ภาพยนตร์ระทึกขวัญได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ของนักแสดงสาวชาวอเมริกัน Jean Seberg ผู้โด่งดังจากภาพยนตร์ฝรั่งเศสเรื่อง ‘Breathless’ ของผู้กำกับยุค French New Wave อย่าง Jean-Luc Godard เธอตกเป็นเป้าของ FBI เนื่องจากเธอร่วมเคลื่อนไหวสนับสนุนการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ความเท่าเทียมและต่อต้านการละเมิดสิทธิพลเมืองผิวสีที่เคียงข้างกับ Hakim Jamal ชายผิวสีผู้ถูกละเมิดสิทธิ์ซึ่งเธอได้บังเอิญพบเข้าขณะเดินทางกลับจากฝรั่งเศส เธอตัดสินใจลุกขึ้นต่อต้านการเหยียดผิวและทวงคืนความถูกต้องในสังคมอเมิกา แม้จะต้องเดิมพันด้วยชื่อเสียงและอาชีพนักแสดงที่เธอรักก็ตาม
4. Stefan Zweig: Farewell To Europe (2016, Maria Schrader)
หนังไต้หวันเรื่องแรกที่ได้เข้าชิงรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (และได้รางวัล Jury Prize ในปีนั้นกลับมา) เล่าเรื่องราวของ Li Tien-Lu นักเชิดหุ่นที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ที่อยู่ในช่วงความวุ่นวายในศตวรรษที่ 20 ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และไต้หวันถูกยึดครองประเทศญี่ปุ่นในปีค.ศ. 1895 ยาวนานนับ 50 ปี หนังเล่าเรื่องตั้งแต่ชีวิตของ Li ตอนเด็กๆ จนถึงจบช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศนั้นสะบักสะบอมหลังจากผ่านสงครามมา นักเชิดหุ่นนั้นกลับกลายเป็นหุ่นที่ถูกเชิดเสียเอง เมื่อเขาต้องตกเป็นเชลยเพื่อสร้างสื่อโฆษณาชวนเชื่อให้กับญี่ปุ่น นี่คือหนึ่งในไตรภาคประวัติศาสตร์ของประเทศไต้หวัน ควบคู่ไปกับ A City of Sadness (1989) และ Good Men, Good Women (1995)
1 เม.ย. หนังเข้าใหม่ถึง 6 เรื่อง รวมหนังไทย ‘บอสฉันขยันเชือด’ ผลงานเรื่องแรกจาก Tai Major รวมถึงหนังล่ารางวัลทั้ง Minari, The Mauritanian และ The Nightingale แต่ทั้งหมดนั้นก็พ่ายให้อนิเมะ Detective Conan: The Scarlet Alibi
รายได้หนังประจำวันที่ 1 เม.ย. 64
Godzilla vs. Kong – 6.13 (121.60) ล้านบาท
Detective Conan: The Scarlet Alibi – 1.18 ล้านบาท
บอสฉันขยันเชือด – 0.66 ล้านบาท
Minari – 0.14 (0.35) ล้านบาท
Doraemon: Stand by Me 2 – 0.11 ล้านบาท
Raya and the Last Dragon – 0.10 (41.29) ล้านบาท
The Mauritanian – 0.09 ล้านบาท
เรื่องผีเล่า – 0.08 (7.02) ล้านบาท
The Nightingale – 0.04 ล้านบาท
Fate/Grand Order The Movie Divine Realm of the Round Table: Camelot Wandering: Agateram – 0.02 (0.67) ล้านบาท
และแล้วความคึกคักก็กลับคืนสู่โรงหนังได้ในที่สุด อันเนื่องมาจากหนังฟอร์มโต Godzilla vs. Kong ที่เปิดตัวสูงถึงเกือบ 20 ล้านบาท และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะสามารถผ่านหลักร้อยล้านบาทแรกตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้เลย
รายได้หนังประจำวันที่ 25 มี.ค. 64
Godzilla vs. Kong – 19.16 ล้านบาท
Raya and the Last Dragon – 0.26 (37.05) ล้านบาท
Fate/Grand Order The Movie Divine Realm of the Round Table: Camelot Wandering: Agateram – 0.12 ล้านบาท
มีเส้นบางๆ ระหว่างการให้บทเรียนจากการกระทำของตัวละครที่ทำผิด กับการยกชูความเลวร้ายของตัวละครเหล่านั้น และนั่นทำให้ I Care A Lot (2021) หนังที่ส่งให้โรซามุนด์ ไพค์ ได้รางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิง ถูกวิจารณ์ด้วยเสียงที่แตกออกเป็นสองฝั่ง ในแง่หนึ่ง หนังให้ความบันเทิงกับผู้ชมที่ทำฝันตัวเองให้เป็นจริงโดยการรู้สึกร่วมไปกับตัวละครที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมไต่ระดับชั้นทางสังคม (ไพค์ได้สร้างตัวละครนี้ขึ้นอย่างซับซ้อน จนอดคิดไม่ได้ว่าบทนางสิงห์สาวนั้นเหมาะกับเธอจริงๆ) แต่ในอีกแง่ เราจะมองได้หรือไม่ว่าหนังกำลังทำให้ผู้ชมเห็นว่าการหลอกลวงผู้อื่นเพื่อเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองทีละหลายแสนนั้นเป็นสิ่งที่แสนโรแมนติกอย่างไม่ควรจะเป็น
I Care A Lot เล่าเรื่องของ มาร์ลา เกรย์สัน นักธุรกิจแสนไฮโซที่มีเบื้องหลังเป็นนักต้มตุ๋น ที่ใช้ช่องว่างทางกฎหมายหาเหยื่อเป็นคนแก่ที่ดูจะมีแนวโน้มดูแลตัวเองไม่ได้ เธอขอให้ศาลออกคำสั่งให้ย้ายคนแก่เหล่านั้นเข้าบ้านพักคนชรา และฮุบทรัพย์สินของพวกเขาขายทอดตลาด โดยอ้างว่าใช้เป็นทุนในการดูแลพวกเขา มาร์ลาทำธุรกิจนี้กับฟราน คนรักสาวและมือขวาคนสนิทของเธอ และมันก็ดูจะไปได้ด้วยดี จนวันหนึ่ง เธอได้พบกับเจนนิเฟอร์ ปีเตอร์สัน แหล่งเงินทุนมหาศาลที่มีประวัติขาวสะอาดและไม่มีทายาท ด้วยความโลภ มาร์ลาฮุบเหยื่อนี้ทันที โดยไม่ล่วงรู้ว่าเจนนิเฟอร์เป็นคนสนิทของมาเฟียรัสเซียสุดโหด นามโรมัน ลุนยอฟ (อีกบทที่แสนโดดเด่นของปีเตอร์ ดิงค์เลจ จาก Game of Thrones)
I Care A Lot อาจสามารถจัดเข้าประเภทหนัง Black Comedy -Thriller ได้ มันทำให้เราเห็นถึงการหักเหลี่ยมเฉือนคมของ “คนเลวที่ฉลาด” สองคน และทำให้เรารู้สึกขำไปกับความกระอักกระอ่วนเมื่อมาร์ลาพบว่าเหยื่อของเธอเป็นเคสสุดหิน และอาจนำอันตรายมาสู่ชีวิตเธอ จุดนี้เป็นจุดที่ทำให้คนดูรู้สึกแสบๆ คันๆ และบันเทิงไปกับความ “ซวย” ที่ตัวละครขุดหลุมฝังตัวเอง ในขณะเดียวกัน อีกจุดที่ทำให้มันเป็น Comedy ก็คือยุทธวิธีสุดแสบสันต์ที่มาร์ลาและฟรานใช้จัดการกับมาเฟียที่ดูจะไม่มีใครเข้าถึงได้อย่างโรมัน และนั่นทำให้การต่อสู้กันระหว่างเจ้าแม่และเจ้าพ่อคู่นี้เป็นความลุ้นที่หฤหรรษ์
คำถามและความรู้สึกเหล่านั้นของไทกิ ถูกส่งต่อเนื่องมาถึงหนังยาวเรื่องแรกของเขาอย่าง ‘พญาโศกพิโยคค่ำ’ The Edge of Daybreak ที่เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกในสายประกวดหลักของเทศกาลหนังนานาชาติร็อตเตอร์ดาม 2021 แล้วคว้ารางวัล FIPRESCI Award มาได้สำเร็จ
ผมได้อ่านจากบทสัมภาษณ์ของคุณจากงานนิทรรศการล่าสุด Until the Morning Comes เมื่อปีก่อน เลยทราบว่า ในช่วงที่ผ่านมาชีวิตส่วนตัวก็มีเรื่องราวของการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว มันมีผลกับการพัฒนาโปรเจ็กต์ ‘พญาโศกพิโยคค่ำ’ มากแค่ไหน?
ตรงกันข้ามกับสามีของเธอ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เธอได้เห็นที่แอลเอเป็นแรงบันดาลใจใหม่ให้วาร์ดาเปลี่ยนแนวทางการทำภาพยนตร์ของเธอจากภาพยนตร์ดราม่าธรรมดา ไปสู่ภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยประเด็นทางสังคม เธอร่วมสร้างภาพยนตร์รวมเรื่องสั้นการเมืองอย่าง Far from Vietnam (1967) สารคดีสั้นที่บันทึกการต่อสู้เพื่อสิทธิของคนผิวสีอย่าง Black Panthers (1968) และภาพยนตร์ขนาดยาวที่เน้นประเด็นความเสรีภาพทางเพศอย่าง Lions Love (… and Lies) (1969) ที่เป็นต้นแบบของผลงานที่เต็มไปด้วยประเด็นสังคมและความสัมพันธ์ที่กลายเป็นลายเซ็นของวาร์ดามาจนถึงปัจจุบัน
ครอบครัวเดอมีกลับมาที่ฝรั่งเศส 2 ปีให้หลังในปี 1969 ทั้งสองพบว่า ระหว่างที่ทั้งคู่อยู่ในแอลเอ สังคมฝรั่งเศสเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ภาวะการประท้วงสงครามเวียดนามและระบบชนชั้นในฝรั่งเศสที่แพร่สะพัดไปทั่วประเทศในปี 1968 ที่ต่อมาคนฝรั่งเศสเรียกขานว่า ‘May 68’ ทำให้คนฝรั่งเศสหันมาตื่นตัวในประเด็นการเมืองกันอย่างเข้มข้น นักทำหนัง French New Wave หันไปทำหนังการเมืองกันเนืองแน่น เช่นโกดาร์ดที่ทำภาพยนตร์สนับสนุนระบอบคอมมิวนิสต์เหมาอย่าง La Chinoise (1967) หรือ Tout va bien (1972) ฟรังซัวส์ ทรุฟโฟต์ (François Truffaut) ที่ทำ Baisers Volés (1968) และคริส มาร์คเกอร์ (Chris Marker) ที่ทำ A bientot, j’espere (1968) ออกมา
วาร์ดาเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่ม French New Wave ที่กระโดดเข้าร่วมกระแสทางการเมืองอย่างเต็มตัว การประท้วงในปี ‘68 ทำให้เกิดกระแสการเรียกร้องสิทธิสตรี (Mouvement de libération des femmes) ทั่วฝรั่งเศส วาร์ดาเป็นหนึ่งในผู้ลงนามใน ประกาศ ‘The Manifest of the 343’ (Le Manifeste des 343) ที่นักปรัชญาชื่อดังอย่างซิโมน เดอ โบวัวร์ (Simone de Beauvoir) ร่างขึ้นเพื่อประท้วงกฎหมายการทำแท้งในฝรั่งเศสในปี 1971 จนทางรัฐบาลยอมแก้กฎหมายในอีก 4 ปีให้หลัง การตื่นตัวในเรื่องสิทธิสตรีของวาร์ดาลามมาสู่ผลงานภาพยนตร์ของเธอ จนทำให้เกิดผลงานขึ้นหิ้งที่สนับสนุนสิทธิผู้หญิงอย่าง One Sings, the Other Doesn’t (1977) และการก่อตั้งบริษัทซิเน-ตามารีส์ (Ciné-Tamaris) ขึ้นเพื่อดูแลการผลิตผลงานภาพยนตร์ของเธออย่างครบวงจร
ตรงกันข้าม เดอมีกลับหันหลังให้กับโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แล้วหันไปดัดแปลงนิทานที่เขาเคยชอบในวัยเด็กให้เป็นภาพยนตร์ จนเกิดเป็นผลงานอย่าง Donkey Skin (1970) และ The Pied Piper (1972) และภาพยนตร์ดัดแปลงการ์ตูนมังงะจากญี่ปุ่นร่วมกับบริษัท Toho อย่าง Lady Oscar (1979) ที่แม้จะเป็นที่รักของเด็กๆ ในยุคนั้น แต่ในยุคที่คนฝรั่งเศสกำลังตื่นเต้นกับเรื่องราวสังคมรอบตัว ภาพยนตร์เพ้อฝันของเดอมีกลายเป็นผลงานที่มาผิดที่ผิดเวลา แม้ต่อมาเขาจะพยายามทำภาพยนตร์ที่พูดเรื่องสิทธิผู้หญิงผ่านภาพยนตร์ตลกเรื่องผู้ชายท้องอย่าง A Slightly Pregnant Man (1973) และสิทธิแรงงานใน A Room in Town (1982) แต่ก็สายไปเสียแล้ว เดอมีกลายเป็นคนทำหนังตกยุค และไม่มีผลงานที่ประสบความสำเร็จเท่าผลงานในยุครุ่งเรืองของเขาอีกเลย
มาธิเออ เดอมี และ โรซาลี วาร์ดา จากเรื่อง The Beaches of Agnès (2008)
แต่แล้วความสัมพันธ์อมตะของสองสองสมาชิก French New Wave ก็ถึงคราวสะดุดในปี 1979 เมื่อทั้งสองแยกทางกัน จบความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักยาว 30 ปีท่ามกลางความตะลึงงันของคนในวงการ
นับแต่นั้นมา Varda ไม่เคยรักใครอีก เธอยังคงสวมแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้าย และเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของเธอกับเดอมีผ่านภาพยนตร์ที่เธอทำหลายเรื่องนับแต่นั้นมา ตั้งแต่สารคดีที่เล่าเรื่องผลงานของสามีเธออย่าง The World of Jacques Demy (1995) และผลงานระลึกเรื่องราวชีวิตของเธอเองอย่าง The Beaches of Agnes (2008) พร้อมดูและเผยแพร่ผลงานของสามีด้วยกันกับโรซาลี ลูกสาวของเธอผ่านบริษัทภาพยนตร์ Ciné-Tamaris ของวาร์ดา
แต่แล้วในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต เธอก็เลือกที่จะกำกับภาพยนตร์กับคนอื่นเป็นครั้งแรกในชีวิต กับศิลปินกราฟฟิติชายที่เด็กกว่าเธอกว่า 40 ปีอย่าง JR ในเรื่อง Faces Places (2017)
จากเรื่อง Faces Places (2017)
เช่นเดิม เธอไม่เคยออกมาพูดว่าทำไมเธอถึงเลือกที่จะทำภาพยนตร์เรื่องนี้กับ JR อาจจะเป็นเรื่องของอายุ อาจจะเป็นเพราะเธออยากหาความท้าทายใหม่ๆ แต่ผู้เขียนสันนิษฐานว่า น่าจะมีอะไรบางอย่างในตัว JR ที่ทำให้เธอนึกถึงสามีของเธอ เด็กขี้เล่นจากเมือง Nantes คนนั้นที่ทำภาพยนตร์เพื่ออยากให้โลกใบนี้มีความสุขมากขึ้นอีกนิดผ่านผลงาน จนเธอเลือกที่จะทำภาพยนตร์เรื่องนี้คู่กับเขา
หนังสั้นปี 2019 ของ ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ ที่เพิ่งเดบิวต์หนังยาวด้วย พญาโศกพิโยคค่ำ หรือ The Edge of Daybreak ในสายประกวดหลักที่ร็อตเตอร์ดาม 2021 ยังคงลายเซ็นอันจัดเจนของเขาไว้ครบถ้วน ทั้งสายตาที่จับจ้องคว้านลึกเข้าไปในสถานที่ การลำดับภาพที่สะท้อนความหมายใต้ชั้นผิวของพื้นที่ และเสียงประกอบ (ผลงานของนักดนตรีคู่ใจ Morinaga Yasuhiro) ขับเน้นบรรยากาศลึกลับชวนเคลือบแคลง – อาจครบถ้วนไปนิดจนขาดความโดดเด่นถ้าเทียบกับหนังสั้นในอดีต (The Age of Anxiety, Time of the Last Persecution, Trouble in Paradise) แต่เรียกว่าคงเส้นคงวาเสมอต้นเสมอปลายก็ได้
ไม่ใช่แค่เติ้งลี่จวิน ตัวหนัง Comrades: Almost A Love Story เองก็ ไม่ได้เข้าฉายในจีน มันถูกแบนและเพิ่งเข้าฉายเป็นครั้งแรกในปี 2015 และเข้าฉายโดยมีการคัฟเวอร์เพลงเดิมไม่ให้เป็นของเติ้งลี่จวินhttps://www.newyorker.com/culture/cultural-comment/the-melancholy-pop-idol-who-haunts-china
หนังยอดเยี่ยม “The Father” (Sony Pictures Classics) “Judas and the Black Messiah” (Warner Bros.) “Mank” (Netflix) “Minari” (A24) “Nomadland” (Searchlight Pictures) “Promising Young Woman” (Focus Features) “Sound of Metal” (Amazon Studios) “The Trial of the Chicago 7” (Netflix)
นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ไวโอล่า เดวิส (“Ma Rainey’s Black Bottom”) อันดรา เดย์ (“The United States v. Billie Holiday”) วาเนสซา เคอร์บี (“Pieces of a Woman”) ฟรานเชส แม็กดอร์มานด์ (“Nomadland”) แครีย์ มุลลิแกน (“Promising Young Woman”)
นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ซาชา บารอน โคเฮน (“The Trial of the Chicago 7”) แดเนียล คาลูยา (“Judas and the Black Messiah”) เลสลี โอดอม จูเนียร์ (“One Night in Miami”) พอล ราซี (“Sound of Metal”) ลาคีธ สแตนฟิลด์ (“Judas and the Black Messiah”)
แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม “Onward” (Pixar) “Over the Moon” (Netflix) “A Shaun the Sheep Movie: Farmageddon” (Netflix) “Soul” (Pixar) “Wolfwalkers” (Apple TV Plus/GKIDS)
บทดัดแปลงยอดเยี่ยม Borat Subsequent Moviefilm The Father Nomadland One Night in Miami The White Tiger
บทออริจินัลยอดเยี่ยม Judas and the Black Messiah Minari Promising Young Woman Sound of Metal The Trial of the Chicago 7
เพลงประกอบยอดเยี่ยม “Fight for You,” (“Judas and the Black Messiah”). Music by H.E.R. and Dernst Emile II; Lyric by H.E.R. and Tiara Thomas “Hear My Voice,” (“The Trial of the Chicago 7”). Music by Daniel Pemberton; Lyric by Daniel Pemberton and Celeste Waite “Húsavík,” (“Eurovision Song Contest”). Music and Lyric by Savan Kotecha, Fat Max Gsus and Rickard Göransson “Io Si (Seen),” (“The Life Ahead”). Music by Diane Warren; Lyric by Diane Warren and Laura Pausini “Speak Now,” (“One Night in Miami”). Music and Lyric by Leslie Odom, Jr. and Sam Ashworth
ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม Da 5 Bloods Mank Minari News of the World Soul
เสียงยอดเยี่ยม Greyhound Mank News of the World Soul Sound of Metal
ออกแบบเครื่องแต่งกาย Emma Mank Ma Rainey’s Black Bottom Mulan Pinocchio
แอนิเมชั่นสั้น Burrow Genius Loci If Anything Happens I Love You Opera Yes-People
หนังสั้นคนแสดง Feeling Through The Letter Room The Present Two Distant Strangers White Eye
กำกับภาพ Judas and the Black Messiah Mank News of the World Nomadland The Trial of the Chicago 7
สารคดีสั้น Colette A Concerto Is a Conversation Do Not Split Hunger Ward A Love Song for Latasha
ตัดต่อยอดเยี่ยม The Father Nomadland Promising Young Woman Sound of Metal The Trial of the Chicago 7
หนังนานาชาติยอดเยี่ยม “Another Round” (Denmark) “Better Days” (Hong Kong) “Collective” (Romania) “The Man Who Sold His Skin” (Tunisia) “Quo Vadis, Aida?”(Bosnia and Herzegovina)
แต่งหน้าทำผม Emma Hillbilly Elegy Ma Rainey’s Black Bottom Mank Pinocchio
โปรดักชั่นดีไซน์ The Father Ma Rainey’s Black Bottom Mank News of the World Tenet
วิชวลเอฟเฟ็กต์ Love and Monsters The Midnight Sky Mulan The One and Only Ivan Tenet
ในขณะที่เสียงตอบรับของคนไทยที่ไปดู Raya and the Last Dragon มักจะเต็มไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกับความเป็นไทยบนจอ แต่ตัวผู้เขียนเองแอบจะติดขัดกับการเหมารวมไปว่าสิ่งที่อยู่บนจอคือความเป็นไทยและละเลยความเป็นภูมิภาคอุษาคเนย์ที่กินขอบเขตเกินกว่ารัฐ-ชาติใดๆ เป็นการเฉพาะ อีกหนึ่งกระแสการตีความอีกแบบคือการพยายามแทนค่าเผ่าต่างๆ ในจักรวาลของหนังให้เป็นประเทศต่างๆ ในปัจจุบันของอุษาคเนย์ (เผ่านี้มีหิมะด้วยคือที่ไหน เผ่านี้มีตลาดน้ำคือที่ไหน) ซึ่งผู้เขียนเองก็มองว่าการพยายามจะวางเผ่าต่างทาบเข้ากับประเทศต่างๆ ในปัจจุบันนั้นก็เป็นอาการที่ผิดฝาผิดตัว
Qui Nguyen หนึ่งในผู้เขียนบท ให้สัมภาษณ์ว่า การแทนค่าให้แต่ละเผ่าแทนประเทศต่างๆ นั้น เป็นเรื่องง่ายที่จะคิด แต่การแทนค่าจะกลายเป็นดาบสองคมเพราะมันทำให้ต้องมีประเทศที่รับบทตัวร้าย “มันจะกลายเป็นอะไรที่เละเทะเลย โอ้ ประเทศนี้เลว ประเทศนี้ดี และตัวเอกเรามาจากเผ่านี้” วิธีการที่น่าจะดีกว่าคือปะปนองค์ประกอบทุกประเทศให้ไปอยู่ในทุกเผ่า ให้มันดูเป็นอะไรที่กลางๆ ไป Nguyen อธิบายว่าคูมันตราเหมือนเป็นดินแดนยุโรปในยุคกลางก่อนแบ่งเป็นชาติๆ คุมันตรา “เป็นเหมือนดินแดนกษัตริย์อาเธอร์ในตำนานของพวกเรา [ชาวอุษาคเนย์] เป็น Game of Thrones ของเรา เป็น Dungeons and Dragons ของเรา” ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับว่าเวลาเราดู Game of Thrones เราจำเป็นต้องแทนค่าอาณาจักรต่างๆ กับประเทศยุโรปในปัจจุบันหรือไม่ ? ก็อาจจะไม่จำเป็น
จริงๆ แล้วถ้าไล่ประวัติศาสตร์ในยุคอาณานิคม ดินแดนแถวนี้มักมีชื่อเล่น 2 อย่างว่า east india อินเดียตะวันออก หรือ indo-china อินโดจีน สำหรับฝรั่งที่แยกแยะอะไรไม่ค่อยเป็นภูมิภาคนี้คือดินแดนที่อยู่ระหว่างอินเดียกับจีน (พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม) มีชื่อว่าอินโดจีน หรือดินแดนที่ไม่มีเอกลักษณ์อะไรจนต้องตั้งชื่ออิงจากสองอาณาจักรที่ใหญ่กว่าข้างๆ เราสามารถเห็นหลักฐานเหล่านี้จากการตั้งชื่อประเทศแถวนี้ตอนเป็นอาณานิคม ตอนอังกฤษได้พม่าทีแรก อังกฤษผนวกพม่าเข้าไปเป็นจังหวัดหนึ่งของอินเดียก่อน พม่ากลายเป็น British India ก่อนที่อังกฤษจะแยกออกมาเป็น British Burma ในภายหลัง ส่วนฝรั่งเศสยึดครองลาว กัมพูชา กับเวียดนามไว้ด้วยชื่อ French Indochine อินโดจีนของฝรั่งเศส ส่วนอินโดนีเซียในยุคนั้นก็คือ Dutch East India อินเดียตะวันออกของดัตช์ เหมือนฟิลิปปินส์ที่ก็มีชื่อเล่นอีกชื่อว่า Spanish East India อินเดียตะวันออกของสเปน
ผลงานเปิดตัวของผู้กำกับ Steve McQueen นำแสดงโดยนักแสดงที่กลายเป็นเพื่อนร่วมงานคู่บุญในเวลาถัดมาอย่าง Michael Fassbender ซึ่งเขายอมลงทุนลดน้ำหนักจนผ่ายผอมเพื่อให้ได้สภาพร่างกายและความกดดันที่สมจริง
ในยามปกติ Maria เป็นครูสอนอ่านและเขียนหนังสือให้กับเด็กๆ ย่านชานเมืองของ Buanos Aires เธออาศัยอยู่กับแม่เพียงแค่สองคน แต่อีกด้านหนึ่งเธอคือนักเคลื่อนไหวที่ต่อต้านรัฐบาลทหารในอาร์เจนตินา วันหนึ่ง Maria ถูกทหารนอกเครื่องแบบจับตัวไปต่อหน้าแม่ของเธอ เธอถูกพาไปที่โรงรถ Olimpo ซึ่งจริงๆ แล้วที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่จับกุมตัวและทรมานนักโทษทางการเมือง Tigre หัวหน้าผู้คุมสถานที่แห่งนี้ส่ง Felix ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่พักอาศัยห้องที่แม่ของเธอเป็นเจ้าของมาทรมานเธอ แต่ Felix คนนี้นั้นแอบชอบ Maria อยู่ และเขาเป็นความหวังหนึ่งเดียวที่จะทำให้เธอหนีรอดไปจากที่แห่งนี้
หนังเรื่องนี้อ้างอิงจากเหตุการณ์ Dirty War เริ่มขึ้นหลังการรัฐประหารในเดือนมีนาคม 1976 นำโดยพลตรี Jorge Rafael Videla ด้วยการอุ้มนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกสงสัยว่าเป็นฝ่ายซ้าย หรือบังคับให้สูญหาย ระบุว่าในช่วงเวลาเพียง 3 ปี พวกเขานับจำนวนคนที่เสียชีวิตและสูญหายได้ถึง 22,000 คน หนังเรื่องนี้ได้เข้าร่วมเทศกาลมากมาย รวมกระทั่งเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต และเข้าใน section ของ Un Certain Regard ของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในปีนั้นด้วย สามารถเช่าหรือซื้อได้ที่ vimeo
Sophie Scholl – The Final Days (2005, Marc Rothemund)
หนังเล่าเรื่องของ Sophie Scholl วัย 21 ปี และพี่ชายของเธอ Hans Scholl วัย 24 ปี ผู้ก่อตั้งกลุ่ม White Rose กลุ่มนักศึกษาเยอรมันที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลนาซีเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาแสดงการต่อต้านด้วยการแจกจ่ายใบปลิวต่อต้านนาซีตามที่ต่างๆ เขียนข้อความบนกำแพงและผนังทั่วเมืองเบอร์ลิน พวกเขาถูกตำรวจเกสตาโปจับได้ระหว่างกำลังเอาใบปลิวไปโปรยในมหาวิทยาลัย เรื่องราวในหนังดำเนินไปตอนช่วงเวลาที่เธอถูกสอบสวนและดำเนินคดีในศาล ซึ่งใช้เวลารวบรัดเพียงแค่ 5 วัน สุดท้ายนั้นศาลตัดสินว่าเธอและพี่ชายก็โดนตัดสินประหารชีวิตด้วยเครื่องกิโยตินด้วยข้อหาทรยศชาติ ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1943
และเรื่องราวอันกล้าหาญของเธอและกลุ่ม White Rose นั้นก็ได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านสื่อหลากหลายรูปแบบ รวมถึงหนังเรื่องนี้ หนังเปิดตัวในเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2005 และคว้ารางวัล Silver Bear สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม และนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม รวมทั้งเป็น 1 ใน 5 หนังชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
Lav Diaz ผู้กำกับที่ชึ้นชื่อของฟิลิปปินส์ในแง่การทำหนังที่ยาวมากกว่าสามชั่วโมง และการสร้างหนังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายในประวัติศาสตร์ คราวนี้เขานำเอานิยาย God See the Truths, But Waits ของ Leo Tolstoy มาตีความในรูปแบบใหม่ให้เข้ากับสภาพสังคมของฟิลิปปินส์ ซึ่งเขาบอกว่าปี 1997 นั้นถือว่าเป็นปีที่ซับซ้อนและมืดหม่นมากของประวัติศาสตร์ ทั้งเหตุการณ์เลวร้ายในและนอกประเทศต่างกดทับและทับซ้อนกันเป็นโยงใยเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้ได้รับรางวัลสิงโตทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิซในปีนั้น
Lost in the Fumes (2017, Nora Lam)
สารคดีที่ติดตามชีวิตของ Edward Leung หนึ่งในแกนนำคนสำคัญที่เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในฮ่องกง และสมาชิกพรรค Hong Kong Indigenous ที่มีการต่อต้านรัฐบาลจีนอย่างรุนแรง ผู้สร้างคติประจำใจ “ทวงคืนฮ่องกง – ถึงยามเราปฏิวัติ” ให้ม็อบที่ฮ่องกงใช้ขับเคลื่อน ตัว Leung นั้นอยู่ในกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ดำเนินแนวทางแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ภายหลังเมื่อปี 2016 เขาถูกตัดสิทธิจากการเล่นการเมือง และถูกจับในข้อหาก่อการจลาจลในมงก๊ก ซึ่งศาลกล่าวว่า การกระทำของ Edward Leung มีเจตนาในการสร้างความรุนแรง ซึ่งเป็นการกระทำที่ร้ายแรงและวุ่นวายเท่าที่เคยมีมา เขาต้องรับโทษด้วยการจำคุกเป็นเวลา 6 ปี
นอกจากจะตามชีวิตในด้านการเมืองของ Edward Leung สารคดียังเปิดเผยชีวิตในด้านอันอ่อนไหวของเขาที่ต้องต่อสู้กับโรคซึมเศร้าที่เขาต้องเผชิญอยู่ด้วย
พล็อตย่อยอีกพล็อตที่แทรกอยู่คือเรื่องราวของกลุ่ม Black Fox ซึ่งเป็นกลุ่มโจรสลัดที่ตามหาตัวโดโรธีอยู่เหมือนกัน โดยเบื้องหลังของกลุ่มมีความเป็นมาซับซ้อนกว่าที่ผู้ชมคาดไว้ตั้งแต่แรก และสะท้อนให้เห็นถึงการพยายามต่อรองคานอำนาจ ระหว่างคนกลุ่มเล็กๆ กับบริษัทหรือองค์กรภาครัฐยักษ์ใหญ่ที่มีปากมีเสียงมากกว่า ในพล็อตย่อยของ Black Fox นี้ถือว่าทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ และทำให้นึกถึงการรวมกลุ่มทางการเมืองในบ้านเราเพื่อสะท้อนเสียงของคนตัวเล็กๆ
หนัง 4 เรื่องที่เข้าฉายใหม่ในโรงกระแสหลัก ตบเท้าเข้าจับจองพื้นที่ใน 4 อันดับแรกบนบ็อกซ์ออฟฟิศ โดยที่ทำเงินสูงที่สุดคือ Tom and Jerry แอนิเมชั่นผสมคนแสดงของค่ายวอร์เนอร์ ที่ทำเงินไป 7 แสนบาท
รายได้หนังประจำวันที่ 25 ก.พ. 64
Tom and Jerry – 0.71 ล้านบาท
Skylin3s – 0.30 ล้านบาท
Violet Evergarden The Movie – 0.30 ล้านบาท
Willy’s Wonderland – 0.14 ล้านบาท
Howling Village – 0.07 (1.57) ล้านบาท
Detective Chinatown 3 – 0.07 (1.91) ล้านบาท
The Cornered Mouse Dreams of Cheese – 0.01 (0.26) ล้านบาท
Shadow in the Cloud – 0.008 (2.82) ล้านบาท
Breaking News in Yuba County – 0.007 (0.25) ล้านบาท
เราอาจบอกได้ว่า The Long Walk ของ Mattie Do อาจชวนให้คิดถึงหนังอีกสองเรื่องที่ออกฉายไล่เลี่ยกัน หนึ่งคือ Tenet ที่ว่าด้วยการย้อนเวลาเพื่อไปยับยั้งอาชญากรรมด้วยประตูปิดเปิด ที่ทำให้ตัวละครเข้าไปในอดีต ผ่านเวลาที่กลับหลังเพื่อปกป้องอนาคต แต่อนาคตไม่อาจปกป้องได้ เพราะอีกฝั่งที่ต้องต่อสู้ด้วยก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน อีกเรื่องคือ The Call ที่ว่าด้วยตัวละครในปัจจุบันได้รับโทรศัพท์จากอดีต และโดยบังเอิญเธอขอให้คนทางอดีตช่วยแก้ไขบางอย่าง และนั่นทำให้อนาคตของเธอเปลี่ยนแปลง แต่เธอต้องตอบแทนปลายสายในอดีตด้วยการให้ข้อมูลอนาคตของฝั่งอดีตนั้น โดยไม่อาจรู้ว่าอดีตที่เธอช่วยเหลือจะกลับมาควบคุมอนาคตของเธอ ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงเช่นการสามารถห้ามการตายของพ่อเป็นเพียงช่วงพักบนชานชาลาของขบวนรถไฟสายเดิม กับสายใหม่ที่พ่อจะต้องตายในอีกแบบหนึ่ง
ถ้าเราเชื่อว่าสายธารของเวลาเป็นเรื่องของพรหมลิขิต สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วย่อมต้องเกิดขึ้น การแก้ไขอดีตก็จะไม่มีความหมาย เพราะมันเป็นเหมือนกับการใช้ทางเบี่ยงที่เมื่อเส้นทางเดิมถูกปิด เหตุการณ์ก็จะไหลไปสู่เส้นทางเลือกอื่นๆ ที่ในที่สุดจะกลับมาบรรจบกับเส้นทางเก่า ทางเบี่ยงจะพาเรามุ่งสู่ปลายทางเดิมไม่ใช่ปลายทางใหม่ ทั้ง The Call และ Tenet ไล่เรื่อยไปจนถึง Back to The Future ต่างอธิบายเวลาในทำนองนี้ การเปลี่ยนอดีตไม่ได้เปลี่ยนอนาคตไปตลอดกาล เพราะมันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบลูกโซ่ที่จะย้อนไปสู่ปลายทางเดิม ในขณะที่หนังอย่าง Avengers : Endgame บอกเราว่าเวลาไม่ใช่ทางที่เป็นเส้นตรงแต่เป็นเหมือนแขนงของสายน้ำ ราวกับว่ามีมิติคู่ขนานและความเป็นไปได้ของเหตุการณ์เต็มไปหมด ถ้าเราแก้ไขอดีตที่จุดหนึ่งเท่ากับเราเลี้ยวเข้าไปในความเป็นไปได้อื่นๆ และมันจะพาเราไปสู่กระแสอื่นของเวลา เรื่องเล่าแบบอื่นๆ กล่าวให้ง่ายคือเราสามารถเปลี่ยนอนาคตได้ เพราะอนาคตคือความเป็นไปได้ที่มีหลายมิติคู่ขนาน และ Tenet เองก็บอกไว้เช่นนี้ด้วยการบอกว่า การเปลี่ยนอนาคตไม่ใช่การแก้ไขอดีตแบบโต้งๆ แต่คือการเปลี่ยนความคิดผู้คนคนอื่นๆ ที่มีต่อปัจจุบัน ถ้าเราอยากเปลี่ยนอนาคตเราต้องเปลี่ยนความเชื่อของคนอื่นๆ และคนที่เปลี่ยนจากภายในจะเป็นบั๊กของกระแสธารเวลาและเปลี่ยนอนาคตจากปัจจุบันไม่ใช่จากอนาคต
หากเวลาใน The Long Walk กลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อมองจากฐานคิดแบบพุทธศาสนาที่มองเส้นทางเวลาว่าเป็นการ ‘มูฟออนเป็นวงกลม’ ในนามของวัฏสงสาร เกิดแก่เจ็บตายเกิดใหม่
เราอาจขยายภาพการพัฒนาที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับชาวประชาหน้าดำในชนบทนี้ได้อีกเมื่อเราเห็นภาพจรวดบินตัดขอบฟ้าที่ไม่ได้ให้อะไรนอกจากเสียงเสียดแก้วหู กับระบบโอนเงินแบบเก่าที่ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้างจนต้องร้องหาเงินสดกันไปเรื่อย ชิปที่มีไว้เพื่อติดตามตัวเอาเข้าจริงก็สามารถถอดทิ้งไปได้จนตำรวจต้องพึ่งคนเห็นผีแทนเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว จนอาจบอกได้ว่าสิ่งที่รัฐมอบให้คือการพัฒนาตามมีตามเกิดที่ไม่ตอบสนองชีวิตตรงหน้า การหยิบยื่นที่เกือบยัดเยียดเพื่อไว้มาทวงบุญคุณทีหลัง ภาพของโลกดินแดง รองเท้าแตะ และความยากจนใน The Long Walk จึงชวนให้นึกถึงภาพเมื่อเร็วๆ นี้ที่หน้าธนาคารแห่งหนึ่งทั่วประเทศไทยที่เหล่าคนทุกข์ยากเข้าไม่ถึงสมาร์ตโฟน ต้อง ‘เดินทางไกล’ (the long walk?) มาเข้าแถวยาวเหยียดหน้าธนาคารเพื่อรอเงินเยียวยาจากรัฐที่เลือกวิธีที่ง่ายจนเกือบมักง่ายให้คนต้องร้องขอ ภาพนี้ซ้อนเข้ากับการเดินยาวนานไปตามทางลูกรังของเด็ก ชายเฒ่าและผีที่ก้มหน้าอย่างไร้ฤทธิ์เดชจะแผลงใส่ใคร