INTERVIEW

ให้มันจบที่รุ่นเรา : การเมือง ประชาธิปไตย และคนรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย (ตอนที่ 2)

(อ่านตอนแรกได้ที่นี่)

เกม เบ็นโล คุณสองคนเพิ่งเริ่มทำงาน พวกคุณช่วยเล่าปัญหาของบัณฑิตสายภาพยนตร์ให้พวกเราฟังได้ไหม

เบ็นโล : เราเพิ่งเจอสเตตัสของรุ่นพี่มหาลัย เราเองก็เจอเรื่องนี้เหมือนกันว่า ‘เราทำยังไงเราถึงจะเปลี่ยนมันได้วะเรื่องการเขียนบทไม่เซ็นสัญญา’ เขียนๆ ไปยังไม่รู้เลยค่าตอบแทนได้ตอนหนึ่งเท่าไหร่ แล้วเราก็เพิ่งนึกออกว่ามีสมาคมนักเขียนบทละครโทรทัศน์อยู่ ก็เลยไปดูเพจเขา สิ่งที่เขาทำคือจัดประกวดนักเขียนบทหน้าใหม่ซึ่งเรารู้สึกว่าประเทศเรามีการประกวดทำหนังสั้น ประกวดเขียนบทอะไรอย่างนี้เยอะนะ อยากจะหาดาวรุ่งพุ่งแรงหน้าใหม่ แต่คำถามมึงจะประกวดไปทำไมวะในเมื่อคนหน้าใหม่เข้ามาแม่งก็อยู่ไม่ได้ เรารู้สึกว่าการทำงานกับความเข้าใจของคนข้างนอกก็เรื่องหนึ่งแหละแต่ถ้าคนข้างในยังไม่เห็นค่าความเป็นมนุษย์ของแรงงานจบใหม่ (จิ๊ปาก) มันยากมากเลยเพราะคุณจะทำเหมือนฆ่าตัดตอนด้วยตัวคุณเอง เพราะว่าคุณทำให้คนหน้าใหม่ยืนไม่ได้แล้วคนที่ยืนได้ก็คือคนที่มีทุนเรื่องเงินหรือทำหนังได้รางวัล ซึ่งรางวัลปีหนึ่งมีอยู่ประมาณ 3-4 ถ้วย แล้วมันจะมีแค่อี 3-4 คนนั้นเหรอที่ยืนอยู่ในวงการได้ประมาณหนึ่ง แล้วโอกาสที่จะไปอยู่แถวหน้าของคนอื่นคือตรงไหนนะ พอหมดโอกาสการเป็นนักศึกษาปุ๊บก็ยากเลย เราว่ามัน Bullshit ถ้าคุณมานั่งหาหน้าใหม่ไปเรื่อยๆ เหมือนพวกวงการเพลงน่ะมีรายการประกวดร้องเพลงอยู่สิบรายการเลยแต่ไม่มีรายการที่ให้ศิลปินมาร้องเพลง มันประหลาด เพราะเดี๋ยวนี้มันไปดังในยูทูบกันหมดแล้วมั้ง

เกม : มีเคสคนอกหักจากการเขียนบทเยอะมาก (เน้นเสียง) ผมรู้สึกว่าทั้งในเรื่องไปทำแล้วงานไม่ได้ออน งานไม่ได้ไปต่อแล้วก็ได้แค่ค่าเรื่องย่อซึ่งมันน้อยมาก หรือมาเขียนเป็นทีมแล้วพอโปรเจคไม่ได้ไปต่อก็ทีมแตก ทั้งคนข้างบนไม่เห็นเหมือนเรา เขารู้สึกมันทำเงินไม่ได้แล้วก็โน่นนี่นั่น มันหลายอย่าง มันไม่ได้มีการฝึกฝนอะไรไปต่อ

แคปเปอร์ : บางทีมันหลงไปอยู่ในโปรเจคอะไรก็ไม่รู้เนาะที่เราก็มีฝันน่ะ แต่มันขายฝันให้เด็กจบใหม่นะบางคนน่ะ วาดฝันให้สวยหรูอย่างงี้ๆ แต่พอไปทำจริงๆ แล้วแม่ง…

เกม : ปัญหาคือตลาดต้องการอะไรวะ (หัวเราะ) ตลาดต้องการแคบไปรึเปล่า จะมานั่งให้กูทำตามความต้องการมึงแต่ความต้องการมึงแคบไปรึเปล่า

แคปเปอร์ : ตลาดมันกว้างแต่คนตัดสินใจมันแคบ เอาจริงคนดูหนังชอบบอกว่าคนทำหนังอ่ะดูถูกคนดู เท่าที่ทำงานมารู้สึกว่าอีกมุมหนึ่งก็คือคนทำหนังดูถูกตัวเองแล้วก็ดูถูกคนที่ทำงานด้วยว่ามึงทำแบบนั้นไม่ได้หรอกมันยาก เขียนไปทางนั้นไม่เวิร์ค จะทำได้หรอวะ มีคำถามนี้อยู่บ่อยครั้งมาก มันก็เลยไปไม่พ้นข้อจำกัดของตัวเองที่มันจะเป็นไปได้ ที่มันจะดีขึ้น ที่มันจะหลากหลายขึ้น

เบ็นโล : หรือบางคนอาจจะไม่ได้อยากต้องการตะกายดาวอะไร แค่อยากเป็นคนทำงานที่มีอยู่มีกินได้ทำงานไปเรื่อยๆ ได้พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ฝีมือดีขึ้นเรื่อยๆ แค่นี้ยังไม่พอมีเลยน่ะ ตอนนี้วงการภาพยนตร์ในเด็กรุ่นเรามันเหมือนเป็นสนามเด็กเล่นของชนชั้นกลาง คนที่มีทุนเท่านั้นจะอยู่ในวงการได้ในระดับหนึ่ง หมายความว่าคุณไม่ต้องเลี้ยงพ่อแม่ คุณไม่ต้องจ่ายค่าที่อยู่อาศัยเอง ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟเอง บางคนจ่ายเองจริงแต่ถ้าเงินหมดก็ไปหาพ่อแม่ได้ บางคนต้องส่งเงินให้พ่อแม่เลี้ยงเพราะพ่อแม่แก่เฒ่าเกษียณหรือทำงานเอกชนไม่มีสวัสดิการบำนาญ บางคนไม่มีทุนทรัพย์พอจะหมุนเงินไม่มีแรงมากพอในระบบฟรีแลนซ์ที่ไม่เซ็นสัญญาแบบนี้

ตอนนี้วงการภาพยนตร์ในเด็กรุ่นเรามันเหมือนเป็นสนามเด็กเล่นของชนชั้นกลาง คนที่มีทุนเท่านั้นจะอยู่ในวงการได้ในระดับหนึ่ง หมายความว่าคุณไม่ต้องเลี้ยงพ่อแม่ คุณไม่ต้องจ่ายค่าที่อยู่อาศัยเอง ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟเอง บางคนจ่ายเองจริงแต่ถ้าเงินหมดก็ไปหาพ่อแม่ได้ บางคนต้องส่งเงินให้พ่อแม่เลี้ยงเพราะพ่อแม่แก่เฒ่าเกษียณหรือทำงานเอกชนไม่มีสวัสดิการบำนาญ บางคนไม่มีทุนทรัพย์พอจะหมุนเงินไม่มีแรงมากพอในระบบฟรีแลนซ์ที่ไม่เซ็นสัญญาแบบนี้

เกม : ที่เบ็นโลบอกสนามเด็กเล่นของชนชั้นกลางเรารู้สึกว่าบางคนมีน้อยมากที่โอเคกับทุกๆ อย่าง ทั้งระบบ เงื่อนไขกับการต้องทำงานเงินเดือนเท่านี้ ตอนเราเป็นฟรีแลนซ์เราก็ต้องคิดทุกเดือนว่ามันซัฟเฟอร์เหมือนกันนะที่กูต้องมาคิดเรื่องเงินอะไรบ่อยๆ เงินจะมาเมื่อไหร่แล้วเอาเงินที่ไหนใช้ไปก่อน จะไปซื้อนั่นซื้อนี่ก็ปวดหัว เราใช้ทรัพยากรที่บ้านเลี้ยงเราเยอะมาก ไม่มีงานก็กลับบ้านไปพอมีงานก็ขึ้นมาทำได้ ตอนแรกๆ ที่ทำยังเลี้ยงชีพไม่ได้เลยเช่าหออยู่ประจำ เพราะเราไม่แน่ใจว่าเราจะมีงานทุกเดือนไหมถ้าเราเช่าหอประจำ ตอนนั้นทำฟรีแลนซ์ก็โคตรไม่มั่นคงเลย

ส่วนมากแต่ละคนก็จะมีภาระที่บ้านของตัวเอง มันเลยเป็นสิ่งเห็นได้ชัดว่าหลายๆ คนไปทำอย่างอื่น ทั้งเรื่องจบมาไม่มั่นใจการทำก็เรื่องหนึ่ง พื้นที่มันน้อยกูไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง หรือกูทำแล้วมันไม่ไหวจริงๆ ชีวิตมันเหนื่อย มีทั้งเรื่องสุขภาพ มีทั้งเรื่องงาน มันจะยิ่งมีปัญหาเยอะสำหรับเด็กจบใหม่ที่คุณก็ยังไม่มีโปรไฟล์ทำงานจนเชี่ยวชาญ ไม่มีประสบการณ์การตลาด เท่ากับงานคุณก็จะน้อยแล้วมึงจะผ่านช่วงหินเหี้ยห่าอะไรนี่ไปได้ยังไงวะ มีคนตายไปหลายคนอ่ะ —ไม่ได้ตายจริงๆ นะหมายถึงตายจากวงการ ซึ่งมีศพเยอะมากที่มึงผ่านตรงนี้ไปไม่ได้น่ะ

ตอนเข้ามาเรียนเราชอบดูหนังชอบผู้กำกับคนนั้นคนนี้มากเลย จบมาแล้วแบบ…เหมือนทุกคนอกหักๆ จริงๆ ความสัมพันธ์สำหรับเด็กฟิล์มโดยเฉพาะคนที่อยากทำงานในวงการ คนที่อยากมีหนังเป็นของตัวเองแม่งคือโคตรของโคตรรักเขาข้างเดียวอ่ะ (หัวเราะ) อกหักมาก เคยคุยกับเบ็นโลว่าพวกเราแม่งอกหักกันหมดเลยว่ะ อกหักเหี้ยๆ แบบหนังไม่เคยเหลียวแลฉันเลย มึงสมหวังยากมากในความรักนี้ยากมากๆ แบบโคตรหินอ่ะ เป็นความรักที่ไม่เคยเหลียวแลกูเลย ไม่มีทางจะสมหวังในความรักนี้

ความสัมพันธ์สำหรับเด็กฟิล์มโดยเฉพาะคนที่อยากทำงานในวงการ คนที่อยากมีหนังเป็นของตัวเองแม่งคือโคตรของโคตรรักเขาข้างเดียวอ่ะ (หัวเราะ) มึงสมหวังยากมากในความรักนี้ยากมากๆ แบบโคตรหินอ่ะ เป็นความรักที่ไม่เคยเหลียวแลกูเลย

เราก็คิดอยู่ตลอด ตอนนี้ก็ออกมาทำงานคอนเทนต์ตัดต่อแล้วเราคุยกันบ่อยๆ อยากทำหนังๆ แต่คิดไปจะเอาเงินมาจากไหนวะ หรือออกไปทำตรงนั้นแล้วทิ้งงานประจำ แล้ว… กูจะอยู่ได้ยังไงวะ มีเพื่อนหลายคน รุ่นพี่คนรู้จักหลายคนที่เรารู้สึกหนังธีสิสหรืองานเขามีศักยภาพ เราอยากเห็นพวกเขาทำหนังต่อ มีงานผู้กำกับหรืองานเขียนบทให้เราได้เห็นต่อ แต่ปัญหาคือมันไม่มีอะไรแบบนั้นออกมาแล้วเพราะอย่างแรกเขาไม่มีทุน อย่างที่สองระบบต่างๆ โครงสร้างของประเทศมันไม่เอื้อต่อการที่เขาจะทำหนังเรื่องที่ 2 เรื่องที่ 3 นี่แค่หนังสั้นนะ การที่ทำหนังใหญ่ Feature Film นี่คือเป็นความฝันของโคตรความฝันของโคตรความฝันแบบ 10 ชั้นอ่ะ คือแบบ…โคตรของโคตรยาก

เบ็นโล : เรามีศักยภาพที่จะเก่งแต่เวลาที่ให้เราพัฒนาตัวเองมันน้อยเหลือเกินจนทุกวันนี้เราต้องการคนที่วิ่งเร็วมากๆ แต่กว่าคุณจะดังกว่าคุณมีที่ทางในสังคม มีโปรไฟล์มากพอ มีพอร์ตที่แข็งแรงพอ คุณจะต้องลงทุนกับมันไปเท่าไหร่ ซึ่งเราว่าอันนั้นราคาแพงมากเกินกว่าที่เด็กไทยจะจ่ายไหว มันก็มีคนจ่ายไหวแต่มันก็มีคนจ่ายไม่ไหวแล้วคนจ่ายไม่ไหวมันเยอะมาก เยอะจนน่ากลัว

แคปเปอร์ : นอกจากระบบที่มันควรจะดีขึ้นกว่านี้อีกมากๆ แล้ว ต้องพึ่งใจตัวเองเหมือนกันนะในการสู้อ่ะ (หัวเราะเบาๆ)

เกม : มีใจอย่างเดียวไม่มีเงินก็ทำไม่ได้นะพี่

นอกจากกำลังใจในการต่อสู้สิ่งที่เราอยากมีคือ?

เบ็นโล : กลับไปที่จุดเริ่มต้นนะ ถ้าเรามีการกระจายอำนาจ มีเศรษฐกิจที่ดีเราฝันเหมือนกันที่จะเห็นหนังสตูดิโอที่เป็นหนังสารคดี หนังสตูดิโอที่เป็นหนังการเมือง เรารู้สึกโอเคกว่าถ้าโครงสร้างพวกนี้มันเลี้ยงตัวเองได้จริงๆ พอตลาดตรงนี้มันแข็งแรงขึ้นมาสามารถตั้งตัวตั้งอะไรได้ขึ้นมาโดยอาจจะมีรัฐสนับสนุนโมเดลในเชิงภาพรวม หรือมีโมเดลของการทำให้เศรษฐกิจภาพรวมมันดีขึ้นคนมีตังค์เหลือในกระเป๋าอาจจะลงทุนทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาแล้วค่อยๆ โตได้ขึ้นมา มันก็อาจจะทำให้เด็กที่มีความหลากหลายถูกโอบอุ้มมากขึ้น ในแง่ที่ว่าตอนนี้เด็กมันมีความหลากหลายมีเป็นร้อยเฉดเลยเว้ยแต่เฉดที่เขารับได้มีอยู่แค่ 5 เฉด 10 เฉดที่ตลาดต้องการ หลายคนที่ออกจากวงการไปไม่ใช่ว่ามันไม่เก่งนะเว้ยแต่มันทำสิ่งที่ตลาดต้องการตอนนี้ไม่ได้ แล้วเรามีเด็กที่ถูกคัดทิ้งหล่นทิ้งเยอะมากไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เก่ง

เกม : เขาหาที่ทางที่อยู่ในตลาดนี้ไม่ได้

เบ็นโล : ใช่ บางคนเขาก็ทำในสิ่งที่ตลาดต้องการได้แต่เขาก็ทำหนังนอกกระแสไม่ได้ แต่ทำไมเขาคือคนที่ไม่มีงานทำ แล้วสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่แฟร์เลย ถ้าพูดถึงความแฟร์ว่าเราไม่มีสิทธิเลือกที่เราจะทำหนังอะไรก็ได้แล้วอยู่ในตลาดได้ หมายถึงว่ามันไม่มีที่สำหรับเราที่จะเลือกทำแนวหนังที่เราต้องการได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราถูกบังคับให้เลือกเป็นไม่กี่อย่าง

แคปเปอร์ : เบ็นโลกับเกมบอกว่าจบมาคนต้องหาประกวดโน่นนั่นนี่ มันเลวร้ายกว่านั้นคือไอ้คนที่ทำงานมาแล้วเป็นสิบปี หรือเป็นโปรดิวเซอร์ใหญ่ๆ มาแล้วผ่านงานมาแล้วก็ยังต้องประกวดอยู่ คือมันมีทางไปได้น้อยมาก (ทำเสียงจิ๊ปาก) ไม่ใช่แค่เฉพาะแค่เด็กจบใหม่ไง ไอ้คนที่อยู่มาเป็นสิบปีแล้วก็ต้องเขียนงานประกวดต้องหาที่หาทางให้ตัวเองเหมือนกัน มันไม่มั่นคงขนาดไหนก็น่าจะบอกได้

คุยกันเรื่องความมั่นคงในการทำงานหน่อย

แคปเปอร์ : ถ้าถามพี่ว่ามันมั่นคงไหม มันก็ไม่มั่นคงหรอก อย่างที่เรารู้ๆ อยู่ ขนาดพวกพี่ผู้กำกับขนาดพี่โต้ง (บรรจง ปิสัญธนะกูล) ได้หนังพันล้านเขายังบอกทำหนังอย่างเดียวมันอยู่ไม่ได้ เขาต้องทำโฆษณาทำอะไร เขาต้องพูดทุกครั้งเวลาโดนถาม เวลาเขาออกสื่อประชาสัมพันธ์ ทั้งพี่เป็นเอก (เป็นเอก รัตนเรือง – ผู้กำกับ) พี่โต้ง ทั้งฝั่งอาร์ตฝั่งแมสพูดเหมือนกันหมด ทำแค่หนังอย่างเดียวมันอยู่ไม่ได้ขนาดนั้น มันไม่รวยแล้วมันก็ไม่ (อนุญาต) ให้รวยขนาดนั้น

โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล (คนที่ 2 นับจากซ้ายมือ) และ แคปเปอร์ (ริมขวามือสุด)

แคปเปอร์ : ทั้งที่เรามองอุตสาหกรรมประเทศแบบเกาหลีใต้ มองย้อนไป 20-30 ปีที่แล้ว พวกนางนาก พวก 2499 เราก็โตมาพร้อมๆ กันเลยทั้งสองประเทศ หนังอะไรก็อยู่ในระดับที่ไล่เลี่ยกันเติบโตมาพร้อมกัน แต่ตอนนี้เขากลับไปไกลมากแล้ว ซึ่งพอมองเทียบกับสภาพการเมืองได้ คือมันส่งกันมันเป็นเหตุเป็นผลกันทั้งสองอย่างทำให้คนในอุตสาหกรรมไทยเองไม่สามารถที่จะทำงานได้อย่างเต็มที่ แสดงออกได้อย่างเต็มที่ อันนี้คือจุดที่มันยังไม่ได้พัฒนาไปเท่าไหร่ รวมถึงการเมืองที่เกี่ยวกับภาพยนตร์ที่มันกลายเป็นของฟุ่มเฟือยกลายเป็นอะไรไป

เบ็นโล : ความมั่นคงในอาชีพของเราคืออะไร พออยู่ในประเทศนี้ก็ดู ‘มักน้อย’ ไปหน่อย มักน้อยในประเทศนี้ก็เหมือนมักมากแล้ว แค่…ทำงานแล้วสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ (เกม : แบบเวลาพักผ่อนอะไรอย่างนี้) ในเรื่องคุณภาพชีวิตก็เรื่องหนึ่ง หมายถึงมีเวลาพักผ่อน มี ‘ชั่วโมงการทำงาน’ ที่เหมาะสมใช้คำนี้ดีกว่า ได้ค่าแรง ได้เงินที่เหมาะสม มีสัญญาที่เป็นธรรม แล้วก็มีรัฐสวัสดิการที่ดี หมายถึงซัพพอร์ตเราในเรื่องอื่นๆ ในมิติอื่นๆ ของบริบทชีวิตนอกเหนือจากการทำหนัง

แล้วถ้าสมมติว่ามากกว่านั้นก็คือการเติบโตในทางอาชีพ หมายถึงว่าคุณเติบโตไปเป็นอะไรได้บ้าง หมายความว่าจิตนาการของเรามันถูกออกไปได้แค่ไหนหรือเราจะเติบโตไปเป็นอะไรได้บ้างในการทำงานสายงานนี้ ซึ่งสิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเด็กจบใหม่ทุกวันนี้ยัง… “พี่ เงินเดือนไม่พอ” กูไม่ต้องคิดถึงตอนโต คิดถึงแค่อีก 3 วันข้างหน้าจะเอาเงินที่ไหนหมุนวะ แค่นี้มันก็เรียกว่าไม่มีความมั่นคงแล้วน่ะ

หรือคนที่อยากจะเป็นผู้กำกับ อยากเปิดสตูดิโอหนังแล้วกลับมาพบความจริงว่าความเป็นไปได้มันแค่ไหน ซึ่งเราเชื่อว่าถ้าการทำงานอุตสาหกรรมมันมีความมั่นคงน่ะ ความฝันนี้มันอาจจะไม่ใช่เรื่องยากก็ได้ คือทุกเรื่องที่เราพูดมา ทุกเรื่องที่ถ้าการเมืองดีมันจะเกิดสิ่งนี้สิ่งนั้น ทุกเรื่องมันมีคนทำได้นะ แต่’ มันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้ หมายถึงว่ามันมีเงื่อนไขชีวิตอะไรบางอย่างที่อ๋อ เพราะมันต้องเป็นแบบนี้ถึงทำได้แต่ลูกอีแก้วอีคำทั่วไปมันทำไม่ได้น่ะ มันไม่ใช่ ‘สิทธิ’ สิทธิ คือเราสามารถเลือกที่จะทำหรือไม่ทำได้ ถ้าสมมติว่าเราสามารถเปิดสตูดิโอได้แต่เราไม่อยากทำสตูดิโอ เราไปทำอย่างอื่น อันเนี้ยเรียกว่าชีวิตที่มีสิทธิ ชีวิตที่มั่นคง แต่…ถ้ากูอยากเปิดแต่กูเปิดไม่ได้ทำไงก็ทำไม่ได้ วิ่งเป็นหนูในกงล้ออยู่อย่างนี้ วิ่งเท่าไหร่ ทำงานงกๆๆๆ สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรนอกจากหาเงินประทังชีวิตไปวันๆ สิ่งนี้ไม่ได้เรียกว่ามั่นคง สิ่งนี้ไม่ได้เรียกว่าความก้าวหน้า แล้วมันก็เกิดจากสังคมที่ไม่ให้เราก้าวหน้า มันไม่ใช่เพราะเราโง่หรือเราไม่เก่ง

ถ้าสมมติว่าเราสามารถเปิดสตูดิโอได้แต่เราไม่อยากทำสตูดิโอ เราไปทำอย่างอื่น อันเนี้ยเรียกว่าชีวิตที่มีสิทธิ ชีวิตที่มั่นคง แต่…ถ้ากูอยากเปิดแต่กูเปิดไม่ได้ทำไงก็ทำไม่ได้ วิ่งเป็นหนูในกงล้ออยู่อย่างนี้ วิ่งเท่าไหร่ ทำงานงกๆๆๆ สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรนอกจากหาเงินประทังชีวิตไปวันๆ สิ่งนี้ไม่ได้เรียกว่ามั่นคง สิ่งนี้ไม่ได้เรียกว่าความก้าวหน้า แล้วมันก็เกิดจากสังคมที่ไม่ให้เราก้าวหน้า มันไม่ใช่เพราะเราโง่หรือเราไม่เก่ง

เกม : เรารู้สึกว่าถ้าเชิงเป็นเหตุเป็นผล มันควรจะเป็นยิ่งคนทำงานมากระบบก็ควรแข็งแรงมากขึ้น แต่ยิ่งนานวันไปเรื่อยๆ วงการหนังต่างๆ รู้สึกมันยิ่งโดนกดทับจากเจ้าของทุน กดทับจากหลายๆ ทาง แทนที่มันจะมั่นคงแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องรายได้ ในเรื่องสิทธิต่างๆ ที่มันควรจะได้รับ มันก็ยิ่งเอาเปรียบกันเข้าไปใหญ่ เช่น การทำงานเกินชั่วโมงมีคิวหลายๆ คิวติดกันคนทำก็ได้นอนน้อยมากหรือไม่ได้นอน เรารู้สึกว่าแสตนดาร์ดพวกนี้มันต่ำลงไปเรื่อยๆ เงินมันก็โดนกดลงไปเรื่อยๆ อันนี้โคตรไม่มั่นคงเลย แล้วยิ่งรู้สึกว่าคนที่เป็นคนให้ทุนหรือบางคนที่กดเราอยู่เขาเคยทำแบบนี้ได้ เขาก็จะทำให้มันเป็นบรรทัดฐานเหมือน ‘สิ่งนี้เราเคยทำกับที่นี่ได้นะแล้วทำไมคุณทำไม่ได้’ แล้วมันจะยิ่งต่ำลงไปเรื่อย ซึ่งเรารู้สึกว่าโคตรแย่เลยและยิ่งไม่มั่นคงไปเรื่อยๆ

ถ้าเทียบความมั่นคงของวงการ ความมั่นคงของคนที่ทำงานให้เป็นภาพ คือลืมไปเลยเรื่องการก้าวไปข้างหน้า ยืนให้อยู่กับที่ยังยืนไม่ได้เลย ไม่ต้องหวังความก้าวหน้าการเจริญเติบโตอะไรทั้งสิ้น มีแต่…อยู่ในโคลนดูดและลงไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ ไม่รู้เมื่อไหร่จะมิดหัวแค่นั้นเอง

แคปเปอร์ : พี่ชอบที่เบ็นโลพูดมักน้อยแต่ก็ยังดูมักมากอยู่ดี อันนี้ชอบมาก (หัวเราะ) การเรียกร้องอะไรนิดๆ หน่อยๆ ที่เราควรจะได้มันกลับไม่ได้ในประเทศนี้ มันโดนด่าว่า พวกเรียกร้องก็ออกมาเรียกร้องปาวๆ เป็นพวกก้าวร้าว เป็นพวกไม่รู้จักพอ ไม่พอเพียง ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี อยู่ในกรงในกรอบในกะลาก็ดีอยู่แล้วจะออกมาให้คนอื่นวุ่นวายด้วยทำไม

เบ็นโล : นี่เลยๆ ถ้าเป็นบริบทของวงการหนังคือ “มึงจะมาเรียกร้องคนดูหนังทำไม มึงไปทำหนังให้ดีก่อนเถอะ”

บอกให้เราฟังหน่อยว่าการมีประชาธิปไตยสำคัญต่อพวกคุณยังไง

เกม : เรื่องประชาธิปไตยมันก็เกี่ยวโยงกับ Free Speech เรื่องอิสรภาพในการพูด ในแง่ของคนที่ทำหนังหรือทำอะไรออกมาเราค่อนข้างที่จะกลัวนะ กลัวการถูกคุกคามเพราะสมมติถ้าคุณทำหนังประเด็นการเมือง ถามทุกคนๆ ก็กลัวเราว่าส่วนใหญ่กลัวหมด ถึงจะเป็นผู้กำกับสารคดีทำหนังอะไรต่างๆ โตๆ แล้วทำ Feature Film เราก็สัมผัสได้ว่าเขาก็มีความกลัว กลัวการโดนคุกคามจากเจ้าหน้าที่ กลัวการโดนคุกคามจากคนอื่นๆ จากการเอาไปฉาย มันน่ากลัวกว่าแบนหนังอีก บางทีเราก็กลัวแบบ…อันนี้แรงไปไหมวะกูจะโดนเจ้าหน้าที่เคาะประตูบ้านไหม ที่บ้านจะมาบอกมีคนมาหา เราจะโดนคุกคามในชีวิตประจำวันไหม

ซึ่งมันมีมวลความกลัวแบบนี้อยู่ในสังคมไทย ในสังคมกลุ่มคนทำหนัง คนทำเนื้อหา คนทำคอนเทนต์อะไรออกมา มันมีมวลความกลัวแบบนี้อยู่ทั่วไปหมดเลยแล้วเราก็รู้สึกว่า เหมือนเราโดนกลุ่มควันอะไรกดไว้ไม่ให้มันมีอากาศหายใจข้างบน ต้องคลานหมอบไปหายใจข้างล่างแล้วค่อยพูด มันพูดยากแม้แต่หนังที่ผมเคยทำมีหนังการเมืองเรื่อง ในนามของความสงบ เกี่ยวกับครู นักเรียน เสื้อแดง มันก็เคยมีเรื่อง ถ้ามีคนขอไปฉายเราก็ยังคิดเลย เราว่ามันเกินขั้นของคำว่าแบนหนังไปแล้วอีกขั้นหนึ่งน่ะ แม่งคือการคุกคามในชีวิตจริงซึ่งเรารู้สึกว่าอันนี้จำกัดโคตรๆ ในเรื่องเนื้อหา ในเรื่องของการสร้างความหวาดกลัว

แคปเปอร์ : ไม่ใช่แค่ผู้สร้าง ไม่ใช่แค่ศิลปินที่กลัว ชาวบ้านที่เราต้องไปหา (เวลาทำ) หนังอะไรดีๆ ซักเรื่องที่มันสะท้อนสังคม เขาก็กลัวไม่ต่างจากเรา สมมติว่าเราอยากจะทำหนังประวัติศาสตร์ซักเรื่อง สมมติเป็นเรื่องถังแดงลงไปชุมพรทางใต้ ไปสืบเรื่องการฆ่าคอมมิวนิสต์ในยุคนั้น เอาไมค์ไปจ่อถามชาวบ้านเขาก็ไม่กล้าพูดปวดใจที่จะพูด กลัวเวลาภาพออกไปมันจะไม่ปลอดภัยเพราะมันมีการสอดส่องจากเจ้าหน้าที่ มันไม่ใช่แค่คนทำกลัวเขากลัวอีกยิ่งกว่าด้วยซ้ำ มันก็แย่มากๆ

แคปเปอร์ : มันไม่ใช่แค่ที่เป็นอยู่ แต่เป็นมาตั้งแต่ 100 ปีที่แล้ว (หัวเราะ) ที่มีปัญหาเรื้อรังมาจนถึงตอนนี้ มันก็ยังส่งผลกระทบต่อทุกอย่าง คือไอ้การทำสื่อแค่เราเล่าบางอย่างไม่ได้ถึงแม้มันจะไม่ผิดกฎหมายก็ยังเล่าไม่ได้ มันก็ไม่ใช่แล้ว มันเป็นสิ่งที่ผิดแปลกไปแล้ว

ถ้าประชาธิปไตยมันมีจริงๆ เราจะไม่ต้องกลัวอะไรมากขนาดนี้ และก็ไม่ต้องมาถูกเซ็นเซอร์ เราก็จะสามารถทำหนังอย่างเช่น เหตุการณ์ 6 ตุลาได้ เราจะสามารถทำหนังอย่างพฤษภาทมิฬได้ เหตุการณ์สวรรคตของร.8 เหตุการณ์ถังแดงฆ่าล้างคอมมิวนิสต์ โดยที่เราไม่ต้องมานั่งกลัวนั่งกังวลอะไรกับอำนาจต่างๆ ที่จะมากดดันที่จะมาคุกคามเรามากขนาดนี้ ทำจนมันจะกลายเป็นหนังที่คลิเชแล้วคนไม่อยากดู อาจจะเป็นหนังที่คนไม่อยากดูแล้วเหตุการณ์การเมืองพวกนี้ (หัวเราะ) (เบ็นโล : อยากทำกันจนเบื่อ ทำจนไม่อยากทำแล้ว เล่าจนหมดทางจะเล่า)

ถ้าประชาธิปไตยมันมีจริงๆ เราจะไม่ต้องกลัวอะไรมากขนาดนี้ และก็ไม่ต้องมาถูกเซ็นเซอร์ เราก็จะสามารถทำหนังอย่างเช่น เหตุการณ์ 6 ตุลาได้ เราจะสามารถทำหนังอย่างพฤษภาทมิฬได้ เหตุการณ์สวรรคตของร.8 เหตุการณ์ถังแดงฆ่าล้างคอมมิวนิสต์ โดยที่เราไม่ต้องมานั่งกลัวนั่งกังวลอะไรกับอำนาจต่างๆ ที่จะมากดดันที่จะมาคุกคามเรามากขนาดนี้ ทำจนมันจะกลายเป็นหนังที่คลิเชแล้วคนไม่อยากดู

เบ็นโล : สำหรับเรามันสุ่มเสี่ยงสำหรับรัฐแต่คือไม่ใช่เรื่องสุ่มเสี่ยงสำหรับกู สำหรับเรากระบวนการเซ็นเซอร์มันไม่ได้เกิดขึ้นแต่กับรัฐหรอก เราเคยคุยกับพี่ตี้ (ชญานิน เตียงพิทยากร – นักวิจารณ์)ในเทป Parasite วันนั้น Parasite ได้ออสการ์ (เกม : เทปพิเศษ) นัดพี่ตี้ออกมาแล้วพี่ตี้ก็พูดคำหนึ่งว่า “คุณไม่ต้องไปถึงการเซ็นเซอร์จากรัฐหรอก คุณอาจจะทำหนังเรื่องแฉช่องเนชั่น ทำแบบหนังเรื่อง Bombshell คำถามคือใครจะให้ตังค์มึงทำวะ” Bombshell ที่เป็นสาวสวยผู้ประกาศข่าวแฉกระฉ่อนโลก

ยังไม่ต้องไปถึงว่าทำเสร็จแล้วไปโดนแบนนะ มึงเอาตังค์ที่ไหนทำก่อน ปัญหาคือมันหาเงินทุนไม่ได้เริ่มแต่แรก อันนี้มันก็คือการเซ็นเซอร์รูปแบบหนึ่ง อันนี้มันอาจจะคาบเกี่ยวกันถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยในรูปแบบทุนนิยมที่มันไม่มีการสนับสนุนทางอื่นเลย

แคปเปอร์ : สำหรับการถ่ายหนังมันก็มีปัญหานะถึงมันจะเป็นเรื่องแต่งเรื่องอะไร ในช่วง 2 ปีก่อนเราเคยทำหนังสั้นเรื่อง จอย แล้วเราก็ไปขอสถานที่ถ่ายทำหนัง มันก็เป็นประเด็นโสเภณีกับตำรวจที่มันมารักกัน

เราก็ลงพื้นที่เซอร์เวย์อะไรเรียบร้อยหมดแล้วแหละ เราต้องไปขอหน่วยงานบางหน่วยงานเพื่อที่จะเข้าไปถ่ายในเขตที่เป็นชายแดนไทย-ลาว ต้องไปขอตม. แหละ ไปขอส่วนจังหวัดๆ ให้แต่พอส่งเรื่องไปที่ส่วนกลางกรุงเทพฯ เขาดันไม่ให้ เขาอ่านบทแล้วบอก “เห้ย ผ่านได้ไง ให้ถ่ายได้ไง” ทั้งที่ท้องถิ่นให้แล้ว ตัวจังหวัดเขาให้แล้ว กลายเป็นตอนนั้นเราเตรียมงานหมดแล้วนึกว่าจะได้ถ่ายแล้ว เราก็ต้องยกฉากนั้น ปรับเปลี่ยนบทใหม่แล้วก็ถ่ายๆ ถ่ายเท่าที่ทำได้

มันก็เป็นการเซ็นเซอร์อย่างหนึ่งทั้งที่เราเห็นทนโท่ว่ามันเป็นเรื่องจริงนะแล้วมันก็เป็นเรื่องที่ควรเล่า มันเป็นประเด็นค้ามนุษย์ เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน เป็นเรื่องเสรีภาพ-ไม่เสรีภาพของมนุษย์ที่เราควรจะเป็นปากเป็นเสียงได้ผ่านงานศิลปะ ผ่านสื่อ แต่เราไม่สามารถเล่ามันได้อย่างเต็มที่ ทั้งที่ของหน่วยงานพวกนั้นมันควรจะซัพพอร์ตสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ แต่เราดันโดนกันโดนบล็อกในการที่จะสื่อสารออกไปให้มันตรงและมีประสิทธิภาพมากที่สุด สิ่งที่ทำได้คือเราก็ต้องหลบหลีกหรือหาวิธีทางใหม่ๆ ที่เราจะเล่าประเด็นของเราออกไปให้ได้ มันก็เป็นความอึดอัดอยู่เหมือนกัน เราก็เข้าใจเลยว่าคนทำหนังบางคนถึงเลือกที่จะไม่อยากทำ (หนัง) อยู่ไทย

ถ้าการเมืองดีเราจินตนาการชีวิตตัวเองยังไง

(ทุกคนเงียบ)

ผู้เขียน : ใครอยากตอบก่อน เกมกับพี่แคปเปอร์ไหม?
เกม : ยากจัง นึกไม่ออก (หัวเราะเบาๆ)
เบ็นโล : ให้เกมตอบก่อน เกมก็จะตอบว่ากูนึกไม่ออก
เกม : เออ กูก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าการเมืองดีชีวิตกูจะเป็นยังไง
ผู้เขียน : พี่แคปเปอร์อยากตอบก่อนไหม

แคปเปอร์ : ถ้าการเมืองดีชีวิตเราก็น่าจะ… ก็ดีขึ้นแหละ เราไม่ต้องนั่งรถเมล์ผุๆ พังๆ ไม่ต้องเสี่ยงเดินตกท่อ นี่คือตามโซเชียลเน็ตเวิร์คที่เขาพูดกันทั่วไปเลยนะ เราไม่ต้องมากังวลว่า…อะไรดีล่ะ อ่า ให้เกมตอบก่อนก็ได้ (เกมกับแคปเปอร์ – หัวเราะ) พยายามเกริ่นให้ตอบแล้วนึกไม่ออกเหมือนกัน

เกม : การเมืองดีก็คงมีโอกาสทำหนังเป็นของตัวเองต่อไปครับ แล้วก็มีเงินใช้ด้วย มีเวลาพักผ่อนด้วยเท่านี้ครับ

เบ็นโล : ไม่นับพวกเรื่องความปลอดภัยจากการถูกคุกคามนะ อันนั้นมันบาร์ต่ำมาก(เกม – หัวเราะ) คือไม่มีก็ไม่ได้นับว่าเป็นการเมืองที่ดีนะ การเมืองเราให้สองอย่างเท่านั้นแหละคือให้เวลากับให้โอกาส การเมืองดีจะทำให้เราว่างเราไม่ต้องไปทำงานงกๆ หาเงินเพื่อไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลแพงๆ และเราก็คงมีเวลาทำอะไรมากขึ้น ทำสิ่งที่อยากทำ พอระบบเศรษฐกิจดีโอกาส (มี) ถุงเงินถุงทองจะมากขึ้น โอกาสที่เราจะเข้าไปในระบบอุตสาหกรรมที่มันมั่นคงมันก็จะมากขึ้น แล้วก็การมีประชาธิปไตยก็จะทำให้เรามีการคุ้มครองแรงงาน แล้วเราอาจจะนำบทสนทนาของสังคมไปถึงจุดที่เราพูดถึงศิลปะกับทุนนิยมกันในวงกว้างซักที

แคปเปอร์ : เพราะเราเติบโตมากับครอบครัวที่เป็นข้าราชการครู เราก็คิดมาตลอดว่าถ้าการเมืองมันดีการศึกษาดีทุกอย่างมันน่าจะดี การศึกษาดีคนก็น่าจะมีการตั้งคำถามมากขึ้น มีการคิดวิเคราะห์ในการตัดสินใจสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ทุกอย่างก็น่าจะเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ได้ดีขึ้นช่วยให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ในขณะเดียวกันการเมืองก็ต้องซัพพอร์ตสวัสดิภาพชีวิตของคนไปด้วย

แล้วก็พี่ว่าจะฉาย ฝนเม็ดน้อย แล้วก็จะทำรายการวันวันฟิล์มทอล์กพิเศษขึ้นมาคุยกับ ส.ศิวลักษณ์ กับ
ครูศิวกานท์ ปทุมสูติ เจ้าของบทประพันธ์กลอนฝนเม็ดน้อย ถ้าการเมืองมันดีขึ้นเราก็น่าจะไม่มีผลกระทบอะไรกับชีวิตเรา เราก็น่าจะพูดคุยอะไรกันได้อย่างสะดวกโยธินสบายใจ

มีใครอยากขายของอะไรอีกไหม (หัวเราะ)

เบ็นโล : เราก็มีหนังสั้นอยู่ 2 เรื่องครับ (หัวเราะ) Boy With A Basket of Fruit ที่เคยได้ฉายใน Queer Program ของเทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 20 แล้วก็ พื้นรุ้งผ่าน (Somewhere Under The Rainbow) เป็นหนังธีสิสครับ ธีสิสเฉยๆ เลย ไม่มีได้มีตำแหน่งอะไร มีแค่นี้แหละครับ ลองดูครับ ติชมวิพากษ์วิจารณ์กันได้นะครับ ไม่รู้จะได้มีปัญญาทำหนังของตัวเองอีกเมื่อไหร่เหมือนกัน คนดูแล้วคงจะไม่แปลกใจที่มันตกงาน…รึเปล่าวะ? (หัวเราะ)

LATEST