนหญ้าอุดปิดมันเอาไว้ -เพราะเขาเคยได้ยินมาว่ามันเป็นวิธีการที่จะช่วยเก็บกัก ‘ความลับ’ เอาไว้ได้ตลอดกาล- ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยวเหงาขั้นสุดของตัวละครนี้ ในฐานะของชายหนุ่มหัวใจแหลกสลายที่ต้องทนเก็บงำความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างเขากับโซวไหล่เจินเอาไว้ แล้วปล่อยให้มันค่อยๆ ถูกหลงลืมไปตามกาลเวลา

ความเจ็บปวดของโจวมู่หวัน-และโซวไหล่เจิน-เป็นผลสืบเนื่องมาจาก ‘ความเป็นอื่น’ ที่พวกเขายังคงได้รับจากสามี-ภรรยาเสมอมา เพราะพวกเขาไม่เคยรู้เลยว่า เหตุใดคู่ครองของตนจึงลักลอบคบหากัน แม้วันเวลาอันรวดร้าวนั้นจะล่วงผ่านไปนานแล้ว พวกเขาแค่ยอมปล่อยให้ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวของอีกฝ่ายเป็นเพียงความลับที่ไม่เคยถูกเปิดเผยหรือได้รับคำอธิบาย และยอมปล่อยให้ความทรงจำที่งดงามแต่ก็แสนเศร้าระหว่างพวกเขา-คนที่ถูกหักหลัง-จางหายไปเอง

‘ความเป็นอื่น’ จากใครก็คงไม่เจ็บปวดเท่า ‘ความเป็นอื่น’ จากคนใกล้ตัวที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ซึ่งล้วนเกิดจากความขัดแย้งน้อยใหญ่ที่เราไม่เคยพูดจาปรับความเข้าใจกันอย่างตรงไปตรงมา แต่กลับปล่อยปละให้ตัวเองหรืออีกฝ่ายต้องหาทางออกด้วยการกระซิบบอกความลับกับกำแพง และก้าวผ่านวัน เดือน หรือปีไปอย่างเจ็บปวดลำพัง

หากเรา-ไม่ว่าจะมีสถานะไหนในบ้าน-ปล่อยให้คนใกล้ตัวต้องทนทุกข์เช่นนั้น และปล่อยให้สภาวะ ‘ความเป็นอื่น’ เกิดขึ้นต่อไปอย่างไม่วันจบสิ้น — ต่อให้ออกไปสรรหาบะหมี่เกี๊ยวหรืออาหารมงคลที่มีสรรพคุณวิเศษวิโสแค่ไหน ก็คงไม่อาจช่วยเยียวยาความล่มสลายของความสัมพันธ์เหล่านั้นได้

และเราก็คงต้องพร่ำบ่นถึงความลับอันทุกข์ตรมนั้นอยู่หลัง ‘กำแพง’ -ที่หลายครั้งก็หมายถึง ‘จิตใจ’ ของเราเองที่เอาแต่ปิดกั้นความจริงจนไม่กล้ายอมรับหรือเอื้อนเอ่ยออกมา- ไปจนวันตาย… 

อีสานยังไม่ปังอย่างที่คิด ‘รักหนูมั้ย’ รอก๊อกสอง พร้อมดูทิศทางหนังไทย

แม้จะขึ้นชื่อว่าสร้างโดยทีมงาน ‘ไทบ้าน เดอะซีรีส์’ ที่ทำเงินทั้งจักรวาลรวมกันทั้งประเทศได้ราว 200 ล้านบาท จนทำให้ ‘รักหนูมั้ย’ ได้รับความคาดหวังว่าจะสร้างความคึกคักให้กับโรงหนังอีกครั้ง โดยเฉพาะที่อีสานซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ของทีมไทบ้านฯ แต่หลังจากฉายไปร่วมสัปดาห์แล้วมันกลับไม่เปรี้ยงอย่างที่คิด

ในกรุงเทพฯ ‘รักหนูมั้ย’ น่าจะปิดสัปดาห์แรกที่ราว 3 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่อีสานนั้นก็ทำเงินต่ำกว่าที่ผู้จัดจำหน่ายคาดการณ์ไว้ (รายได้หนังนอกกรุงเทพฯ ไม่เป็นที่เปิดเผย เนื่องจากยังซื้อขายผ่านระบบสายหนัง) คมกฤช พิพัฒน์ภานุกูล กรรมการผู้จัดการ บ.มูฟวี่ พาร์ทเนอร์ จำกัด ผู้ร่วมลงทุนและจัดจำหน่ายหนังเผยว่า “รายได้หนังก็ถือว่าดีแบบกลางๆ แต่ถามว่าผิดจากที่คาดการณ์มั้ย ก็ผิด ส่วนรายได้ในกรุงเทพฯ นี่ผิดไปเยอะเลย ตอนนี้ผมยังตอบไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร การรับรู้ของคน, โควิด หรือเพราะคนไม่มีเงินจริงๆ”

คมกฤชยอมรับว่าไม่ได้คาดหวังให้ ‘รักหนูมั้ย’ จะทำเงินถล่มทลายแบบ ‘ไทบ้าน เดอะซีรีส์’ แต่ก็ไม่คิดว่าหนังจะถูกเมินจากผู้ชมขนาดนี้ “หนังมันค่อนข้างเปลี่ยนการรับรู้ต่อหนังอีสานเยอะ มันไม่ได้นำเสนอภาพท้องทุ่งท้องนา กินกบกินเขียด แบบหนังอีสานทั่วไป มันว่าด้วยชีวิตคนอีสานในเมือง พูดกับคนดูรุ่นใหม่ เพราะฉะนั้นมันเลยไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่ในอีสานเท่านั้น ซึ่งดีที่หนังได้รับฟี้ดแบ็กค่อนข้างบวกจากผู้ชม ก็ได้แต่หวังว่ามันจะมีก๊อกสองตามมา”

หนังอีสานที่ผลิตหลังจากความสำเร็จของ ‘ไทบ้านฯ’ มักศึกษาสูตรสำเร็จของมันเป็นแนวทางเสมอ แต่เมื่อที่อาศัยเครื่องมือการประชาสัมพันธ์และการการันตีโดยทีมไทบ้านฯ เอง ยังไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของความซบเซาในธุรกิจโรงหนังไปได้ จึงทำให้ผู้ลงทุนต้องกลับมาทบทวนทิศทางการทำหนังไทยอย่างจริงจังอีกรอบ

“อย่างที่บอกว่าผมยังตอบไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงทำให้คนยังไม่กลับมาที่โรงหนังกัน สมมติถ้าเพราะโควิดจริง ถ้าทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติก็ต้องกลับมาเหมือนเดิม ถ้าคนไม่มีเงินก็ไม่ต้องอะไรมาก เราลดค่าตั๋วคนก็ควรจะกลับมา หรือเป็นเพราะหนังไม่น่าสนใจรึเปล่า? ผมก็ไม่รู้ ลองย้อนกลับไปมองทั้งปีน่าจะมีแค่ Mulan กับ Peninsula เท่านั้นที่ได้ แต่มันก็ยังได้ไปแค่ประมาณ 50 ล้านบาทในกรุงเทพฯ เท่านั้น

“ผมอยากจะขอลองดูผลลัพธ์ของ ‘อีเรียมซิ่ง’ กับ ‘อ้ายคนหล่อลวง’ หลังจากนั้นทุกอย่างมันคงชัดขึ้น เพราะถ้าหากเบอร์ระดับนี้ยังไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวว่า หรือที่จริงแล้วเพราะพฤติกรรมคนดูเปลี่ยนไปจริงๆ ในที่นี้ไม่ใช่ว่าไม่เข้าโรงหนังแล้วไปดู Netflix ด้วยนะ แต่คือเอาเวลาดูหนังไปให้ความสนใจกับสิ่งอื่นหรือทำอย่างอื่นไปเลย ถ้าเป็นแบบนี้ความเร่งด่วนที่แท้จริงคือเราจะเรียกศรัทธาของคนให้กลับมาดูหนังได้อย่างไรมากกว่า”

ร่วมปกป้อง โซเฟีย คอปโปลา พ้นร่มเงาพ่อ (เสียที)

คงเป็นทั้งโอกาสและคำสาปในคราวเดียวกัน ของการเกิดมาเป็นลูกสาวของคนทำหนังในตำนาน ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ที่ทำให้ โซเฟีย คอปโปลา ยังคงถูกถามถึงอิทธิพลการทำหนังแต่ละเรื่องมาจากพ่อของเธออยู่ดี

โซเฟีย คอปโปลา ในวันนี้อายุ 49 ปีแล้ว แถมยังเป็นคุณแม่ของลูกสาววัย 13 ปี และลูกชายวัย 10 ปี แต่พอเธอทำหนังเรื่องใหม่ On the Rocks ที่เล่าเรื่องของ ลอรา (ราชิดา โจนส์) ที่ร่วมมือกับ เฟลิกซ์ พ่อของเธอ (บิลล์ เมอร์เรย์) เพื่อสะกดรอยสามี (มาร์ลอน วายานส์) ซึ่งกำลังมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป …ทุกคนต่างตั้งข้อสงสัยว่าความสัมพันธ์ระหว่างลอรากับพ่อ จะเทียบเคียงกันได้กับโซเฟียและพ่อหรือไม่? เธอบอกเพียงแค่ว่ามันอาจจะสะท้อนออกมาในแววตาของพ่อที่มองลูกสาว แต่นอกนั้นไม่มีอะไรที่เหมือนพ่อของเธอเลย

“มันเป็นความสัมพันธ์เฉพาะตัวของพ่อลูกแต่ละคู่ ซึ่งพ่อคือคู่คิดแบบที่เราตามหาในวัยผู้ใหญ่ ‘พ่อ’ คือคำจำกัดความของผู้ชายแบบแรกสำหรับทุกคน แน่นอนว่าเราเสาะหาพ่อที่มีเสน่ห์และน่าประทับใจเพื่อใส่ในหนัง แต่ขณะเดียวกันมันก็มีความเป็นสากลที่พ่อจะมีอิทธิพลกับความคิดของผู้หญิงสักคนที่มีต่อเพศชาย”

On the Rocks เป็นหนังที่เล่าเรื่องในนิวยอร์ค โดยทิ้งจริตเก๋ๆ แบบที่เราคุ้นเคยในงานเรื่องก่อนหน้าของคอปโปลาไปทั้งหมด แล้วขับเคลื่อนด้วยไดอะล็อกล้วนๆ จนมีหลานคนเทียบมันกับงานของ วูดดี อัลเลน อันเปิดโอกาสให้เมอร์เรย์ได้เปล่งประกายนักแสดงตลกหาตัวจับยากอย่างชัดเจน และอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นหนังที่ ‘ตลก’ ที่สุดของคอปโปลาแล้ว

“ฉันพยายามพาตัวเองออกจากเซฟโซนเพื่อทำตัวงี่เง่ามากขึ้น ฉันอยู่ในอารมณ์ที่อยากทำหนังตลกโรแมนติก ฉันคิดถึงหนังที่ไม่ท้าทายมากแต่สนุก และมีเนื้อหาเพียงพอเพื่อไม่ให้การดูหนังเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ หวังเหลือเกินว่าคนดูจะสนุกกับการเป็นผู้คนแฮปปี้ในร้านอาหารที่นิวยอร์คนะ”

จุดเริ่มต้นของ On the Rocks มาจากเรื่องเมาท์สุดฮาของเพื่อนเธอเอง เมื่อวันหนึ่งนางเกิดสงสัยว่าสามีแอบไปมีกิ๊ก เลยร่วมหัวกับพ่อสะกดรอยตามสืบ แต่รายละเอียดอื่นๆ นั้น ก็ยังเป็นการบันทึกโมงยามของความเป็นแม่ที่คอปโปลาพบเจอมา

“มันเป็นสิ่งที่ฉันสนใจอยู่พอดี กับความสัมพันธ์ที่จำเพาะเจาะจงที่เราไม่เคยเห็นในหนังคู่หูเรื่องไหน ฉันเริ่มเขียนเรื่องนี้ในตอนที่ลูกๆ ของฉันยังเล็กและฉันพยายามปรับตัวให้เข้ากับพวกเขา ฉันใช้เวลาในตอนกลางคืนเพื่อเขียนมันและต้องตื่นแต่เช้า จากนั้นก็จะพบว่าฉันอยู่ในโลกอีกใบที่แปลกไป มันคือโรงเรียนประถมกับผู้คนที่ฉันไม่รู้จัก มันเหมือนเราอยู่ในประเทศที่ไม่เคยไป ฉันได้คุยเพื่อนเป็นศิลปินผู้หญิงอีกหลายคนที่ผ่านประสบการณ์แบบเดียวกันนี้ และพบว่ามันคือวิกฤตทางอัตลักษณ์ของเราเลย”

ปีหน้า คอปโปลาจะมีอายุ 50 ปี ที่ยังมีความฝันจะเป็นแม่ที่ดีให้กับลูกๆ ที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จากการที่เราติดตามบทสัมภาษณ์ทั้งหลายในช่วงนี้ที่พยายามขุดคุ้ยความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อ คอปโปลาเลือกที่จะอธิบายสภาวะของการเป็นแม่และเป็นเมียให้เห็นชัดยิ่งขึ้น ราวกับจะบอกว่า เธอไม่ใช่สาวน้อยในโลกของ The Godfather อีกต่อไปแล้ว


On the Rocks มีให้ชมใน Apple TV+

ข้อมูลประกอบ

https://www.vogue.co.uk/arts-and-lifestyle/article/sofia-coppola-on-the-rocks-interview

https://www.vogue.com/article/sofia-coppola-on-the-rocks-interview

https://www.bustle.com/entertainment/sofia-coppola-on-the-virgin-suicides-on-the-rocks-marrying-spike-jonze

อเมริกาจ๋า… โบรัตกลับมาเพื่อตัดคะแนน โดนัลด์ ทรัมป์

ซาชา บารอน โคเฮน กับ ไมเคิล มัวร์ อาจเป็นคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อกัน เพราะในขณะที่มัวร์ฉีกหน้าอเมริกาด้วยสารคดีสุดเดือด บารอน โคเฮนก็ใช้ความตลกต่ำตมมาเสียดสีอย่างเจ็บแสบ 

ใครเคร่งศีลธรรมและความถูกต้องทางการเมืองอาจต้องทำใจก่อนกดดูหนังของบารอน โคเฮน เพราะเขาใช้วิธีที่แสนจะไม่ PC เพื่อตรวจสอบศีลธรรมของคนดูนั่นเอง ซึ่งมันจะคล้ายกับการทำงานของกลุ่ม Jackass นั่นคือสวมบทบาทเป็นตัวละครแล้วกระโจนเข้าไปป่วนสถานการณ์จริง ไม่ว่าจะเป็น Ali G Indahouse ที่เขารับบทแร็พเปอร์ชาวอังกฤษ, Bruno ในบทแฟชั่นนิสต้าชาวออสเตรีย, The Dictator ผู้นำเผด็จการในโลกเสรี และ Borat นักข่าวคาซัคสถานที่มาทำข่าวในอเมริกา 

Borat Subsequent Movie Film: Delivery of Prodigious Bribe to American Regime for Make Benefit Once Glorious Nation of Kazakhstan คือหนังภาคต่อซึ่งเว้นช่วงไปถึง 14 ปี ที่ถ่ายทำภายในช่วงโควิดและออกฉายให้ได้ก่อนการเลือกตั้งอเมริกาจะมาถึง (หนังฉายอยู่ที่ Amazon Prime) โดยเขาให้เหตุผลว่า “เราอยากให้หนังช่วยย้ำเตือนความคิดของผู้มีสิทธิโหวตที่เป็นผู้หญิงทุกคน ไม่ส่าคุณจะเลือกใครก็ตาม แต่จงรู้ไว้ว่าการตัดสินใจของคุณมันสำคัญต่อคุณค่าทางเพศของคุณแค่ไหน” 

Borat 2 นี้ โบรัตต้องเดินทางมาจากคาซัคสถาน พร้อม ทูทาร์ ลูกสาววัย 15 ปี เพื่อเป็นเครื่องบรรณาการให้กับผู้นำสหรัฐฯ และระหว่างทางนั้นเองที่หนังเผยความเหยียดมนุษย์สุดขั้วของโบรัตอย่างไร้เดียงสา ไม่ว่าจะยิวที่ชั่วร้ายผิดมนุษย์และการเลี้ยงลูกสาวเยี่ยงสัตว์ เพราะได้รับข้อมูลเพียงด้านเดียวมาจากบ้านเกิด 

“โบรัตเป็นตัวละครที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะอยู่ในยุคของทรัมป์ เพราะเขาเป็นคนประเภทเดียวกับทรัมป์ที่สุดขั้วกว่า ทั้งคู่เต็มไปด้วยความเกียดชังและเหยียบย่ำความหลากหลายของมนุษย์ ไม่แคร์สิทธิและเสรีภาพ และทั้งคู่ยังมีคาแรกเตอร์ที่ตลกมากด้วย” 

ใน Borat 2 บารอน โคเฮน ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านช่วงล็อคดาวน์โควิดกับนักทฤษฎีสมคบคิดอีกสองคนอย่างเป็นความลับ และวางแผนพร้อมร่างบทไปพร้อมกัน ก่อนจะออกไปป่วนชาวบ้านชาวช่องในคาแรกเตอร์โบรต ซึ่งความท้าทายคือนี่เป็นตัวละครที่คนรู้จักอยู่แล้ว จึงจำเป็นต้องตลบหลังด้วยการปลอมตัว ฉากที่ท้าทายที่สุดคือการปลอมเป็นทรัมป์บุกไปงานแถลงข่าวของ ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี เพื่อนำลูกสาวไปมอบให้เพนซ์ ฉากนี้เขาซ่อนชุดยางแล้วผ่านเครื่องตรวจอาวุธเข้าไปในงาน และซ่อนอยู่ในห้องน้ำนานถึง 5 ชั่วโมง 

บารอน โคเฮน เกิดและเติบโตในครอบครัวยิวที่อพยพมาจากเยอรมนี พ่อของเขาเป็นชาวลอนดอน ส่วนแม่เป็นยิวชาวอิสราเอล นั่นทำให้บารอน โคเฮน มีทักษะภาษาอีบรูติดตัวมาด้วย และการได้รับข้อมูลเรื่องยิวมาตั้งแต่เกิด ทำให้เขาเข้าเรียนเรื่องการต่อต้านชาวยิวอย่างจริงจังที่ม.แคมบริดจ์ และเขียนวิทยานิพนธ์เรื่อง “เครื่องข่ายชาวยิวผิวดำ” รวมถึงศึกษาเรื่องอัตลักษณ์ในสิทธิพลเมืองอย่างจริงจัง (คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ แอรอน ซอร์กิน เลือกเขามารับบท แอบบี้ ฮอฟฟ์แมน ใน The Trial of Chicago 7) 

การอยู่ร่วมกับข้อมูลประวัติศาสตร์อห่งการเหยียดชาติพันธุ์นี้เอง ที่พอจะใช้พิสูจน์ว่า การแสดงของบารอน โคเฮน ในหนังมหกรรมลวงโลกของเขานั้น ไม่ได้กลวงเปล่า แต่มาพร้อมถ้อยความบางอย่างที่เขาต้องการจะสื่อสารกับโลกด้วย 

“ตอนผมนั่งดูทรัมป์หาเสียงเมื่อปี 2016 กับพ่อ ผมถามเขาว่าเห็นคนคนนี้แล้วรู้สึกยังไง เขาตอบว่า หนึ่ง ทรัมป์ตลกมาก ตลกกว่าฮิลลารี (คลินตัน) คู่แข่งของเขาตอนนั้นหลายเท่าตัว กับสอง คนคนนี้เป็นฟาสซิสต์โดยสมบูรณ์ ซึ่งพ่อผมเกิดมาในยุคเรืองอำนาจของฟาสซิสต์ เขาย่อมรู้ดีว่าใครใช่หรือไม่ใช่”

“ในปี 2005 เราต้องการตัวละครอย่างโบรัตที่เป็นคนเหยียดเพศ เหยียดผิว และเกลียดยิว เพื่อให้คนเผยอคติภายในใจ” เขากล่าว “ตอนนี้อคติเหล่านั้นชัดเจนขึ้นเยอะ พวกเหยียดผิวภูมิใจในการเหยียดผิว เมื่อประธานาธิบดีเป็น ‘ฟาสซิสต์อย่างเปิดเผย’ มันทำให้สังคมสามารถเปลี่ยนบทสนทนาของพวกเขาได้เช่นกัน

“จุดมุ่งหมายของผมไม่ใช่การเปิดโปงการเหยียดเชื้อชาติและการต่อต้านชาวยิว แต่คือการทำให้ผู้คนหัวเราะ เผยให้เห็นความอันตรายของลัทธิเผด็จการ…ผมไม่อยากให้เกิดวาระที่สองของทรัมป์ เพราะมันจะทำให้อเมริกากลายเป็นประชาธิปไตยในนามเท่านั้น คล้ายกับประชาธิปไตยตุรกีหรือประชาธิปไตยรัสเซีย”


ข้อมูลประกอบ 

https://www.nytimes.com/2020/10/17/style/sacha-baron-cohen-maureen-dowd-interview.html

https://www.ft.com/content/b8a0c694-b3cf-4477-b52f-dd141c46c589

Goodbye, Dragon Inn อดีตที่ถูกทุบทำลายในพื้นที่เมืองสมัยใหม่

แม้ว่าจะเกิดและเติบโตที่ประเทศมาเลเซีย ก่อนจะย้ายมาไต้หวันในวัย 20 แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไฉ้หมิงเลี่ยง (Tsai Ming-liang) คือหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีอิทธิพลอย่างที่สุดต่อวงการภาพยนตร์ไต้หวัน

ภายหลังจากการจากไปของเจียงไคเชก ในปี ค.ศ. 1975 จนนำไปสู่การประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกในปี ค.ศ. 1987 ที่ควบคุมไต้หวันมาอย่างยาวนานกว่า 38 ปี เสรีภาพที่ค่อยๆ เบ่งบานได้ส่งผลให้วงการภาพยนตร์ไต้หวันก้าวเดินเข้าสู่ยุคใหม่ ในช่วงเวลานั้น ชื่อของผู้กำกับอย่าง เอ็ดเวิร์ด หยาง (Edward Yang) และ โหวเสี่ยวเชี่ยน (Hou Hsiao-Hsien) ถูกจดจำในฐานะหัวหอกสำคัญผู้สร้างสุนทรียะแบบใหม่ๆ ให้กับวงการภาพยนตร์ไต้หวัน และแม้ว่าไฉ้หมิงเลี่ยงจะเข้ามาสมทบในทีหลัง แต่เอกลักษณ์ทางภาพยนตร์ของเขาก็เพียงพอที่จะส่งให้ชื่อเขากลายเป็นที่พูดถึงและจดจำ ท่ามกลางยักษ์ใหญ่ของวงการภาพยนตร์ไต้หวันอย่างแทบจะทันที

ภาพยนตร์ของไฉ้มักให้ความสำคัญกับความแปลกแยกและโดดเดี่ยวของคนเมือง เห็นได้จาก Rebels of the Neon God (1992) ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาที่ฉายภาพของ ‘เมืองไทเป’ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วภายใต้ความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ ไฉ้แสดงให้เห็นผลกระทบของการกระโดดเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่อย่างรวดเร็วของเมือง ได้นำมาซึ่งร่องรอยของความโดดเดี่ยวและแปลกแยกที่ปรากฏให้เห็นอย่างเนืองๆ ในชีวิตของคนเมือง สภาวะที่อยู่ๆ ก็เหม่อลอยและพริบตาที่สมาธิหลุดลอยไปจากปัจจุบันขณะ เพียงแต่อาการเหล่านี้จะพบเห็นได้ก็ต่อเมื่อเราจับจ้องอยู่ที่ปัจเจกบุคคลหนึ่งๆ นานพอที่เขาจะหลงลืมไปว่ากำลังถูกจับจ้องจากสายตาที่ไม่รู้จัก ด้วยเหตุนี้ ภาพยนตร์ของไฉ้จึงมักจะหมกมุ่นอยู่กับการทอดเวลาอย่างเอื่อยเฉื่อยและเชื่องช้า เพราะแม้คุณลักษณะของเมืองจะคือการเปลี่ยนแปลงที่ปุบปับ แต่เป็นภายใต้การจับจ้องอยู่กับปัจเจกบุคคลหนึ่งๆ นานๆ ที่เราจะรับรู้ได้ถึงความแปลกแยกและโดดเดี่ยวของคนเมือง

Rebels of the Neon God (1992)

กล่าวได้ว่า พ้นไปจาก หลี่คังเซิง (Lee Kang-sheng) นักแสดงขาประจำที่ปรากฏในภาพยนตร์ของไฉ้แทบทุกเรื่องแล้ว ‘เมือง’ จึงคือตัวละครสำคัญ ที่ไม่เพียงบทบาทของมันจะเป็นฉากหลังของกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหนัง แต่เมืองยังคือเงื่อนไขที่ขับเคลื่อนหนังของไฉ้อยู่เสมอ โดยที่แม้ว่า Goodbye, Dragon Inn (2003) จะเป็นหนังที่จับจ้องไปยังพื้นที่เพียงแห่งเดียว นั่นคือ ‘โรงภาพยนตร์ที่กำลังจะปิดตัวลง’ หากนั่นก็ไม่ได้แปลว่า คุณลักษณะของความเป็นเมืองจะไม่ปรากฏให้เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้

Goodbye, Dragon Inn ถ่ายทอดช่วงเวลาสุดท้ายของโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในเมืองไทเป โดยที่ตลอดระยะเวลากว่า 1 ชั่วโมง 20 นาที ไฉ้ได้พาเราไปจับจ้องหลายชีวิตของผู้คนที่ตบเท้าเข้ามาในโรงด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป สายตาของกล้องจ้องค้างไปยังที่นั่งนับร้อยๆ ของโรงภาพยนตร์ที่แม้จะไม่ถึงกับว่างเปล่า แต่ก็มีคนดูนั่งแค่เพียงบางตา น่าเศร้ายิ่งกว่าคือ แทบจะไม่มีใครสนใจภาพยนตร์ที่ฉายอยู่บนจอ บ้างก็กินขนมจุกจิก และบ้างก็สนทนากันไปเรื่อยเปื่อย นานๆ ครั้ง หนังจะสับเปลี่ยนสายตาที่จับจ้องแค่กับคนดู มาสนใจชีวิตของคนตัวเล็กๆ ปราศจากชื่อผู้ทำงานอยู่ในโรงภาพยนตร์แห่งนี้ ชายหนุ่มผู้นั่งเบื่อหน่ายอยู่หลังม้วนฟิล์มที่หมุนไปเรื่อยๆ กับหญิงสาวขายตั๋วที่ก็ดูจะไม่สนใจภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่สักเท่าไหร่ หนังดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เฉื่อยชา เงียบเชียบ และเดียวดาย ก่อนที่หนังจะจบลงด้วยคนดูที่ค่อยๆ ลุกออกจากโรงไป ไม่มีใครอาวรณ์ หรือเศร้าใจ ต่อให้วันพรุ่งนี้พวกเขาจะไม่อาจกลับมายังสถานที่แห่งนี้ได้อีกแล้วก็ตาม

หนังดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เฉื่อยชา เงียบเชียบ และเดียวดาย ก่อนที่หนังจะจบลงด้วยคนดูที่ค่อยๆ ลุกออกจากโรงไป ไม่มีใครอาวรณ์ หรือเศร้าใจ ต่อให้วันพรุ่งนี้พวกเขาจะไม่อาจกลับมายังสถานที่แห่งนี้ได้อีกแล้วก็ตาม

ยุคสมัยหลังจากการสิ้นสุดลงของกฎอัยการศึก ไทเปได้ก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งเขตใหม่ (re-zoning) ของพื้นที่ต่างๆ ในเมือง ปรับระดับพื้นที่ศูนย์กลางเมืองให้ราบเรียบ ยกระดับโครงสร้างสร้างต่างๆ ของเมือง รวมถึงการก่อสร้างตึกสูง และอาคารใหม่ๆ เช่น ตึกไทเป 101 กล่าวให้ชัดขึ้นคือ นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการพัฒนาเมืองไทเปได้สะท้อนให้เห็นถึงความสอดคล้องกับกระแสการพัฒนาเมืองต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกภายใต้อิทธิพลของแนวคิดเสรีนิยมใหม่ ไม่ว่าจะเป็น กรณีที่พื้นที่ต่างๆ ในเมืองมีมูลค้าเชิงพาณิชย์ และกระแส gentrification นั่นคือ การปรับเปลี่ยนพื้นที่หนึ่งๆ ของเมือง เพื่อให้ตอบสนองกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของธุรกิจ หรือกลุ่มทุนใหม่ๆ โดยที่ชาวบ้าน และผู้อยู่อาศัยเดิมซึ่งมากำลังทางเศรษฐกิจน้อยกว่ามักจะได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนพื้นที่ในลักษณะนี้ รวมไปถึงการเพิ่มขึ้นของ ‘generic architecture’ รูปแบบหนึ่งของสถาปัตยกรรมที่ให้ความสำคัญกับลักษณะการใช้งาน มากกว่าการสร้างตึกและอาคารที่ใหม่ หรือมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ท่ามกลางกระแสของการพัฒนาเมืองที่ขับเคลื่อนไปอย่างไม่หยุดนิ่งภายใต้กระแสเสรีนิยมใหม่ ‘การรื้อถอน’ (demolish) จึงคือปรากฏการณ์หนึ่งที่มักจะพบเห็นอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่เศรษฐกิจของเมืองใหญ่ ที่คุณสมบัติสำคัญของตึกและอาคารคือการสร้างมูลค่าให้กับนายทุน ผู้เช่า และพื้นที่รอบๆ ตึกและอาคาร ‘การทำลายสิ่งเก่าเพื่อสร้างสิ่งใหม่’ ย่อมจะสมเหตุสมผลกว่า ทว่าผ่านสายตาของไฉ้ เขากลับเปิดเผยให้เห็นรายละเอียดของชีวิตเล็กๆ ที่สายตาของนายทุนมองไม่เห็น หรือแม้ว่าจะมองเห็น ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นประเด็นสำคัญ ในภาพยนตร์เรื่อง The Hole (1988) ไฉ้เคยพาเราไปสังเกตชีวิตของผู้คนที่กำลังจะถูกขับไล่จากอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในไทเป เรื่องราวของผู้คนในตึกเก่าๆ แห่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ภายนอกอาคารหลังนี้จะดูเศร้าสร้อย ไร้จิตใจเพียงใด แต่หากลองทอดสายตาให้ลึกลงไป เรากลับจะรับรู้ได้ถึงรายละเอียดของชีวิตที่ผูกพันอยู่กับอพาร์ตเมนต์หลังนี้

ตรงกันข้าม ผู้คนที่ผ่านเข้ามาในโรงภาพยนตร์เก่าๆ ของ Goodbye, Dragon Inn กลับไม่มีท่าทีว่าจะผูกพันกับสถานที่เท่าไรนัก โดยในขณะที่เราอาจนิยามคุณค่าของอพาร์ตเมนต์ใน The Hole ได้ว่า คือพื้นที่สำหรับซุกหัวนอนของคนกลุ่มหนึ่ง แต่กับโรงภาพยนตร์ที่กำลังจะปิดตัวลง ไฉ้กลับแสดงให้เห็นว่า ความหมายที่ปัจเจกบุคคลเชื่อมโยงอยู่กับสถานที่แห่งนี้ล้วนแล้วแต่แตกต่างกันออกไป มันอาจเป็นสถานที่ทำงานของใครสักคนหนึ่ง เป็นสถานที่หลบฝนของใครอีกคน หรือไม่ก็เป็นสถานที่สำหรับงีบหลับ บ้างก็แอบมาร่วมรัก หรือบ้างก็แค่อยากจะมาดูหนังเก่าๆ สักเรื่องหนึ่ง ที่เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะอินอะไร และแม้ว่า Goodbye, Dragon Inn จะเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงวันสุดท้ายของโรงหนัง แต่มันก็ไม่ได้นำเสนอการสิ้นสุดลงของอาคารหลังนี้อย่างโศกเศร้า หรือฟูมฟาย เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็แค่วันหนึ่งๆ เป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่การแตกดับของสถานที่แห่งหนึ่ง จะนำมาซึ่งการเกิดขึ้นของสถานที่แห่งใหม่

แม้ว่า Goodbye, Dragon Inn จะเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงวันสุดท้ายของโรงหนัง แต่มันก็ไม่ได้นำเสนอการสิ้นสุดลงของอาคารหลังนี้อย่างโศกเศร้า หรือฟูมฟาย เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็แค่วันหนึ่งๆ เป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่การแตกดับของสถานที่แห่งหนึ่ง จะนำมาซึ่งการเกิดขึ้นของสถานที่แห่งใหม่

สอดคล้องไปกับการหมดสิ้นอายุไขลงของโรงภาพยนตร์ Goodbye, Dragon Inn สะท้อนให้เห็นถึงการค่อยๆ เสื่อมคุณค่าลงของโรงภาพยนตร์ในฐานะ ‘สถาบัน’ กล่าวคือ ความไม่รู้สึกผูกพันกับสถานที่ของตัวละครในเรื่อง ก็เป็นเพราะในโลกทุกวันนี้ โรงภาพยนตร์ไม่ใช่พื้นที่เพียงแห่งเดียว ที่เราจะสามารถเข้าถึงประสบการณ์ทางภาพยนตร์ได้อีกต่อไป เราอาจนิยามยุคสมัยนี้ว่าคือ ‘post-cinematic age’ ในความหมายที่ว่า ช่องทางในการจะเข้าถึงภาพยนตร์ไม่เพียงแต่จะเพิ่มจำนวนขึ้น แต่ยังแพร่กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ post-cinematic age ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน หรือตัดขาดจากอดีตอย่างหุนหัน แต่ดำเนินไปในลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างสื่อเก่า กับสื่อใหม่ และเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปเรื่อยๆ ในแง่นี้ post-cinematic age จึงไม่ได้หมายถึงแค่ bittorrent หรือ netfilx แต่ยังรวมถึงวิดีโอ และดีวีดี อันเป็นสื่อยุคก่อนหน้าที่ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงประสบการณ์ทางภาพยนตร์มากขึ้น

ไม่เพียงแต่คุณค่าของโรงภาพยนตร์ในฐานะพื้นที่ของการดูหนังเท่านั้นที่ค่อยๆ หายไป แต่ยังรวมถึงการชมภาพยนตร์ในฐานะ ‘ประสบการณ์ร่วม’ ก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความหมายไปสู่ภาพยนตร์ในลักษณะที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น เราไม่จำเป็นต้องเดินทางมาโรงหนังเพื่อดูหนังอีกต่อไปแล้ว ในแง่นี้ ปรากฏการณ์ที่โรงภาพยนตร์ค่อยๆ เสื่อมความนิยมลงจึงเชื่อมโยงกับคุณลักษณะของเมืองสมัยใหม่ในหนังของไฉ้อย่างน่าสนใจ นั่นเพราะเมื่อวันหนึ่ง โรงภาพยนตร์ไม่ได้กลายเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่ผู้คนในเมืองจะสามารถดูหนังได้อีกต่อไป เมื่อมันไม่สามารถสร้างรายได้ และกำไรที่มากพอ การทำลายสิ่งเก่าเพื่อสร้างสิ่งใหม่จึงย่อมจะสมเหตุสมผลกว่าเป็นไหนๆ

Stray Dogs (2013)

ในช่วงที่ภาพยนตร์เรื่อง Stray Dogs (2013) ออกฉาย ไฉ้เคยกล่าวไว้ว่า “ความปุบปับของอิทธิพลจากโลกตะวันตกที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเมืองในทวีปเอเชีย ทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ภายใต้สภาวะของความวิตกกังวล และความไม่แน่นอนตลอดเวลา ราวกับว่า เราเพียงแต่ล่องลอยไปเรื่อยๆ โดยปราศจากรากฐานที่มั่นคงไว้คอยยึดเกี่ยว ประหนึ่งว่า ชีวิตของเรากำลังดำเนินไปภายในพื้นที่ก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่บ้าน ถนน และรถไฟใต้ดินจะถูกบูรณะ ทุบทำลาย และสร้างขึ้นใหม่ ยิ่งการพัฒนาดำเนินไปมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีสิ่งต่างๆ ถูกโยนทิ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ภาพยนตร์ของผมมักจะแสดงให้เห็นพื้นที่ก่อสร้างอยู่เสมอ ที่ซึ่งอาคารคอนกรีตแห่งใหม่กำลังจะก่อร่างสร้างขึ้น หรือตึกเก่าๆ ก็ถูกละทิ้ง และปล่อยให้ผุพัง สิ่งเหล่านี้ย้ำเตือนให้เราตระหนักถึงราคาอันโหดร้ายที่จำเป็นจะต้องจ่ายให้กับกระแสการพัฒนาที่พัดพาไปอย่างฉับพลันของอารยธรรมสมัยใหม่ การแลกเปลี่ยนที่โน้มเอียงเข้าใกล้ความบ้า”

ความปุบปับของอิทธิพลจากโลกตะวันตกที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเมืองในทวีปเอเชีย ทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ภายใต้สภาวะของความวิตกกังวล และความไม่แน่นอนตลอดเวลา ราวกับว่า เราเพียงแต่ล่องลอยไปเรื่อยๆ โดยปราศจากรากฐานที่มั่นคงไว้คอยยึดเกี่ยว ประหนึ่งว่า ชีวิตของเรากำลังดำเนินไปภายในพื้นที่ก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่บ้าน ถนน และรถไฟใต้ดินจะถูกบูรณะ ทุบทำลาย และสร้างขึ้นใหม่ ยิ่งการพัฒนาดำเนินไปมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีสิ่งต่างๆ ถูกโยนทิ้งมากขึ้นเรื่อยๆ

ภาพยนตร์ของไฉ้หมิงเลี่ยงไม่ได้สนใจที่จุดเริ่มต้นหรือบทสรุป เขาไม่สนใจว่า ตึกหลังหนึ่งๆ ถือกำเนิดขึ้นอย่างไร ไม่ได้สนใจเลยว่า อาคารหลังหนึ่งๆ ที่กำลังบูรณะอยู่ จะสวยงาม และโดดเด่นขึ้นเพียงใด นั่นเพราะเขาให้ความสำคัญกับ ‘กระบวนการเปลี่ยนผ่าน’ อยู่เสมอ Goodbye, Dragon Inn ก็เช่นกัน เพราะแม้หนังจะฉายภาพช่วงเวลาสุดท้ายของโรงภาพยนตร์ก็จริง ทว่าหนังก็จบลงก่อนที่เราจะทันได้เห็นชะตากรรมของโรงภาพยนตร์แห่งนี้ว่าลงเอยเช่นไร

ภายใต้ราคาอันโหดร้ายของกระแสการพัฒนาเมืองสมัยใหม่ ปรากฏการณ์ที่เรารับรู้จึงคือกระบวนการเปลี่ยนผ่านที่หมุนเวียนอยู่เรื่อยไป อาคารหลังเก่าถูกเขี่ยออก แทนที่ด้วยอาคารหลังใหม่ ประวัติศาสตร์ชุดหนึ่งถูกลบออก แทนที่ด้วยประวัติศาสตร์ชุดใหม่ ชินชา และเป็นธรรมดา ไม่เห็นมีอะไรจะต้องตื่นตระหนกตกใจ ก็แค่สิ่งหนึ่งสูญหาย แต่เพียงพริบตาก็จะถูกแทนที่ด้วยอะไรใหม่ๆ ใหญ่โต ฟู่ฟ่า และตื่นตาตื่นใจ เพราะสุดท้ายก็ไม่มีใครคิดจะจดจำอดีตอย่างจริงๆ จังๆ นักหรอก


หมายเหตุ :
ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายอย่างเป็นทางการในเทศกาล”เทศกาลภาพยนตร์สารคดีไต้หวัน ครั้งที่ 3 ปี 2020″ 4 – 8 พฤศจิกายน 2563 นี้ รายละเอียดเพิ่มเติมติดตามได้ที่ Taiwan Documentary Film Festival in Thailand

Box Office Report : รายได้หนังประจำวันที่ 5 พ.ย. 63

หนังที่เปิดตัวสูงสุดของเมื่อวานนี้เป็นของ The Witches ผลงานของ โรเบิร์ต เซเม็กคิส ที่ลงสตรีมมิ่งเลยในอเมริกา โดยเมื่อวานทำเงินไป 1.27 ล้านบาท ทิ้งห่างหนังไทยจากทีมผู้สร้าง ‘ไทบ้านเดอะซีรีส์’ อย่าง ‘รักหมูมั้ย’ ที่ทำเงินไป 0.53 ล้านบาท

รายได้หนังประจำวันที่ 5 พ.ย. 63

  1. The Witches – 1.27 ล้านบาท
  2. รักหนูมั้ย – 0.53 ล้านบาท
  3. The Outpost – 0.39 ล้านบาท
  4. Z – 0.16 ล้านบาท
  5. หลวงพี่กะอีปอบ – 0.13 ล้านบาท
  6. Cosmoball – 0.05 (2.37) ล้านบาท
  7. Leap – 0.05 ล้านบาท
  8. In the Mood for Love – 0.04 (0.88) ล้านบาท
  9. Impetigore – 0.04 (1.29) ล้านบาท
  10. She Dies Tomorrow – 0.03 ล้านบาท

Box Office Report : รายได้หนังประจำสัปดาห์ 29 ต.ค. – 4 พ.ย. 63

Cosmoball หนังแฟนตาซีจากรัสเซีย เปิดตัววันแรกขึ้นอันดับ 1 แต่แผ่วปลาย ทำให้ ‘หลวงพี่กะอีปอบ’ แซงกลับขึ้นมาอยู่อันดับ 1 ได้เป็นสัปดาห์ที่ 2 ส่วน In the Mood for Love ก็สามารถทำเงินทั้งสัปดาห์ได้ถึงกว่า 8 แสนบาท

รายได้หนังประจำสัปดาห์ 29 ต.ค. – 4 พ.ย. 63

  1. หลวงพี่กะอีปอบ – 2.68 (8.68) ล้านบาท
  2. Cosmoball – 2.33 ล้านบาท
  3. Pinocchio – 1.34 (4.21) ล้านบาท
  4. The Craft Legacy – 1.32 ล้านบาท
  5. Impetigore – 1.26 ล้านบาท
  6. In the Mood for Love – 0.84 ล้านบาท
  7. เฮ้ย! ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ – 0.65 (8.47) ล้านบาท
  8. Honest Theft – 0.63 (7.27) ล้านบาท
  9. Relic – 0.55 (2.04) ล้านบาท
  10. Fate/Stay Night: Heaven’s Feel III – 0.30 (2.12) ล้านบาท

‘รักหนูมั้ย’ ความทะเยอทะยานของอีสานคนนอก ภูวเนตร สีชมพู

‘ฝรั่ง’ คนนี้ เราคุ้นตาจากหนัง ‘ไทบ้าน เดอะซีรีส์’ ชื่อของเขาคือ ภูวเนตร สีชมพู หนุ่มยโสธร ผู้ซึ่งเว่าอีสานได้คล่องกว่าภาษาอังกฤษเสียอีก 

ซึ่งด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ได้กันเขาออกจากสังคมอีสานแม้ว่าเขาจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับมันมากแค่ไหนก็ตาม จนกระทั่งวันที่เขาทำหนังเรื่องแรก ก็ยังเป็นหนัง ‘นอกจักรวาลไทบ้าน’ เรื่องแรกของ ‘เซิ้ง’ อีกด้วย 

ภูวเนตรเข้าใจดีของการเป็นคนนอก ซึ่งนั่นทำให้เขาได้ถอยออกมามองภาพกว้างของที่ที่เขาอยู่ นั่นทำให้ ‘รักหนูมั้ย’ กลายเป็นงานชิ้นแรกที่สุดทะเยอทะยานด้วยความหวังว่ามันจะมอบความแตกต่างให้กับสังคม ‘หนังอีสาน’ ได้เสียที 

ทะเยอทะยานขนาดไหนน่ะหรือ? ก็ขนาดว่ายอมทิ้งฟุตเตจที่ถ่ายไปแล้ว 6 คิว เพราะแบบบ้านไม่ได้อย่างที่ต้องการ และเริ่มใหม่พร้อมรีโนเวตบ้านทั้งหลัง! เพื่อเล่าหนังอบอุ่นเกี่ยวกับหญิงขายบริการทางเพศที่ท้องกับใครไม่รู้

จากประสบการณ์กับ ‘ไทบ้าน เดอะซีรีส์’ เราสนุกกับบทบาทไหนมากที่สุด

หนังเรื่องนี้ผมใช้ทีมงานกรุงเทพฯ นะ เพราะตอนนั้นเหมือนทีมงานเซิ้ง (เซิ้ง โปรดักชั่น แอนด์ออร์กาไนเซอร์) จะติดถ่ายอีกเรื่องคือ ‘ไทบ้าน x BNK48’ ถามว่าพาร์ทไหนสนุกกว่ากันคงคนละแบบ แต่ชอบงานเบื้องหลังมากกว่า 

แสดงว่าหนังไม่ได้ถ่ายที่อีสาน?

ถ่ายปริมณฑล ไปเช่าบ้าน ขอเขาทุบบ้านแล้วสร้างใหม่ให้เป็นแบบบ้านที่เราอยากได้ เราไปหาโลเคชั่นจริงๆ มันไม่มีอย่างที่เราอยากได้ ภาพของผมมันจะเหมือนในหนัง Be with You มีชั้นวางกลางบ้าน มีระเบียงไม้ ก็เลยปรึกษาโปรดักชั่นดีไซน์ เขาแนะนำให้เราไปเช่าเอาดีกว่าแล้วทำใหม่ ถ้าเจ้าของบ้านเอาก็โอเค เหมือนทำบ้านให้เขาใหม่เลย ต่อรองกันสักพักเหมือนกัน สุดท้ายก็โอเค โดยผมเช่าบ้านเขาต่อด้วยเพื่อเป็นข้อตกลงแบบที่เจ้าของบ้านเขารับได้มากที่สุด 

เรายืดหยุ่นกับแบบบ้านไม่ได้เลยหรือ? 

ผมว่ามันต้องเป็นแบบนั้นครับ ผมพลาดไปแล้วรอบนึง (หัวเราะ) เพราะความสะเพร่าของผมเองที่คิดว่าอะไรก็ได้ เอาเท่าที่ได้ ไม่มีบ้านอย่างที่ต้องการก็เซ็ตเอา ให้มันใกล้เคียงที่สุดพอ สุดท้ายมันก็ออกมาไม่โอเคอย่างที่เราอยากได้จริง ทางไทบ้านก็มาขอกับนายทุนให้ว่าขอถ่ายใหม่ได้มั้ย? ตอนนั้นถ่ายไปแล้ว 6 คิว หมดไปประมาณล้านห้าได้มั้ง (หัวเราะ) ผมเหวอไปเลยเพราะฟุตเตจตรงนั้นไม่ได้ใช้เลย ผมเฟลมาก จมอยู่กับมันนานมาก เพราะส่วนหนึ่งเป็นความผิดเราด้วย ถ้าเราตัดสินใจได้ดีกว่านี้ ถ่ายไม่ได้ก็ไม่ต้องไปฝืนถ่าย 

แสดงว่าเราซีเรียสกับตัวบ้านมาก? (ภูวเนตรจบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ ม.สารคาม) 

ใช่ครับ ทุกอย่างที่เราเห็นในจินตนาการ มันควรต้องมี ยิ่งจินตนาการเราชัดมากเท่าไหร่ มันยิ่งต้องเป็นแบบนั้นมากเท่านั้น เพราะบิ๊กไอเดียผมคือ ‘ความเจ็บปวด’ ผู้ชายสามคนทำผู้หญิงคนเดียวท้อง และยังเป็นผู้หญิงขายบริการด้วย มันรุนแรงมาก แต่จากตรงนั้นผมอยากเล่าเรื่องความเป็นครอบครัวมากกว่า ความอบอุ่นจากการเป็นครอบครัวจริงๆ ซึ่งบ้านมันมีความสำคัญมาก ภาพที่ผมมีคือถ้าทุกคนอยู่ในบ้านด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะอะไรก็ช่าง มันต้องออกมาเป็นภาพที่อบอุ่น บ้านจึงต้องให้ความรู้สึกตรงนั้นได้ ผมดู Be with You บ้านมันดูอบอุ่นมากทั้งที่เป็นหนังดราม่า อยู่กันแค่สามคน ขนาดตัวละครไม่ได้ทำอะไรเลยนั่งแคะหูกันเล่นยังดูอบอุ่นเลย ผมเลยคิดว่ามันไม่ใช่แค่นักแสดงแล้วแหละ แต่บริบทรอบๆ ก็มีผลต่อความรู้สึก ทั้งดีไซน์ ทั้งอุณหภูมิแสง ทั้งการวางเฟรมภาพ ผมเลยค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องเหล่านี้ 

ทำไมหยิบเรื่องผู้หญิงขายบริการที่ท้องกับผู้ชายสามคนมาเล่าล่ะ? มันดูหนักมากเลยนะ

เอาง่ายๆ ถ้าเราตัดเรื่องผู้ชายสามคนกับหญิงขายบริการออก มันคือเรื่องการท้องไม่พร้อมครับ มันเป็นเรื่องที่เราเจอกันในสังคมเยอะมาก เด็กๆ ไม่ว่าจะระดับการศึกษาไหนก็เจอ ปฏิเสธไม่ได้เพราะวัยรุ่นคือวัยที่พร้อมจะมีเซ็กซ์ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะมีครอบครัว ประเด็นนี้มันเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก จนเราอาจจะมองผ่านมันไป ทำไมเด็กถึงเลือกที่จะทำแท้งเถื่อน ผมมองว่ามันเป็นเรื่องช่องว่างระหว่างวัยรุ่นกับคนรุ่นเก่า ซึ่งเราจะอุดช่องว่างตรงนั้นได้ยังไง ก็ต้องมองหาหนังที่เป็นกรณีศึกษา หนังมันต้องแสดงให้เห็นว่าถ้าท้องไม่พร้อมขึ้นมาจริงๆ ควรปรึกษาใครได้บ้าง จะจัดการปัญหานี้ยังไง แล้วควรให้เรื่องนี้ไปถึงระดับไหน บางบ้านถ้าใครท้องก็แค่จับแต่ง อันนี้ง่ายเกินไป ไม่ได้คิดว่าในอนาคตลูกจะเป็นยังไง เด็กเกิดมาใหม่ทั้งคน มันมีองค์ประกอบของการเป็นครอบครัวอยู่ ก็เลยอยากเล่าเรื่องประมาณนี้ ทั้งสี่คนจะทำให้เกิดความรักได้มั้ย สามารถดูแลกันได้มั้ย โดยที่คาแรกเตอร์แต่ละคนแตกต่างกันสิ้นเชิง ความแตกต่างนี้จะนำไปสู่การถกเถียงด้วยเหตุและผลกัน

คุณโตมาในสังคมแบบไหน?

สังคมที่ทุกคนพูดเรื่องนี้จนเป็นความเคยชิน ผมเลยคิดว่าเรื่องนี้มันอันตราย เพื่อนผมท้องตั้งแต่ ป.6 จนตอนนี้ก็ยังเลี้ยงลูกอยู่เลย ผมโตมากับการที่เพื่อนท้องตั้งแต่ประถมยันมหาวิทยาลัย แต่คำตอบจากคนรอบข้างคือมันเป็นเรื่องธรรมดา ผมกับพ่อไม่ได้อยู่ด้วยกัน พ่อแต่งงานใหม่ แม่ก็แต่งงานใหม่ ผมอยู่กับยาย เลยรู้สึกว่าถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้คำว่าไม่พร้อมมันเกิดขึ้นกับใคร หรือต่อให้ไม่พร้อมก็ช่าง แต่อยากให้มีความอบอุ่นเกิดขึ้นในครอบครัว ครอบครัวจะเป็นใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องมีพ่อแม่ จะเป็นน้า เป็นอา แต่สุดท้ายเด็กต้องได้รับการปกป้องให้รู้สึกปลอดภัย ผู้ใหญ่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง สังคมหรือบริบทรอบข้างมันส่งผลกระทบกับเด็กแน่นอน สุดท้ายถ้าเราอยากให้ทุกอย่างมันดีขึ้นเราต้องแก้ไขมันตั้งแต่รากเหง้า มีคำพูดนึงที่ไปเจอมาผมชอบมาก เขาบอกว่าผู้หญิงต้องโตไปเป็นสุภาพสตรี ต้องรักนวลสงวนตัว แต่ทำไมไม่ไปปลูกฝังให้ผู้ชายเป็นสุภาพบุรุษเลย มีแต่ให้เป็นช้างเท้าหน้า เลยรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเท่าเทียม คนเลยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับผู้หญิงเท่าไหร่ แล้วผู้ชายยังเป็นเพศที่มีทางเลือกมาก เพราะเรามักจะเป็นฝ่ายไปจีบผู้หญิงก่อน แต่ผู้หญิงมักไม่ใช่ฝ่ายเข้าหา สมมติผู้ชายจีบเขา 5 คน เขาก็มีตัวเลือกแค่ 5 คนนั้น ทำไมเขาเลือกไม่ได้เหมือนผู้ชาย ผู้ชายควรได้รับการปลูกฝังให้เป็นสุภาพบุรุษมากกว่านี้ สังคมจะน่าอยู่กว่านี้ เราจะไม่มองว่าการท้อง การเหยียดเพศ การเหยียดคน เป็นเรื่องธรรมดาหรือมองมันเป็นเรืองตลกอีกต่อไป หน่วยงานรัฐเขาก็มีบริการให้คำปรึกษา แต่เด็กไม่กล้าพูด พูดไปก็ไม่รู้ว่าจะเข้าใจหรือเปล่า ผู้ใหญ่เองก็มีปัญหาที่ไม่สามารถเข้าถึงเด็กได้ เวลาเด็กมีปัญหาก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร ก็เลยไปปรึกษาเพื่อน ซึ่งเพื่อนก็ไม่ได้มีความรู้ไปมากกว่ากันเท่าไหร่หรอก ทุกคนรู้ว่าการป้องกันคืออะไร แต่ไม่รู้ว่าครอบครัวคืออะไร 

ทำไมเราถึงใช้ผู้หญิงขายบริการ ทำไมเราถึงทำให้ผู้ชายสามคนทำผู้หญิงคนเดียวท้อง แน่นอนพวกเขาแสดงความรับผิดชอบกับครอบครัวเขาแล้ว และสังคมล่ะแสดงความรับผิดชอบอะไรกับพวกเขาหรือยัง? 

การที่เรามีภาพลักษณ์ฝรั่ง มีผลต่อวิธีคิดแบบนี้ยังไง? 

มาก เราอยู่ในสังคมของการบูลลี่กันทุกวัน มึงเป็นเกย์ กะเทย ฝรั่ง เห็นคนใต้ อ้าวซาไกรึเปล่านี่ เจอคนสุรินทร์ก็ถามว่าเขมรใช่มั้ย จะอ้วน จะผอม ก็โดนหมด จนมันเป็นเรื่องกระทบจิตใจผมเหมือนกัน อย่างผมก็โดนมาตั้งแต่เด็ก เพราะหน้าตาฝรั่ง แต่ผมเป็นคนอีสานที่หน้าฝรั่งเฉยๆ ผมก็เว่าอีสานเป็นปกติ (สำเนียงอีสาน) ผมก็จะโดนแซวก่อนเลยเพราะรูปลักษณ์ภายนอก ให้เราพูดภาษาอังกฤษอะไรแบบนี้ หน้าฝรั่งแต่เว่าอีสานชัดเป๊ะ เข้าใจแหละว่าการบูลลี่มันตลก แต่บางครั้งมันก็อาจกระทบกระเทือนจิตใจใคร และมันจะทำให้เด็กไม่กล้าแสดงออก กลัว ไม่มีความมั่นใจ 

มันจะแก้ได้ยังไง? 

ผมว่ามันต้องระยะยาว อย่างแรกคือต้องค่อยๆ เปลี่ยนทีละมุมมอง อย่างที่ผมพยายามทำอยู่ หนังมันอาจไม่ได้ขนาดทำให้คนเลิกบูลลี่กัน แต่เราก็ทำในสิ่งที่พยายามทำอยู่คือเล่าในมุมมองของความเป็นจริง ทำไมเราถึงใช้ผู้หญิงขายบริการ ทำไมเราถึงทำให้ผู้ชายสามคนทำผู้หญิงคนเดียวท้อง แน่นอนพวกเขาแสดงความรับผิดชอบกับครอบครัวเขาแล้ว และสังคมล่ะแสดงความรับผิดชอบอะไรกับพวกเขาหรือยัง? สุดท้ายจะโดนตราหน้าเสียอีกว่ามีผัวตั้งสามคนแถมทำงานเป็นกะหรี่อีกต่างหาก แล้วเคยคิดมั้ยว่าเด็กที่เกิดมาจะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ยังไง ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าไม่มีใครอยากเป็นในสิ่งที่คนอื่นรังเกียจ กะหรี่ก็คืออาชีพหนึ่ง ผู้ชายเกิดความใคร่ จ่ายเงิน แล้วจบไป ถ้าสิ่งนี้ถูกกฎหมาย ก็มีสวัสดิการที่ดี มีความมั่นคง มีการจัดการระบบที่ดี ราคาที่แน่นอน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ในวงการของเขาจัดการกันเองอยู่แล้ว แต่กฎหมายยังไม่ยอมรับเท่านั้นเอง มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่เราไม่สามารถยอมรับกับคนอื่นได้ว่าทำงานอะไร 

ไม่มีใครอยากเป็นในสิ่งที่คนอื่นรังเกียจ กะหรี่ก็คืออาชีพหนึ่ง ผู้ชายเกิดความใคร่ จ่ายเงิน แล้วจบไป ถ้าสิ่งนี้ถูกกฎหมาย ก็มีสวัสดิการที่ดี มีความมั่นคง มีการจัดการระบบที่ดี ราคาที่แน่นอน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ในวงการของเขาจัดการกันเองอยู่แล้ว แต่กฎหมายยังไม่ยอมรับเท่านั้นเอง มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่เราไม่สามารถยอมรับกับคนอื่นได้ว่าทำงานอะไร 

แล้วทำไมถึงเลือกเล่าให้อบอุ่น? 

เพราะเซ็ตอัพของเรื่องและคาแรกเตอร์มันรุนแรงพอแล้ว ผมไม่ชอบความรุนแรง ผมชอบความอบอุ่น ผมเลยลองเล่ากรณีแบบนี้ให้อบอุ่น คนก็น่าจะเข้าถึงได้ไม่มากก็น้อย เช่น ถ้ามาดูหนังคุณจะไม่ใช่แค่ได้ความอบอุ่นกลับไป แต่คุณจะได้กลับบ้านพร้อมคำถาม เราปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังคือการขายความรู้สึก ซึ่งที่ขายดีที่สุดคือ ตลก และ อบอุ่น เราจะยึดเวย์นี้เป็นของเราเลย ไม่ว่าเราจะเล่าอะไรก็ช่าง

อย่างผมสร้างสามตัวละครชายออกมาให้แตกต่างกัน มันต้องมีคนที่ได้เปรียบ เสียเปรียบ ประเด็นการถกเถียงก็จะไม่เหมือนกัน ส่วนผู้หญิงคือคนที่ไม่มีทางเลือก เป็นผู้ถูกกระทำโดยสมบูรณ์ เพราะอย่างที่ผมบอกไปคือผู้หญิงไม่ได้มีทางเลือกเท่าผู้ชายอยู่แล้วนี่ ถ้าปฏิเสธทางเดิมที่เดินอยู่แล้วพบว่ามันไม่เวิร์ค เผลอๆ จะย้อนกลับมาทางเก่าไม่ได้แล้วด้วย 

The Post: ปกป้องเสรีภาพสื่อ ด้วยการพูดความจริง

“วิธีปกป้องเสรีภาพในการตีพิมพ์ข่าว ก็คือการตีพิมพ์ข่าว”

เบน แบรดลีย์ บรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์ The Washington Post ได้กล่าวไว้ในวันที่คนทำสื่อรอบตัวเขาต่างสงสัยในหน้าที่ของตัวเอง

ในฐานะหนังที่กำกับโดยสตีเวน สปีลเบิร์ก The Post ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างหมดจดในการเล่าถึงวินาทีหยุดโลก ที่หนังสือพิมพ์ The Washington Post ตัดสินใจตีพิมพ์บันทึกลับของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ บันทึกนั้นได้เปิดเผยว่าปฏิบัติการในสงครามเวียดนามของสหรัฐนั้นเกิดขึ้นทั้งที่ผู้เกี่ยวข้องรู้อยู่แล้วว่ามันมีข้อผิดพลาด และแม้จะถูกขู่ฟ้อง The Washington Post ก็ตัดสินใจตีพิมพ์มันอยู่ดี

“การตัดสินใจของคุณ (ในยุทธการนั้น) ไม่สมบูรณ์” แคทเธอรีน เกรแฮม เจ้าของและฝ่ายบริหาร The Washington Post กล่าว “คุณเขียนไว้ในรายงานว่าอย่างนั้น” เธอพูดกับโรเบิร์ต แม็คนามารา อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงทางการทหารของสหรัฐฯ ที่เป็นทั้งเพื่อนและคู่ค้าทางธุรกิจของเธอ

ใครๆ ที่อยู่ในอำนาจล้วนไม่อยากถูกมองว่าทำผิดพลาด และประธานาธิบดีนิกสันก็เป็นหนึ่งในนั้น เขายังดึงดันที่จะทำสงครามเวียดนามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะแพ้ ทั้งหมดเพียงเพื่อให้อเมริกาไม่แพ้สงครามในสมัยของเขา คนหนุ่มจำนวนมากถูกส่งไปทั้งที่อเมริการู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไร อาจกล่าวได้ง่ายๆ ว่าพวกเขากำลังจะต้องตายฟรี

“อาจมีคนถามว่าทำไมเรายังดึงดันทั้งทีเรารู้ว่าจะแพ้ สิบเปอร์เซนต์คือเพื่อช่วยชาวเวียดนามใต้ ยี่สิบเปอร์เซนต์คือเพื่อต้านพวกคอมมิวนิสต์ เจ็ดสิบเปอร์เซนต์คือเพื่อหลีกเลี่ยงความอับอายจากความพ่ายแพ้ของอเมริกา”

The Washington Post เป็นเพียงสื่อท้องถิ่นที่ไม่ได้น่าจับตาอะไร พวกเขาช้ากว่า The New York Times เสมอและมีทีท่าว่าจะช้าอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง The New York Times ถูกเซ็นเซอร์และถูกฟ้องจากรัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากตีพิมพ์เอกสารลับทางราชการ การจุดชนวนจึงเริ่มขึ้น และ The Washington Post ก็เริ่มคิดว่าพวกเขาต้องทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับข่าวนี้

“ประชาชนของประเทศเสรีต้องพึ่งสื่อเสรีในการหาข้อมูลที่จำเป็น เพื่อให้ทำหน้าที่พลเมืองได้อย่างชาญฉลาด นั่นคือสาเหตุว่าทำไมรัฐธรรมนูญต้องคุ้มครองเหล่าหนังสือพิมพ์ในการแสดงออกได้โดยไม่ถูกรัฐบาลแทรกแซง”

ด้วยสายข่าวจากเบน แบ็กดิเคียน นักข่าวคนสำคัญของหนังสือพิมพ์ พวกเขาจึงเข้าถึงเอกสารลับจำนวนกว่าพันแผ่น และต้องเรียงมันด้วยมือเนื่องจากเลขหน้าถูกตัดออกทั้งหมด พวกเขามีเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการตีพิมพ์ข่าวสำคัญนี้ ในยุคที่เทคโนโลยีการพิมพ์ยังเป็นแบบเรียงด้วยมือและตรวจคำผิดด้วยดินสออยู่เลย

The Post ได้ฉายให้เห็นภาพความกดดันที่สื่อต้องแบกรับ เมื่อต้องเลือกระหว่างการเข้าข้างรัฐบาลหรือตกเป็นผู้เสียเปรียบในเกมอำนาจ ที่มีชะตากรรมของประชาชนเป็นเดิมพัน หนังดำเนินไปในช่วงปี 1971 ที่หนังสือพิมพ์ยังคงเป็นสื่อที่มีอิทธิพลมากในการชี้นำทัศนคติของประชาชน และจรรยาบรรณสื่อก็ยังเข้มข้น ความเอาจริงเอาจังของคนทำสื่อในสมัยนั้นทำให้เราอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามถึงสื่อในปัจจุบัน ที่ถูกดิสรัปด้วยอินเทอร์เน็ตและวัฒนธรรมที่ชื่นชอบความเร็ว ประกอบกับการที่ใครจะเป็นสื่อก็ได้ ทำให้ขั้นตอนในการตรวจสอบความจริงถูกลดทอนลงเป็นอันมาก และสื่อบางเจ้าก็ถูกแทรกแซงจากนายทุนหรือแม้กระทั่งรัฐบาลให้นำเสนอข่าวตามที่ผู้มีอำนาจต้องการให้พูด

เราจะได้เห็นการผนึกกำลังของหนังสือพิมพ์ในยุคนั้น ที่ไม่ยอมแพ้ต่อคำสั่งของผู้มีอำนาจง่ายๆ ดังที่หนังทำให้เห็นว่า The Washington Post และ The New York Times ต่างเป็นคู่แข่งกันเสมอมา แต่เมื่อมาถึงเรื่องที่มีผลต่อความเป็นความตายของประชาชน พวกเขาต่างมีศัตรูร่วมเดียวกัน – ศัตรูร่วมของสื่อ ก็คือการปิดบังความจริง – และเราก็ได้เห็นการก่อกบฏของสื่อเจ้าอื่นๆ อีกมากมายที่ตามรอยทั้งสองหนังสือพิมพ์นี้ไปสืบข่าวเกี่ยวกับสงครามเวียดนามมาเปิดเผยให้ประชาชนรับรู้

สื่อ (media) คือเครื่องมือหนึ่งของพื้นที่สาธารณะ (public sphere) ซึ่งใช้นำเสนอการถกเถียงประเด็นต่างๆ ในสังคม ในนิยามของเจอร์เกน ฮาร์เบอร์มาส นักปรัชญา พื้นที่สาธารณะคือการรวมตัวกันของปัจเจกเพื่อร่วมกันนิยาม ต่อรองความต้องการของสังคมกับความต้องการของรัฐSoules, Marshall. “Jürgen Habermas and the Public Sphere”. Media studies.ca. ในนิยามนี้ สื่อ ในฐานะพื้นที่สาธารณะ จึงมีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประชาชน เพื่อถ่วงดุลให้ได้สัดส่วนที่ดีกับรัฐ ฮาร์เบอร์มาสยังได้กล่าวไว้อีกว่า พื้นที่สาธารณะนั้นจำเป็นต้องมี “เครื่องมือบางอย่างสำหรับเผยแพร่ข้อมูลและส่งอิทธิพลต่อผู้รับข้อมูล” สื่อจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างและธำรงไว้ซึ่งพื้นที่สาธารณะ

สื่อเป็นที่รวมกันของข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นในสังคม แต่ไม่เพียงเท่านั้น มันยังส่งอิทธิพลต่อความคิดของผู้คนในสังคม และนำความเห็นของผู้คนออกสู่สาธารณะเพื่อให้การถกเถียงดำเนินต่อไปจนกลายเป็นนโยบายในที่สุด อาจกล่าวได้ว่าสื่อเสรีมีความจำเป็นต่อพัฒนาการของประชาธิปไตยเป็นอันมาก เพราะมันช่วยเผยแสดงเสียงเล็กๆ ของปัจเจกให้ออกมายังที่แจ้ง และถูกพัฒนาจนกลายเป็นความคิดที่ขับเคลื่อนผู้คนและยุคสมัย ในสมัยก่อนสื่ออาจมีเพียงหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ แต่ในยุคปัจจุบันที่มีอินเทอร์เน็ต การส่งเสียงของสื่อก็มีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะผู้คนสามารถเห็นได้หลายสิ่งในเวลาเดียวกัน และคนตัวเล็กๆ ก็กลับถูกมองเห็น กลายเป็นสื่อได้ด้วยเช่นกัน

หนึ่งในจรรยาบรรณสื่อที่สำคัญ ก็คือการไม่ปิดบังอำพรางข่าวที่ควรนำเสนอ ซึ่งในกรณีของ The Washington Post หรือสื่อบางเจ้าที่กล้าพูดเรื่องที่เสี่ยงจะขัดใจผู้มีอำนาจในประเทศไทยนั้น ต้องใช้ความกล้าหาญทางจริยธรรมสูงมาก แต่การเสี่ยงเช่นนี้ย่อมได้ผลตอบแทนอย่างงดงามหากชัยชนะเป็นของสื่อ มันคือการยกระดับแบรนด์ของสื่อนั้นให้กลายเป็นกระบอกเสียงหลักที่สังคมวางใจ ดังที่ The Washington Post ได้กลายเป็นสื่อแนวหน้าของอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้ ทัดเทียมกับอดีตเจ้าตลาดอย่าง The New York Times ในฐานะเพื่อนร่วมวิชาชีพ ทั้งสองควรจะร่วมกันเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จในการเปิดโปงรัฐบาลครั้งนี้ ซึ่งเป็นการยกมาตรฐานของวงการให้สูงขึ้นไปอีก เมื่อมองสื่อกระแสหลัก โดยเฉพาะสื่อทางทีวีของไทย ก็ทำให้น่าตั้งคำถามอยู่ไม่น้อย ว่าสื่อได้ทำหน้าที่ “ไม่ปิดบังอำพรางข่าว” ได้สมบูรณ์แล้วหรือยัง โดยเฉพาะในช่วงที่มีกิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ เพราะดูเหมือนว่าหน้าที่ในการเปิดเผยความจริงจะกลายเป็นของสื่อที่ไม่เป็นทางการนักบนอินเทอร์เน็ต หรือคลิปวิดีโอจากมือถือของปัจเจกเป็นส่วนใหญ่

จรรยาบรรณของสื่ออีกอย่างหนึ่งคือการนำเสนอข่าวและข้อมูลสำหรับทุกคน ทุกภาคส่วนในสังคม ไม่ใช่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องของรัฐบาล สื่อก็ต้องนำเสนอเพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับคนที่มีอำนาจเพียงเท่านั้น ในท้ายเรื่องของหนัง The Post ได้มีการปูไปยังคดีบุกปล้นวอเตอร์เกท ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ที่ The Washington Post เปิดโปง และนำไปสู่การลาออกของประธานาธิบดีนิกสัน และการสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม เรียกได้ว่า เมื่อได้ทำเรื่องใหญ่ๆ แล้วครั้งหนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะทำเรื่องแบบนี้อีกครั้ง และอีกครั้ง จนกว่าประชาชนจะเข้าถึงความจริงจนได้

ชัยชนะของ The Washington Post (รวมถึง The New York Times ซึ่งได้เข้าร่วมการพิจารณาคดีเคียงข้างกัน) จึงเป็นสิ่งพิสูจน์อย่างหนึ่งถึงความแข็งแกร่งของสังคมเสรี ที่ให้ค่าแก่การ “พูด” และ “เปิดเผย” สิ่งที่สังคมควรรู้ ด้วยความกล้าหาญทางจริยธรรม และการยึดมั่นในจรรยาบรรณสื่อ อันที่จริงแล้ว ควรต้องให้เครดิตแก่กระบวนการยุติธรรมของสหรัฐฯ ด้วย ที่ศาลมีมติโหวต 6 ต่อ 3 ให้หนังสือพิมพ์ทั้งสองหัวกลายเป็นผู้ชนะในคดีที่มีเดิมพันสูง และมีรัฐบาลเป็นผู้ฟ้องเช่นนี้

และข้อความหนึ่งในคำตัดสิน ก็คือ

“บิดาผู้ก่อตั้งของเราได้ให้ความคุ้มครองแก่สื่อเสรีเพื่อให้บรรลุหน้าที่อันสำคัญต่อประชาธิปไตย สื่อจะต้องรับใช้ผู้ถูกปกครอง ไม่ใช่ผู้ปกครอง”

แช่แข็งความฝัน ฝากไว้ที่อนาคต: สภาวะคู่ตรงข้ามใน Hope Frozen

“…แต่ว่าเราที่เป็นคนผลิตคอนเทนต์ก็คิดว่า ควรจะผลิตเนื้อหาแบบอื่นด้วยไหม คือพอเราไปคุยกับเพื่อนที่เป็นชาวต่างชาติ พอบอกว่า เมืองไทย เขาก็จะนึกถึง ‘ชายหาดที่สวย’ ‘สิ่งร้ายๆ ที่เกิดขึ้น’ แล้วก็ ‘ความยากจน’ ทำให้เขาดูเราเหมือนเราด้อยกว่า ไม่เท่าเทียมกัน ก็เลยอยากจะผลิตอะไรให้เขาเห็นด้วยว่า ‘เมืองไทยก็มีนักวิทยาศาสตร์’ ‘เมืองไทยก็มีคน upper middle class’ ‘เมืองไทยก็มีคนรักลูก’ ‘เมืองไทยก็มีคนที่คิดถึงปรัชญาความเป็นความตาย’ นะ…”

ไพลิน วีเด็ล

Hope Frozen: A Quest to Live (ความหวังแช่แข็ง: ขอเกิดอีกครั้ง) ภาพยนตร์สารคดีจาก Netflix โดยผู้กำกับและนักข่าว ไพลิน วีเด็ล เป็นสารคดีใที่ได้รับรางวัลในสาขาภาพยนตร์สารคดีนานาชาติยอดเยี่ยม (Best International Feature Documentary) จากเทศกาล Hot Docs Canadian International Documentary Festival ในปี 2019 นำเสนอเรื่องราวของครอบครัวเนาวรัตน์พงษ์ โดยมี ดร.สหธรณ์ และ ดร.นารีรัตน์ เนาวรัตน์พงษ์ คู่สามีภรรยาเจ้าของบริษัทวิจัยและผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตัดสินใจนำสมองของน้องไอนส์ หรือ ด.ญ.เมทรินทร์ เนาวรัตน์พงษ์ ลูกสาวในวัย 2 ขวบซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งสมองชนิด Ependymoblastoma ไปเข้าสู่กระบวนการไครออนิกส์ (Cryonics) 

เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อ ดร.สหธรณ์ ไปบุกเบิกงานที่หัวหิน เมทริกซ์ เนาวรัตน์พงษ์ พี่ชายกลายเป็นผู้ดูแลหลักของน้องสาวคนเล็ก (ในเวลานั้น) คืนหนึ่ง ดร.สหธรณ์ ฝันไม่ดีจึงโทรบอกให้เมทริกซ์ไปปลุกน้องตอนเช้า ก่อนจะพบว่าน้องไม่ตื่น ไอนส์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลรามาธิบดีและถูกวินิจฉัยในเวลาต่อมาว่ามีเนื้องอกมะเร็งขนาดใหญ่ในสมองของไอนส์ Ependymoblastoma เป็นเนื้องอกสมองที่พบน้อยมาก (rare) เจริญมาจากเซลล์ค้ำจุนชนิดหนึ่งซึ่งพบได้ในระบบประสาท ซึ่งเป็นเยื่อบุที่โพรงสมองและโพรงของไขสันหลัง มักเกิดในเด็กอายุประมาณ 3 ปี มะเร็งชนิดนี้ถือเป็นหนึ่งในมะเร็งสมองที่รุนแรงที่สุด หลังวินิจฉัยผู้ป่วยมักจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 8.1 เดือน

ก่อนเสียชีวิต ไอนส์ ถูกผ่าตัด 12 ครั้ง ได้เคมีบำบัด 20 ครั้ง ฉายรังสีรักษา 20 ครั้ง ดร.สหธรณ์วางแผนการเก็บรักษาลูกสาวไว้แม้จะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วยในตอนแรก แต่ก็ค่อยๆ ยอมรับได้ในเวลาต่อมา ครอบครัวเนาวรัตน์พงษ์อัดวิดีโอไว้ตลอดช่วงเวลาการเติบโต เจ็บป่วย และดับขัยของไอนส์ “…ไอนส์ เรามาถึงสุดทางของมนุษย์แล้วนะ ไม่มีอะไรจะเกินกว่านี้อีกแล้ว มนุษย์ไม่สามารถข้ามขีดจำกัดนี้ไปได้ หนูจะอยู่ในใจของเราเสมอ ถ้าหากหนูตื่นขึ้นมาในอีกหลายร้อยปี ก็ขอให้รู้ว่าพ่อกับแม่รักหนู…” ดร.สหธรณ์ และ ดร.นารีรัตน์ อัดวิดีโอส่งข้อความถึงไอนส์ พูดคุยกับลูกสาวกับการรักษาครั้งสุดท้าย

หนึ่งในฉากที่งดงามและแสนเศร้าที่สุดของสารคดีคือภาพของเวลาสลัวที่ไม่รู้ว่ากลางวันหรือกลางคืน เมฆหมอกปกคลุมอยู่ทั่ว ดวงดาวส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้า โดยมีเสียงของหมู่ญาติเป็นฉากหลัง พวกเขาสวดมนต์ให้กับไอนส์ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตที่บ้านท่ามกลางรักและอาลัยของครอบครัว ดร.นารีรัตน์จะมีชุดสีขาวของไอนส์เป็นเครื่องเตือนใจแทนความรักที่เธอมีต่อลูกสาว เธอจะเข้ามากอดและหอมชุดนั้นเมื่อเธอมีเรื่องทุกข์ใจ

ความน่าสนใจของ Hope Frozen: A Quest to Live คือการพาเราไปพบเรื่องราวของครอบครัวชีวิตชนชั้นกลางระดับสูงที่มีทางเลือกในการอำลาสมาชิกในครอบครัวด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย มีเวลาเพียงน้อยนิดในสารคดีที่ถ่ายภาพอื่นนอกเหนือจากชีวิตของเนาวรัตน์พงษ์และภาพธรรมชาติที่ใช้ในการประกอบเรื่องเล่า ได้แก่ภาพการจราจรติดขัดบนท้องถนน ชีวิตคนที่ต้องดิ้นรนบนถนนที่แออัด เมทริกซ์เดินข้ามสะพานลอยเพื่อไปห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ ภาพเพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีในสารคดีนั้นตอกย้ำโอกาสที่แตกต่างกันมากเหลือเกินในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงเช่นรัฐไทย

ธุรกิจยื้อชีวิต ยืดเวลาทุนนิยม เศรษฐกิจของความหวัง

Tiffany Romain นักศึกษาระดับปริญญาเอกสาขามานุษยวิทยาที่ Stanford University เสนอไว้ว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ (ไบโอเทค) เช่น วิศกรรมตัดต่อยีน งานวิจัยสเต็มเซลล์ (Stem Cell) และ เวชชศาสตร์ฟื้นฟูภาวะเสื่อม (Regenerative medicine) ล้วนแต่มีพื้นฐานอยู่บนความหวังเพื่ออนาคตของนวัตกรรม หรือถูกเรียกว่า “จินตนาการแห่งชีวการแพทย์” ซึ่งดึงดูดนักลงทุนที่หวังผลกำไรและรายได้ที่น่าดึงดูดใจจากการยืดอายุขัยมนุษย์ ความหวัง (hope) ถูกสร้างขึ้นบนเครือข่ายของผู้คนที่กว้างขวาง ความหวังเป็นปัจจัยสำคัญในการเคลื่อนของเงินทุนและการสนับสนุนจากองค์กรเพื่อทำให้อนาคตเหล่านี้เป็นรูปเป็นร่าง ความหวังเป็นองค์ประกอบที่สร้างเงินทุนให้บริษัทไบโอเทค อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน พวกเขาจินตนการ ต่อสู้เพื่อให้ได้มา ขัดขืน และโอบรับอนาคต เพื่อวาดอนาคตให้มาสู่เวลา ณ ปัจจุบัน

แต่ไครโอนิกส์ (คือ การเก็บรักษาศพของมนุษย์หรือหัว ด้วยความหวังว่า ในอนาคตจะมีเทคโนโลยีที่สามารถทำให้ฟื้นคืนชีพและกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง โดยอุณหภูมิที่ใช้ในการแช่แข็งร่างกาย หรือสมอง จะอยู่ที่ -196 องศาเซลเซียส หรือ 77.1 เคลวิน) แตกต่างจากไบโอเทคอื่นๆตรงที่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐมากเช่นเทคโนโลยีอื่นๆ เนื่องจากมีคนจำนวนน้อยที่มองเห็นถึงความสมเหตุสมผล ส่วนมากเงินทุนจึงมาจากการบริจาคและลงทุนจากกลุ่มผู้เชื่อในไครโอนิกส์ และด้วยไครโอนิกส์เองที่สร้างบนพื้นฐานของความหวัง Tiffany Romain เสนอว่าไครโอนิกส์คือสิ่งชี้วัดระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ (neoliberal) ที่เข้าไปสู่วงการแพทย์ที่ซึ่งปัจเจกบุคคลจะต้องรับความเสี่ยงและการมีคุณภาพชีวิตของตนเองด้วยตนเอง

Abou Farman อาจารย์สาขาสาขามานุษยวิทยา ที่ New School for Social Research มองว่าไครโอนิกส์ หรือการแช่แข็งบุคคลอยู่ระหว่างความจริงและเสมือน ระหว่างการมีขีดจำกัดและไม่มีขอบเขต ระหว่างความตายที่ยึดโยงกับโลกและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีล้ำยุค ซึ่งแสดงถึงว่ามนุษย์และเวลาไม่เคยยึดโยงกับสภาวะที่อยู่ภายใน (immanent) โดยเฉพาะสังคมโลกวิสัยที่พยายามหลบหนีไปสู่อนาคตของความไม่รู้ ไครโอนิกส์ได้ลดรูปเรือนร่างของมนุษย์ให้จำกัดเพื่อที่จะหลบหนีสู่ภาวะไร้ขีดจำกัดในเชิงโลกวิสัย

ไครโอนิกส์มุ่งสนใจแต่ภาวะปัจเจกและความศรัทธาในตลาดเสรีซึ่งใช้ประโยชน์จากกรอบแนวคิดเสรีนิยมใหม่ที่เน้นเสนอขายอนาคตที่สดใส ไครโอนิกส์เสนอความเป็นไปได้ในการยืดขยายอายุขัยมนุษย์ในเป็นอมตะ Romain ยังย้ำว่าการลงทุนในไครโอนิกส์คือการอ้างอำนาจอธิปัตย์ (sovereignty) เหนือร่างกายของคนคนหนึ่งผ่านการมองโลกในแง่ดีและความพยายามในการท้าทายศีลธรรม จินตนาการทางการเมืองและความเชื่อทางศาสนาด้วยการสร้างปัจเจกอย่างสุดขั้ว ผ่านการสร้างภาพของไบโอเทคที่ก้าวหน้า และความศรัทธาในตลาดเสรี

นอกจากนี้ไครโอนิกส์ยังทำให้เห็นว่าเวลาถูกเปลี่ยนให้เป็นสินค้าและขายได้ เสนอให้ลูกค้าซื้อเวลาผ่านการลวงด้วยจินตนาการ ความฝัน ความหวังถึงอนาคตที่เป็นไปได้ และนี่เองได้กลับมาสร้างตัวตนใหม่ของมนุษย์ในปัจจุบัน นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เวลาและเงินถูกจับมาคู่กันผ่านค่าแรงรายชั่วโมง เวลายังถูกแยกออกเป็นเวลาทำงานและเวลาพักผ่อน เวลากลายมาเป็นสิ่งที่ต้องสะสมไว้เพื่อเอาไว้พักผ่อนในภายหลัง ไครโอนิกส์ได้เสนอความเป็นไปได้ว่า “เวลาอีกจำนวนมาก” สามารถถูกนำมาขายได้แม้ว่าเราจะไม่รู้อนาคตที่เป็นนามธรรมว่าจะเป็นอย่างไร ด้วยความคิดว่าเวลาจะไม่สัมพันธ์กับความตายอีกต่อไปเพราะความตายจะถูกกำจัดด้วยเทคโนโลยี Romain ชี้ว่าไครโอนิกส์ก็เหมือนกับกองทุนบำนาญที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินหากแต่เป็นเวลา

จะเห็นได้ว่าไครโอนิกส์ได้ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำของเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ที่แตกสลายความเป็นชุมชนให้กลายเป็นปัจเจก และมีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่ได้รับทางเลือกในวาระสุดท้ายของชีวิต ดังที่เมทริกซ์บอกว่ามีเพียง 200 กว่าคนที่ถูกเก็บไว้ที่องค์กร The Alcor Life Extension Foundation ที่ครอบครัวเนาวรัตน์พงษ์เลือกเก็บสมองของไอนส์ไว้ จุดน่าสนใจที่สารคดีเน้นให้เห็นคือกระบวนการสร้างความทรงจำของแต่ละบุคคล ดร.สหธรณ์ มุ่งใช้วิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาชีวิต รวมถึงการสร้างตัวตนของลูกผ่านสิ่งต่างๆ เช่นเสื้อผ้าสีขาว แท็งก์เก็บสมอง หรือการกำเนิดของลูกสาวคนใหม่ 

การแพทย์แบบประคับประคองในผู้ป่วยระยะสุดท้าย การควบคุมร่างกายมนุษย์

ในระยะเวลานับตั้งแต่ไอนส์ถูกช่วยชีวิตหลังจากเมทริกซ์พบว่าน้องอยู่ในอาการโคม่า เมื่อถูกวินิจฉัยโดยแพทย์ศัลยกรรมระบบประสาท และไอนส์ถูกนำเข้าสู่กระบวนการรักษามะเร็งด้วยเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์เท่าที่โรงพยาบาลชั้นนำของประเทศจะมี นี่เองคือสิ่งที่ Eric L. Krakauer อาจารย์แพทย์ที่ Yale University มองว่าเป็นเทคโนโลยีของการยื้อชีวิต (life-sustaining technologies) ได้แก่ การฟอกไต การกู้ชีวิตด้วยการกดหน้าอก (CPR) การใส่ท่อช่วยหายใจ การให้สารอาหารเทียม 

Krakauer มองว่าเมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในโรงพยาบาล การไม่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้กลายเป็นเรื่องที่อาจผิดจริยธรรมทางการแพทย์ และสิ่งที่เกิดขึ้นตามาจากการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงผลประโยชน์แต่ยังรวมไปถึงภาระผูกพันด้วยเช่นกัน เช่น การสร้างภาระให้ผู้ดูแลจนผู้ดูแลกลายเป็นคนป่วยไปด้วย หรือยังรวมไปถึงความทรมานจากการยื้อชีวิต มีคนกระทั่งมองว่าการละเว้นหรือหลีกเลี่ยงการใช้เทคโนโลยียื้อชีวิตเหล่านี้ต่างหากคือสิ่งที่ดีที่สุด

Krakauer ชี้ให้เห็นว่าการคิดแบบเทคโนโลยี (technological thinking) คือการมองสิ่งต่างๆในสถานะ “วัตถุ” (object) ที่ถูกรู้จนหมดจดได้และควบคุมได้ เช่นเดียวกับการมองว่าร่างกายถูกควบคุมด้วยจิตใจ จิตใจคือ thinking subject หรือองค์ประธานผู้คิด และร่างกายเป็นเพียงวัตถุ แต่ Krakauer กลับมองว่าร่างกายเป็นสิ่งที่มีมาก่อนและสัมพันธ์กับจิตใจอย่างลึกซึ้งจนแยกจากกันไม่ออก 

Krakauer อธิบายว่าความฝันแบบคาร์ทีเซียนคือความฝันที่พยายามควบคุมความตายโดยผ่านองค์ประธานผู้คิดที่ควบคุมทุกสิ่งได้มีอิทธิพลอย่างมากในวงการแพทยศาสตร์ศึกษา การวิจัย และการปฏิบัติทางการแพทย์ ซึ่งนำการแพทย์ไปยุ่งกับความตาย (medicalization of death) หรือทำให้ความตายกลายเป็นปัญหาทางการแพทย์และเทคโนโลยี ความตายถูกทำให้ต้องการปฏิบัติการทางการแพทย์อยู่เสมอ เช่น ผู้ป่วยโรคระยะสุดท้ายมักถูกพามาโรงพยาบาลและเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

ความน่าสนใจคือ Krakauer บอกว่าครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 สถานที่เสียชีวิตของชาวตะวันตกเปลี่ยนจากบ้านมาเป็นโรงพยาบาล ความฝันแบบคาร์ทีเซียนแสดงออกมาในรูปของการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะและเทคโนโลยียื้อชีวิตที่ถูกนำไปใช้กับผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่โอกาสการดีขึ้นจากโรคมีน้อยมาก การแพทย์ตะวันตกสามารถยื้อความตายได้เป็นเวลาสิบปี แต่ในไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาเพิ่งมีการตระหนักถึงความทุกข์ทรมานจากการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้

Krakauer ผู้เป็นแพทย์อายุรกรรมได้เสนอทางออกของความทุกข์ทรมานจากเทคโนโลยียื้อชีวิต ซึ่งเขาเสนอให้ยุติการคลั่งไคล้ในเทคโนโลยี (fetishism of technology) ที่ทำให้การยื้อชีวิตมีความสำคัญมากกว่าการเตรียมตัวทางจิตวิญญาณและชีวิตหลังความตาย เทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าการร่ำลากับคนรัก การไกล่เกลี่ยกับปัญหาที่ยังค้างคา หรือการได้อยู่ที่บ้าน

สำหรับ Krakauer แล้ว Palliative medicine หรือ การแพทย์แบบประคับประคอง คือการตอบสนองและรับฟังต่อเสียงของความทุกข์ทรมานที่แนวคิดแบบคาร์ทีเซียนได้ละเลยและผลิตซ้ำ Palliative medicine ไม่ได้หลีกเลี่ยงเทคโนโลยี หากแต่ “ใช้” เทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบ และไม่ได้ถูกกำหนดโดยเทคโนโลยีทั้งหมด หากแต่ปล่อยให้เทคโนโลยีเป็นดังที่มันเป็น และปล่อยให้ความตายเป็นดังที่ควรเป็น นอกจากนี้ Palliative medicine ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรชัดเจน ไม่มีแผนการที่แน่ชัด หรือคาดหวังว่าผู้ทรมานจะการสิ่งใด หากแต่เน้นย้ำถึงการฟังเสียงของเขาที่มักหายไปในขั้นตอนของการจัดการทางสุขภาพที่เน้นเหตุเป็นผลแบบวิทยาศาสตร์ (rationalized) และแตกแขนงตามความเฉพาะ (subspecialized) 

เสียงของผู้ทรมานมักไม่ไหลผ่านออกมาจากเรือนร่าง หากแต่มาจากความรู้สึกของการสูญเสีย ที่ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียของสุขภาพ ความสามารถในการทำงานได้เหมือนเดิม คนรัก ความสัมพันธ์ การมีความหมาย หรือการสูญเสียตัวตนเมื่อเผชิญหน้ากับความตาย Palliative medicine จึงเป็นการตระหนักถึงขีดจำกัดของเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยหันมายอมรับความตายที่ไม่อาจเลี่ยงได้ 

Krakauer มองว่าการคิดแบบเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์คล้ายกับ speculum หรือคีมปากเป็ดที่แพทย์ใช้ในการตรวจส่องหาความผิดปกติ แต่คีมปากเป็ดเองก็เป็นเหมือนกระจกที่ thinking subject หรือองค์ประธานการคิดก็จะรับรู้ได้แต่ความเป็นวัตถุ (object) ที่องค์ประธานคิดเอาเองว่าประกอบด้วยสิ่งใด ดังนั้นการคิดแบบวิทยาศาสตร์ในทางหนึ่งก็คือการเห็นเพียงแค่ตนเอง และอาจหลงลืมไปว่าสิ่งตนเองรับรู้ได้นั้นได้บดบังบางสิ่งที่แตกต่างจากที่ตนเองรับรู้ได้อย่างมาก 

Palliative medicine จึงเป็นการตระหนักรู้ว่าการคิดแบบวิทยาศาสตร์เป็นการเปิดเผยและทำให้สิ่งต่างชัดเจนแจ่มแจ้ง นั้นเป็นทั้งการปกปิดไปพร้อมๆกัน Palliative medicine พยายามที่ไม่ปกปิดหรือซ่อนสิ่งต่างๆ หากแต่เผยให้เห็นถึงสิ่งที่ถูกปกปิด และตระหนักความสำคัญของการนิยามด้วยการวินิจฉัยโรคและควบคุมอาการ แต่ก็เน้นย้ำถึงความเสี่ยงที่จะปกปิดความทุกข์ของบุคคล โดยกล่าวให้ง่าย Palliative medicine ก็คือการปล่อยให้สิ่งที่ควบคุมไม่ได้เป็นอย่างที่มันเป็น โดยการตระหนักได้ว่ามันไม่อาจควบคุมได้

จากสารคดีเราจะได้เห็นกระบวนการ Palliative medicine เช่น ฉากการสวดมนต์ตอนช่วงเวลาสุดท้ายของไอนส์ ควบคู่ไปกับการรักษาด้วยเทคโนโลยียื้อชีวิต ที่ ดร.สหธรณ์ ทราบพยากรณ์โรคของมะเร็งดีว่าไม่มีใครรอดชีวิตจาก Ependymoblastoma แต่ด้วยแนวคิดวิทยาศาสตร์เขาก็เลือกจะสู้เต็มที่กับเรือนร่างของไอนส์ผ่านการผ่าตัด ฉายแสงและคีโม จนกระทั่งร่างกายของไอนส์บอบช้ำไม่สามารถนำไปบริจาคอวัยวะได้ ซึ่งแน่นอนว่าแนวคิดวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ไปได้ดีกับทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ และการเปลี่ยนแปลงความตายให้เป็นไปได้ ทุน ความหวัง และความฝัน 

Mary-Jo DelVecchio Good นักมานุษยวิทยาการแพทย์ที่ Harvard Medical School เรียกสิ่งนี้ว่า “biotechnical embrace” หรือการโอบรัดโดยไบโอเทคที่ร้อยประสบการณ์ของผู้ป่วยและเศรษฐศาสตร์การเมืองทางการแพทย์ด้วยมิติทางจินตนาการและอารมณ์ความรู้สึก จินตนาการทางการแพทย์นี่เองที่เร่งพลังของธุรกิจการแพทย์ที่หมุนวนผ่านวัฒนธรรมป๊อป แพทย์และคนไข้ต่างถูกครอบงำด้วยระบอบความจริงทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมถึงผู้ป่วยด้วยโรคร้ายแรงรวมถึงญาติก็มีความรู้สึกไวต่อความหวังที่ถูกสร้างโดยอำนาจทางวัฒนธรรมของจินตนาการทางการแพทย์

Palliative medicine ที่เราให้เห็นในสารคดีที่ชัดเจนอาจเป็นช่วงเวลาท้ายของไอนส์ที่เสียชีวิตท่ามกลางกำลังใจจากเครือญาติที่พร้อมใจกันสวดมนต์ตามความเชื่อทางศาสนา ช่วงเวลาที่ไอนส์ไม่ต้องทรมานจากเทคโนโลยียื้อชีวิตอีกต่อไป แต่ Palliative medicine เองก็อาจรวมไปถึงการจัดการกับความรู้สึกของพ่อ แม่และพี่ชายของไอนส์ด้วยเช่นกัน กล่าวคือการเตรียมตัวพร้อมรับกับความตายที่กำลังมาถึงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“…โอกาสที่น้องจะกลับมาด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ไม่สามารถทำให้น้องกลับมาได้ คนถามว่าเสียเงินฟรีมั้ย มีคนถามเยอะมาก ถึงแม้ว่าจะน้อยขนาดไหนได้ทำที่สุดแล้ว เพื่อที่จะคว้าโอกาสนั้น เหมือนซื้อหวย ถ้าถูกคือโชคดี น้องได้มีโอกาสชีวิตใหม่…”

– เมทริกซ์ เนาวรัตน์พงษ์ ให้สัมภาษณ์ในรายการแฉ วันที่ 1 ตุลาคม 2563

ในทางหนึ่ง Palliative medicine ก็เป็นการเลือกปิดฉากชีวิตโดยไม่ทรมาน แต่ในขณะเดียวก็กลบทับความเหลื่อมล้ำของการรักษาด้วยภาพฝันของแพทย์ในฐานะเทพเจ้าผู้ดลบันดาลความสุขให้คนไข้และญาติในวาระสุดท้าย เพราะสำหรับครอบครัวเนาวรัตน์พงษ์ Palliative medicine ในช่วงท้ายคือการยอมรับต่อความตายที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจต่อกรได้สำเร็จ แต่สำหรับครอบครัวคนจนส่วนใหญ่ของประเทศที่ถือสิทธิบัตรทอง Palliative medicine ก็อาจจะเป็นการหลุดพ้นออกจากความทุกข์ยาก การไม่ต้องเป็นภาระทางการเงินให้ลูกหลาน ไปจนถึงการท้อใจในชะตากรรมชีวิต และเลือกจบชีวิตลงเสียดีกว่าอยู่ไปโดยที่รู้สึกไร้ค่าหรือเป็นภาระของลูกหลาน 

ดังนั้นแล้ว Palliative medicine ก็อาจเป็นการเน้นย้ำสถานะของแพทย์ที่สูงส่ง ผู้สามารถเลือก “ใช้” เทคโนโลยีมาอำนวยความสุขให้ผู้ป่วยไปถึงปรโลก นี่จึงตอกย้ำว่า Palliative medicine ก็ยังหมกมุ่นและหนีไม่พ้นกับการแยกสถานะมนุษย์กับเทคโนโลยี และยังมองว่าเทคโนโลยี รวมถึงยาเป็นวัตถุที่แพทย์สามารถหยิบฉวยมาใช้อย่างไรก็ได้ กล่าวคือมนุษย์เป็นนายเหนือเทคโนโลยี

พร้อมๆ กัน Palliative medicine ก็โหมเร้าความโรแมนติกของช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต มากกว่าที่จะเผยให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำภายในความเจ็บป่วยและการรักษา เช่น ครอบครัวเนาวรัตน์พงษ์ ผู้เป็นชนชั้นกลางระดับสูง สามารถส่งลูกเรียนโรงเรียน King’s College International School Bangkok ที่ค่าเล่าเรียน เริ่มต้นที่ 500,000-1,000,000 บาท ครอบครัวเนาวรัตน์พงษ์ผู้มีฐานะสามารถเลือก การรักษาได้หลากหลายแม้จะรู้ว่าโรคของไอนส์โอกาสหายน้อยมากแต่ก็มีทุนมากพอในการสู้กับโรค รวมถึง Palliative medicine ในช่วงสุดท้ายก็เป็นทางเลือกสุดท้ายมากกว่าจะเป็นทางเลือกแรก 

นี่ยังไม่รวมถึงกระบวนการหลังการเสียชีวิตของไอนส์ที่ครอบครัวเนาวรัตน์พงษ์สามารถเลือกจะเก็บสมองของลูกไว้ด้วยค่าใช้จ่ายอย่างน้อยสองล้านบาท ในขณะที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ผู้เขียนพบเจอ เช่น ผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยไตวายระยะสุดท้าย หลายคนก็เลือกจะไม่ฟอกไต และเลือกจะเสียชีวิตหากเวลานั้นมาถึง หากเป็นเพราะการฟอกไตสำหรับสิทธิ์สามสิบบาทต้องฟอกทางหน้าท้องซึ่งเป็นกระบวนการที่ยุ่งยากและต้องมีผู้ดูแลตลอดเวลา ซึ่งผู้สูงอายุส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดก็อยู่คนเดียว หรือกับสามี-ภรรยา ลูกมักไปทำงานในเมืองใหญ่ ไม่สามารถมาดูแลเรื่องการฟอกไตได้ ดังนั้นแล้วสำหรับคนจน Palliative medicine จึงอาจเป็นทางเลือกแรกมากกว่าทางเลือกสุดท้าย และมองว่าชีวิตตนเองดำเนินมาถึงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ความฝันแบบคาร์ทีเซียน การติดแหง็กอยู่กับสภาะวะคู่ตรงข้าม และการอยู่กับปัญหา

นี่เองทำให้เรากลับมาเพ่งมองความฝันแบบคาร์ทีเซียนที่แยกจิตใจออกจากร่างกายมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นแนวคิดที่สำคัญของวิทยาศาสตร์หลังยุคภูมิธรรม Franziska von Verschuer เสนอแนวคิดของการประกอบสร้างตัวตนที่สัมพันธ์กับวัตถุ (materiality of being) โดยการวิเคราะห์ผ่านไครโอนิกส์มักใช้ลักษณะทวิลักษณ์ (Dualism) ขององค์ความรู้สมัยใหม่ ที่มีรากฐานจากแนวคิดทางปรัชญาของ René Descartes ที่มีการแยกระหว่างร่างกายกับจิตใจ ซึ่งได้แบ่งแยก “องค์ประธาน” (subject) ออกจาก “สิ่ง” (object) และยกระดับมนุษยขึ้นในฐานะองค์ประธาน

Jerry Lemler อดีต CEO ของ Alcor กล่าวว่าร่างกายของเรา (ความเป็นวัตถุ) เปลี่ยนไปทุกๆ วัน แต่เราก็ยังคงเป็นเรา เราคือข้อมูล ไม่ใช่วัตถุ เราคือสิ่งชีวิตข้อมูล (information beings) นี่เองเห็นได้ว่าแนวคิดไครโอนิกส์ยืนยันถึงการแยกขาดระหว่างร่างกายและจิตใจ โดย Grant Shoffstall มองไครโอนิกส์ว่าวางอยู่บนแนวคิดว่าอัตลักษณ์ของมนุษย์เปรียบเสมือนกับซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่บนร่างกายที่เปรียบกับฮาร์ดแวร์ที่จะเสื่อมสลายไป แต่ซอฟต์แวร์จะยังคงอยู่ เช่นเดียวกับแนวคิดของ ดร.สหธรณ์ ที่เก็บสมองของไอนส์ไว้และหวังว่าสมองของเธอซึ่งเปรียบเสมือนตัวสร้างซอฟต์แวร์จะใช้งานได้อีกครั้งบนเรือนร่างในอนาคต 

แต่ความย้อนแย้งก็คือแหล่งเก็บความทรงจำหรือตัวตนของมนุษย์ก็คือสมองซึ่งเสื่อมสลายได้ เราจะเห็จากช่วงท้ายของสารคดีเมื่อเมทริกซ์ได้พบกับนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานด้านไครโอนิกส์ผู้เผยความจริงกับเขาว่าด้วยวิธีการเก็บสมองในปัจจุบันมีโอกาสน้อยมากๆ ที่สมองจะยังอยู่ในสภาพเดิมหรือกลับมาทำงานได้ เพราะการแช่แข็งทำให้สภาพของสมองถูกทำลายจนอาจนำกลับมาใช้ใหม่ไม่ได้ เมทริกซ์วิดีโอคอลไปหาพ่อแม่ของเขาและแจ้งข่าวนี้ว่าถึงแม้น้องจะฟื้นขึ้นมาไม่ว่าจะในรูปร่างของอะไร แต่น้องจะยังเป็นน้องไอนส์หรือไม่ เขาจะยังจำใครได้ ความทรงจำเขาจะยังเหลือเหมือนเดิมตอนที่เธอ 2 ขวบหรือไม่

นี่เองคือสิ่งที่ Richard Doyle นักวิทยาศาสตร์ศึกษาที่ Penn State University ย้ำเตือนถึงความลักลั่นของความฝันแบบคาร์ทีเซียนว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ถูกชุบชีวิตในกระบวนการไครโอนิกส์ไม่ใช่จิตในรูปอวัตถุที่เก็บไว้ในร่างกายที่เสื่อมสลายได้ แต่หากเป็นเรือนร่างที่มีการสร้างอัตวิสัยอยู่อย่างต่อเนื่อง (ongoing subjectivity) ข้อมูลที่ใช้ในการประกอบสร้างบุคคลขึ้นมานั้นเกินขอบเขตของร่างกาย เพราะครอบครัวที่เลือกวิธีไครโอนิกส์ก็ไม่ได้เก็บความทรงจำไว้เพียงแค่สมองของไอนส์ หากแต่ยังเก็บผ่านวิดีโอที่ถ่ายอยู่ตลอด เพื่อรอคอยไอนส์กลับมาได้ดูวิดีโอเหล่านี้ หรือผ่านเสื้อผ้า รวมถึงแท็งก์เก็บสมอง ความทรงจำยังถูกเก็บไว้ในสิ่งอื่นๆ นอกจากร่างกายของไอนส์ด้วย ร่างกายจึงเป็นกระบวนการที่จิตมีปฏิสัมพันธ์กับโลก กล่าวคือร่างกายและจิตต่างประกอบสร้างกันและกันอย่างแยกขาดจากกันไม่ได้

สำหรับ Tiffany Romain แล้ว เธอเสนอให้แยกจิตออกจากสมองและโครงข่ายระบบประสาท แต่ขยับขยายความหมายออกไปที่ข้อมูลที่ประกอบสร้างเรือนร่างบุคคลขึ้นมา เธอให้ความสำคัญกับประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของบุคคลกับโลก (worlding) มากกว่าการให้คุณค่ากับการเก็บข้อมูลเช่นผู้เชื่อในไครโอนิกส์ แต่ Abou Farman เสริมว่านอกจากความฝันแบบคาร์ทีเซียนจะเป็นมรดกของยุคภูมิธรรมแล้ว ยุคภูมิธรรมยังส่งผลต่อพัฒนาการการคิดแบบโลกวิสัยสองประการ คือวัตถุนิยมวิทยาศาสตร์ซึ่งก่อให้เกิดแนวคิดธรรมชาตินิยมที่แยกชีวิตและความตายออกจากกัน และแนวคิดความเป็นเหตุเป็นผลทางการเมือง เช่น สติสัมปชัญญะ (consciousness) และการเป็นตัวของตัวเอง (autonomy) ซึ่งนำไปสู่แนวคิดมนุษยนิยมแบบโลกวิสัย (secular humanism) ที่พยายามสร้างโลกในฝันแบบวิทยาศาสตร์ เช่น เทคโนโลยีไครโอนิกส์

Franziska von Verschuer นักสังคมวิทยาที่ Goethe University Frankfurt ได้เสนอคำว่า living-dying เพราะเธอมองว่าความตายและชีวิตไม่อาจแยกขาดออกจากกันได้เหมือนกับแนวคิดธรรมชาตินิยม ไครโอนิกส์พยายามที่จะหลีกหนีการย่อยสลายในหลุมศพ หรือการกลายเป็นปุ๋ย เธอได้นำแนวคิด bios and zoe ของ Rosi Braidotti นักสตรีนิยมที่ Utrecht University มาพิจารณาไครโอนิกส์ ซึ่งมองว่า การตรรกะที่ผลักดันแนวคิดมนุษยนิยมที่มียุโรปเป็นศูนย์กลางนั้นหมกมุ่นอยู่กับการแยกระหว่างตนเองและผู้อื่นที่ต้อยต่ำกว่า 

Bios จึงเป็นวาทกรรมเกี่ยวกับชีวิตที่แยกระหว่างมนุษย์ผู้สูงส่งออกจากสัตว์และสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่มนุษย์ (zoe) กล่าวอีกแบบ Bios เป็นแนวคิดที่ใช้เทคโนโลยีในการปลดปล่อยตนเองออกจากความตาย หรือออกจากความเป็น-ความตาย (living-dying) เช่น ไครโอนิกส์ที่พยายามแยกมนุษย์เป็นอิสระออกจากสิ่งที่นอกเหนือจากมนุษย์ (zoe) ความคิดที่พยายามรักษาจิตและคุณลักษณะของมนุษย์ไว้ แม้ว่าร่างกายจะย่อยสลายไปก็คือการยกมนุษย์เป็นองค์อธิปัตย์เมื่อเทียบกับโลกที่เราอาศัยอยู่ นี่จึงแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวของการเปลี่ยนผ่านจากมนุษย์ (human) เป็นปุ๋ย (humus) 

ความพยายามในการสร้างเทคโนโลยีไครโอนิกส์จึงเป็นสิ่งที่ Franziska von Verschuer หยิบยืมแนวคิดของ Donna Haraway นักสตรีนิยมสายสังคมนิยม ผู้มีภูมิหลังเป็นนักชีววิทยาและนักปรัชญา มามองว่าเป็นความลุ่มหลงในตนเองของนักมนุษยนิยมผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยี (humanist technophiliac narcissism) ซึ่งหมายถึงว่าคือแนวคิดที่มนุษย์พยายามสร้างเทคโนโลยีมาเอาชนะความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของธรรมชาติ หรือ zoe ซึ่งการมโนทัศน์นี้แสดงถึงความพิเศษสุดยอดของมนุษย์นั่นเอง (human exceptionalism) 

Zoe คือชีวิตที่ท้ายที่สุดคือความตาย ความตายถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่จุดเริ่มต้นของชีวิต การเก็บรักษาร่างของมนุษย์เป็นความพยายามในการเก็บมนุษย์ หรือ bios ที่แยกขาดออกจากสิ่งที่นอกเหนือจากมนุษย์ ไครโอนิกส์จึงเป็นความพยายามในการทำลายความเป็นสัตว์ของมนุษย์ (dezoefication) ซึ่งกระบวนการดังกล่าวหากมองในมุมของ Franziska von Verschuer วิธีการดังกล่าว เต็มไปด้วยอำนาจของความเป็นชาย การให้กำเนิดด้วยตนเอง (autopoiesis) ด้วยการที่เพศชายสร้างอุปกรณ์ของเขาขึ้นมาให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตได้ 

ในความหมายของ Braidotti แล้ว zoe จึงเป็นมากกว่าสิ่งที่นอกเหนือจากมนุษย์ เพราะยังหมายถึงเรือนร่างที่แสดงถึงความแตกต่าง เช่น ผู้หญิง เพราะในทางหนึ่ง การกลายเป็นปุ๋ยคือการสร้างความอุดมสมบูรณ์ผ่านการแลกเปลี่ยนระหว่างเรือนร่างของมนุษย์และสรรพสิ่ง (symbiotic reproduction) Robert C. W. Ettinger บิดาแห่งไครโอนิกส์เคยกล่าวไว้อย่างเหยียดเพศหญิงว่า “การผสมพันธุ์ในหลอดทดลองจะทำให้ต่อไปความเป็นแม่ก็จะถูกทำลายล้าง เด็กไม่มีความจำเป็นต้องเกิดจากพ่อและแม่อีกต่อไป หากแต่จะมีพ่อสองคน”

ความน่าสนใจคือสารคดีใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนำเสนอความมุ่งมั่นของเพศชายได้แก่ ดร.สหธรณ์ และเมทริกซ์ในการไล่ล่าเพื่อเติมเต็มความฝันของตัวเองที่จะชุบชีวิตหรือยืดอายุขัยของไอนส์ แต่เมื่อสารคดีนำเสนอภาพของความเป็นแม่อย่าง ดร.นารีรัตน์ เรากลับรู้สึกได้ถึงสายสัมพันธ์ที่ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าพิธีกรรมทางศาสนาและการระลึกถึงลูกตนเองผ่านสิ่งของต่างๆ เท่านั้นเอง

อาจกล่าวได้ว่าไครโอนิกส์คือหนึ่งในการเคลื่อนไหวแบบข้ามพ้นมนุษย์ (transhumanism) ที่มุ่งเน้นการพามนุษย์ให้พ้นขีดจำกัดของความเป็นมนุษย์ในทางชีวภาพ แม้ Braidotti จะเน้นให้มองถึงสิ่งที่นอกเหนือจากมนุษย์ (zoe) ที่ดูดซับความแตกต่างหลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดหายไปในการวิเคราะห์ของ Braidotti คือประสบการณ์เชิงอัตวิสัยของความเป็นปัจเจกที่ถูกเชื่อมร้อยเข้าด้วยกัน (bounded individual) Franziska von Verschuer ได้นำเอาแนวคิดการอาศัยร่วมกันของสปีชีส์ที่หลากหลายของ Haraway มาวิเคราะห์ไครโอนิกส์

Haraway มองว่ากระบวนการของการกลายเป็นสิ่งอื่นนั้น เป็นการการกลายเป็นสิ่งอื่นร่วมกับสิ่งอื่นๆ (becoming-with) เธอมองว่าการกลายเป็นปุ๋ยไม่เคยเป็นอันตรายต่อมนุษย์เพราะมนุษย์เป็นปุ๋ยอยู่แล้ว เพราะตามข้อเท็จจริงคือเรืองร่างของมนุษย์นั้นแท้จริงแล้วคือการเกิดและตายของเซลล์ที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตมากมาย เธอเล่าในหนังสือ When species Meet ว่าจีโนมที่พบบนร่างกายมนุษย์ที่เป็นของมนุษย์มีเพียงร้อยละ 10 อีกร้อยละ 90 เป็นของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ดังนั้นแล้วเราต่างสร้างและย่อยสลายกันและกันกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

เธอเสนอให้เราอยู่ร่วมกับปัญหา (stay with the trouble) มากกว่าที่จะจำนนกับอนาคตนิยมเทคโนโลยี เธอมองว่าเทคโนโลยีที่พยายามจะลดความเป็นสัตว์ในมนุษย์นั้นได้ทำให้เราไม่สามารถจะคิดร่วมกับสิ่งอื่นๆ ได้ (think-with) การอยู่ร่วมกับปัญหาจึงเป็นการยอมรับความตายอันเป็นส่วนหนึ่งของวงจรชีวิต ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดขององค์ประธานที่หมกมุ่นกับการคิดเรื่องของตัวเองแบบปัจเจก

ความตายไม่ได้ถูกอธิบายแยกขาดจากชีวิต แล้วค่อยเอากลับเข้ามาในกระบวนการของชีวิตในภายหลัง แต่ความตายเป็นปัญหาที่จะกระตุ้นเตือนให้เราเห็นถึงความอ่อนแออันเป็นสิ่งพื้นฐานของมนุษย์ กระบวนเกิดและตาย (living-dying) จึงเป็นพลังที่เหนือพ้นไปจากความเป็นปัจเจก (supra-individual) ที่ผลิตสร้างอย่างต่อเนื่อง ความตายจึงนำไปสู่การรวมกลุ่ม (collective) เช่น ญาติมารวมตัวกันสวดมนต์ร่ำลาในวาระสุดท้ายของไอนส์ หรือช่วงที่ครอบครัวไประลึกถึงไอนส์ที่แท็งก์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพเหล่านั้นก็ยังเป็นการรวมกลุ่มที่หมกหมุ่นอยู่ในกลุ่มของครอบครัวชนชั้นกลางระดับสูง ต่างจากความตายของผู้สูญหายทางการเมืองที่ปลุกเร้าสำนึกของการรวมกลุ่มจากหลากหลายชนชั้น

Haraway ประกอบสร้างความเข้าใจต่อความสัมพันธ์กันกับความแตกต่างหลากหลาย (heterogeneity) ที่เราไม่เพียงสัมพันธ์กันผ่านปฏิบัติการกับโลก แต่เรายังทั้งสร้าง ทำลาย ย่อยสลายร่วมกัน ดังนั้นสำหรับ Haraway ความตายจึงไม่ถูกอธิบายผ่านกระบวนการของชีวิตที่ปราศจากแสดงให้เห็นถึงการเสื่อมสลายของมนุษย์ (de-generative) 

นี่จึงเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ (relational) ที่เกี่ยวโยงกับการอยู่อาศัยอย่างโต้ตอบ (responsively) ในฐานะสิ่งที่ความเป็นความตายเกิดขึ้นอยู่พร้อมๆ กัน ที่ซึ่งความตายและการฆ่าไม่ใช่ “ทางเลือก” โดยที่การอยู่อาศัยอย่างโต้ตอบ หมายถึงการมีความรับผิดชอบ (responsible) และความสามารถในการมีปฏิกิริยาตอบสนอง (response-able) ต่อสิ่งอื่นๆ (non-human beings) นี่จึงหมายถึงการยอมรับความจริงว่าสิ่งต่างๆ ล้วนปรากฏ ดำรงอยู่ และตายอยู่ภายในการพัวอันอันยุ่งเหยิงกับสิ่งอื่นๆ มากกว่าที่จะลุ่มหลงหมกมุ่นอยู่กับวิทยาศาสตร์ที่เป็นกระจกเงาของตนเอง หรือแม้แต่สร้างภาพการบริจาคที่กลบเกลื่อนความเหลื่อมล้ำ

ไครโอนิกส์ช่วยทำให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ของการดำรงอยู่และตายที่ท้าทายมุมมองแบบวิทยาศาสตร์การแพทย์มนุษยนิยมผู้เปราะบางต่อความตาย การตระหนักถึงความเป็นปัจเจกที่แยกขาดอาจกลายเป็นปัญหาที่เราต้องเผชิญ เมื่อถึงตอนนั้นจึงเป็นการตอบโต้และสร้างความสัมพันธ์ของความสามารถในการตอบสนอง มากกว่าที่จะหลบหนีปัญหา

ตะวันตก-ตะวันออก: วิทยาศาสตร์หลังอาณานิคม และการขยายความหมายของ “ความห่วงใย”

“…เราไม่ได้เชื่อวิทยาศาสตร์อย่างเดียว ทุกๆ วันเกิดของเค้า ตรงกับน้องสาวคนเล็ก 29 กุมภาพันธ์ ห่างกันสี่ปี ครอบครับของเราเชื่อในพระพุทธศาสนามาก สอนน้องคนเล็กสวดมนต์ รำลึกถึงพี่สาวของเค้า เราก็มีการอัดวิดีโออยู่บ้างเผื่อในอนาคตน้องจะกลับมามีชีวิตจะได้เห็น…”

“…บ้านของเรามีความขัดแย้งเรื่องความเชื่อกับวิทยาศาสตร์มากๆ ผมจะเป็นชอบตั้งคำถามกับพ่อ เช่น ตายแล้วไปไหน พ่อพูดถึงอจินไตยสี่ขึ้นมา เป็นสี่เรื่องที่ปุถุชนทั่วไปไม่ควรเอามาคิด ตรรกะคนทั่วไปไม่ควรคิด อาจทำให้เป็นบ้าได้ พุทธวิสัย ฌานวิสัย กรรมวิสัย โลกวิสัย ตายแล้วไปไหน จะอยู่ในข้อสี่ ตายแล้วไปไหนไม่ได้เป็นการสนทนาที่ยาว ตราบใดที่เราไม่ได้บรรลุธรรมในขั้นที่สูงขึ้นไป ก็อย่าเอามาคิดเลย…”

“…มีคนจำนวนน้อยมากที่เข้าถึงเทคโนโลยี หรือตัดสินใจใช้เทคโนโลยีนี้มีน้อยมาก เพื่อนร่วมแท็งก์ของน้อง ที่อยู่ที่บริษัทนี้ประมาณ 200 คน ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับประชากรโลก เราไม่ควรจะไปสนใจตรงนั้นเลย ที่เราควรจะสนใจมากกว่าคือผู้ป่วยมะเร็ง ครอบครัวเราเลยตั้งกองทุนเพื่อผลักดันให้น้องเป็นไอคอน เป็นนักสู้เพื่อให้กำลังใจคนอื่นๆ สนับสนุนการวิจัยเพื่อให้ครอบครัวอื่นๆ ที่คนในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็ง จะได้ไม่เสียใจที่จะเสียคนในครอบครัวไป เหมือนกับที่ครอบครัวเราเป็น…”

– เมทริกซ์ เนาวรัตน์พงษ์ ให้สัมภาษณ์ในรายการแฉ วันที่ 1 ตุลาคม 2563

สารคดีช่วยให้เราเห็นถึงการปะทะระหว่างแนวคิดวิทยาศาสตร์จากตะวันตกที่ดร.สหธรณ์ และเมทริกซ์ศรัทธา กับแนวคิดทางศาสนาพุทธ วิญญาณนิยม และความเชื่อเรื่องโลกหน้า เช่น การมีลูกคนใหม่แล้วเชื่อว่าเป็นไอนส์กลับชาติมาเกิด การสวดมนต์ การที่เมทริกซ์บวชเพื่อทำบุญให้น้องสาว ความน่าสนใจของครอบครัวเนาวรัตน์พงษ์คือการผสานกันของวิทยาศาสตร์ ศาสนาพุทธ และวิญญาณนิยม อันเป็นลักษณะของรัฐศาสนาอย่างรัฐไทย ครอบครัวชนชั้นกลางระดับสูงที่สารคดีจับจ้อง พวกเขาตั้งกองทุนผู้ป่วยมะเร็งซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งที่เหล่าผู้มีเงินมักทำเพื่อให้ตนเองรู้สึกดี และโดยที่อาจไม่ได้ตั้งใจ มันได้กลบเกลื่อนปัญหาความเหลื่อมล้ำของวงการสาธารณสุข

จุดที่น่าคิดคือ การหวนกลับมาของเวลาอันไม่มีขีดจำกัดผ่านไครโอนิกส์ เพราะหลังจากยุคภูมิธรรม เวลาก็เป็นสิ่งแน่นอน มีขอบเขตจำกัด คล้ายกับเวลาในคริสต์ศาสนา เมื่อมนุษย์เสียชีวิต เวลาก็สิ้นสุด ซึ่งขัดแย้งกับเวลาในโลกก่อน-สมัยใหม่หรือในทางศาสนาที่มีโลกหลังความตาย และการกลับชาติมาเกิด นี่เองทำให้ไครโอนิกส์เป็นการยืดขยายเวลาให้ยาวออกไปจนเหมือนว่าวิทยาศาสตร์และศาสนามีจุดร่วมกันคือความหวังในอนาคต เช่น การทำบุญเพื่อหวังชีวิตที่ดีในโลกหน้า เช่นเดียวกับการแช่ร่างไว้เพื่อหวังเทคโนโลยีในอนาคต แต่สิ่งที่เหมือนกันของเวลาในศาสนาพุทธและวิทยาศาสตร์คือการยึดโยงตนเองกับภาวะเหนือโลก (transcendence) นั่นคืออนาคต 

Astrid Schrader อาจารย์วิชาสังคมวิทยาและปรัชญา University of Exeter เสนอว่า ความหมายโดยกว้างของคำว่าการห่วงใย (care) ควรถูกทำความเข้าใจ ความหมายแรกคือ caring for หรือ “การสนใจแต่ตัวเอง” มักเป็นการห่วงใยที่มีเป้าหมายเพื่อที่ต้องการจะเข้าไปจัดการปรับปรุงสถานการณ์ของผู้อื่น ซึ่งถูกนำไปใช้เป็นโมเดลในการบริการสุขภาพทั้งมนุษย์และนอกเหนือจากมนุษย์ในปัจจุบัน ผู้รับการดูแลมักจะถูกมองว่าไม่มีความสามารถ อ่อนแอ หรือไม่มีอำนาจในการตัดสินใจของตนเอง “การสนใจแต่ตนเอง” ก็คือการกังวลว่าจะมีสิ่งใดมากระทบหรือเปลี่ยนแปลงขอบเขตของ “ผู้ห่วงใย”

ส่วน caring about หรือ “สนใจในบางสิ่ง” มักเป็นการเปลี่ยนแปลงขีดจำกัดของบางสิ่งที่ทำให้ถูกละทิ้งหรือไม่ได้รับการห่วงใย ในระบบขององค์กรหรือสถาบันมักเป็นแบบ caring for นั่นแปลว่า “การห่วงใย” ไม่จำเป็นว่าจะหมายถึงการรับรู้ถึงความรู้สึกหรือเห็นอกเห็นใจ caring about ไม่ได้จำเป็นที่จะตั้งเป็นประเด็นจากความต้องการ และไม่จำเป้นที่จะต้องแปรเปลี่ยนความต้องการนั้นให้การเป็นการกระทำอะไรบางอย่าง 

จึงอาจกล่าวได้ว่าไครโอนิกส์ การทำกองทุนทางการแพทย์ การแพทย์แบบประคับประคอง และวิทยาศาสตร์ที่มีรากฐานอันเหนียวแน่นกับศาสนา ล้วนแต่เป็นการหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาที่ทุนนิยมและรัฐสร้างขึ้น ในท้ายที่สุดสารคดี Hope Frozen: A Quest to Live จึงชวนเรากลับไปตั้งคำถามถึงการห่วงใย (care) ที่การแพทย์สมัยใหม่และวิทยาศาสตร์สถาปนาความหมายบดบังมิติเชิงชุมชนนิยมในความหมายที่การห่วงใยมีความหมายคับแคบเช่นในปัจจุบัน


อ้างอิง 

  • Tiffany Romain (2010). Extreme Life Extension: Investing in Cryonics for the Long, Long Term. MEDICAL ANTHROPOLOGY, 29(2): 194–215
  • Mary-Jo DelVecchio (2007). The Medical Imaginary and the Biotechnical Embrace: Subjective Experiences of Clinical Scientists and Patients. Subjectivity: Ethnographic Investigations
  • Eric L. Krakauer (2007). “To Be Freed from the Infirmity of (the) Age” Subjectivity, Life-Sustaining Treatment, and Palliative Medicine. Subjectivity: Ethnographic Investigations
  • Franziska von Verschuer (2019). Freezing lives, preserving humanism: cryonics and
  • the promise of Dezoefication
  • Prepanod Nainapat (2019). Hope Frozen : สารคดีไทยว่าด้วยเด็กหญิงผู้ถูกครอบครัวแช่แข็งไว้ และอาจไปไกลถึงออสการ์. Thematter.co 
  • Abou Farman (2018). Cryonic Suspension as Eschatological Technology in the Secular Age. A Companion to the Anthropology of Death

Whose Vote Counts, Explained เข้าใจการเลือกตั้งอย่างมีสไตล์

นับเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะเบือนสายตาออกไปจากข่าวสารการชุมนุมช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่การหันเหความสนใจของเราออกไปบ้างเพื่อพักผ่อนฟื้นฟูสภาพจิตใจก็นับเป็นสิ่งที่จำเป็น ถือว่าโชคเข้าข้างเราอยู่บ้างที่ยังมีสิ่งที่น่าสนใจและเข้ากันกับสถานการณ์บ้านเมืองให้หาดูในระบบสตรีมมิ่ง ทั้งหนังแห่งการประท้วงอย่าง The Trial of The Chicago 7 และสารคดีชุดใหม่ของ Vox สำนักคอนเทนต์หัวก้าวหน้าที่เราจะหยิบยกมาพูดถึงกันในครั้งนี้ 

Whose Vote Counts, Explained คือซีรีส์สารคดีเชิงอรรถ 3 ตอน ความยาวตอนละ 25 นาที ภายในประกอบด้วยชุดข้อมูลและกราฟิกสนุกๆ ย่อยง่ายที่จะพาเราออกสำรวจปัญหาและมุมมองต่างๆ ของการเลือกตั้ง สิทธิขั้นพื้นฐานที่สุดของพลเมืองอเมริกาที่แม้ว่าจะก่อตั้งประเทศขึ้นมาด้วยประชาธิปไตยได้หลายร้อยปีแล้ว ก็ยังมีเรื่องน่าปวดหัวให้ทบทวนแก้ไขได้ไม่จบสิ้นจนถึงทุกวันนี้ มันถูกจัดทำขึ้นเพื่อกระตุ้นเตือนให้ผู้ชมได้ตระหนักว่าในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะมาถึงในเดือนพฤศจิกายน เสียงของทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน

และนี่คือรายละเอียดของ Explained ทั้ง 3 ตอนที่ว่านั้น

The Right to Vote

(ให้เสียงบรรยายโดย ลีโอนาร์โด ดีคาร์ปริโอ)

“มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาให้เท่าเทียมกัน” คือข้อความสำคัญในคำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกาปี 1776 แต่ถึงกระนั้นการต่อสู้เพื่อสิทธิในการเลือกตั้งของพลเมืองอเมริกาก็ยังคงดำเนินมาอย่างยาวนานต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนแรกสุดของสารคดีชุดนี้พาเราไปสำรวจเส้นทางความเปลี่ยนแปลงของสิทธิในการเลือกตั้ง จากเอกสิทธิ์เฉพาะชายคนขาวที่รวย สู่สิทธิขั้นพื้นฐานของคนจน ผู้หญิง ชนพื้นเมือง คนดำ ผู้อพยพ เยาวชน และนักโทษ โดยมีความพยายามจะขัดขวางสิทธิของผู้มีอำนาจรับผิดชอบการเลือกตั้ง (ซึ่งมักจะเป็นฝ่ายที่อยู่ในอำนาจและต้องการสืบต่ออำนาจต่อไป) เป็นอุปสรรค

สมรภูมินี้ยิ่งปรากฏชัดขึ้นในวิกฤตโรคระบาดปี 2020 เมื่อมีการเล็งเห็นว่ามีความพยายามที่จะทำให้การใช้สิทธิเลือกตั้งยุ่งยากเกินจำเป็น ตลกร้ายของเรื่องนี้ก็คือ กลไกลใดๆ เหล่านี้ ถูกออกแบบเพื่อที่จะขจัดการโกงการเลือกตั้ง กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือควบคุมผลการเลือกตั้ง กลายเป็นกลโกงในตัวมันเอง ความยุ่งยากนี้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อคะแนนเสียงของผู้ใช้สิทธิจำนวนมากเสียจนอาจทำให้คุณค่าที่ประชาชนยึดถือถูกละเลยไปตลอดสมัย 4 ปีของ “ผู้แทน” ที่ไม่ตอบสนองคุณค่าแบบเดียวกัน 

Can You Buy an Election

(ให้เสียงบรรยายโดย เซเลน่า โกเมซ)

ปัญหาสำคัญของโลกเสรีทุนนิยมอย่างอเมริกาคือ เมื่อความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเติบโตได้ที่ ผู้คนทั่วไปจะเสื่อมศรัทธากับการเลือกตั้ง เพราะรู้สึกว่าเสียงของพวกเขาไม่สำคัญเท่าเสียงของนายทุนไม่กี่คนที่จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมือง ตอนที่สองของสารคดีชุดนี้เป็นการชำแหละงบประมาณด้านการหาเสียงและ ช่องทางที่นายทุน “มือมืด” อาศัยเสรีภาพในการแสดงออกคอยให้เงินทุนผลักดันแคมเปญหาเสียงแบบไม่ออกนาม 

ผลของการอัดประโคมโฆษณาทุกวิถีทางเพื่อให้คนของตัวเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการคือ เสียงของโฆษณายิ่งดังขึ้นจนกลบเสียงของเสียงเรียกร้องของผู้คน 99% ที่ไม่ใช่ชนชั้นนายทุน ลดแรงจูงใจในการออกไปเลือกตั้งของผู้ใช้สิทธิ และเพิ่มผู้แทนที่ให้ประโยชน์กับกลุ่มทุนเข้าไปในสภาอย่างเป็นระบบ ทว่าท่ามกลางปมปัญหาที่ดูเหมือนไม่อาจจะสางออกได้ง่ายๆ นี้ กลับมีข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในบางรัฐ ยิ่งผู้สมัครลงเลือกตั้งใช้เงินเยอะขึ้นเท่าไร พวกเขากลับยิ่งมีโอกาสชนะการเลือกตั้งน้อยลงเท่านั้น เพราะมีข้อบังคับให้สื่อโฆษณาทางการเมืองทุกชิ้นเปิดเผยแหล่งที่มาของเงินในการจัดทำ กล่าวคือ ยิ่งโปร่งใสเท่าไร มือมืดก็ยิ่งไร้น้ำยาเท่านั้นนั่นเอง

Whose Vote Counts

(ให้เสียงบรรยายโดย จอห์น เลเจนด์)

แม้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์และพรรครีพับลิกันจะได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าเดโมแครต แต่กลับมีที่นั่งในสภามากกว่า และกลายเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งในปี 2016 ข้อเท็จจริงชวนเกาหัวข้อนี้ทำให้เกิดคำถามว่า หากการเลือกตั้งสะท้อนความต้องการของผู้คนจริงๆ เหตุใดผลลัพธ์ของมันจึงออกมาในรูปแบบนี้ 

ตอนสุดท้ายของสารคดีชุดนี้ให้คำอธิบายไว้ว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้จากช่องโหว่ใหญ่ของระบบเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา 2 ประการ ประการแรกคือลูกไม้ทางคณิตศาสตร์ที่เรียกกันว่า Gerrymandering หรือการแบ่งเขตเพื่อควบคุมผลการเลือกตั้ง กลไกนี้อาจถูกหยิบมาใช้ประโยชน์ได้จากทั้งสองฟากพรรคใหญ่ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบการเลือกตั้ง และเกิดขึ้นได้เองตามพฤติกรรมการย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยของประชากร ไม่ว่าจะเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม มันได้ถูกพิสูจน์ด้วยการจำลองการแบ่งเขตนับครั้งไม่ถ้วนว่า มีแนวโน้มว่าทางฝั่งรีพับลิกันจะได้เปรียบอยู่เสมอ ความได้เปรียบที่ว่านี้นำไปสู่ช่องโหว่ประการที่สอง นั่นก็คือระบบการจัดสรรผู้แทนแบบหนึ่งคนต่อหนึ่งเขต ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “เสียงตกน้ำ” หรือเสียงที่เลือกคนที่แพ้ไม่ได้รับการเหลียวแล แม้ว่าจะมีเยอะมากเพียงใดก็ตาม

จริงอยู่ Whose Vote Counts, Explained นำเสนอปัญหามากมายในกระบวนการเลือกตั้งของมหาอำนาจฟากเสรีนิยม และก็เป็นความจริงอีกเช่นกันที่ปัญหาเหล่านี้ “แก้ได้” ด้วยการออกไปใช้สิทธิใช้เสียงเลือกตั้ง แน่นอนว่าปัญหาทั้งหมดคงไม่อาจจบลงเพียงชั่วข้ามคืน และมันอาจต้องผ่านการต่อสู้ยาวนานเกินสมัยของรัฐบาลที่กำลังจะถูกเลือก แต่มันจะต้องถูกแก้ไขในที่สุด ตราบใดที่ผู้คนยังคงเชื่อมั่นในสิทธิและเสียงของตัวเอง บนดินแดนที่สร้างขึ้นและดำรงอยู่ได้ด้วยหลักการที่ว่า “มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียม”

สำหรับใครที่ชื่นชอบสารคดีชุดนี้ Explained ยังมีสารคดีชุดอื่นๆ ที่พูดเรื่องประเด็นที่น่าสนใจให้ชมอีกมากมาย ทั้งชุด Sex, Explained ที่ว่าด้วยเรื่องเพศ Mind, Explained เกี่ยวกับกลไกทางสมองและสุขภาพจิต Coronavirus, Explained ที่พูดเรื่องวิกฤตการโณคระบาดในปีนี้ และสารคดีชุด Explained อีก 2 ซีซั่นที่พูดเรื่องประเด็นน่าสนใจทั่วไปบนโลก

Whose Vote Counts, Explained และสารคดีชุด Explained ทั้งหมดสามารถรับชมได้แล้วทาง Netflix

ดูฟรี! ‘เสียงฟ้าเดือนตุลา’ หนังสั้นเรื่องใหม่ของ อภิชาติพงศ์

ชม ‘เสียงฟ้าเดือนตุลา’ หรือ October Rumbles หนังสั้นเรื่องล่าสุดของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ที่ถ่ายทำในเชียงใหม่ ในช่วงที่เขากลับมาบ้านช่วงโควิดและใคร่ครวญถึงสรรพสิ่งรอบข้าง โดยเป็นการร่วมมือของ The Polygon และนิทรรศการ Third Realm 

หนังเปิดให้ชมฟรีถึงวันที่ 12 พ.ย. 63 เท่านั้น คลิกชมที่

นอกจากนี้ อภิชาติพงศ์ยังเขียนถึงแรงบันดาลใจจากหน้าฝนและเหตุการณ์เดือนตุลาคมเอาไว้ ซึ่งเปรียบเสมือนบทบันทึกของเขาในโมงยามที่เกิดเรื่องมากมายขึ้นที่ไทย ณ ตอนนี้ด้วย 

(แปลจาก https://thepolygon.ca/news/apichatpong-weerasethakul-october-rumbles

สายฝนและการฟื้นฟู

เป็นเวลาสองปีที่ผมจดจ่ออยู่ในโคลอมเบีย สถานที่ถ่ายหนังเรื่องล่าสุด ผมจมอยู่กับวัฒนธรรมใหม่ ภาษาใหม่ และความทรงจำของคนอื่น แล้วโควิดก็พาผมกลับมาที่ประเทศไทย ผมต้องอยู่ที่นี่แล้วชีวิตก็เปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงในทุกด้าน 

ผมติดอยู่ที่นี่และต้องซึมซับสถานการณ์รอบด้าน ทั้งยังเดินหน้าในฐานะคนทำหนังต่อไป ในเวลาเดียวกัน ก็เกิดไฟป่าครั้งใหญ่บนดอยทำให้อากาศที่บ้านเต็มไปด้วยฝุ่นควัน มองออกไปก็เห็นเปลวเพลิงอยู่ด้านนอก จนต้องสวมหน้ากากอนามัยนอน ซึ่งโควิดทำให้ผมต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  

เมื่อหมอกควันจางหายไป ชีวิตใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง ผมเริ่มออกเดินเข้าไปสำรวจป่าบนดอย เพื่อสำรวจเศษซากเพลิงไหม้เหล่านั้น จากนั้นฤดูฝนก็เริ่มขึ้นในอีกสองเดือนต่อมา และตอไม้ที่ถูกทำลายก็แตกยอดออกมาใหม่เต็มไปหมด จึงพบวงจรความงดงามและความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตรอบๆ บ้านซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยสังเกตมาก่อน

เมื่อโควิดมา ผมโหยหาการพูดคุยกับมิตรสหายรวมถึงนักแสดงของผม คิดถึงการโอบกอดใครบางคน แต่หลังจากฝนมาและได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่นี่ ผมก็ตอบตัวเองว่าแท้จริงแล้วไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านั้น ผมเพียงพอแล้วสำหรับการอยู่ที่นี่ ผมพอใจแล้ว นั่นคือเหตุผลที่ผมทำหนังสั้นหลายเรื่องรวมถึงเรื่องนี้ด้วย ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับหน้าฝนนี้ หนังโคลอมเบียของผมจบลงด้วยสายฝนอันยาวนาน ผมรู้สึกถึงความสัมพันธ์กัน … และมันถูกเก็บงำเอาไว้

เสรีภาพและการเมือง

วิถีชีวิตปกติเรามักเกิดความไม่สบายใจ เราต้องการเน็ตฟลิกซ์ เราต้องการภาพยนตร์ เราต้องการเครื่องมือเพื่อลืมเรื่องตัวเอง ปกติแล้วการทำหนังของผมคือการสำรวจตัวเองเพื่อค้นหาความทรงจำและสิ่งอื่น แต่ตอนนี้ผมว่ามันอาจไม่ใช่ทางที่ดีนัก การสำรวจความทรงจำของคนอื่นเป็นวิธีการกระจายความคิดของคุณ และกระตุ้นให้เกิดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ในประเทศไทยตอนนี้มีความไม่สงบทางการเมืองครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้ง และทำให้ตระหนักได้ว่าเราหลงลืม “ประชาชน” ได้ง่ายเพียงใด เราหลงเข้ามาในวังวนเดิมได้อย่างไร ทำไมทหารถึงเข้ามามีบทบาททางการเมืองและควบคุมเรา 

ในตอนแรกผมใคร่ครวญถึงความทุกข์ยากของตัวเอง ที่ไม่สามารถแสดงเสรีภาพในประเทศของตัวเอง รวมถึงบทบาทของทหารหรือสถาบันกษัตริย์หรืออะไรก็ตาม แต่แล้วคุณก็รู้ว่ายังมีอีกหลายคนที่ทุกข์ทรมานในช่วงโควิดเช่นกัน และคุณเห็นช่องว่างขนาดใหญ่ของความเท่าเทียม จนเกิดพลังการต่อสู้ของประชาชน ทั้งในครั้งนี้และที่ผ่านมาหลายทศวรรษ

พุทธศาสนาในช่วงเวลาวิกฤต 

ทุกวันนี้มีคนจำนวนมากอยู่กับความกลัว ความโกรธ และความเกลียดชัง คนเหล่านี้ยึดติดกับความคิดของตัวเอง รวมไปถึงยึดติดความเป็นชาติ มากเกินไป พวกเขาเชื่อว่าตนเป็นศูนย์กลางจักรวาลและใช้ชีวิตอย่างฝืนธรรมชาติ ในพระพุทธศาสนาทุกอย่างเชื่อมโยงกัน คุณไม่ใช่ศูนย์กลางแต่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้ สัมพันธ์กับคนรอบข้างและกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีกำแพงที่จะแยก “นี่พวกเขา นี่พวกเรา” แต่เราไม่สามารถดื่มด่ำไปกับทุกอย่างได้

เราอาจไม่สามารถมีความสุขกับทุกสิ่งรอบข้างได้ แต่ทุกประสบการณ์ล้วนมีความน่าสนใจของมัน แม้แต่ความซ้ำซากอย่าง สายลม สายฝน จังหวะของเสียงค้อนกระทบกับคอนกรีต คุณสามารถเป็นส่วนหนึ่งกับสิ่งเหล่านี้เพื่อสร้างจังหวะของชีวิตคุณเอง สอดคล้องกับจังหวะของชีวิตคนรอบข้าง แล้วจะรู้ว่าคุณกำลังไหลไปด้วยกัน เราอยู่ในสายน้ำเดียวกัน สายน้ำแห่งกาลเวลา สายน้ำแห่งร่างกายและจิตสำนึกของประวัติศาสตร์

Box Office Report : รายได้หนังประจำวันที่ 29 ต.ค. 63

หนังไซ-ไฟ เล่นใหญ่ จากรัสเซียอย่าง Cosmoball กลายเป็นหนังที่ทำเงินอันดับ 1 แบบเซอร์ไพรส์ โดยเมื่อวานนี้เปิดตัวที่ 3 แสนบาท

รายได้หนังประจำวันที่ 29 ต.ค. 63

  1. Cosmoball – 0.31 ล้านบาท
  2. หลวงพี่กะอีปอบ – 0.20 (6.27) ล้านบาท
  3. The Craft Legacy – 0.17 ล้านบาท
  4. Impetigore – 0.15 ล้านบาท
  5. Pinocchio – 0.13 (3.00) ล้านบาท
  6. In the Mood for Love – 0.08 ล้านบาท
  7. เฮ้ย! ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ – 0.07 (7.89) ล้านบาท
  8. Honest Theft – 0.07 (6.70) ล้านบาท
  9. Relic – 0.06 (1.55) ล้านบาท
  10. Fate/Stay Night: Heaven’s Feel III – 0.04 (1.86) ล้านบาท

Box Office Report : รายได้หนังประจำสัปดาห์ 22-28 ต.ค. 63

หนังที่ทำเงินสูงสุดประจำสัปดาห์ คือ ‘หลวงพี่กะอีปอบ’ งานล่าสุดของ เฉลิม วงค์พิมพ์ ผกก. ‘7 ประจัญบาน’ โดยทำเงินทั้งสัปดาห์ไปที่ 6 ล้านบาท

รายได้หนังประจำสัปดาห์ 22-28 ต.ค. 63

  1. หลวงพี่กะอีปอบ – 6.07 ล้านบาท
  2. Pinocchio – 2.87 ล้านบาท
  3. Fate/Stay Night: Heaven’s Feel III – 1.82 ล้านบาท
  4. เฮ้ย! ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ – 1.75 (7.82) ล้านบาท
  5. Honest Theft – 1.68 (6.64) ล้านบาท
  6. Relic – 1.49 ล้านบาท
  7. Greenland – 0.49 (19.85) ล้านบาท
  8. Dragon Rider – 0.39 (1.80) ล้านบาท
  9. The Eight Hundred – 0.29 (3.29) ล้านบาท
  10. Tenet – 0.15 (58.88) ล้านบาท

Impetigore หนังอินโดฯ และระบบอาวุโสที่ต้องสยบยอม

หากสิ่งที่ทำให้ Impetigore หนังสยองอินโดนีเซียประสบความสำเร็จในเทศกาลหนังซันแดนซ์ ไม่ใช่เพียงวัฒนธรรมอันน่าตื่นตะลึง แต่มันคือ ‘ความกลัว’ ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของ โจโก้ อันวาร์ มาตั้งแต่เด็ก…คงไม่ต่างกับเรานัก ที่มักจะถูกหลอกตั้งแต่เด็กให้กลัวกับบางสิ่งบางอย่างเพื่อสยบยอมต่ออำนาจที่มองไม่เห็น

อันวาร์คือกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนวงการหนังอินโดนีเซียอยู่ในขณะนี้ เพราะเขาผลิตผลงานอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2019-2020 เขามีหนังทำเงินถล่มทลายออกมาถึง 2 เรื่อง คือหนังยอดมนุษย์ Gundala และหนังสยอง Impetigore ซึ่งทำสถิติขายตั๋วไปเรื่องละ 1.5 ล้านใบ 

Impetigore เล่าเรื่องพิธีกรรม ความเชื่อ และวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่าง ‘วายัง’ (หนังตะลุงบนเกาะชวา) ผ่านชีวิตของสองสาวที่กลับบ้านเกิดเพื่อรับมรดก แต่ที่นั่นเธอกลับตกเป็นเหยื่อของพิธีกรรมท้องถิ่น ที่อาจทำให้พวกเธอไม่สามารถกลับออกมาได้อีก …เรื่องแบบนี้มีความเฉพาะตัวเสียจนน่าจะไกลตัวผู้ชมในซันแดนซ์ 

“ผมว่าการทำหนังท้องถิ่น เพื่อคนดูท้องถิ่น แล้วได้รับความสนใจจากคนดูนอกประเทศเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ซึ่ง Impetigore เป็นเรื่องเฉพาะของชาวชวา เกี่ยวกับกลุ่มคนที่เคร่งศีลธรรมและมีกฏระเบียบที่เข้มงวด ในสังคมแบบนี้เด็กจะถูกห้ามตั้งคำถาม ผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่แบบไม่มีเงื่อนไข เพราะงี้ผมถึงเลือกครูของการแสดงวายังมาเป็นภาพสะท้อนของสิ่งที่คนในหมู่บ้านเทิดทูน พวกเขาห้ามตั้งคำถาม ห้ามแม้กระทั่งจะจ้องตาเขาเพราะมันเป็นการลบหลู่ท่าน” 

Impetigore เกิดจากการผสมคำของ Impetigo หรือโรคแผลพุพอง กับคำว่า gore ที่หมายถึงความรุนแรง สาเหตุที่อันวาร์เลือกโรคผิวหนังมาสื่อถึงความสยดสยองของหนัง ก็เพราะเขาเติบโตมากับการถูกหลอกเรื่องวายังมาตั้งแต่เด็ก 

วายัง (wayang)

“คนอินโดฯ จะคุ้นเคยดีกับวายัง ทุกคนต้องเคยได้ดูหรือเคยเล่นมาแล้ว ตอนเด็กๆ ผมถูกพี่ชายหลอกว่าวายังทำมาจากหนังมนุษย์ ผมเลยกลัวมันมาก จนโตมาถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่แก้อาการกลัวนั้นไม่หายแล้ว…แต่แรงบันดาลใจที่แท้จริงของหนังมาจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่มีการเลิกจ้างพนักงานเก็บค่าผ่านทางแล้วแทนด้วยเครื่องเก็บเงินอัตโนมัติ ผมเลยอยากเล่าเรื่องของคนที่ต้องสูญเสียอาชีพประจำของตัวเองและต้องหารายได้จากทางอื่น พอเอามารวมกับเรื่องวายังหนังมนุษย์ที่ผมกลัวมากๆ นั้น มันก็เลยเป็นเรื่องความกลัวของคนกลุ่มหนึ่งที่จะต้องสูญเสียความมั่นคงในชีวิตไป” 

 Impetigore Village

หนึ่งในความเฮี้ยนที่ปรากฏใน Impetigore คือบรรยากาศของหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญ ซึ่งอันวาร์เลือกหมู่บ้านโบราณแห่งหนึ่งในชวาที่ตัดขาดการสื่อสารกับโลกภายนอกแทบจะสิ้นเชิงแห่งหนึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำ “เราหาหมู่บ้านนี้มาเกือบสามเดือน หมู่บ้านแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยป่าทึบ ถูกสร้างขึ้นโดยชาวดัตช์ในช่วงที่พวกเขายึดครองอินโดนีเซียช่วงต้นปี 1900 โดยบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ถูกทิ้งร้างไปเพราะพื้นที่เพาะปลูกใช้งานไม่ได้แล้ว แต่ผู้คนยังคงอาศัยอยู่กัน แม้ว่าจะตัดขาดจากโลกภายนอกก็ตาม ดังนั้นเมื่อเราถ่ายทำที่นั่นเราต้องสร้างทางเพื่อขนย้ายอุปกรณ์ ต้องสร้างห้องน้ำสำหรับนักแสดงและทีมงานด้วย ถึงหมู่บ้านนี้จะเงียบสงบ แต่มันทำให้เราเห็นว่าสังคมในอินโดนีเซียคับแคบขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะขบวนการอิสลามที่เคร่งครัด รวมถึงการไม่ยอมรับ LGBT ด้วย อย่างไรก็ตามเนื่องจากมันถูกตัดขาดจากชีวิตสมัยใหม่ชาวบ้านจึงไม่ถูกแทรกแซงจากสังคมภายนอกนัก บางคนนับถือศาสนาอิสลาม แต่เรายังพบคู่รักเลสเบี้ยนและเกย์โดยไม่มีปัญหา”

อันวาร์เริ่มต้นจากการเป็นนักข่าวที่ จาการ์ตาโพสต์ ก่อนจะเริ่มเขียนวิจารณ์หนังและได้เขียนบทหนังในที่สุด ดังนั้นเขาจึงเป็นที่ดูหนังเยอะและหูตากว้างไกลมากพอจะไม่ยึดติดการทำหนังประเภทใดประเภทหนึ่ง ขณะเดียวกันหนังทุกเรื่องที่เขาทำก็ยังบอกเล่ามุมมองของเขาที่มีต่อความไม่ชอบมาพากลในสังคมด้วย 

“ผมมีเรื่องที่อยากจะบอกอยู่ในหนังทุกเรื่องของผมโดยที่พยายามจะไม่ตัดสินอะไรลงไป หนังแต่ละเรื่องเกิดจากการโต้กลับต่อสถานการณ์บ้านเมือง ณ ตอนนั้น ผมเป็นพลเมืองคนหนึ่ง ฉะนั้นผมไม่ควรมองข้ามมัน

“การเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ คือผมต้องพูดมันออกมา พูดในทางที่มีแนวโน้มจะสร้างการเปลี่ยนแปลง หากใครทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ก็ควรจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ ไม่ใช่หลับหูหลับตาสนับสนุนใครโดยไม่สนใจเหตุและผลอะไรทั้งสิ้น” 

อันวาร์ผู้มาพร้อม ‘ยุคทองของหนังอินโดนีเซีย’ 

นอกจากหนังสองเรื่องล่าสุดของอันวาร์จะขายตั๋วได้ 1.5 ล้านใบ หนังสยองเรื่องก่อนหน้านั้นของเขาอย่าง Satan’s Slave ยังสร้างสถิติขายตั๋วได้สูงสุดถึง 4.2 ล้านใบ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ยุคทองของหนังอินโดนีเซีย’ ที่วงการหนังบ้านเขากำลังตื่นเต้นยินดีนี้ มีอันวาร์เป็นท่อน้ำเลี้ยงคนสำคัญ ทำไมถึงเรียกได้ว่ายุคทอง อันวาร์ขยายความว่า 

“ก่อนเกิดโควิด เราอยู่ในยุคทองของหนังอินโดนีเซีย ในแง่ของธุรกิจเราขายตั๋วหนังอินโดฯ ได้ 51 ล้านใบในปี 2018-2019 ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2017 เราขายตั๋วได้ 37 ล้านใบ นอกจากจะเป็นสัญาณที่ดีมากแล้วมันยังบ่งบอกว่าคนอินโดฯ มีความเชื่อมั่นในหนังท้องถิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าย้อนไปยุค 90 ยังไม่ค่อยมีคนดูหนังอินโดฯ ด้วยซ้ำ พอมาต้นยุค 2000 สถานการณ์ก็ลูกผีลูกคน เพราะปัญหาคือเราขาดแคลนคนทำหนังที่มีทักษะมากพอ จนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หนังอินโดฯ ก็ได้รับความวางใจจากคนในประเทศและระดับสากลมากขึ้น ทั้งจากเทศกาลและในเชิงพาณิชย์ การขาดแคลนบุคลากรจึงเป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไข โรงเรียนสอนทำหนังเราก็มีไม่เพียงพอ ประชากร 250 ล้านคน เรามีโรงเรียนหนังแค่ 4 แห่งในจาการ์ตา กับอีก 2 แห่งรอบนอก ถ้าเราแก้ปัญหาจุดนี้ได้หนังอินโดฯ จะประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดดเลย” 

เรื่องจริงสุดเดือดของคดีประวัติศาสตร์ “Chicago 7”

“คุณแอ็บบี้ ฮอฟฟ์แมน คุณดูหมิ่นรัฐบาลของคุณจริงหรือไม่”
“มันเทียบไม่ได้หรอกครับกับการดูหมิ่นที่รัฐบาลของผมมีให้กับผม!”

ในผลงานเขียนบทควบกำกับเรื่องล่าสุดนี้ของ แอรอน ซอร์คิน (แห่งซีรีส์ The West Wing และหนัง The Social Network) อัดแน่นไปด้วยบทพูดเดือดๆ ตามสไตล์ถนัดของเขา มันเดือดเสียจนหลายคนอาจนึกสงสัยว่าเขาเติมสีใส่ไข่จากเรื่องจริงเข้าไปเองมากเกินไปหรือเปล่า …แต่เปล่าเลย! เพราะเรื่องจริงของ “คดีชิคาโก 7” ก็เดือดดาลไม่น้อยไปกว่า หรืออาจจะมากกว่าภาพจำลองของซอร์คินด้วยซ้ำ!

ขบวนประท้วงต่อต้านสงครามเวียดนามบนถนนมิชิแกน ในช่วงสัปดาห์ประชุมใหญ่พรรคเดโมแครต ดำเนินไปอย่างสงบและดึงดูดให้มีผู้ประท้วงรุ่นเยาว์จากทั่วประเทศเดินทางมาร่วม

The Trial of the Chicago 7 สร้างจากเรื่องจริงของแกนนำผู้จัดการเดินขบวนประท้วงสงครามเวียดนาม ที่นำพามวลชนร่วมหมื่นคนไปปักหลักในชิคาโก ระหว่างงานประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตที่ International Amphitheatre เมื่อปลายเดือนสิงหาคมปี 1968 (เรียกย่อๆ ว่า Chicago DNC เป็นการประชุมเพื่อคัดเลือกตัวแทนพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน)

แต่การชุมนุมที่เริ่มต้นขึ้นอย่างสงบเริ่มถูกขัดขวาง เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมพยายามยื่นขออนุญาตจากเมืองชิคาโกให้เคลื่อนตัวเข้าใกล้สถานที่ประชุม ทว่า ริชาร์ด เดลีย์ นายกเทศมนตรีชิคาโกปฏิเสธทุกคำขอ ซ้ำยังประกาศเคอร์ฟิวในบริเวณใกล้เคียง ตามด้วยการสั่งการให้ตำรวจ 12,000 นาย, กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิแห่งอิลลินอยส์ 5,600 นาย และทหารอีก 5,000 นาย เข้าสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตาและกระบองในวันที่ 28 สิงหาคม 1968 (โดยผู้ชุมนุมตอบโต้ด้วยก้อนหินและขวด) ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บหลายร้อยและถูกจับกุมถึง 668 คน นำมาสู่คดีบนชั้นศาลเมื่อกระทรวงยุติธรรมของรัฐบาลประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ตั้งข้อหาจำเลยจำนวน 8 คนว่า สมคบคิดกันก่ออาชญากรรม ด้วยการเดินทางข้ามเส้นแบ่งเขตรัฐเพื่อจงใจปลุกระดมให้เกิดการจลาจล

การพิจารณาคดีเริ่มต้นในวันที่ 24 กันยายน 1969 หรือกว่าหนึ่งปีถัดมา และกินเวลายาวนานกว่า 5 เดือนโดยเต็มไปด้วยเรื่องบ้าคลั่ง ภายในศาลนั้นผู้พิพากษาใช้อคติแทรกแซงครอบงำคดีอย่างที่ไม่เคยปรากฏ ขณะที่ภายนอกศาลก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนซึ่งร่วมเปล่งเสียงตะโกนประโยคที่ว่า “ทั้งโลกกำลังเฝ้าดู!” (“The whole world is watching!”) อันมีนัยถึงการจับตามองความพยายามของรัฐบาลที่กำลังต้องการเล่นงานฝ่ายซ้ายและกำจัดขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามเวียดนาม

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้สะท้อนความแตกแยกลึกซึ้งในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งกำลังตกอยู่ในภาวะสับสน จากทั้งเหตุการณ์ลอบสังหาร มาร์ติน ลูเธอร์ คิง และวุฒิสมาชิก โรเบิร์ต เคนเนดี, สงครามเวียดนามที่กำลังส่อเค้าเลวร้าย, ความว้าวุ่นทางการเมืองหลังจากปธน. ลินดอน จอห์นสัน ประกาศจะไม่ลงสมัครสมัยที่สอง (ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน) และความชัดแย้งภายในของพรรคเดโมแครตเองเมื่อสมาชิกจำนวนหนึ่งสนับสนุนให้รองปธน. ฮูเบิร์ต ฮัมฟรีย์ เป็นตัวแทนพรรคลงสมัครปธน. แต่นักศึกษากับปัญญาชนฝ่ายซ้ายซึ่งต่อต้านสงครามต้องการหนุนวุฒิสมาชิกหัวก้าวหน้าอย่าง ยูจีน แม็กคาร์ธี มากกว่า และตัดสินใจใช้การเดินขบวนประท้วงเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุจุดประสงค์ดังกล่าว

การพิจารณาคดีเริ่มต้นในวันที่ 24 กันยายน 1969 หรือกว่าหนึ่งปีถัดมา และกินเวลายาวนานกว่า 5 เดือนโดยเต็มไปด้วยเรื่องบ้าคลั่ง ภายในศาลนั้นผู้พิพากษาใช้อคติแทรกแซงครอบงำคดีอย่างที่ไม่เคยปรากฏ ขณะที่ภายนอกศาลก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนซึ่งร่วมเปล่งเสียงตะโกนประโยคที่ว่า “ทั้งโลกกำลังเฝ้าดู!”

นอกจากบริบททางสังคมที่เข้มข้นแล้ว คดีนี้ยังมีองค์ประกอบดุเดือดอีกหลายประการที่ทำให้มันกลายเป็นบทบันทึกทางประวัติศาสตร์หน้าสำคัญ ได้แก่

1. พวกเขาเป็นเหยื่อกลุ่มแรกของ “กฎหมายต่อต้านการจลาจลฉบับแรกของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ”

สมาชิก “ชิคาโก 7” และทนายของพวกเขาขณะชูกำปั้นพร้อมกันหน้าศาล (จากซ้ายไปขวา) ทนาย เลียวเนิร์ด ไวน์กลาสส์, เรนนี เดวิส, แอ็บบี้ ฮอฟฟ์แมน, ลี วายเนอร์, เดวิด เดลลิงเจอร์, จอห์น ฟรอยน์ส, เจอร์รี รูบิน, ทอม เฮย์เดน, ทนาย วิลเลียม คันสต์เลอร์

ก่อนหน้านั้น กฎหมายต่อต้านการจลาจลเป็นกฎหมายที่ใช้กันแค่ในระดับท้องถิ่นหรือรัฐ แต่ในปี 1968 มีการผ่านกฎหมาย “1968 Civil Rights Act” ซึ่งสั่งห้ามมิให้มี “การเดินทางข้ามรัฐเพื่อก่อการจลาจล” และเมื่อเกิดความวุ่นวายขึ้นในการประชุม Chicago DNC นายกเทศมนตรีชิคาโกก็เรียกร้องให้รัฐบาลใช้กฎหมายนี้เข้ามาจัดการผู้ประท้วงทันที แต่ในตอนแรก แรมเซย์ คลาร์ค (ในหนังรับบทโดย ไมเคิล คีตัน) รมต.ยุติธรรมของรัฐบาลปธน. ลินดอน จอห์นสัน (ซึ่งมาจากพรรคเดโมแครต) ยังไม่เห็นด้วยเพราะ “เราไม่พบหลักฐานที่จะเอาผิดผู้ประท้วงได้ แต่เราพบหลักฐานที่ชี้ว่าตำรวจละเมิดสิทธิพลเมืองของผู้ประท้วงเสียด้วยซ้ำ”

อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ล่วงเลยมากว่าหนึ่งปี การเมืองก็เกิดการเปลี่ยนขั้ว เมื่อ ริชาร์ด นิกสัน จากพรรครีพับลิกันขึ้นเป็นปธน. ต่อจากจอห์นสัน แล้วแต่งตั้ง จอห์น มิตเชลล์ เป็นรมต.ยุติธรรมคนใหม่ (ต่อมาเขาคือหนึ่งในผู้ที่ถูกตัดสินรับโทษจากคดีวอเตอร์เกต) และด้วยคำสั่งของทั้งคู่นี่เองที่กฎหมายดังกล่าวถูกนำมาใช้งานจนได้ โดยมีผู้ประท้วงต่อต้านสงครามที่ชิคาโก 8 คนตกเป็นเหยื่อกลุ่มแรก


2. จำเลยผู้มากสีสัน และศาลที่กลายเป็นโรงละครแห่งความโกลาหล

แม้จำเลยทั้ง 8 คนจะยืนหยัดบนจุดยืนเดียวกันคือการต่อต้านสงครามเวียดนาม แต่ตัวตนของพวกเขาไม่ได้กลืนเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ละคนแตกต่างกันทั้งสไตล์, กลยุทธ์ และวาระการต่อสู้

แอ็บบี้ ฮอฟฟ์แมน (ในหนังรับบทโดย ซาชา บารอน โคเฮน) กับ เจอร์รี รูบิน (เจเรมี สตรอง) สองแอ็กติวิสต์กลุ่ม Youth International Party (ซึ่งเรียกสมาชิกกลุ่มว่า ยิปปี้) ที่นำพาท่วงท่ายียวนกวนโมโหมาใช้เป็นอาวุธต่อต้านอำนาจรัฐ มีคำกล่าวว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 5 เดือนของการขึ้นศาลนั้น พวกเขาได้เปลี่ยนศาลให้กลายเป็น “โรงละครการเมือง” โดยรูบินให้สัมภาษณ์ว่า “กลยุทธ์ของเราคือทำให้ผู้พิพากษาหัวใจวาย แต่สุดท้ายเราทำให้ทั้งระบบศาลหัวใจวายไปเลย ซึ่งยิ่งดีเข้าไปใหญ่”

ทอม เฮย์เดน (เอ็ดดี เรดเมย์น) กับ เรนนี เดวิส (อเล็กซ์ ชาร์ป) สองผู้ก่อตั้งกลุ่มนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตย (Students for a Democratic Society – SDS) และเป็นผู้รวบรวมองค์กรจากสถาบันการศึกษากว่า 150 องค์กรเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบและยุติสงคราม เฮย์เดนเป็นคนที่เชื่อมั่นในการต่อสู้ด้วยระบบและอย่างสันติ เขาจึงมักขัดแย้งทางความคิดกับฮอฟฟ์แมน

เดวิด เดลลิงเจอร์ (จอห์น คาร์รอลล์ ลินช์) ผู้จัดการกลุ่ม Mobilization Committee to End the War in Vietnam (MOBE) ซึ่งก่อตั้งขึ้นก่อนการประท้วงใหญ่หนึ่งปี

จอห์น ฟรอยน์ส กับ ลี วายเนอร์ (แดนนี ฟลาเฮอร์ตี และ โนห์ รอบบินส์) ทั้งคู่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยกับการวางแผนการประท้วง แต่เชื่อว่าถูกรวบตัวเพราะรัฐต้องการส่งสัญญาณเตือนไปยังเหล่านักวิชาการที่ทำกิจกรรมต่อต้านสงครามคนอื่นๆ

บ็อบบี้ ซีล (ยาห์ยา อับดุล-มาทีน ที่สอง) ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มแบล็คแพนเธอร์ (Black Panther) ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นกลุ่มที่นิยมวิธีการแบบทหารมากกว่า

วิลเลียม คันสต์เลอร์ (มาร์ค ไรแลนซ์) และ เลียวเนิร์ด ไวน์กลาสส์ (เบน เชงก์แมน) สองทนายความเพื่อสิทธิพลเมืองที่มาว่าความให้จำเลย คันต์สเลอร์คือผู้ร่วมวางกลยุทธ์ให้ฮอฟฟ์แมนกับรูบินป่วนการพิจารณาคดี ต่อมาเขาถูกตัดสินจำคุก 4 ปีข้อหาหมิ่นศาล ซึ่งหนึ่งในนั้นเกิดจากตอนที่เขาเรียกศาลนี้ว่า “ห้องทรมานนักโทษยุคกลาง”


3. คนดังหลากวงการประกาศร่วมต่อสู้อย่างเปิดเผย

3 เดือนก่อนคดีเริ่มต้น กลุ่มนักคิดนักเขียน 19 คนได้ส่งจดหมายถึงกองบก. ของ The New York Review of Books เพื่อทักท้วงว่า กฎหมายต่อต้านการจลาจลที่รัฐใช้นี้อาจก่อผลเสียหายร้ายแรง โดยเฉพาะต่อบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ของรัฐธรรมนูญ (First Amendment) ที่รับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน เพราะมันจะเป็นการบิดเบือนด้วยการอ้างว่า “กลุ่มประท้วงทางการเมือง คือกลุ่มก่อความรุนแรง” อันเป็นจุดเริ่มต้นของ “การเปลี่ยนอเมริกาให้กลายเป็นรัฐตำรวจ”

จดหมายฉบับนี้ลงนามโดยนักคิดสำคัญๆ อย่าง โนม ชอมสกี, ซูซาน ซอนแทก, เบนจามิน สปอค รวมถึงนักร้อง จูดี้ คอลลินส์ กับนักเขียน นอร์แมน เมลเลอร์ (คอลลินส์กับเมเลอร์ไปให้การเป็นพยานในศาลด้วย โดยคอลลินส์ร้องเพลงแต่ถูกสั่งให้หยุด ส่วนเมเลอร์ใช้บทกวีบรรยายความโหดร้ายของตำรวจ) และเนื่องจากจำเลยทั้งแปดเรียกขานตัวเองอย่างประชดประชันว่า “The Conspiracy” (กลุ่มสมคบคิด) นักคิดทั้ง 19 คนจึงตั้งชื่อกลุ่มตนบ้างว่า “Committee to Defend the Conspiracy” (คณะกรรมการปกป้องการสมคบคิด) โดยมีการเปิดระดมทุนจากประชาชนเพื่อใช้ในการสู้คดีด้วย

นอกจากนั้น ในระหว่างการพิจารณาคดียังมีการเรียกตัวพยานกว่า 100 คนมาช่วยให้การว่า การประท้วงต่อต้านสงครามครั้งนี้เป็นไปโดยสงบและตำรวจต่างหากที่เป็นฝ่ายใช้ความรุนแรง ในจำนวนนี้มีไอค่อนคนดังยุค 1960 อย่าง ดิก เกรกอรี นักแสดงตลก, วิลเลียม สไตรอน นักเขียน, อาร์โล กูธรี นักร้อง และ โจ แม็กดอนัลด์ นักร้องคันทรี่ที่เพิ่งดังจากเพลง I-Feel-Like-I’m-Fixin’-to-Die Rag ที่เขาร้องในวู้ดสต็อกก่อนคดีเริ่มต้นเพียงหนึ่งเดือน เขาพยายามจะร้องเพลงต่อต้านสงครามในศาลด้วย แต่ผู้พิพากษาไม่อนุญาต เขาจึงใช้วิธีท่องเนื้อเพลงให้ทุกคนฟังแทน

อัลเลน กินส์เบิร์ก ขณะเข้าร่วมงานประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตที่ลินคอล์นพาร์ค ชิคาโก เดือนสิงหาคมปี 1968

แต่คนที่มาเป็นพยานได้แซ่บที่สุดสำหรับงานนี้ หนีไม่พ้น อัลเลน กินส์เบิร์ก กวีกลุ่มบีท ซึ่งตอบคำถามด้วยการสวดฮเรกฤษณะใส่ผู้พิพากษา เรียกเสียงฮาครืนจากคนดูทั้งห้อง และแม้ผู้พิพากษา จูเลียส ฮอฟฟ์แมน (ไม่ได้เป็นญาติกับจำเลย แอ็บบี้ ฮอฟฟ์แมน) จะโต้ตอบว่า “ภาษาของศาลอเมริกันคือภาษาอังกฤษ” แต่เขาก็ยังท่องบทสวดเดิมซ้ำอีกสามวันรวด แถมด้วยการสวดคำว่า “โอมมมมมม…” เพื่อสงบสติอารมณ์ของฮอฟฟ์แมนกับทนายคันสต์เลอร์ อย่างไรก็ตาม ขณะที่คนดูสนุกสนานกับความกวนเหล่านี้ ตัวกินส์เบิร์กเองก็ถูกบั่นทอนด้วยคำถามของอัยการที่พยายามขุดเรื่องเพศสภาพของเขามาเล่นงานด้วยหวังให้อับอาย และยังมีการพูดเป็นนัยว่าเขามีเซ็กซ์กับสองจำเลยคือ แอ็บบี้ ฮอฟฟ์แมน และ เจอร์รี รูบิน (ซึ่งไม่มีหลักฐานพิสูจน์) ด้วย


4. ผู้พิพากษาสั่งล่ามจำเลย

หนึ่งในเหตุการณ์ชวนช็อคที่สุดของการพิจารณาคดีนี้และของประวัติศาสตร์ศาลอเมริกัน เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 1969 หลังจาก บ็อบบี้ ซีล แห่งกลุ่มแบล็คแพนเธอร์ (ซึ่งถูกจับกุมมาเป็นหนึ่งใน 8 จำเลยด้วย ทั้งที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเดินขบวนเลย เขาแค่มาเสริมในฐานะผู้ปราศรัยบนเวทีเท่านั้น) ขอเลื่อนการพิจารณาคดีเนื่องจากทนายของเขาเข้ารับการผ่าตัด แต่แล้วคนทั้งศาลก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อ จูเลียส ฮอฟฟ์แมน ผู้พิพากษาวัย 74 ปีที่ขึ้นชื่อด้านความหัวร้อน (ในหนังรับบทโดย แฟรงค์ แลนเจลลา) ปฏิเสธคำขอนี้และแต่งตั้งทนายใหม่ให้ ซีลไม่ยอมและยืนยันสิทธิที่จะเป็นทนายให้ตัวเอง แต่ฮอฟฟ์แมนก็ปฏิเสธอีกซึ่งทำให้ซีลโกรธสุดขีดจึงด่าเขาว่า “ไอ้หมูเหยียดผิว” ส่งผลให้ผู้พิพากษาแค้นจัด สั่งให้เจ้าหน้าที่จับตัวซีลมัดปาก ใส่กุญแจมือแล้วล่ามตัวติดกับเก้าอี้ทันที โดยทำแบบนี้ตลอดการพิจารณาคดีถึง 3 วัน

ในยุคนั้นยังไม่อนุญาตให้ใช้กล้องถ่ายรูปในศาล แต่ภาพสเก็ตช์ชายผิวดำถูกล่ามก็ถูกส่งต่อไปยังสื่อวงกว้าง สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงตุลากรอย่างหนัก และทำให้คดีได้รับความสนใจจากสังคมท่วมท้น (รวมทั้งเป็นที่มาของเพลง “Chicago” ของ เกรแฮม Nash ในอีก 1 ปีครึ่งต่อมา)

ไม่จบแค่นี้ สัปดาห์ถัดมาฮอฟฟ์แมนยังพิพากษาให้ซีลติดคุก 4 ปีข้อหาหมิ่นศาล และประกาศแยกซีลออกไปเป็นคดีสมคบคิดต่างหาก (จึงทำให้ “คดีชิคาโก 8” เหลือเพียง “ชิคาโก 7”) อย่างไรก็ตาม หลังจากคณะลูกขุนไม่สามารถเอาผิดกับกลุ่มชิคาโก 7 ในข้อหาสมคบคิดได้ อัยการรัฐชิคาโกจึงมีความเห็นไปยังฮอฟฟ์แมนให้ถอนคดีของซีลออกในที่สุด


5. ไม่ใช่แค่ขัดแย้งทางคดี แต่มันคือ “การปะทะทางวัฒนธรรรม”

แอ็บบี้ ฮอฟฟ์แมน กับ เจอร์รี รูบิน สวมชุดคลุมผู้พิพากษาโชว์ออกสื่อ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ปี 1970

ฮอฟฟ์แมนกับรูบินเป็นสองจำเลยที่สร้างสีสันและความแสบสันแก่การพิจารณาคดีมากที่สุด เพราะใช้กลเม็ดมากมายมาดึงความสนใจจากสื่อมวลชนและสังคม ไม่ว่าจะเป็นการมาปรากฏตัวในศาลด้วยการสวมชุดคลุมของผู้พิพากษา เพื่อประท้วงที่ผู้พิพากษาฮอฟฟ์แมนไม่ยอมให้จำเลยเดลลิงเจอร์ได้ประกันตัว และเมื่อผู้พิพากษาสั่งให้ทั้งคู่ถอดชุดคลุมออก พวกเขาก็ปล่อยมันทิ้งลงพื้น เอาเท้าขยี้ แล้วเผยให้เห็นว่าใต้ชุดคลุมนั่นพวกเขาสวมเครื่องแบบตำรวจชิคาโกอยู่ด้วย!

นอกจากนั้น ฮอฟฟ์แมนยังเคยหอบเอาธงของแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติเวียดนามใต้ (เวียดกง) มากางกลางศาล, กวนโมโหด้วยการเรียกผู้พิพากษา จูเลียส ฮอฟฟ์แมนว่า “จูลี่”, ส่งจูบให้, สบถคำหยาบใส่ในภาษายิดดิช (ทั้งเขาและผู้พิพากษาเป็นคนยิว) โดยให้เหตุผลว่า วิธีการเหล่านี้ไม่แค่ช่วยให้สื่อสนใจพวกเขามากขึ้น แต่มันยังเป็นการตอบโต้ด้วยการหมิ่นศาลกลับ หลังจากที่ศาลดูหมิ่นย่ำยีพวกเขาก่อน

แล้วพฤติกรรมอะไรบ้างของผู้พิพากษาฮอฟฟ์แมนที่ถูกมองว่าไม่เป็นธรรมต่อจำเลย? ตัวอย่างก็เช่น

– ตั้งแต่วันแรกของการพิจารณาคดี เขาก็อนุมัติหมายจับทนาย 4 คนของฝ่ายจำเลย ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นทำงานตั้งแต่ก่อนคดีจะเริ่ม และเมื่อคดีในชั้นศาลเริ่มก็ไม่ได้เกี่ยวข้องแล้ว แต่คำสั่งนี้ถูกคนในวงการตุลาการวิจารณ์อย่างหนัก เขาจึงยอมถอนหมายไป

– ระหว่างการพิจารณาคดี เขาไม่ยอมให้คณะลูกขุนได้เห็นหลักฐานสำคัญหลายๆ ชิ้น (ที่เป็นประโยชน์ต่อจำเลย) หนึ่งในนั้นคือเอกสารแผนการประท้วงที่ ทอม เฮย์เดน เขียนไว้ชัดเจนว่า “การประท้วงของเราจะต้องไม่ใช้ความรุนแรง”

– เขาแสดงท่าทีดูหมิ่นฝ่ายจำเลยครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น ว่ากล่าวทนาย วิลเลียม คันสต์เลอร์ ที่เอียงตัวพิงโต๊ะ, เรียกชื่อทนาย เลียวเนิร์ด ไวน์กลาสส์ ผิดๆ ถูกๆ เป็นไฟน์กลาสส์บ้าง ไวน์รัสส์บ้าง และหนักสุดคือพูดว่า “คุณจะชื่ออะไรก็ช่าง”, สั่งลงโทษจำคุก แอ็บบี้ ฮอฟฟ์แมน เพิ่มอีก 7 วันด้วยข้อหา “หัวเราะในศาล” ฯลฯ โดยรวมความแล้วเขาสั่งลงโทษจำเลยด้วยข้อหาหมิ่นศาลทั้งหมดถึง 175 ครั้ง


6. สารพัดการประท้วงศาลของเหล่าสามัญชน

โปสเตอร์ประท้วงการจับกุมและดำเนินคดี “ชิคาโก 7”

ในฉากไคลแม็กซ์ของหนัง The Trial of the Chicago 7 ผู้พิพากษาฮอฟฟ์แมนเสนอลดโทษให้ ทอม เฮย์เดน หากเขาแสดงความสำนึกผิด แต่นอกจากเฮย์เดนจะปฏิเสธแล้ว เขายังประท้วงด้วยการขานชื่อทหารนับพันคนที่เสียชีวิตในสงครามเวียดนาม ซึ่งเป็นฉากส่งท้ายหนังที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

ในเรื่องจริง เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นเช่นกัน แต่เกิดในวันแรกๆ ของคดีคือในวันที่ 15 ตุลาคม 1969 เมื่อคนอเมริกันทั่วประเทศร่วมรำลึก Vietnam Moratorium Day (วันยุติสงครามเวียดนาม) โดยในวันนั้น จำเลยพยายามนำธงชาติอเมริกันและธงเวียดนามใต้ออกมาคลี่ในศาล แต่ถูกผู้พิพากษาสั่งห้าม จากนั้นจำเลยได้พยายามอ่านออกเสียงชื่อทหารที่เสียชีวิต แต่ก็ถูกสั่งห้ามเช่นกัน

จากที่ว่ามาทั้งหมด เราจะเห็นได้ว่าการพิจารณาคดีนี้เต็มไปด้วยการประท้วงของเหล่าจำเลยผ่านวิธีต่างๆ แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือ แม้แต่ประชาชนที่เข้ามาชมการพิจารณาคดีก็ยังแสดงท่าทีต่อต้านศาลอย่างพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะด้วยการส่งเสียงหัวเราะ โห่ฮือไม่เห็นด้วย (เช่น ตอนที่ผู้พิพากษาไม่ยอมให้นำเค้กเข้ามาฉลองวันเกิดบ็อบบี้ ซีล) หรือตอนที่ผู้พิพากษาไล่คนดูทั้งหมดออกไปก่อนจะอ่านคำตัดสิน ก็มีคนตะโกนขึ้นว่า “พวกเขาจะเต้นรำฉลองบนหลุมศพของแก จูลี่! และบนหลุมศพทุกหลุมของไอ้พวกหมูทุกตัว!”


7. บทสรุปของความอยุติธรรมที่ทำให้คดีพลิก

จำเลยทั้ง 7 จัดแถลงข่าวหลังจากศาลอุทธรณ์ยอมให้ประกันตัว

หลังจากพิจารณาคดีอย่างยืดเยื้อเกือบ 5 เดือน ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1970 คณะลูกขุนก็ตัดสินให้จำเลยทั้ง 7 หลุดพ้นจากข้อหาสมคบคิด แต่ 5 คนในนั้นอันได้แก่ เดวิส, เดลลิงเจอร์, เฮย์เดิน, ฮอฟฟ์แมน, รูบิน ยังถูกตัดสินว่ามีความผิดข้อหาเดินทางข้ามรัฐเพื่อก่อการจลาจล ต้องโทษจำคุก 5 ปีและปรับคนละ 5,000 เหรียญ ขณะที่ฟรอยน์สกับไวเนอร์พ้นผิดทุกข้อหา (ซึ่งฟรอยน์สให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่า “ผมโกรธมาก ผมอยากเข้าไปอยู่กับเพื่อนๆ แต่ผมกลับเป็นแค่หนึ่งในสองคนที่ได้รับอิสรภาพ ผมร้องไห้ทันทีที่ได้ยินคำตัดสินนี้”) ไม่แค่นั้น จำเลยทั้ง 7 รวมถึงทนายของพวกเขายังถูกผู้พิพากษาฮอฟฟ์แมนสั่งให้รับโทษจำคุกในข้อหาหมิ่นศาล มีตั้งแต่ระยะเวลา 2 เดือนครึ่ง ไปจนถึง 4 ปีกับ 18 วัน อีกด้วย

หลังจากได้ยินคำตัดสิน เดลลิงเจอร์กล่าวต่อศาลว่า “โทษที่ผมได้รับนี้ยังน้อยนิดนัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนเวียดนาม, คนดำ และอาชญากรทั้งหลายที่ต้องเข้ารับโทษในคุกที่นี่” ส่วนผู้พิพากษาฮอฟฟ์แมนยังแสดงอาการเหยียดแคลนส่งท้าย ด้วยการสั่งให้ช่างตัดผมของเรือนจำคุ้กเคาน์ตีลงมือหั่นผมยาวๆ ของจำเลยทุกคนออกไม่ให้เกะกะสายตาน่าหงุดหงิดอีกต่อไป (ในการแถลงข่าวหลังจากนั้น แอ็บบี้ ฮอฟฟ์แมน ในสภาพถูกตัดผมสั้นยังถูกเจ้าหน้าที่พาตัวมาโชว์ด้วย)

อย่างไรก็ตาม สองปีต่อมาวงล้อแห่งความยุติธรรมก็หมุนเปลี่ยนทิศ ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 1972 ศาลอุทธรณ์ภาคเจ็ดแห่งสหรัฐอเมริกาได้กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้นทั้งหมด ด้วยเหตุผลว่า “ผู้พิพากษา จูเลียส ฮอฟฟ์แมน มีพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อจำเลย ใช้อคติส่วนตัวในการปฏิเสธไม่ให้มีการเลือกคณะลูกขุนที่ปราศจากอคติทางวัฒนธรรมและสีผิว” พร้อมๆ กับที่ข้อหาของบ็อบบี้ ซีลก็ถูกยกเลิกเช่นกัน และยังมีการสอบสวนในเวลาต่อมาซึ่งสรุปผลด้วยว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในการประท้วงปี 1968 นั้น แท้จริงแล้วตำรวจเป็นฝ่ายเริ่มก่อน


วันนี้ของจำเลยทั้ง 8

หลังมรสุมผ่านพ้น พวกเขาทั้งแปดคนยังคงทำงานแอ็กติวิสต์ต่อไป แต่มีเพียง 4 คนเท่านั้นที่มีอายุยืนยาวมาจนถึงปี 2019 เมื่อคดีนี้อายุครบ 50 ปี

เรนนี เดวิส : เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิ Foundation for a New Humanity ในโคโลราโด ทำงานด้านแนวคิดในการสร้างวิถีชีวิตแบบใหม่ ปัจจุบันอายุ 80 ปี

เดวิด เดลลิงเจอร์ : หนึ่งในนักจัดการประท้วงสงครามมือฉมังแห่งยุค 1960 เป็นผู้เขียนหนังสือ Yale to Jail: The Life Story of a Moral Dissenter เขาเสียชีวิตในปี 2004 ขณะอายุ 88

จอห์น ฟรอยส์ : ปัจจุบันอายุ 81 ปี เป็นศาสตราจารย์กิตติคุณที่ UCLA Fielding School of Public Health เชี่ยวชาญวิชาเคมี และเป็นผู้อำนวยการหน่วยงานบริหารจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย

ทอม เฮย์เดน : ผู้นำด้านการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองและการต่อต้านสงคราม เขาเข้าสู่การเมืองกระแสหลักและดำรงตำแหน่งในสภาแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียนาน 1 ทศวรรษ ตามด้วยตำแหน่งวุฒิสมาชิกแคลิฟอร์เนีย 8 ปี นอกจากนั้นยังเป็นอาจารย์สอนที่อ็อกซิเดนทัลคอลเลจและฮาร์วาร์ด, เป็นผู้เขียนหนังสือ 17 เล่ม, เป็นผู้อำนวยการศูนย์ Peace and Justice Resource Center ในลอสแองเจลิส เฮย์เดนแต่งงาน 3 ครั้ง แต่คนรักที่โด่งดังที่สุดก็คือ เจน ฟอนดา นักแสดงและแอ็กติวิสต์ที่เขาใช้ชีวิตคู่ด้วยนานถึง 17 ปี เฮย์เดนเสียชีวิตเมื่อปี 2016 ใน วัย 76

แอ็บบี้ ฮอฟฟ์แมน : หลังจากเก็บตัวเงียบหลายปี เขาปรากฏตัวอีกครั้งในปี 1980 ด้วยการไปเล็กเชอร์ตามมหาวิทยาลัย, เป็นนักแสดงตลก และเป็นผู้จัดกิจกรรมชุมชน ฮอฟฟ์แมนเสียชีวิตในปี 1989 ขณะอายุ 52 จากการใช้ยาบาร์บิทูเรต (อันเนื่องจากโรคไบโพลาร์) เกินขนาด

เจอร์รี รูบิน : ถูกกล่าวถึงในฐานะ “ฮิปปี้คนเดียวจากกลุ่มชิคาโก 8 ที่เปลี่ยนเป็นยัปปี้เต็มตัว” เพราะหันไปทำงานในวอลล์สตรีต รูบินเสียชีวิตในปี 1994 ขณะอายุ 56 จากอุบัติเหตุถูกรถชนใกล้บ้านที่แคลิฟอร์เนีย

บ็อบบี้ ซีล : เมื่อปี 1973 เขาลงเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีโอกแลนด์และได้คะแนนอันดับ 2 (จากผู้สมัคร 9 คน) ต่อมาเขาเบื่อการเมืองและหันไปเขียนหนังสือแทน มีผลงานอย่าง A Lonely Rage (1978) และหนังสือทำอาหาร Barbeque’n with Bobby (1987) ปัจจุบันเขาอายุ 83 อาศัยอยู่ที่เท็กซัส

ลี วายเนอร์ : หลังพ้นคดี เขาไปร่วมงานกับ Anti-Defamation League of B’nai B’rith (สมาคมต่อต้านการดูหมิ่น) ในนิวยอร์ก, รณรงค์ระดมทุนแก่งานวิจัยโรคเอดส์, เป็นรองประธาน AmeriCares Foundation และเพิ่งเขียนหนังสือ Conspiracy to Riot: The Life and Times of One of the Chicago 7 ปัจจุบันเขาอายุ 81 อาศัยอยู่ที่คอนเน็กติกัต


ชม The Trial of the Chicago 7 ได้ที่ Netflix

ทำความรู้จักหนัง ‘เหรียญทอง’ ออสการ์นักเรียน 2020

เป็นประจำทุกปีที่ สถาบันวิทยาการภาพยนตร์ -หรือผู้จัดรางวัลออสการ์- จะประกาศรางวัลออสการ์นักเรียน ที่ได้รับเลือกจากหนังนักเรียนทั่วโลก เพื่อมอบรางวัลแต่ละสาขารางวัล โดยแบ่งเป็นเหรียญทอง, เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง รวมทั้งสิ้น 18 เรื่อง ซึ่งความน่าสนใจคือในปีนี้ ผู้ได้รับรางวัลเป็นผู้หญิงมากถึง 15 เรื่องเลยทีเดียว และหลังจากนี้ทั้ง 18 เรื่องจะได้รับการพิจารณาในสายหนังสั้นออสการ์ปีหน้าโดยอัตโนมัติ แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักหนังเจ้าของ ‘เหรียญทอง’ ของแต่ละสาขากันก่อน 

สาขาหนังทดลอง : Simulacra โดย เคอร์รี ซิคอง เทียน จาก ม.เซาเธิร์นแคลิฟอร์เนีย 

เคอร์รี ซิคอง เทียน คือคนจีนที่มาเรียนอเมริกา โดยความมุ่งหวังของเธอคือการใช้งานศิลปะทั้งหลายถมช่องว่างทางวัฒนธรรม ดังนั้นงานของเธอจึงเป็นการผสมผสานสื่อหลายแขนง อย่างใน Simulacra เธอใช้ทั้งไลฟ์แอ็กชั่น โมชั่นแคปเจอร์ และการเต้นบูโตของญี่ปุ่น เพื่อนำเสนอวิถีพุทธผ่านหญิงสาวนางหนึ่ง ซึ่งหนังทดลองเรื่องนี้คือส่วนหนึ่งของงานศิลปะผสม Simulacra ของเธอเอง 

(ดูตัวอย่าง https://vimeo.com/412609758)  


สาขาแอนิเมชั่น (สถาบันการศึกษาในอเมริกา) : Ciervo โดย พิลาร์ การ์เซีย เฟอร์นันเดซเซซมา จาก วิทยาลัยการออกแบบโร้ดไอส์แลนด์ 

แอนิเมชั่นลายเส้นแสนน่ารักนี้ เล่าเรื่องของเด็กสาวที่เติบโตมากับความรุนแรงรอบตัว เธอพยายามประนีประนอมเพื่อหาทางอยู่กับมันให้ได้ จนในที่สุดเธอก็กลายเป็นปีศาจเสียเอง นี่เป็นงานของศิลปินนักวาดภาพประกอบ พิลาร์ การ์เซีย เฟอร์นันเดซเซซมา ผู้อพยพจากสเปนพร้อมครอบครัวของเธอ มาตั้งรกรากอยู่ที่นิวยอร์ค 

(ดูตัวอย่าง https://vimeo.com/411580602)


สาขาแอนิเมชั่น (สถาบันการศึกษานอกอเมริกา) : The Beauty โดย ปาสคาล เชลบี จาก Filmakademie Baden-Württemberg (เยอรมนี) 

นี่คือหนังที่สวยสดงดงาม จากแนวคิดที่ว่า “จะเกิดอะไรขึ้น หากขยะพลาสติกในทะเลกลายเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ?” แอนิเมชั่นเรื่องนี้นอกจากออกแบบสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลกับขยะพลาสติกแล้ว ยังเนรมิตงานสร้างให้ออกมาอย่างอลังการด้วย โดย ปาสคาล เชลบี เล่าว่ามันเกิดจากที่เขาเกิดและเติบโตในชุมชนท่ามกลางหุบเขาและธรรมชาติที่สมบูรณ์ เขาจึงจมูกไวต่อมลภาวะอย่างมาก 

(ดูตัวอย่าง https://vimeo.com/386072639


สาขาสารคดี (สถาบันการศึกษาในอเมริกา) : Unfinished Lives โดย เจิ้นอู๋คง จาก ม.เซาเธิร์นแคลิฟอร์เนีย

เจิ้นอู๋คง (Yucong Chen) นักศึกษาจากชิงเต่าที่มาเรียนใน ม.เซาเธิร์นแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเมื่อสี่ปีที่แล้ว เกิดเหตุสุดสลดเมื่อเพื่อนชาวจีน Xinran Ji ถูกทำร้ายหลังเลิกเรียนจนเสียชีวิต เธอจึงถ่ายทำสารคดีการสู้คดีของทนายชาวจีน โรส ไจ่ ซึ่งจนปัจจุบันคดีก็ยังไม่สิ้นสุด 

(ดูตัวอย่าง https://www.youtube.com/watch?v=XzckIMbZB9Q


สาขาสารคดี (สถาบันการศึกษานอกอเมริกา) : Dear Father โดย มาเร็น คลาเค็กก์ จาก Westerdals Institute of Film and Media-Kristiania University College (นอร์เวย์)

มาเร็น คลาเค็กก์ ติดตาม บีต สาวน้อยที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศมาตั้งแต่เด็ก กับการพยายามลบอดีตอันเลวร้ายออกจากความทรงจำ เพื่อก้าวไปข้างหน้า แต่แล้วทุกอย่างกลับยิ่งหลอกหลอนเธอหนักกว่าเดิม เมื่อวันที่เธอมีลูก 


สาขาหนังเล่าเรื่อง (สถาบันการศึกษาในอเมริกา) : Umama โดย ทาเลีย สมิธ จาก ม.นิวยอร์ค 

ทาเลีย สมิธ เป็นนักทำหนังจากแอฟริกาใต้แต่มาเรียนที่นิวยอร์ค ดังนั้นงานของเธอจึงพาเราไปรู้จักกับชีวิตแสนลำบากของชาวแอฟริกาใต้ทุกเรื่อง รวมถึงหนังธีสิส Umama ซึ่งพาเราไปรู้จักกับพี่เลี้ยงเด็กชาวแอฟริกาใต้ ที่มอบความรักเต็มเปี่ยมให้กับลูกสาวของนายจ้างเธอ ขณะเดียวกันก็ยังทำหน้าที่แม่ที่ดีกับลูกชายตัวเองด้วย กระทั่งลูกชายเธอหายไปในวันสำคัญ แต่ก็ต้องเก็บความโศกเศร้านั้นไว้เพื่อมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้กับนายจ้างต่อไป 

(ดูหนังตัวอย่าง https://www.youtube.com/watch?v=v7yKlIGb-Ck


สาขาหนังเล่าเรื่อง (สถาบันการศึกษานอกอเมริกา) : My Dear Corpses โดย เจอร์มัน โกลับ จาก Baltic Film & Media School, Tallinn University (เอสโตเนีย) 

หนังแง่งามเกี่ยวกับความตายที่เล่าเรื่องของ เออร์กิ เด็กหนุ่มสู้ชีวิตคนหนึ่ง เขาโดนไล่ออกจากบ้าน และยังต้องดูแลแม่เพียงลำพังด้วย เขาเลยไปทำงานเป็นคนขนย้ายศพ …ผู้กำกับ เจอร์มัน โกลับ เล่าถึงที่มาของการทำหนังเรื่องนี้ว่า “อย่างที่ทุกคนรู้กันว่า เราจะไม่สามารถสัมผัสความสุขได้เลย ถ้าไม่เคยผ่านความเศร้ามาก่อน หนังเรื่องนี้เลยทำขึ้นเพื่อย้ำเตือนว่า เราจะไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้หากไม่ระลึกถึงเสมอว่าความตายอยู่แค่เอื้อม” 

Gandhi ประวัติศาสตร์ของ(อินเดีย)เขา ปัจจุบันของเรา

มีผลงานหนังของ Sir Richard Attenborough อยู่กลุ่มหนึ่งที่ไม่ผูกติดกับตัวละครคนหนึ่งคนใด แต่ใช้ตัวเหตุการณ์มาทำหน้าที่เล่าเรื่อง อย่าง Oh!, What a Lovely War (1969, สงครามหฤหรรษ์) ก็เป็นบรรยากาศกว้างๆ ที่นู่นบ้าง, ที่นี่บ้างแบบตลกหกฉาก และยิ่งพอมาถึง A Bridge Too Far (1977, สะพานนรก) คราวนี้คนดูส่วนหนึ่งจะเหวออ พอๆ กับตอนดูTenet รอบแรกๆ ก็ท่านเซอร์เล่นได้ดาราแม่เหล็กของยุคนั้นมาเรียกคนดู คือพอเห็น Sean Connery, เห็น Michael Caine ก็รอว่าเมื่อไหร่จะออกอีก ขณะที่อีกส่วนหนึ่ง ก็เฝ้าคอยกันว่าเมื่อไหร่ Robert Redford จะมา (โน่นเลยครับ ราวๆ ขึ้นชั่วโมงที่สองไปแล้ว จากความยาวเกือบสามชั่วโมง) อย่าง Oh!, What .. น่ะได้อยู่แล้วเพราะเป็นการเข้าไป depiction กันทีละจุดๆ แต่ในรายของ’สะพานนรก’ นั่น ตัวแสดงนำคือแผนการ Market Garden ของฝ่ายสัมพันธมิตรครับ ที่พอทัพเคลื่อนไปที่ใคร คนนั้นก็จะมารับช่วงถือคบเพลิงไปเรื่อยๆ จนเข้าไปใกล้ที่หมาย (คือสะพานใน Arnheim, ประเทศ Netherland)

พอมาถึงโครงการมหากาพย์ในฝันอย่าง Gandhi บ้าง ความถนัดจำเพาะพวกนี้ของท่านเซอร์ก็มิได้หายไปไหน หากแต่สลับกับงานในสเกลเอพิคทั้งสองเรื่องที่ว่ามา เมื่อมาทำหนัง biopics แบบเต็มรูปกันซะที คือมีแกนกลางเป็นตัวบุคคลจริงๆ (แทน ‘สิ่งที่มองไม่เห็น’ อย่างช่วงเวลาหรือแผนการณ์ แต่มีความเป็นประวัติศาสตร์เหมือนกัน) ขณะเดียวกันดารารับเชิญก็พร้อมจะแวะเวียนเข้ามารับบท ไล่เรียงไปเรื่อยๆ ในแค่ละช่วงเวลา

เซอร์ ริชาร์ด ทำ Gandhi เอาในช่วงที่คนทำหนังอังกฤษส่วนหนึ่งใจตรงกันอย่างน่าประหลาดคือกรูกันไปจับเอาเหตุการณ์ในยุคอาณานิคม (British Raj) อย่างคราวที่หนัง Gandhi ออกฉาย Sir David Lean ก็อยู่ระหว่างถ่าย A Passage to India ซึ่งออกฉายในอีกสองปีถัดมา (1984), หรืออย่างช่วงไล่เลี่ยกับ Gandhi ทาง James Ivory + Ruth Prawer Jhabwala ก็ทำ Heat and Dust (แถมยังเล่นเปิดฉายแบบหายใจรดต้นคอคือ 1 มกรา 1983) มีดาราดังของอินเดีย, Shashi Kapoor แสดงนำ, ทางมินิซีรีส์ก็มี The Jewels in the Crown ซึ่งชื่อเรื่องมีความหมายอุปมาอุปไมยถึงอินเดียทั้งประเทศ หนนี้ Mahatma ลดบทบาทลงเหลือเป็นแค่เพียงบทสมทบ

หันกลับมามองทางนี้บ้าง การได้ดู Gandhi ซ้ำในช่วงอุณหภูมิทางการเมืองนอกจอในบ้านเราเริ่มจะเข้าไปใกล้หนังมากขึ้นเรื่อยๆ คืออารมณ์ของการต่อสู้เรียกร้อง + ขับไล่เผด็จการแบบเดียวกัน ความรู้สึกที่ได้มักแปรเปลี่ยนไปตามภาวะทางจิตวิทยามวลชน ยิ่งพอมารู้อีกว่าตอนหนุ่มๆ Mohandas ‘Mahatma’ Gandhi เคยเป็นทนาย เมื่อดูแล้ว ก็ยิ่งชวนให้นึกไปถึงใครแถวนี้ เช่นเดียวกับที่ยิ่งถ้าการเมืองแรงถึงขั้นร้อนระอุ โอกาสที่หนังเรื่องนี้ถูกแทรกแซงถึงขั้นสั่งห้ามฉาย ก็ย่อมมีความเป็นไปได้สูง 

เป็นที่รู้กันว่าข้อเรียกร้องสูงสุดของคานธีมีจุดมุ่งหมายที่จะให้จักรวรรดินิยมอังกฤษคืนเอกราชให้อินเดีย เพราะทนตกอยู่ภายใต้การกดขี่เอารัดเอาเปรียบไม่ได้ ซึ่งพวกเจ้าอาณานิคมหัวอนุรักษ์คงไม่ยอม เกิดการกระทบกระทั่ง, มีใช้กำลังเข้าปราบ จนกระทั่งลุกลามไปเป็นการสังหารหมู่ คานธีเองเดี๋ยวก็ถูกจับแล้วก็ปล่อยอยู่หลายรอบจนชิน พอออกมาข้างนอก เดี๋ยวก็ปราศรัยโจมตีขับไล่รัฐบาล (อังกฤษ) ต่อ ขนาดมีส่งทหารไปดักขอถามหัวข้อที่จะขึ้นเสวนา คานธีก็ตอบ ‘วิธีรีดนมแพะ (อะไรว่าไปเรื่อย)’ “แต่มันก็อดไม่ได้นะที่จะต้องพูดเรื่องการเมือง” ซึ่งพอมาดูตอนนี้จะรู้สึกว่าไม่ใช่ scenario ที่ไกลตัวเอาเลย

ทำให้รู้ว่าคน เมื่อ ‘ข้างใน’ เป็นยังไง จับให้ไปอยู่ที่ไหน ‘อะไรที่อยู่ในนั้น’ ก็มักถูกขับออกมาจนได้ ขณะที่สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นเทรดมาร์กประจำตัวคานธีไปแล้วอย่างการต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมอังกฤษด้วยวิธีอหิงสา (non-violence) การโต้ตอบด้วยสันติวิธี มันดีตรงไหน ถึงได้พบว่าเป็นกลอุบายล่อหลอกให้ฝ่ายอำนาจสำแดงความชั่วออกมาให้สาแก่ใจ เมื่อฝ่ายที่ถูกกระทำการรุนแรง เสียเลือดเสียเนื้อ ถึงขั้นล้มตาย อันนำไปสู่การสังหารหมู่ที่แคว้นอมฤตสระ (พักครึ่งเวลาพอดี)

ฝ่ายเผด็จการเจ้าอาณานิคมก็ใช้วิธีโต้ตอบ โดยงัดเอาหลักอหิงสามาบิด คือแทนที่จะใช้อาวุธเข้าปราบ ก็หันมาตอบโต้โดยหลักจิตวิทยามวลชนบ้าง คือแทนที่จะจับคานธี ก็เปลี่ยนมาเป็นจับคนฟัง + ผู้เข้าร่วมชุมนุมให้หมด เหลือคานธีคนเดียวเป็นข้อยกเว้น ความน่าหวาดหวั่นจึงไม่มีอะไรเท่า ถ้าวันหนึ่งพวกเผ็ดกลางแถวนี้จะงัดเอามาใช้บ้าง เหมือนหลอกใช้มวลชนตั้งข้อสงสัยแกนนำ + คนขึ้นเสวนาไปแทน

ในเรื่องมีการอ้างวาทกรรมที่ว่าใครแรงมาก็ให้แรงไป สุดท้ายก็พังกันไปเองทั้งสองฝ่าย คานธีก็เลยเสนอสูตรการโต้ตอบด้วยวิธีนิ่งเฉย และที่น่าขันตลกขื่นกว่าก็คือ ถึงอินเดียได้อธิปไตยปกครองตนเองได้แล้ว เชื่อว่าทางอังกฤษเองก็แอบเชื่อในหลักอหิงสากับเขาเหมือนกัน ทว่าเป็นการปรับใช้โดยหวังจะให้ตัวเองลอยตัวเหนือเงื่อนไขภายในอินเดียเอง

โดยเริ่มจาก ‘เลิก’ ใช้กำลังเข้าปราบ แล้วคืนเอกราชให้ปกครองตนเองตามข้อเรียกร้อง

ประมาณว่า เอ้า!อยากเป็นอิสระมากใช่มั้ย “ก็ได้ เดี๋ยวก็รู้” ว่าแล้วอังกฤษก็นำหลักอหิงสามาโต้ตอบ เพราะรู้ว่าสงบได้ไม่นาน ประเดี๋ยวก็ต้องมีความขัดแย้งระลอกใหม่

ตอนหนังออกฉาย ก็เคยมีคนถาม (ก็คุณแม่ผมเองแหละ) ว่าทำไมฝรั่งอังกฤษยอมทำหนังด่าตัวเอง -สามสิบเจ็ดปีผ่านไป-ถึงค่อยพบคำตอบว่า ความสูญเสียครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์อินเดียคือกรณีลอบสังหารมหาตมะ คานธี โดยนาย Naturam Godse ชาวฮินดูหัวรุนแรงที่ไม่เห็นด้วยกับการสลายตัวของรัฐ Hindustan (ซึ่งเป็นคำเรียกแทนตัวเองของประเทศอินเดีย) ออกเป็นปากีสถาน และต่อมาก็มีการแยกเป็นบังคลาเทศอีกต่อในปี 1971 ซึ่งคนที่กำลังนั่งหัวเราะก็คงมิใช่ใครอื่นนอกจากรัฐบาลอังกฤษที่ยอมเลิกการใช้ความรุนแรง ด้วยการมอบในสิ่งที่คานธีและชาวอินเดียเรียกร้องกันมาก และที่ย้อนแย้งซะยิ่งกว่าก็คงเป็นเรื่องของความขัดแย้งภายในที่ไม่มีสิ้นสุด

เซอร์ ริชาร์ด ก็ยังคงเป็นอังกฤษ (เผลอๆ จะค่อนไปทางหัวอนุรักษ์ฯ ด้วยแหละไม่ว่า) ถึงได้ทำทั้งหนัง Gandhi เพื่อสร้างราคาให้กับตัวเองและเพื่อนร่วมชาติถึงความใจกว้างและกล้า ยอมรับมหาบุรุษของอินเดีย แต่ที่อินเดียต้องมาเสียทรัพยาการบุคคลอย่างมหาตมะ ซึ่งจบชีวิตด้วยกระสุนของเพื่อนร่วมชาติ (มิหนำซ้ำยังนับถือศาสนาเดียวกับมหาตมะเองอีกต่างหาก) แล้วตัวหลักการอหิงสากลายเป็นหลักการและวาทกรรมซึ่งใช้การไม่ได้แถมยังพังไม่มีดีในบ้านตัวเอง แต่ทว่ากลับไปเจริญงอกงามในอังกฤษแทน เริ่มตั้งแต่คนอังกฤษเลิกการปราบปรามขบวนการชาตินิยมด้วยกำลังทางทหาร และการมีหนังอย่าง Gandhi เกิดขึ้นได้ส่วนหนึ่งก็สืบเนื่องมาจากการสานต่อเจตนารมณ์ของหลักอหิงสาโดยมหาตมะ

ทุกวันนี้ตัวหนัง Gandhi ยังคงทำหน้าที่เป็นแค่ข้อมูลชั้นต้นอย่างเดียว คือเป็นแค่ thesis ทีนี้ระยะถัดไปก็จะเป็นช่วงของการขุดคุ้ยล่ะ ทีนี้แง่มุมด้านมืด, ด้านดาร์กอะไรที่เกี่ยวกับคานธีก็มีคนเตรียมสาวไส้ออกมา โดยเริ่มจากมีคนจับผิดหนังก่อน (ถึงขนาดเขียนออกมาเป็นเล่มๆ ค่อนข้างบางหน่อย พอๆ กับหนังสือสวดมนต์) ก่อนจะถึงจุดที่ทัวร์ลง ซึ่งก็คงอีกไม่นาน เช่นเดียวกัน biopics เรื่องหนึ่งก็ไม่ต่างอันใดกับบุคคลตัวเป็นๆ ที่เริ่มจากความมีแง่มุมที่ glorified การต่อสู้และผลพลอยได้จากการต่อสู้ แต่ทว่าพอดูไปนานๆ เอ๊ะกลับพบแง่มุมด้านที่มีการซุกอยู่ใต้พรมเป็นเวลานาน 

เชื่อว่าแง่มุมตรงนี้เซอร์ริชาร์ดไม่หลุดครับ คือมีแอบๆ พอให้บริหารสายตากัน เบื้องแรกคงเกี่ยวกับ ‘ตัวละครลับ’ ที่ในหนังไม่มีการบอกกล่าวถึงที่มาที่ไป แต่พออยู่ในหนังกลาายเป็นจุดสะดุดสายตา เอาที่ชัดมากๆ ก่อนเป็นสาวแหม่มในเรื่องชื่อ Mirabhen, ชื่อเดิม Madeleine Slade (แสดงโดยGeraldine James) ซึ่งใบหน้าเก๋มากคล้าย Meryl Streep (คหสต.) ซึ่งเป็นกันได้สำหรับคนเป็นผู้นำทางความคิดและจิตวิญญาณ ซึ่งตามข้อมูลมีการอ้างถึง Mirabehn (หรือMirabai, ในบางโอกาส) ว่าคอยติดตามคล้ายเป็นเลขาส่วนตัวของมหาตมะ 

ทีนี้ก็เหลือน้องผญ.น่ารักสองคนที่คอยประคองให้มหาตมะ จวบจนถึงวาระท้ายสุดของลมหายใจซึ่งตอนนั้นภรรยา Kasturbai Gandhi ได้จากไปก่อนสามีเพียงสี่ปี (1944, ในหนังมีอ้างถึง) และถ้าย้อนกลับไปช่วงวัยหนุ่มสมัยเป็นทนายอยู่ Johanesberg, แอฟริกาใต้ คานธีมีบุตรสามสี่คน, ชายล้วน ซึ่งถ้าเทียบวัยตามลำดับเวลา ก็น่าจะสี่ซ้าห้าสิบ (คานธีเสียชีวิตด้วยวัยแปดสิบ) แต่ตลอดช่วงชีวิตของคานธีแทบไม่เคยอยู่ตามลำพัง


หมายเหตุ

ภาพยนตร์ Gandhi จะจัดฉายในโปรแกรมทึ่งหนังโลก ในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ ที่หอภาพยนตร์ รายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่

Box Office Report : รายได้หนังประจำวันที่ 22 ต.ค. 63

หนังไทยที่เปิดตัวเมื่อวานนี้ คือ ‘หลวงพี่กะอีปอบ’ ซึ่งทำเงินสูงเป็นอันดับ 1 แต่ยังทำได้ไม่ถึง 1 ล้านบาท

รายได้หนังประจำวันที่ 22 ต.ค. 63

1. หลวงพี่กะอีปอบ – 0.92 ล้านบาท
2. Fate/Stay Night: Heaven’s Feel III – 0.47 ล้านบาท
3. Pinocchio – 0.28 ล้านบาท
4. Honest Theft – 0.22 (5.19) ล้านบาท
5. Relic – 0.22 ล้านบาท
6. เฮ้ย! ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ – 0.18 (6.25) ล้านบาท
7. Greenland – 0.05 (19.36) ล้านบาท
8. The Eight Hundred – 0.03 (3.03) ล้านบาท
9. Dragon Rider – 0.03 (1.44) ล้านบาท
10. Vanguard – 0.02 (7.05) ล้านบาท

รัฐฮุบเทศกาลหนังอินดี้จีน จิตวิญญาณจะอยู่ได้อย่างไร?

“เทศกาลหนังอินดี้ผิงเหยา” คือเทศกาลหนึ่งที่มาแรง ทั้งจากการที่มันได้รับความร่วมมือจากคนทำหนังชื่อดังทั้งเอเชีย และการที่มันมีผู้ชมเยอะขึ้นทุกปี จนมีรายงานว่า ในปี 2019 เทศกาลนี้ทำให้รายได้บ็อกซ์ออฟฟิศของผิงเหยาทะยานขึ้นสูงสุดของประเทศจีน… ส่วนหนึ่งอาจเพราะบารมีผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง เจี่ยจางเคอ แต่แล้วเขาก็ประกาศกลางงานว่าปีนี้เขาจะจัดเป็นปีสุดท้ายแล้ว ก่อนจะส่งให้องค์การบริหารเมืองผิงเหยาในนามรัฐบาล มาบริหารต่อแบบเต็มตัว ส่งผลให้นักวิชาการเริ่มเป็นกังวลว่าเทศกาลหนังอินดี้ที่กำลังมาแรงนี้จะสูญสิ้นจิตวิญญาณลงในที่สุด เพราะไม่เชื่อว่าข้าราชการจะเข้าใจธรรมชาติของเทศกาลหนังได้ดีไปกว่าเจี่ยจางเคอ

เจี่ยประกาศเทเทศกาลที่ตัวเองร่วมก่อตั้งขึ้นมากับมือ โดยเขาให้เหตุผลว่า “เทศกาลหนังไม่ควรขึ้นอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง เมื่อมีใครถอนตัวออกไป การจัดงานก็ควรดำเนินต่อไปได้ เราควรถอยออกมาให้ทีมใหม่เข้ามาบริหารเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เทศกาลผิงเหยาอยู่ใต้ร่มเงาของเจี่ยจางเคอเพียงคนเดียว เราเลยตัดสินใจในวันที่มันกำลังแข็งแรงที่สุด”

นอกจากการแถลงของเจี่ยกลางเทศกาลซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 10-19 ต.ค. ที่ผ่านมา ก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดมาสนับสนุนไปกว่านี้ แต่ผู้ที่เข้าร่วมต่างบอกว่างานปีนี้มีปัญหาเรื่องการจัดงานอย่างแน่นอน อย่างโปรดิวเซอร์ หวังเล่ย ได้เล่าว่า “เทศกาลปีนี้เหมือนไม่มีผู้จัดงาน แม้กระทั่งสูจิบัตรแนะนำหนังที่ฉายยังไม่มีให้เลย หลายกิจกรรมก็ดูรีบทำ ซึ่งผมไม่อยากต่อว่าผู้จัดงานมาก เพราะดูก็รู้ว่าเขาน่าจะโดนแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก” – ทั้งนี้รัฐกล่าวว่าไม่ทราบมาก่อนว่าเจี่ยจะเทงานกลางทางแบบนี้

การประกาศปล่อยมือของเจี่ยเพื่อส่งต่อเทศกาลหนังอินดี้สู่รัฐบาล ทำให้นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านภาพยนตร์แสดงความไม่ไว้ใจต่อรัฐโดยสิ้นเชิง จนปัจจุบันนี้เหลือเพียง “เทศกาลหนังเรื่องแรกซีหนิง” เท่านั้น ที่ยังจัดการโดยองค์กรอิสระอยู่

คริส เบอร์รี่ ผู้เชี่ยวชาญหนังจีนแห่งคิงส์คอลเลจแสดงความไม่ไว้ใจในการบริหารจัดการหนังอิสระของรัฐเอาไว้ว่า “รัฐบาลจีนยังมองหนังเป็นโฆษณาชวนเชื่อในกระแสหลักเท่านั้น การแทรกแซงวงการหนังอิสระและเทศกาลหนังอินดี้ เป็นผลพวงมาจากกฎหมายภาพยนตร์ 2017 (กฎหมายแห่งชาติฉบับแรกที่ร่างขึ้นเพื่อควบคุมอุตสาหกรรมหนังจีนโดยเฉพาะ) มันสะท้อนออกมาให้เห็นว่านับจากนั้นหนังจีนก็หมดความน่าตื่นเต้นโดยสิ้นเชิง”

เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เทศกาลหนังอินดี้จีน (China Independent Film Festival) เทศกาลหนังอินดี้ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ก็ได้ประกาศยุติการจัดงานหลังจากจัดมาอย่างต่อเนื่องถึง 17 ปี ด้วยเหตุผลว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจีน ทำให้ “ไม่เหลือจิตวิญญาณที่อิสระอีกต่อไป”

เบอร์นี่ยังมองว่าในการจัดเทศกาลหนังสักแห่งนั้น ไม่ควรปล่อยให้มีเจ้าภาพเจ้าใดเจ้าหนึ่งมีอำนาจจนสามารถครอบงำทิศทางของเทศกาลมากเกินไป แม้ว่าเจ้าภาพนั้นจะหมายถึงภาครัฐก็ตาม

“การที่มีผู้ได้รับผลประโยชน์จนมีอำนาจเหนือเทศกาล ส่งผลให้ไม่เหลืออะไรน่าติดตามอีกต่อไป ยิ่งการที่ภาครัฐสามารถควบคุมเทศกาลหนังโดยสมบูรณ์ ถือเป็นทางเลือกที่แย่ที่สุด เพราะไม่มีทางที่ข้าราชการจะรู้ว่าควรเลือกหนังเรื่องไหนมาฉาย และหลังจากนี้คนทำหนังก็จะให้ค่ามันน้อยลงไปเอง”


ที่มา

https://www.scmp.com/lifestyle/entertainment/article/3106451/government-takeover-independent-chinese-film-festival-fuels

Dark Waters : ความอยุติธรรมคือพิษร้าย

1

โรเบิร์ต บิลอตต์  เป็นทนายหนุ่มไฟแรงในสำนักงานกฎหมายชื่อดัง เขาเพิ่งกลายเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของบริษัท ชีวิตการทำงานกำลังไปได้สวย ชีวิตส่วนตัวก็เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ มีภรรยาผู้ทุ่มเทเสียสละและมีลูกน้อยในวัยน่ารัก พวกเขามีชีวิตอบอุ่นปลอดภัยอยู่ในบ้านหลังงามในย่านของผู้มีอันจะกิน

แต่แล้วในวันหนึ่ง ในตอนที่โรเบิร์ตกำลังประชุมอยู่ในบริษัท ก็มีชายแปลกหน้าแต่งตัวมอซอสองคนมาขอพบ พวกเขาเป็นเกษตรกรเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ขับรถดั้นด้นมาหาโรเบิร์ตถึงรัฐโอไฮโอเพื่อขอความช่วยเหลือทางกฎหมาย มาพร้อมลังกระดาษใบใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยม้วนวิดีโอแสดงภาพวัวล้มตายจากสารพิษในแหล่งน้ำ พวกเขาบอกว่าไม่มีใครรับว่าความให้อีกแล้ว ไม่มีใครกล้างัดข้อกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเคมีภัณฑ์อย่าง ดูปองท์ (Dupont)โรเบิร์ตพยายามบ่ายเบี่ยงว่าจะช่วยหาทนายเก่งๆ ให้ แต่แล้ว วิลเบอร์ เทนแนนท์ หนึ่งในเกษตรกรสองคนนั้นก็งัดไม้เด็ดขึ้นมาว่า ยายของโรเบิร์ตที่อยู่โอไฮโอ แนะนำให้พวกเขามาหาโรเบิร์ต จากคำพูดนั้นเองที่โรเบิร์ตรู้ตัวว่าเขาไม่อาจปัดทิ้งเรื่องนี้อย่างง่ายดายได้อีกแล้ว

วันต่อมาโรเบิร์ตจึงตัดสินใจขับรถไปที่เมืองปาร์กเกอร์สเบิร์ก รัฐโอไฮโอ ไปเยี่ยมยาย และได้รู้จากยายว่าฟาร์มของเทนแนนท์คือฟาร์มที่เขาเคยไปวิ่งเล่นสมัยเด็ก เขาไปพบเทนแนนท์ที่ฟาร์มแห่งนั้น 2-3 ครั้ง ชายชราให้เขาดูซากชิ้นส่วนต่างๆ ของวัวที่ดำคล้ำผิดปกติ พาไปดูลำธารปนเปื้อนสารพิษที่วัวเหล่านั้นดื่ม ไปดูสุสานซากวัวนับร้อยหลุม ความคับแค้นขมขื่นที่วัวของเขาต้องล้มตายไปเพราะสารพิษถึง 190 ตัว ซ้ำร้ายวันนั้นยังเกิดเหตุการณ์วัวคลุ้มคลั่งจากสารพิษ ทำให้ชายชราต้องตัดสินใจยิงวัวตัวนั้นทิ้งต่อหน้าต่อตาเขา ความจริงที่เห็นตรงหน้าสั่นสะเทือนโรเบิร์ตอย่างรุนแรง

เขาจึงเริ่มดำเนินการทางกฎหมายกับดูปองท์ เริ่มจากขอให้เปิดเผยเอกสารเพื่อการสืบคดี เอกสารนับร้อยๆ กล่องจากดูปองท์จึงถูกลำเลียงมากองพะเนินเทินทึกเต็มสำนักงานกฎหมายของเขา ราวกับจะข่มขวัญให้ล้มเลิกความพยายาม โรเบิร์ตจมหายไปกับกองเอกสารเหล่านั้นราวกับคนบ้า หมกมุ่นหัวฟูกับการสืบหาเบาะแสจากข้อมูลมหาศาล ไม่ฟังคำทัดทานจากเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน เขาค่อยๆ สูญเสียโลกรอบตัวไปทีละน้อย ภรรยาไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอะไร คดีนั้นค่อยๆ กลืนกินชีวิตเขา ไม่ต่างจากที่ความอยุติธรรมกลืนกินเกษตรกรไร้ทางสู้ ไม่ต่างจากที่สารพิษปนเปื้อนกลืนกินเหล่าปศุสัตว์จนล้มตายเป็นเบือ

ยิ่งสืบไปเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งพบความผิดปกติหลายอย่างที่ดูปองท์พยายามจะหมกเม็ดเอาไว้ และแล้วผลจากความทุ่มเทอันยาวนานก็ทำให้เขาได้พบกับคีย์เวิร์ดที่จะไขปริศนาทั้งหมด มันคือสารเคมีที่ชื่อว่า PFOA อันเป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์หลายอย่างของดูปองท์ หนึ่งในนั้นคือกระทะเทฟลอน (Teflon) ที่ใช้กันแทบทุกครัวเรือน

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ความลับกว่า 40 ปีในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ของโลกค่อยๆ ถูกสาวไส้ออกมา ฤทธิ์ของสาร PFOA ไม่เพียงแต่ทำให้เหล่าปศุสัตว์เท่านั้นที่ล้มตาย มันยังเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ทำให้เด็กเกิดมาพิกลพิการ พนักงานดูปองท์หลายชีวิตที่ได้รับสารปนเปื้อนถูกปกปิดความจริงและถูกปิดปากเอาไว้

นี่คือหนังที่สร้างจากคดีที่เกิดขึ้นจริงในอเมริกา การต่อสู้อันยืดเยื้อยาวนานนับสิบปีที่เริ่มตั้งแต่ปี 1998 เนิ่นนานพอจะทำให้เด็กๆ เติบโต คนหนุ่มแก่ตัว คนชราตายจาก หนังเล่าเรื่องตามเส้นเวลาอย่างชัดเจน เรียงลำดับเหตุการณ์ปีต่อปี เราจึงได้เห็นว่า “ความอยุติธรรม” มีเวลาเหลือเฟือเพียงใดที่จะโบยตีผู้คน แต่ผู้คนไม่ได้มีเวลามากพอจะทนได้ขนาดนั้น มันอาจทำให้พวกเขาพ่ายแพ้และถอดใจไปเอง แต่ทว่าด้วยเทคนิคทางภาพยนตร์ เราจึงได้เห็นว่าเวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เดือนปียืดเยื้อของการต่อสู้อันเหนื่อยหน่ายถูกมองผ่านสายตาแบบพระเจ้า ผู้คนและเหตุการณ์ถูกร้อยเรียงด้วยโครงเรื่องที่มองว่าประวัติศาสตร์คือการก้าวไปข้างหน้า การต่อสู้ถูกมองเห็น ความมืดมนค่อยๆ คลี่คลายจนเห็นแสงสว่าง ความเจ็บปวดได้รับการเยียวยา แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วมันยังเป็นประวัติศาสตร์ที่ยังไม่จบสิ้นก็ตาม


2

“…อาวุธสำคัญอีกอย่างหนึ่งของรัฐคือความสามารถในการรอ ในการที่จะเอี้ยวตัวหลบหมัดไปมา ในการที่จะทำให้ฝ่ายต่อต้านหมดแรงไปเอง ฝ่ายรัฐไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย ไม่มีวันแก่เฒ่า ไม่มีวันต้องพัก มันมีการส่งต่อผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด แต่ประชาชนที่ต่อสู้นั้นมีวันเหนื่อยล้า พวกเขาล้มป่วย พวกเขาแก่ลง แม้แต่คนหนุ่มสาวก็แก่ก่อนวัยอันควร…”

— Arundhati Roy, The End of Imagination

ภาพหนึ่งที่หนังฉายชัดมากที่สุดคือ “ความมหึมา” ของสิ่งที่ตัวละครกำลังต่อสู้ ไม่เพียงแต่ปรปักษ์ที่ชัดเจนอยู่แล้วอย่างบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างดูปองท์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง “กระบวนการ” และความซับซ้อนยุ่งยากอีกร้อยแปดพันประการทั้งหมดที่ตามมาหลังจากนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งที่เรียกว่า “เวลา” กล่าวคือ ความล่าช้าและการรอคอยอันยืดยาวได้กลายเป็นพันธมิตรที่มองไม่เห็นซึ่งเอื้อความได้เปรียบให้ฝ่ายที่มีอำนาจกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

หนังฉายภาพความมหึมาของ “ศัตรู” อย่างแยบยล พวกเขา/พวกมันแทบไม่ต้องแสดงตัว ไม่จำเป็นต้องเข้ามาขัดขวางอย่างโฉ่งฉ่าง แต่สามารถแทรกตัวกลมกลืนอยู่ในทุกองคาพยพที่จะคอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่กำลังต่อสู้กับมัน “ศัตรู” อาจมาในรูปของกองเอกสารมหึมาที่แทบจะท่วมทับกลืนกินตัวละคร มาในรูปขององค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เคมีที่ยากแก่การเข้าใจ มาในรูปของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเสิร์ชเอนจิ้นที่การสืบค้นข้อมูลยังมีข้อจำกัด มาในรูปของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ยุ่งยากซับซ้อนที่ต้องใช้เวลาศึกษาวิจัยนับหลายปี มาในรูปของเสียงทัดทานและความไม่เข้าใจจากคนรอบข้าง ชีวิตทางสังคมที่หายไป ครอบครัวที่จวนจะล่มสลาย ฯลฯ

ยิ่งการต่อสู้ดำเนินไป มันก็ยิ่งเรียกร้อง “ต้นทุน” ในการต่อสู้อย่างทบเท่าพันทวี สิ่งที่ตัวละครต้องต่อสู้จึงไม่ใช่แค่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่แทบจะเรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง และในการต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง มันจึงเรียกร้องให้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปเป็นเดิมพัน ที่สุดแล้วการต่อสู้จึงประลองกำลังกันที่ความดื้อด้านทานทนของตัวละคร ประหนึ่งชะตากรรมของซิซิฟัส (Sisyphus) ที่ต้องกลิ้งก้อนหินอยู่ชั่วนิรันดร์ ต่อสู้จนกลายเป็นบ้า และต่อสู้เพื่อที่จะไม่กลายเป็นบ้า

หนังฉายภาพต้นทุนชีวิตของโรเบิร์ตและชายชราเจ้าของฟาร์มที่ค่อยๆ ร่อยหรอลง  จากทนายหนุ่มไฟแรงผู้สง่างาม กลายมาเป็นชายสติเฟื่องที่หมกมุ่นและหวาดระแวงกับสารเคมี มันครอบงำสิงสู่โรเบิร์ตอยู่ทุกขณะจิต ราวกับว่าสารเคมีและความอยุติธรรมนั้นได้แพร่พิษใส่ทุกคนในครอบครัว ภรรยาสูญเสียสามีให้กับการต่อสู้ที่เธอไม่เข้าใจ ลูกๆ เติบโตขึ้นพร้อมๆ กับความคุ้นชินไปเองว่าพ่อไม่มีเวลาให้ ในขณะที่ชายชราเจ้าของฟาร์มกับภรรยาก็ล้มป่วย แทบสิ้นเนื้อประดาตัว ความคับแค้นจากความอยุติธรรมทำให้เขาเดือดดาลและขมขื่นกับชีวิต หนังมีฉากสะเทือนใจฉากหนึ่งที่ฝูงเฮลิคอปเตอร์บินวนก่อกวนฟาร์มของชายชรา เขาจึงนอนซุ่มหนาวสั่นอยู่นอกบ้านคนเดียวทั้งคืน กอดปืนไรเฟิลราวกับคนเสียสติเพื่อปกป้องครอบครัวและผืนดินของตัวเองจากศัตรูที่มองไม่เห็น

ความอยุติธรรมจึงมีพิษร้ายไม่ต่างจากสารเคมี มันกัดกินชีวิตผู้คนจนเสียสติ บ้าคลั่ง และหมดแรง ชายชราคลุ้มคลั่งและป่วยไข้ไม่ต่างจากวัวของเขา และโรเบิร์ตเองก็ค่อยๆ ดูดซับความเดือดดาลของชายชรามาเป็นของเขาเอง ความอยุติธรรมจึงไม่ใช่เพียงความอยุติธรรมที่กระทำต่อคนใดคนหนึ่ง แต่มันหมายถึงทั้งองคาพยพของสังคมที่ช่วยค้ำยันความอยุติธรรมเอาไว้ และสารเคมีก็ไม่ใช่แค่เพียงสารเคมี แต่มันหมายถึงการจ้างงานในเมือง แรงงานในสายพานการผลิต มันหมายถึงระบบสังคมที่ “ทุน” (อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์) ได้ออกแบบไว้เพื่อเก็บเกี่ยวผลกำไรและเป็นปราการปกป้องตัวมันเอง

หนังจึงไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ดูปองท์เพียงอย่างเดียว แต่ค่อยๆ ฉายให้เห็นองคาพยพต่างๆ ในระบบนิเวศของการกดขี่ที่เกี่ยวร้อยเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ “ระบบ” ที่ในสภาวะปกติเราอาจมองไม่เห็นปัญหาในตัวมัน แต่ทันทีที่มันกลายเป็นคู่ต่อสู้ เราจึงมองเห็นเขี้ยวเล็บของมันได้ถนัดตา


3

ตั้งแต่ฉากแรกๆ จนถึงช่วงกลางๆ ของเรื่อง เราอาจเห็นคู่ขัดแย้งที่ชัดเจนว่าตัวละครกำลังต่อสู้อยู่กับอะไร แต่หลังจากที่กระบวนการต่างๆ เริ่มดำเนินไป ทั้งการต่อสู้ในศาล การต่อสู้ในพื้นที่สื่อ การต่อสู้บนท้องถนน ก่อเกิดเป็นแรงกระเพื่อมทางสังคมที่ขยายเป็นวงกว้าง ดึงดูดให้ “ตัวละคร” ใหม่ๆ เข้ามาร่วมวงด้วย ตอนนั้นเราก็แทบไม่รู้อีกแล้วว่าทนายโรเบิร์ต (รวมทั้งทีมของเขา) กำลังต่อสู้อยู่กับอะไรกันแน่ ราวกับว่าหนังเลือกที่จะละทิ้งจุดโฟกัสแต่แรกไปแล้วค่อยๆ ถอยออกมามองตัวเองในมุมกว้าง แล้วปล่อยให้สายตาของผู้ชมแต่ละคนหาจุดโฟกัสเองว่าจะมองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร

ด้วยเทคนิคดังกล่าวนี้ ตัวละครเองก็ค่อยๆ หลุดลอยออกจากจุดโฟกัสเช่นกัน แม้จุดศูนย์กลางจะยังอยู่ที่ทนายโรเบิร์ตก็จริง แต่หนังได้ถ่ายเทน้ำหนักไปที่ “เหตุการณ์” มากกว่า “ตัวบุคคล” อารมณ์ของหนังก็เปลี่ยนจากความตื่นเต้นเร้าใจในตอนแรก มาเป็นความรู้สึกของการทอดอาลัยหรืออาจจะถึงขั้นซังกะตาย ด้วยวิธีนี้เองที่ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงความเหนื่อยล้าอ่อนแรงของตัวละคร พวกเขาแก่ตัวลง ป่วยไข้ และสูญเสียหลายสิ่งไปในชีวิต

ไม่ว่าเวลาจะอยู่ข้างเราหรือไม่ แต่เวลาก็ไม่เคยเป็นกลาง มันทำให้ใครบางคนได้เปรียบและทำให้ใครบางคนเสียเปรียบเสมอ และคนที่ได้เปรียบเสมอก็คือคนที่มี “ต้นทุน” มากพอจะซื้อมันมาจากคนอื่นๆ ความได้เปรียบด้านเวลาทำให้พวกเขามีความสามารถในการรอ แปรเปลี่ยนความล่าช้าเป็นศาสตราวุธ แต่ความเสียเปรียบของคนที่ไม่มีเวลามากพอ ทำให้พวกเขาไม่สามารถรอได้แม้แต่วินาทีเดียว ความล่าช้าจึงกลายเป็นความสูญเสียในตัวมันเอง การต่อสู้ของตัวละครจึงเป็นทั้งการต่อสู้กับ “การซื้อเวลา” และต่อสู้กับ “เวลา” ต่อสู้เพื่อเปิดโปงให้เห็นว่าความอยุติธรรมนั้นปล้นชิง “เวลา” ไปจากผู้คนมากมายเพียงใด ต่อสู้เพื่อให้เห็นว่าความยุติธรรมที่มาล่าช้าไม่ได้สูญเสียคุณค่าและความหมายของมันไปเพียงเพราะความล่าช้าของมัน

Emily in Paris: เจ้าอาณานิคมคนใหม่ กับความฝรั่งเศสที่พิสดาร (Exotic)

หลังจากลงสตรีมมิงเจ้าใหญ่อย่าง Netflix ได้ไม่นาน ซีรีส์โรแมนติก อารมณ์ดี ดูไร้พิษภัยอย่าง Emily in Paris ก็กลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ทันที ว่ามันสร้างภาพจำของฝรั่งเศสและคนฝรั่งเศสอย่างไม่ตรงตามความเป็นจริง จนกลายเป็นหัวข้อบทความของหลายสำนักข่าวอย่างเช่น New York Times หรือ The Guardian และถูกนักวิจารณ์ฝรั่งเศสสับจนไม่มีชิ้นดี

หนังเล่าเกี่ยวกับชีวิตของนางสาวเอมิลี คูเปอร์ นักการตลาดไฟแรงในชิคาโก ที่ต้องย้ายงานไปประจำที่ปารีส ที่นั่น เธอได้พบกับวัฒนธรรมแปลกๆ หลายอย่าง ทั้งการมาทำงานสาย ความเย่อหยิ่งจองหองของคนฝรั่งเศส การไม่แยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน หรือความเหยียดเพศหญิงในวงการโฆษณา และนั่นเป็นการดิ้นรนที่เธอต้องเผชิญ เธอพยายามปรับตัวเข้ากับ “พวกเขา (คนฝรั่งเศส)” ในขณะที่ตั้งวงเมาท์กับ มินดี้ เพื่อนผู้อพยพชาวจีนในปารีส ว่าคนฝรั่งเศสนั้น “ร้าย” แค่ไหน

“เธอเปลี่ยนการบริการของคนฝรั่งเศสไม่ได้เพียงเพราะเธอมาอยู่ที่นี่หรอกนะ” มินดี้กล่าว ขณะที่เอมิลีพยายามทักท้วงกับร้านอาหารว่าสเต็กของเธอสุกไม่พอดี

ภาพของปารีสที่เป็นเมืองแห่งความฝันสุดโรแมนติกถูกฉายออกมา มีหนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์ที่พร้อมปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเธอ ทั้งที่เขาก็มีแฟนอยู่แล้ว มีร้านดอกไม้ข้างทางที่ขายกุหลาบช่อใหญ่ให้เธอซื้อไปฝากเพื่อนร่วมงานในวันอากาศดี กับร้านขนมปังที่ขายครัวซองซ์อร่อยเหลือเชื่อจนเธอต้องโพสต์ลงอินสตาแกรม งานเลี้ยงที่มีฉากหลังเป็นหอไอเฟลและดวงไฟนับพันจากตัวเมืองก็ช่างดูดีมีเสน่ห์ ภาพเหล่านี้ดูเหมือนจะทำให้เราใกล้ชิดกับฝรั่งเศสมากขึ้น แต่เปล่าเลย ภาพฝันที่ฉายออกมาฉาบเคลือบไปด้วยองค์ประกอบที่ทำให้เราถอยห่าง เพราะมันทั้งเกินจริง และเป็นการโรแมนติไซส์ (romanticise) ความเป็นฝรั่งเศส อีกทั้งแฝงไปด้วยสำเนียงวิพากษ์วิจารณ์ ดังข้อสังเกตทางวัฒนธรรมที่หนังชี้นำให้เราเห็น

ไม่ว่าจะเป็นการที่เอมิลีถูกสั่งให้ “ห้ามยิ้ม” เพราะ “คนจะคิดว่าเธอเซ่อ” หรือถูกเพื่อนร่วมงานถามว่า “ทำไมคุณต้องตะโกน” เมื่อเธอพูดภาษาอังกฤษแบบอเมริกันด้วยเสียงปกติ การที่เอมิลีไม่ใส่น้ำหอมกลับกลายเป็นสิ่งที่คนฝรั่งเศสตั้งข้อสงสัย และการที่เธอคุยเรื่องงานในงานเลี้ยงตอนค่ำก็ทำให้ถูกเจ้านายหาว่าบ้าไปแล้ว เกร็ดทางวัฒนธรรมเหล่านี้สะท้อนภาพเหมารวมชาวฝรั่งเศสอยู่กลายๆ ว่าพวกเขานั้นทั้งขึ้เกียจ เย่อหยิ่ง สกปรก และร้ายกาจ และภารกิจของเธอก็คือการสอนพวกเขาให้ดีขึ้น

การสร้างภาพเหมารวมและให้มุมมองที่เกินจริงเช่นนี้ เป็นการมองฝรั่งเศสว่าเป็นดินแดนที่แปลก พิสดาร (Exotic) เมื่อมองจากมุมมองคนอเมริกัน ฝรั่งเศสนั้นทั้งน่าพรั่นพรึงและน่าดึงดูด แต่เป็นความดึงดูดที่เกิดจากการที่ฝรั่งเศสเป็น “คนอื่น (The other)” ที่แตกต่างไปจากความเป็นอเมริกัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังล้าหลังกว่า ป่าเถื่อนกว่า โง่เขลาและด้อยปัญญากว่า และควรได้รับการสั่งสอน เอมิลีเดินเข้าไปในสำนักงานแห่งใหม่ พร้อมนำแนวคิดทันสมัยเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดียไปเสนอ ในขณะที่คนฝรั่งเศสในออฟฟิศดูจะไม่ประสีประสากับเรื่องนี้ และยืนยันจะใช้แผนการตลาดแบบเดิมๆ นอกจากนั้นเธอยังเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่เน้นความเปิดเผยใกล้ชิดกับแบรนด์ ขณะที่ซิลวี เจ้านายชาวฝรั่งเศสของเธอ เน้นย้ำความสำคัญของการปกปิดและความสัมพันธ์ส่วนตัว ฉากที่เอมิลีเฉ่งลูกค้าเกี่ยวกับปัญหาเหยียดเพศในโฆษณาที่พวกเขาถ่ายยิ่งดูเหมือนจะทำให้เรื่องนี้ไปกันใหญ่ โดยหนังจัดวางให้อองตวน ลูกค้าฝรั่งเศส (ที่ทั้งเจ้าชู้และไม่แยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน) ของเธอยืนยันว่าเขาจะให้นางแบบเปลือยกายเดินไปบนสะพาน เพราะนั่นคือ “ความฝัน” ของผู้หญิง ส่วนเอมิลีก็เป็นตัวแทนของคนอเมริกันหัวก้าวหน้า และเป็นเฟมินิสต์ ที่ต้องตั้งคำถามและตีแผ่มุมมองแบบชายเป็นใหญ่ของเขา

ไม่ว่าจะมองในทางใด ดูเหมือนหนังจะทำให้วัฒนธรรมอเมริกันเหนือกว่าในทุกกรณี และความสวยงามของปารีสที่นำเสนอออกมานั้นก็ไม่ตรงตามความเป็นจริง ไม่ได้เป็นมุมมองที่พยายามทำความรู้จักหรือเข้าอกเข้าใจ แต่เป็นเพียงการนำเสนอเพื่อสนองความบันเทิงใจของผู้ต้องการเสพความแปลกใหม่เท่านั้น

ที่ตลกร้ายก็คือ มุมมองแบบเห็นวัฒนธรรมคนอื่นเป็นของพิสดารนั้น เคยเป็นมุมมองที่ฝรั่งเศสและยุโรปเองใช้มองวัฒนธรรมตะวันออกในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่มีการล่าอาณานิคม เป็นมุมมองแบบบูรพนิยม (Orientalism) ซึ่งเอ็ดเวิร์ด ซาอิด ผู้เขียนหนังสือโดยใช้คำเดียวกันนี้เป็นชื่อเรื่องได้กล่าวไว้ว่า มันเปรียบเสมือนการ “ใส่แว่นตาที่ทำลายการมองเห็นของเรา”https://www.youtube.com/watch?v=cNI8zc6r7KU ซาอิดได้กล่าวว่า มุมมองนี้เป็นการพยายามนิยามตะวันออก (ที่ใดก็ตามที่อยู่ทางตะวันออกของยุโรป) โดยใช้พื้นที่ที่พิเศษของตะวันออกจากประสบการณ์ของชาวตะวันตกhttp://costumesociety.org.uk/blog/post/orientalism-exoticism-and-the-cultural-exchange-in-19th-century-western-dre อย่างเช่นการสร้างภาพอินเดียว่าเป็นมหานครที่เต็มไปด้วยเพชรนิลจินดา การแสดงแปลกๆ อย่างระบำหน้าท้อง และสัตว์ป่าอย่างช้างหรือเสือ หรือสร้างภาพตะวันออกกลางตามแบบเรื่องอะลาดิน มีพรมวิเศษ เวทมนตร์ หรือชีคที่มีนิสัยดุร้ายป่าเถื่อน

“ซาอิดได้กล่าวว่าแนวคิดนี้ มี ‘ความใกล้ชิดที่เกิดจากประสบการณ์ของอังกฤษและฝรั่งเศสที่มีต่อดินแดนตะวันออก ซึ่งจนกระทั่งศตวรรษที่ 19 มันหมายถึงแค่อินเดียและดินแดนในไบเบิล’” http://costumesociety.org.uk/blog/post/orientalism-exoticism-and-the-cultural-exchange-in-19th-century-western-dre

มุมมองเช่นนี้ได้สร้างความชอบธรรมให้แก่ตะวันตก ในการครอบครองดินแดนตะวันออกในฐานะเจ้าอาณานิคม เพราะดินแดนเหล่านั้น “ไร้อารยธรรม (uncivilized)” แตกต่างจากชาวตะวันตกที่มีวัฒนธรรมสูงส่งกว่า (cultured, civilzed) และเป็นหน้าที่ของชาวตะวันตกที่จะต้องสั่งสอนคนในดินแดนเหล่านั้นให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้น ผ่านการครอบครองและปกครองดินแดนของคนเหล่านั้น กรณีที่ถูกนำมาใช้บ่อยกรณีหนึ่งคือการอ้างว่าคนพื้นเมืองที่นับถือภูติผีไม่มีศาสนา และต้องยัดเยียดให้พวกเขานับถือศาสนาคริสต์

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ในศตวรรษที่ 21 นี้ การล่าอาณานิคมทางกายภาพได้แปรเปลี่ยนมาเป็นการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรมไปเสียแล้ว ซึ่งมีอเมริกาเป็นศูนย์กลางแห่งการล่าอาณานิคมแห่งใหม่ อเมริกาได้แผ่ขยายวัฒนธรรมของตนเองผ่านสื่อบันเทิง โดยใช้ฮอลลีวูดเป็นเรือธงในการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม และให้อำนาจแก่อเมริกาในการสร้างนิยามว่าใครเป็นผู้มีอารยธรรม ใครป่าเถื่อน ดินแดนอื่นที่ไม่ใช่อเมริกา เมื่อมันถูกเล่าผ่านหนังอเมริกัน มันจึงมีความพิสดารแปลกใหม่ แต่น้อยครั้งที่จะอยู่บนฐานความเข้าใจในพื้นที่หรือวัฒนธรรมของสถานที่เหล่านั้นอย่างแท้จริง ดังที่เราชาวไทยอาจเห็นปรากฏการณ์ “Amazing Pattaya” หรือ “Bangkok Fantasy” ในหนังที่มีฉากในไทยอย่าง Hangover

จึงไม่น่าแปลกใจที่ปารีสจะกลายเป็นเสมือน “อินเดีย” ของเหล่านักล่าอาณานิคมสมัยก่อน เพราะมันคือพื้นที่ที่มีภาพจำที่ถูกเล่าโดยคนอเมริกันในวัฒนธรรมกระแสหลัก และเป็นวัฒนธรรมของผู้ล่าอาณานิคมคนใหม่ที่มาแทนที่เจ้าอาณานิคมเก่าอย่างฝรั่งเศสหรือยุโรป สุดท้ายจึงเป็นโจทย์ของฝรั่งเศสอยู่เหมือนกันที่จะ “ถอดถอนการล่าอาณานิยม (decolonise)” โดยอเมริกา ผ่านการออกมามีปากมีแสดงและวิพากษ์การแสดงภาพแทนที่ผิดเพียนของตัวเองจาก Emily in Paris ดังที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้

Box Office Report : รายได้หนังประจำสัปดาห์ 14-18 ต.ค. 63

สัปดาห์ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงวิกฤตของธุรกิจโรงหนังโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เพราะนอกจากสภาพภูมิอากาศแล้ว ยังเกิดการชุมนุมระดับตึงเครียดทั่วกรุงเทพฯ อีกทั้งการชุมนุมแบบดาวกระจายยังนัดหมายกันล่วงหน้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง ส่งผลให้ห้างสรรพสินค้าหลักๆ อย่าง สยามพารากอน และ เซ็นทรัลเวิลด์ เลือกที่จะไม่ให้บริการในช่วงเวลาที่มีการชุมนุมหน้าห้างสรรพสินค้า (ซึ่งต่างเป็นโรงหนังที่ทำรายได้สูงสุดของแต่ละเครือหลัก) ขณะที่รถไฟฟ้าทุกสายยังเลือกที่จะไม่ให้บริการ ทั้งหมดล้วนเป็นอุปสรรคต่อการไปดูหนังในโรงแทบทั้งสิ้น ยังไม่นับว่าบรรยากาศของผู้คนในตอนนี้ให้ความสนใจกับการชุมนุมมากกว่าจะเข้าโรงหนังด้วย

ปัจจัยต่างๆ สะท้อนให้เห็นจากรายได้หนังในสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่นับวันที่ 13 ต.ค. ที่เป็นวันหยุดและบรรยากาศทางการเมืองยังไม่ตึงเครียดนัก หลังจากนั้นไม่มีหนังเรื่องไหนเลยสามารถทำเงินถึง 1 ล้านบาทในแต่ละวันได้เลย

รายได้หนังในกรุงเทพฯ วันที่ 14-18 ต.ค. 63

1. เฮ้ย! ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ – 2.50 (5.14) ล้านบาท
2. Honest Theft – 2.39 (4.07) ล้านบาท
3. The Eight Hundred – 0.60 (2.75) ล้านบาท
4. Greenland – 0.54 (19.17) ล้านบาท
5. Dragon Rider – 0.52 (1.22) ล้านบาท
6. เลิฟยู..โคกอีเกิ้ง – 0.34 (2.60) ล้านบาท
7. Vanguard – 0.30 (6.88) ล้านบาท
8. Ultraman Taiga the Movie: New Generation Climax – 0.18 (0.33) ล้านบาท
9. Tenet – 0.15 (58.68) ล้านบาท
10. War with Grandpa – 0.13 (1.11) ล้านบาท

The Trial of the Chicago 7 : ม็อบจุดฝัน ในวันที่ตาชั่งเอียงข้าง

ถ้าพูดถึงคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะรุ่นมิลเลนเนียลลงมา สิ่งที่นิยามตัวตนของพวกเขาก็คือความกล้า ความเป็นตัวของตัวเอง การเป็นพลเมืองโลก การไม่ละทิ้งกลุ่มชายขอบ (inclusiveness) และการเชื่อมต่อกัน ดูเหมือนค่านิยมเหล่านี้จะสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในการชุมนุมช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้หลายคนเห็นถึงความต้องการส่งเสียงของเหล่าคนรุ่นใหม่ ความน่าสนใจอยู่ที่ คนรุ่นใหม่มักจะเป็นพลังขับเคลื่อนการชุมนุม ทั้งในและต่างประเทศมาตั้งแต่อดีตแล้ว อย่างที่ปรากฏในหนัง The Trial of the Chicago 7 ที่ลงแพล็ตฟอร์ม Netflix ไปไม่นาน และดูเหมือนมาได้ตรงจังหวะเวลาสถานการณ์การเมืองไทยและการเมืองโลกพอดี

The Trial of the Chicago 7 เล่าถึงเรื่องราวในปี 1968 แกนนำม็อบนักศึกษาอเมริกันทั้ง 7 คน (บวกกับชายผิวดำอีกหนึ่งที่ถูกรวมเข้ามาในการพิจารณาคดีอย่างงง ๆ) ได้พาคนหนุ่มสาวจำนวนมากเดินทางไปชิคาโก เพื่อประท้วงให้สหรัฐฯถอนกำลังออกจากสงครามเวียดนาม  จุดมุ่งหมายของพวกเขาคือการชุมนุมใกล้กับการประชุมพรรคเดโมแครต เพื่อแย่งพื้นที่สื่อและทำให้คนทั้งอเมริกาหันมาสนใจพวกเขา

ตัวแทนผู้ประท้วงหลักมาจากพรรคเยาวชนนานาชาติ (Youth International Party) หรือ Yippy ซึ่งได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมแบบบุปผาชน (หรือฮิปปี้) และคณะกรรมการเคลื่อนไหวเพื่อยุติสงครามเวียดนามแห่งชาติ (National Mobilization Committee to End the War in Vietnam) มีตัวแทนอยู่ทั้งหมด 7 คน ถูกตั้งข้อหาก่อจลาจล ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และวางแผนสมคบคิด ทั้งที่กิจกรรมส่วนใหญ่ในการชุมนุมคือการปราศรัยและดนตรีในสวน ตำรวจได้ส่งสายสืบจำนวนหนึ่งปลอมเป็นผู้ชุมนุมและให้การกล่าวหาเหล่าแกนนำ ทำให้พวกเขาตกที่นั่งลำบากในการพิจารณาคดี

ด้วยบทพูดที่เฉียบคม จากผู้กำกับและผู้เขียนบท แอร์รอน ซอร์คิน (ผู้เขียนบท The Social Network) ทำให้การโต้ตอบภายในห้องพิจารณาคดีที่มีความเสี่ยงจะดูน่าเบื่อ กลายเป็นการจิกกัดระบบศาลสหรัฐฯอย่างแสบสันและน่าติดตาม และทำให้ภาพฝันเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใสพังทลาย การเลือกนักแสดงเป็นอีกจุดแข็งในหนังเรื่องนี้ ตัวละครสำคัญที่หลายคนทำใจให้ชอบไม่ลง ก็คือผู้พิพากษาจูเลียส ฮอฟแมน รับบทโดย แฟรงค์ แลงเกลลา เป็นชายอเมริกันผิวขาวตามขนบที่ดูยังไงก็ห่างไกลจากคำว่ามีความยุติธรรมเสียเหลือเกิน เขาได้สั่งให้บ็อบบี ซึล ชายผิวดำผู้เป็นแกนนำพรรคแบล็คแพนเธอร์ มานั่งในการพิจารณาคดี และควบรวมการพิจารณาคดีฆาตกรรมของเขารวมเข้ากับผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นการเล่นการเมืองแบบหนึ่ง เจตนาคือทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมดูน่ากลัว และชี้นำอารมณ์ของเหล่าลูกขุนผิวขาวให้ไม่เข้าข้างผู้ชุมนุม ซึ่งทนายฝ่ายจำเลยอย่างวิลเลียม คุนส์เลอร์ ได้โต้แย้งไปแล้วแต่ฮอฟแมนปัดตกข้อกล่าวหาทิ้งไป

สิ่งที่ผู้ชมจะรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ตลอดการรับชมกระบวนการยุติธรรมครั้งนี้ ก็คือความไม่ยุติธรรม และอาจถึงขั้นรู้สึกเดือดดาลต่อผู้มีอำนาจที่ไร้หลักการและเพียง “ทำตามนายสั่ง” ผู้พิพากษาฮอฟแมนเป็นตัวแทนของผู้มีอำนาจนั้น ซึ่งใช้กฎหมายเข้าข้างตนเองและกดทับคนตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้คลุกคลีกับเครื่องมือของรัฐมากเท่าเขา มีครั้งหนึ่งที่ฝ่ายผู้ชุมนุมคิดไม้เด็ดออกและได้พยานคนสำคัญขึ้นให้การ แต่ผู้พิพากษาฮอฟแมนกลับเล่นกลโกงด้วยการไม่ให้ลูกขุนอยู่ฟังคำให้การนั้น และนั่นเท่ากับเป็นการตัดไพ่ใบสำคัญของผู้ชุมนุมทิ้งอย่างสกปรก

ในสังคมที่คนตัวเล็ก ๆ ต้องต่อสู้กับผู้มีอำนาจนั้น เราอาจต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่ยุติธรรมเสมอไป และเหล่าผู้ชุมนุมใน The Trial of the Chicago 7 ต่างพยายามแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อท้าทายผู้มีอำนาจ ผ่านการแต่งตัวหรือไม่ทำตามกฎ ซึ่งแม้พวกเขาจะถูกลงโทษภายหลัง แต่ก็ได้สื่อสารอะไรบางอย่างออกไปให้สังคมฉุกคิด การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เช่นนี้อาจไม่ต่างจากการชูสามนิ้ว หรือการฝังหมุดคณะราษฏร์ 2020 ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งมันได้ทำงานกับผู้คนในระดับที่ลึกกว่าการจดจำ นั่นคือสามารถกระตุ้นการกระทำบางอย่างได้นั่นเอง ดังวลีที่บอกว่า “หมุดนี้ได้ฝังแล้วในใจของคนไทย”

ในสังคมที่คนตัวเล็ก ๆ ต้องต่อสู้กับผู้มีอำนาจนั้น เราอาจต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่ยุติธรรมเสมอไป และเหล่าผู้ชุมนุมใน The Trial of the Chicago 7 ต่างพยายามแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อท้าทายผู้มีอำนาจ ผ่านการแต่งตัวหรือไม่ทำตามกฎ ซึ่งแม้พวกเขาจะถูกลงโทษภายหลัง แต่ก็ได้สื่อสารอะไรบางอย่างออกไปให้สังคมฉุกคิด การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เช่นนี้อาจไม่ต่างจากการชูสามนิ้ว หรือการฝังหมุดคณะราษฏร์ 2020 ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งมันได้ทำงานกับผู้คนในระดับที่ลึกกว่าการจดจำ นั่นคือสามารถกระตุ้นการกระทำบางอย่างได้นั่นเอง ดังวลีที่บอกว่า “หมุดนี้ได้ฝังแล้วในใจของคนไทย”

การเป็นผู้มีอำนาจนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ แบบแรกคือการครอบครองอำนาจที่ไม่เป็นทางการ (หรือ de facto) ซึ่งเป็นขั้นแรกของการใช้อำนาจ นั่นคืออำนาจนั้นได้รับการยอมรับจากสังคมในระดับหนึ่ง ส่วนขั้นที่สอง คือการที่อำนาจนั้นได้รับการยืนยันว่าถูกต้องตามกฎหมาย (หรือ de jure) ซึ่งผู้มีอำนาจทุกคนต่างพยายามอ้างว่าตนเองมีอำนาจแบบ de jure อยู่เสมอ  น่าเชื่อว่า การแสดงการแข็งขืนต่ออำนาจของเหล่าผู้ชุมนุม เป็นการพยายามทำให้อำนาจนั้นไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นแรก หรือไม่ผ่านขั้นที่เรียกว่าเป็นที่ยอมรับของสังคม ซึ่งถ้าพวกเขาหาแนวร่วมได้มากพอ ก็อาจมีส่วนกดดันให้เกิดการแก้กฎหมาย หรือแก้ในขั้น de jure ซึ่งจะเป็นการลบล้างอำนาจของผู้มีอำนาจไปได้อย่างแท้จริง

สถาบันศาลอย่างที่ปรากฏในหนังนั้น เป็นผู้ถืออำนาจ de jure ไว้อย่างเบ็ดเสร็จเสมอ และเป็นการยากที่จะแก้ไขข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้อำนาจในส่วนนี้ หลายครั้งที่ความศักดิ์สิทธิ์ของศาลได้พังทลายลง (เหมือนกับในบางประเทศ) ซึ่งหมายความว่าอำนาจแบบ de facto หมดไปแล้ว แต่ศาลยังสามารถทำงานต่อไปได้อีกยาวนาน ยังพิจารณาคดีและดำเนินคดีกับบุคคลได้ต่อไป นี่อาจเป็นความไม่ยุติธรรมในเกมระหว่างผู้มีอำนาจและประชาชนตัวเล็ก ๆ ที่แท้จริง เพราะตั้งแต่เราเป็นพลเมือง เราก็ได้มอบสิทธิส่วนหนึ่งให้แก้ผู้มีอำนาจ เพื่อให้บ้านเมืองมีผู้ปกครองและสามารถดำเนินไปได้ภายใต้กฏเกณฑ์บางชุด นี่จึงเป็นเงื่อนไขที่ไม่ยุติธรรมนัก แต่ทุกคนต้องยอมรับ และพยายามผลักดันให้มีเครื่องมือตรวจสอบให้ได้มากที่สุด

สังคมที่ยุติธรรม 100% อาจไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะเงื่อนไขที่เรามอบอำนาจบางส่วนของเราไว้ในมือผู้มีอำนาจ แต่ภายใต้ระบบประชาธิปไตย มันก็ได้เพิ่มโอกาสที่จะทำให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะความต้องการของปัจเจกบุคคลถูกสะท้อนมาจากการเลือกผู้แทน ซึ่งจะกลายเป็นผู้มีอำนาจต่อไป อย่างน้อยกระบวนการทางประชาธิปไตยก็เป็นเรื่องของการตรวจสอบและทำให้เผยแพร่แก่ประชาชน ดังบทสรุปของ The Trial of the Chicago 7 ที่แม้ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะถูกลงโทษ แต่พวกเขาบางคนก็มีอนาคตทางการเมืองที่สดใสกว่าคนทั่วไปหลังพ้นโทษ เพราะมีประชาชนที่ “เห็น” พวกเขา และพร้อมจะยืนอยู่ข้างพวกเขานั่นเอง

ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แม้จะมีคนแพ้จากเกมที่ไม่ยุติธรรมระหว่างเขาและผู้มีอำนาจ แต่พวกเขาก็สามารถยืนหยัดได้หลังความพ่ายแพ้ ก็น่าตั้งคำถามอย่างยิ่งว่า ในสังคมของเรานั้น ได้มีที่ยืนให้กับคนตัวเล็ก ๆ ที่ต่อสู้กับผู้มีอำนาจด้วยมือเปล่ามากพอแล้วหรือไม่

The Trial of the Chicago 7 ได้เข้ามาในช่วงที่การเมืองไทยและการเมืองโลกกำลังปรับบริบทอย่างมีนัยสำคัญ คือมีการตั้งคำถามกับผู้ถืออำนาจ de jure สูงสุดของประเทศ และต้องการแก้ไขเงื่อนไขในการใช้อำนาจดังกล่าวนั้น ผนวกกับทางฝั่งอเมริกาที่การเลือกตั้งใกล้เข้ามา และมีการตั้งคำถามถึงการใช้อำนาจอย่างเกินขอบเขตของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ อีกทั้งยังมีกระแสประท้วง Black Lives Matter ที่คุกรุ่น หนังเรื่องนี้จึงเป็นเหมือนกระบอกเสียงของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมและไม่จำนนให้แก่ผู้มีอำนาจง่าย ๆ 

อาจเห็นได้ว่าจิตวิญญาณการปฏิรูป ปฏิวัติในสายเลือดของคนรุ่นใหม่ในอดีตนั้นไม่ได้แตกต่างจากปัจจุบันมากนัก พวกเขาล้วนเป็นพลังบริสุทธิ์ และอยากได้สังคมหรืออนาคตที่ดีกว่าเพื่อเติบโตต่อไป พวกเขามีพลังและความทะยานอยากซึ่งไม่อาจถูกมองข้าม และมีอำนาจในการขับเคลื่อนสังคม หรือแม้กระทั่งทำให้ผู้ใหญ่ในสังคมต้องหันมามอง และมารับฟัง สิ่งที่ม็อบรุ่นนี้ต่างจากปี 1968 อาจเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร อย่างเช่น โซเชียลมีเดีย และการผลิตสื่อที่เป็นปัจเจกมากกว่าเท่านั้น

ไม่แปลกที่ The Trial of the Chicago 7 ได้เรตติ้งดีมากใน Rotten Tomatoes (92%) และ IMDB (8/10) และน่าจะเป็นหนังขึ้นหิ้งอีกเรื่องของแอรอน ซอร์คิน ที่ปล่อยออกมาได้ในช่วงเวลาอันเหมาะเจาะ


ชม The Trial of the Chicago 7 ได้ที่ Netflix

Box Office Report : รายได้หนังประจำวันที่ 13 ต.ค. 63

เนื่องจากสัปดาห์นี้หนังใหม่เลื่อนมาเปิดตัวตั้งแต่วันอังคารที่ 13 ต.ค. ซึ่งตรงกับวันหยุด ส่งผลอย่างรุนแรงต่อหนังไทยอีกเรื่อง ‘เลิฟยู..โคกอีเกิ้ง’ ที่ครองอันดับ 1 ได้ไม่กี่วันก็ร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ส่วนหนังที่ครองอันดับ 1 เมื่อวานนี้คือหนังใหม่ ‘เฮ้ย! ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ’

รายได้หนังประจำวันที่ 13 ต.ค. 63


1. เฮ้ย! ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ – 1.98 ล้านบาท
2. Honest Theft – 1.16 ล้านบาท
3. Greenland – 0.38 (18.49) ล้านบาท
4. The Eight Hundred – 0.35 (2.01) ล้านบาท
5. Dragon Rider – 0.32 (0.61) ล้านบาท
6. เลิฟยู..โคกอีเกิ้ง – 0.30 (2.14) ล้านบาท
7. Vanguard – 0.24 (6.47) ล้านบาท
8. Ultraman Taiga The Movie: New Generation Climax – 0.12 ล้านบาท
9. War with Grandpa – 0.09 (0.94) ล้านบาท
10. Tenet – 0.06 (58.51) ล้านบาท