ถ้าให้มองไปก่อนหน้านี้ ปี พ.ศ. 2559 ที่ภาพยนตร์อนิเมะอย่าง Your Name ก็เคยสร้างปรากฏการณ์ทำรายได้ 43 ล้านบาท หลังจากนั้นก็มีการซื้อภาพยนตร์อนิเมะมาฉายในโรงไทยอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้เท่า Your Name แต่ก็สามารถบอกได้ว่ามีกลุ่มคนดูที่พร้อมจะเสียเงินเข้าไปดูอนิเมะในโรงเหมือนกัน
ต้องมองย้อนกลับไปว่าประเทศไทยนั้นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นมายาวนาน ผ่านทั้งมังงะ อนิเมะ ละคร และภาพยนตร์ต่างๆ โดยเฉพาะคน Gen X และ Gen Y ที่วัยเด็กนั้นโตมากับวัฒนธรรมเหล่านี้จนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งใน Pop Culture ของพวกเขา มาจนถึงยุคปลาย 80 ถึงกลาง 90 ที่เป็นยุคทองของอนิเมะบนฟรีทีวี ไม่ใช่แค่ช่อง 9 แต่ช่อง 3 และ 7 ต่างก็มีช่วงฉายอนิเมะของตัวเอง มีการเอาหนังอนิเมะดังๆ มาฉายในวันหยุดนักขัตฤกษ์ (ใช่ครับ Akira เคยฉายบนฟรีทีวีมาแล้วหลายครั้ง) เป็นยุครุ่งโรจน์ของวงการหนังสือการ์ตูนไพเรต (ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์) และวิดีโออนิเมะเถื่อน (ที่สมัยนั้นเรามักเข้าใจว่าถูกลิขสิทธิ์) ที่ราคาถูกและหาได้ง่ายตามร้านเช่าวิดีโอทั่วไป
แต่หลังจากนั้นพื้นที่ทางวัฒนธรรมของสื่ออนิเมะจากญี่ปุ่นก็ลดลง อนิเมะตามฟรีทีวีลดลงแม้แต่ตัวช่อง 9 การ์ตูน มังงะและวิดีโออนิเมะเข้าสู่ระบบลิขสิทธิ์ ราคาสูงขึ้น เข้าถึงยากขึ้น ประกอบกับโลกเข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ตที่วัฒนธรรมอื่นๆ เริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับวัยรุ่นมากขึ้น ทำให้เหล่า Gen X ที่ย่างเข้าสู่วัยทำงานกับ Gen Y ที่เป็นวัยรุ่นเต็มตัวค่อยๆ ถอยห่างจากอนิเมะและมังงะไป จนวัฒนธรรมอนิเมะและมังงะของญี่ปุ่นค่อยๆ ลดบทบาทลงจนกลายเป็น Sub Culture ใครที่โตแล้วและยังดูหรือตามอยู่ก็จะถูกมองว่าเป็นพวกที่คลั่งไคล้หมกมุ่นหรือ “โอตาคุ”
กลุ่มเป้าหมายของวิดีโอสตรีมมิ่งที่ดูฟรีนั้น มักจะเป็นเด็กประถม มัธยม ไปจนถึงมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว จึงไม่ยากที่อนิเมะจะเป็นหนึ่งในคอนเทนต์ยอดนิยม อย่างเช่น “ยอดนักสืบจิ๋ว โคนัน” ก็ติดอยู่ในทำเนียบร้อยล้านวิวของทาง Line TV ที่น่าสนใจคือสตรีมมิ่งที่กลุ่มเป้าหมายเป็นวัยทำงานอย่าง Netflix ก็จะมีอนิเมะติดอันดับใน Top 10 in Thailand ประจำวันอยู่เสมอ ซึ่งในหมวด Top TV Show in Thailand ของปี 2020 จากการติดตามวัดผลอันดับของเว็บ https://flixpatrol.com อนิเมะเรื่อง Kimetsu no Yaiba ก็ติดอยู่ที่อันดับ 11 ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงมากเมื่อต้องแข่งกับซีรีส์ชื่อดังทั้งเกาหลี ฝรั่งและไทย อันดับที่น่าสนใจต่อๆ มาก็ได้แก่ Dr.Stone อันดับ 27 My Hero Academia อันดับ 40 และอีกหลายเรื่องที่ติดอันดับจากซีรีส์นับพันที่มีอยู่ในแพลตฟอร์ม ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่ฐานคนดูอนิเมะนั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องฮิตอย่าง Kimetsu no Yaiba (ดาบพิฆาตอสูร) ที่มีแฟนคลับเป็นจำนวนมาก และมีให้ดูในวิดีโอสตรีมมิ่งเกือบทุกเจ้า จึงไม่ต้องแปลกใจที่จะเข้าโรงไปดูแล้วเห็นว่าคนวัยทำงานมาดูกันมากมายไม่แพ้วัยรุ่นและเด็ก (และคนวัยทำงานนี่แหละที่มีกำลังซื้อดูในโรงพิเศษอย่าง IMAX)
ส่วนในโรงภาพยนตร์นั้นหลังจาก Your Name บ้านเราก็มีโอกาสได้ดูภาพยนตร์อนิเมะในโรงอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้จะส่วนใหญ่จะฉายแบบจำกัดโรงก็ตาม แต่ในปีนี้ก็มีสถิติที่น่าสนใจ อย่างการที่ My Hero Academia : Heroes กวาดรายได้อันดับหนึ่งของบ็อกซ์ออฟฟิศไทยในวันที่ 2 กรกฎาคม ทำเงินไป 0.72 ล้านบาทและทำรายได้อันดับหนึ่งต่อเนื่องถึง 2 สัปดาห์ ก่อนที่ภาพยนตร์อนิเมะเช่นเดียวกันจะมาโค่นแชมป์ก็คือ Digimon Adventure Last Evolution Kizuna ที่ทำรายได้เปิดตัวอันดับหนึ่งไป 0.62 ล้านบาท ถึงแม้ว่าตัวเลขจะดูไม่มากนักเพราะเป็นช่วงที่โรงหนังเพิ่งจะกลับมาฉายอีกครั้งได้ไม่นาน แต่ภาพยนตร์อนิเมะทั้งสองเรื่องก็กวาดรายได้อันดับหนึ่งในช่วงนั้นและกวาดรายได้รวมไปไม่น้อยเลยทีเดียว
ถึงจาก sub culture จะกลับมาเป็น pop culture ได้ แต่อย่างไรก็ตามการที่คนหันมาดูอนิเมะมากขึ้นเพราะธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับรายได้สะเทือนโรงของ “ดาบพิฆาตอสูรเดอะมูฟวี่ ศึกรถไฟสู่นิรันดร์” เพราะยังไงสาเหตุหลักของความสำเร็จนั้นย่อมมาจากการที่เวอร์ชั่นซีรีส์สามารถสร้างฐานแฟนคลับไว้จำนวนมากและคุณภาพของตัวภาพยนตร์ที่ทำให้คนพูดถึงปากต่อปากหรือสนุกจนอยากมาดูซ้ำนั่นเอง
แมงค์เกิดในครอบครัวเยอรมัน-ยิว เริ่มต้นอาชีพจากการเป็นนักข่าว นักวิจารณ์ละคร นักเขียนบทละครวิทยุ ละครเวที แล้วกลายมาเป็นคนเขียนบทหนังตั้งแต่ปี 1926 ด้วยการร่วมงานกับค่ายพาราเมาท์และเอ็มจีเอ็มในหนังทำเงินอย่าง Man of the World, Dinner at Eight และ The Wizard of Oz ซึ่งทำให้เขาก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในมือเขียนบทผู้ปราดเปรื่องที่ได้ค่าจ้างแพงที่สุดในฮอลลีวูดต้นยุค 30 ก่อนที่นิสัยขี้เมา ติดพนัน และความนอกคอกจะทำให้เขากลายเป็นที่เข็ดขยาดและตกงานในไม่กี่ปีต่อมา กระทั่งได้รับข้อเสนอจากคนทำหนังหน้าใหม่วัย 24 ปีนาม “ออร์สัน เวลส์” ให้มาเขียนบทหนังชื่อ “Citizen Kane”
ครอบครัวแมงคีวิกซ์ถือว่ามีบทบาทในฮอลลีวูดมากๆ เพราะนอกจากแมงค์แล้ว โจเซฟ แอล แมงคีวิกซ์ น้องชายของเขา (ใน Mank รับบทโดย ทอม เพลฟรีย์) ก็ประสบความสำเร็จสุดๆ ทั้งในฐานะคนเขียนบทและผู้กำกับ (เขาคว้าออสการ์ 2 ปีติดกันจาก A Letter to Three Wives ปี 1949 และ All About Eve ปี 1950), ดอน ลูกชายของเขาก็เป็นคนเขียนบทหนังระดับชิงออสการ์ (I Want to Live! ปี 1958), ทอม หลานชายเขาเป็นคนเขียนบทหนัง เจมส์ บอนด์ หลายภาค, เบน หลานปู่ของเขาเป็นพิธีกรช่องหนังคลาสสิก Turner Classic Movies นอกจากนั้น แฟรงค์ ลูกชายอีกคนของเขาก็ยังเคยเป็นผู้ช่วยวุฒิสมาชิก โรเบิร์ต เคนเนดี และเป็นประธาน National Public Radio ด้วย
*ใน Mank มีฉากหนึ่งเล่าถึงวีรกรรมน่าทึ่งของแมงค์ที่เคยควักเงินส่วนตัวช่วยคนยิวหลายร้อยคนในเยอรมนีให้อพยพหนีนาซีมายังอเมริกา ซึ่งนี่เป็นเรื่องจริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ช่วย “ทั้งหมู่บ้าน” อย่างที่ได้ยินในหนังก็ตาม และความเจ๋งของแมงค์ไม่ได้จบแค่นั้น ในปี 1933 เขาเขียนบทและพยายามจะสร้างหนังต่อต้านนาซีชื่อ The Mad Dog of Europe ซึ่งมีตัวร้ายชื่อ “อดอล์ฟ มิตเลอร์” ด้วย ความพยายามนี้ของเขามีส่วนสำคัญในการทำให้สังคมอเมริกันเริ่มตระหนักถึงความน่าหวาดกลัวของนาซี และส่งผลให้ โยเซฟ เกิบเบิลส์ รัฐมนตรีวัฒนธรรมของนาซีสั่งแบนไม่ให้ผลงานทุกชิ้นที่มีชื่อแมงค์ได้ฉายในเยอรมนี
ออร์สัน เวลส์ (รับบทโดย ทอม เบิร์ก)
แม้จะโผล่มาใน Mank ไม่กี่ฉาก แต่มีอิทธิพลต่อทั้งเรื่อง …ในปี 1938 “เด็กอัจฉริยะ” ผู้กำลังดังจากงานละครวิทยุ The War of the Worlds(ดัดแปลงจากนิยายไซไฟของ เอช จี เวลส์) คนนี้ได้รับดีลพิเศษจากค่าย RKO ให้ทำหนังยาวเรื่องแรกในชีวิตโดยเป็นหนังอะไรก็ได้ แต่เนื่องจากคนในฮอลลีวูดหลายคนเกลียดขี้หน้าเวลส์ เขาจึงหันไปชวนมือดีที่กำลังตกอับอย่างแมงค์ (ซึ่งเคยช่วยเขาเขียนบทละครวิทยุมาก่อน) มาร่วมงาน ภายใต้เงื่อนไขแรกว่าแมงค์จะได้ค่าจ้างอย่างงาม แต่จะไม่ได้เครดิตเป็นผู้เขียนบท
นอกจากด้านผลงานหนังอันโดดเด่นและบทบาททางการเมือง เมเยอร์ยังถูกจดจำในด้านร้ายจากพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศนักแสดงหญิงมากมาย เช่นกรณีของ จูดี้ การ์แลนด์ นางเอก The Wizard of Oz (1939) ซึ่งถูกบังคับให้ใช้ยาเสพติดขณะอยู่ในกองถ่ายและถูกเมเยอร์ละเมิดต่อเนื่องนานหลายปี
The Forty-Year-Old Version เป็นผลงานการกำกับและการแสดงของราด้า แบลงค์ ภาพยนตร์ขาวดำเรื่องนี้เปิดตัวครั้งแรกที่เทศกาลซันแดนซ์ปี 2020 และคว้ารางวัลการกำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในสาย U.S. Dramatic เมื่อมองในชั้นผิวเผิน มันก็เป็นหนังตลกฟอร์มเล็กล้อโครงสร้างหนังสู้เพื่อฝันทั่วไป แต่เมื่อมองอีกระดับหนึ่ง มันก็แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้หลายระดับของผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตในยุคนี้ได้ดุเดือดเหลือเชื่อ
ชื่อเต็มๆ ของหนังเรื่องนี้ คือ Borat: Cultural Learnings of America for Make Benefit Glorious Nation of Kazakhstan ความไม่ธรรมดาของหนังเรื่องนี้คือมันจิกกัดวัฒนธรรมอเมริกันได้อย่างแสบสัน จน The Boston Globe ยกย่องว่าเป็น “หนังที่ตลกที่สุดในรอบปี” หรือแม้กระทั่ง The Atlantic เองก็ยกให้เป็น “หนังที่ตลกที่สุดในรอบทศวรรษ” นอกจากนั้น หนังยังไปไกลถึงขั้นได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขา Best Adapted Screenplay ในปีนั้นอีกด้วย แต่พ่ายให้กับ The Departed
ในหนังภาคต่อของ Borat ที่มีชื่อว่า Borat Subsequent Moviefilm: Delivery of Prodigious Bribe to American Regime for Make Benefit Once Glorious Nation of Kazakhstan โบรัตทำแสบอีกด้วยการเล่นกับประเด็นทางการเมือง เพื่อล้อเลียนโดนัลด์ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ โบรัตยังคงทำพฤติกรรมต่ำตมต่อไป และบารอน โคเฮน ถึงขั้นต้องปลอมตัวเพื่อเข้าถึงตัวรองประธานาธิบดี หนังออกฉายวันที่ 23 ตุลาคม ทาง Prime Video ส่วน Borat ภาคแรก สามารถชมได้ทาง Netflix
Richard Jewell (2019) สร้างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปี 1996 จากฝีมือการกำกับของ คลินต์ อีสท์วู้ด (Clint Eastwood) ยอดนักแสดงและผู้กำกับลายครามวัย 90 ผู้เคยฝากผลงานระดับขึ้นหิ้งไว้หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น The Bridges of Madison County (1995) Mystic River (2003) Gran Torino (2008) ฯลฯ
“หนังสั้นมาราธอน” (Marathon Short) คือกิจกรรมเบิกโรงที่กลายเป็นประเพณีของ “เทศกาลภาพยนตร์สั้น” (Thai Short Film and Video Festival) เทศกาลหนังที่ถือเป็นก้าวสำคัญของคนทำหนังกับบุคลากรในวงการภาพยนตร์ไทยรุ่นปัจจุบันจำนวนมาก ซึ่งจัดต่อเนื่องอายุยืนผ่านทุกความท้าทายมาถึงปีที่ 24 แล้ว – อายุยืนกว่าเทศกาลภาพยนตร์ใดๆ ก็ตามที่เคยจัดขึ้นในประเทศไทย
After a Long Walk, He Stands Still (กันตาภัทร พุทธสุวรรณ)
หากไม่นับหนังสงครามที่มุ่งขายฉากรบอลังการกับหนังประกวดโครงการคนดีที่ต้องเทิดทูนทุกสถาบันจารีต น้ำเสียงหลักของหนังสั้นไทยที่เล่าเรื่องทหาร (แบบตรงๆ) ในช่วงไม่กี่ปีหลังคือการเสียดสีประชดแดกดัน – After a Long Walk, He Stands Still จึงโดดเด่นเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมกลุ่ม เพราะหนังเล่าเรื่องทหารเกณฑ์สัญชาติไทยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งจริงจัง และต่อยหนักผ่านภาพคลีนๆ คมๆ ที่ชวนให้นึกถึงวิธีการของ ดินไร้แดน (นนทวัฒน์ นำเบญจพล, 2019)
Capital of Mae La คือชื่อเรื่องดั้งเดิมของ Space of Refuge หนึ่งในผู้เข้าชิงชมรมวิจารณ์บันเทิง สาขาภาพยนตร์สารคดีสั้นยอดเยี่ยม หนังถือกล้องเข้าแดนสนธยาที่เปรียบเสมือนนครหลวงของเครือข่ายค่ายผู้อพยพที่ตั้งอยู่ชายแดนไทยพม่ามาร่วมชั่วอายุคน ถ่ายทอดชีวิตร่วมสมัยของผู้อพยพกับผู้ลี้ภัยในค่ายแม่หละ เจาะประเด็นซับซ้อนได้เปี่ยมชีวิตชีวา (พฤติการณ์ของทางการไทย -สร้างความกลัวให้คนในค่ายฯ หลังรับรู้การมีอยู่ของหนังเรื่องนี้- คือเหตุที่ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อลดแรงต้านไประยะหนึ่ง ก่อนกลับมาใช้ชื่อเดิม)
แคปเปอร์ : บ้านเรามันเคยมี Bangkok International Film Festival นะ แล้วก็เกิดการทุจริตติดสินบนจำคุกกันไป มันเกิดจากคนในองค์กรรัฐทำเหี้ยไรกันก็ไม่รู้ แทนที่มันจะต่อยอดเป็นองค์กรเป็นอะไรต่อไป รัฐบาลจะยิ่งได้หน้าได้ตามีดาราฮอลลีวูดมาเดินพรมแดง มีคนระดับโลกระดับเอเชียมามากหน้าหลายตาคนยิ่งชอบ แต่ตรงนี้มันหายไปแล้วกลายเป็นตราบาปวงการหนังไปเลย
บ้านเรามันเคยมี Bangkok International Film Festival นะแล้วก็เกิดการทุจริตติดสินบนจำคุกกันไป มันเกิดจากคนในองค์กรรัฐทำเหี้ยไรกันก็ไม่รู้ แทนที่มันจะต่อยอดเป็นองค์กรเป็นอะไรต่อไป แต่ตรงนี้มันหายไปแล้วกลายเป็นตราบาปวงการหนังไปเลย
School Town King เป็นสารคดีติดตามชีวิตของเด็กชุมชนคลองเตย ที่ใช้การแร็ปบอกเล่าชีวิตของเด็กสลัมอย่างพวกเขา ซึ่งหากใครมีโอกาสได้ชม My Echo, My Shadow and Me ที่เข้าชิงรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิงสารคดีสั้นยอดเยี่ยม ปีล่าสุด คงจะพอเห็นความเชื่อมโยงระหว่างหนังทั้งสองเรื่องได้ เพราะมันต่างเล่าความฝันของวัยรุ่นในชุมชนแออัดด้วยกันทั้งคู่ แต่จริงๆ แล้ว หนังเรื่องนั้นคือส่วนหนึ่งของการทำรีเสิร์ชกับชุมชน เป้าหมายที่แท้จริงของ School Town King คือการพุ่งเป้าไปที่การศึกษาต่างหาก
School Town King ถ่ายทำเมื่อปี 2018 ระหว่างนั้นเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย วรรจธนภูมิกับกลุ่ม Eyedropper Fill ได้ทำโปรเจกต์ยิงเลเซอร์ “ตามหาความจริง” ตามสิ่งปลูกสร้างในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 63 ขณะที่บุ๊คก็โดนหมายจับ ม.116 (ยุยงปลุกปั่น) จากการขึ้นไปแร็ปบนเวทีชุมนุม เยาวชนปลดแอก เมื่อวันที่ 18 ก.ค.63 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สอดคล้องไปกับที่ความตื่นตัวเรื่อง “การศึกษา” และ “ความเหลื่อมล้ำ” ดังที่วรรจธนภูมิต้องการสื่อสารผ่าน School Town King วิวัฒน์ไปไกลจากวันนั้นมาไกลนัก
ข่าวไม่สู้ดีสำหรับธุรกิจโรงหนังหลังโควิดยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดคือการประกาศของค่ายวอร์เนอร์บราเทอร์สที่ว่า หนังใหม่ทั้งหมดของทางค่ายในปีหน้าจะไม่เปิดฉายในโรงก่อนแบบที่เคยเป็นมาอีกต่อไป แต่จะฉายทาง HBO Max ไปด้วยเลยพร้อมกัน! ซึ่งรวมถึงหนังที่เป็นความหวังของบรรดาโรงอย่าง Matrix 4, Dune และหนังหวังรางวัลอย่าง Judas and the Black Messiah ด้วย
ไลน์อัพหนังในแพลตฟอร์มนี้จะร้อนแรงขึ้นทันตาเห็นด้วยหนังอย่าง The Matrix 4, Dune, In the Heights รีเมค, The Many Saints of Newark ภาคพรีเควลของซีรี่ส์ The Sopranos, The Suicide Squad, Godzilla vs. Kong, Conjuring ภาคใหม่, ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้คู่แข่งอย่าง Netflix กับ Amazon Prime เริ่มหนาว, อาจกดดันให้ Disney Plus ต้องรีบโชว์ลิสต์หนังในมือออกมาอวด รวมทั้งอาจต้องทบทวนการฉายของ Black Widow ให้ลงออนไลน์พร้อมๆ กับเข้าโรงบ้าง
3) มีอะไรเปลี่ยนแปลงสำหรับค่ายวอร์เนอร์เอง
ค่ายนี้ปรับเปลี่ยนจาก Time Warner มาเป็น WarnerMedia ต้อนรับศตวรรษที่ 21 ซึ่งหมายถึงการที่พวกเขาจะระดมผลิตคอนเทนต์และเผยแพร่มันผ่านช่องทางใหม่ๆ อย่างจริงจัง แน่นอนว่าสำหรับสายหนัง ทีวี และซีรี่ส์แล้ว ปลายทางที่พวกเขากำลังมองว่าเป็นอนาคตก็คือ HBO Max หาใช่โรงหนังไม่
ปี 2015 อามัลยื่นฟ้องรัฐบาลสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ต่อคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการ (UN Working Group on Arbitrary Detention ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ) กรณีการควบคุมตัวอดีตปธน. กลอเรีย มาคาปากัล-อาร์โรโย และคณะทำงานฯ ได้ออกความเห็นในเวลาต่อมาว่า การควบคุมตัวนี้ “ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ”
หากผู้หญิงต้องมีห้องส่วนตัวเพื่อเขียนนิยายของตัวเอง ดังที่เวอร์จิเนีย วูล์ฟ เสนอไว้ใน A Room of One’s Own เบธ ฮาร์มอน ก็มีพื้นที่ส่วนตัวที่สร้างขึ้นในหัวของเธอเอง ที่ที่เป็นเอกเทศจากปัจจัยภายนอกทุกอย่าง และเป็นโลกที่เธอมีเสรี
หมายเหตุ : เช่า The Price of Democracy พร้อมกับหนังในเทศกาลภาพยนตร์สารคดีไต้หวันเรื่องอื่นได้ที่ Doc Club on Demand (เปิดให้เช่าถึงวันที่ 10 ธ.ค. และมีระยะเวลาในการดู 1 สัปดาห์นับตั้งแต่วันเช่า)
Better Days (ซึ่งดัดแปลงจากนวนิยายเรื่อง In His Youth, In Her Beauty ของ Jiu Yuexi) เลือกใช้ประเด็นเรื่องการกลั่นแกล้งรังแก (bully) กันในโรงเรียน และความเคร่งเครียดกดดันจากระบบการสอบเกาเข่า มาเป็นแว่นส่องสำรวจและวิพากษ์ระบบการศึกษาของประเทศจีน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการ bully ซึ่งเป็นประเด็นร่วมสมัยที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ และนับวันก็ยิ่งทวีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น
Dick Johnson is Dead ผลงานสารคดีเรื่องใหม่ของเคียร์สเตน จอห์นสัน (ผู้สร้างชื่อจาก Cameraperson) ท้าทายกับความตายทั้งสองครั้งที่ว่า ด้วยการจับเอาดิค จอห์นสัน คุณพ่อผู้กำลังเข้าสู่ภาวะความจำเสื่อมถอยจากโรคอัลไซเมอร์ มาถ่ายจำลองฉากการตายหลากหลายรูปแบบเก็บไว้ ในทางหนึ่งแล้วการกระทำเช่นนี้กวนตีนอย่างเหลือเชื่อ ในอีกทางหนึ่งมันก็ตั้งคำถามชวนคิดขึ้นมาอีกว่า เมื่อวันที่เขาไม่อาจจดจำอะไรได้มาถึง เราจะเรียกว่านี่คือความตายของดิค จอห์นสันได้หรือไม่
“สิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดในอาการหลงลืมนี้คือ ผมทำให้บรรดาคนรอบตัวเสียใจ” เพื่อนของดิคหลายคนปรากฏตัวในฉากงานศพที่ถูกจำลองขึ้นมาเป็นฉากหนึ่งในหนัง พวกเขาหัวเราะเฮฮาไปกับความเพี้ยนพิลึกช่วงก่อนเข้าพิธีและร้องไห้ออกมาราวกับว่าความตายของมิตรสหายมาถึงแล้วจริงๆ ระหว่างพิธีหลอกดำเนินไป สถานการณ์ประหลาดนี้ชวนให้นึกถึงข้อความส่วนหนึ่งจากหนังสือ ตาย-เป็น (Being Mortal: Medicine and What matters in the end พิมพ์ในฉบับภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์ Openbooks) ของนายแพทย์อาทูล กาวานดี ข้อความนั้นกล่าวว่า “คนที่มีอายุมากบอกผมว่าพวกเขาไม่ได้กลัวความตาย แต่พวกเขากลัวสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะตาย ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียการได้ยิน ความจำเสื่อม การเสียเพื่อนที่ดีที่สุด รวมทั้งสูญเสียวิถีดำเนินชีวิตของพวกเขา” การซ้อมตายสารพัดวิธีของผู้เฒ่าดิ๊กยิ่งขับสารนี้ออกมาอย่างชัดเจน
สิ่งสำคัญที่ช่วยไม่ให้การสบตากับความตายครั้งนี้ไม่หดหู่จนเกินไปนักคือการที่ผู้กำกับเลือกที่จะขยิบตาให้มันเสียหน่อยด้วยอารมณ์ขันร้ายกาจ เหล่าผู้คนที่ปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้มีปริมาณความตลกเจือปนอยู่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอเลือกพิจารณาความตายด้วยวิธีน่าจะมาจากการที่เธอได้รับอิทธิพลความเชื่อทางศาสนามาจากพ่อผู้ศรัทธาในนิกาย Seven Days Adventist ความเชื่อที่ว่าความตายไม่ใช่ปลายทางของชีวิต เป็นเพียงจุดพักผ่อนสำหรับรอขึ้นสวรรค์ในวันพิพากษา