เช้าของวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักข่าวทั่วโลกต่างรายงานข่าวการปะทะแบบไร้อาวุธของทหารจีนและอินเดีย ที่พรมแดนบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ผลจากการปะทะกันทำให้ทหารอินเดียเสียชีวิต 3 คน ก่อนที่ต่อมาจำนวนยอดผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 คน ส่วนทหารจีน แม้ว่าจะไม่มีรายงานออกอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีรายงานที่ไม่ได้การยืนยันว่า ทหารจีนเสียชีวิตประมาณ 40 คน ข่าวดังกล่าวสร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก เพราะแม้ว่าจีนและอินเดีย จะมีข้อพิพาทเรื่องหุบเขากัลวาน (Gallwan Valley) จนถึงขั้นทำสงครามกันในปี 1962 แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทั้งสองชาติก็ใช้การทูตเป็นเครื่องมือในการลดระดับความตึงเครียด จนทำให้ตลอดมาไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงใหญ่ๆ เกิดขึ้นอีกเลยจนกระทั่งเช้าตรู่ของวันที่ 16 มิถุนายนhttps://www.aljazeera.com/news/2020/06/china-india-agree-reduce-border-tensions-deadly-clash-200623082203724.html
ผลจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าความขัดแย้งครั้งนี้อาจขยายวงไปสู่มิติอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจากการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมิติทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองชาติมีความผูกพันอย่างแนบแน่นและต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายหลังจากที่ประธานาธิบดีสี่จิ้นผิงได้ทำข้อตกลงการค้าหลายฉบับกับนายกรัฐมนตรีนเรนทะระ โมที นายกรัฐมนตรีอินเดียในปี 2014 กับมิติทางด้านวัฒนธรรมที่มีภาพยนตร์เป็นตัวแปรสำคัญ
ในบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนขอให้ความสำคัญกับธุรกิจภาพยนตร์เป็นพิเศษ เนื่องจากมีบทบาทเด่นตลอดช่วงระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา และเป็นตัวแปรที่ชี้วัดความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในระดับประชาชนได้เป็นอย่างดี
เมื่อหนังอินเดียตีตลาดจีน
แม้ว่าโดยภาพรวมของความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ประเทศจีนจะได้เปรียบดุลการค้ากับประเทศอินเดียเกือบสี่เท่า (โดยเฉพาะในปี 2019 จีนได้เปรียบดุลการค้าถึง 51.68 พันล้านเหรียญ)
ปราสาท เชทตี ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อินเดียเคยให้ความเห็นกับนิตยสาร Hollywood Reporter ถึงเหตุผลที่หนังอินเดียได้รับความนิยมในประเทศจีนไว้ว่า “ทั้งสองประเทศต่างมีค่านิยมที่คล้ายกัน เช่น การให้ความสำคัญกับครอบครัว การศึกษา และหน้าที่การงาน นอกจากนี้ทั้งสองประเทศยังมีประวัติศาสตร์ทางด้านวัฒนธรรมที่ฝังลึกยาวนาน”
อย่างไรก็ตาม ในมุมกลับ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับหนังอินเดีย กลับไม่เกิดขึ้นกับหนังจีนในประเทศอินเดีย เหตุผลสำคัญมาจากการที่ผู้ชมอินเดียยังให้นิยมดูหนังที่ผลิตในประเทศอยู่ แม้ขนาดหนังฟอร์มใหญ่ของฮอลลีวูดอย่างค่ายมาร์เวล ก็ยังไม่ติดอันดับหนึ่งในห้าหนังทำเงินในประเทศอินเดีย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่หนังจากประเทศจีนจึงได้รับความนิยมในระดับหนึ่งเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นหนังแนวการต่อสู้ที่นำแสดงโดยดาราชื่อดังอย่างแจ็คกี้ ชาน
Awara และ Caravan สองหนังอินเดียที่สานสัมพันธ์
แม้ว่า Dangal จะได้รับการบันทึกว่าเป็นหนังอินเดียที่ทำรายได้มากที่สุดในประเทศจีน แต่ความนิยมในหนังอินเดียของชาวจีนไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ หากแต่ย้อนกลับไปในปี 1955 อันเป็นปี 7 หลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนก่อตั้งขึ้นเลยทีเดียว โดยในปีนั้นภาพยนตร์เรื่อง Awara ซึ่งกำกับโดยผู้กำกับชื่อดังราช กาปูร์ ได้ถูกนำเข้ามาฉายในประเทศจีน และสามารถดึงผู้ชมเข้าโรงภาพยนตร์ได้กว่า 4 ล้านคน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้งหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมในปี 1978 และสร้างสถิติด้วยจำนวนผู้ชมที่ซื้อตั๋วเข้าชมกว่า 40 ล้านคน Awara ไม่เป็นเพียงภาพยนตร์อินเดียที่อยู่ในใจชาวจีนจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพยนตร์ที่เหมาเจ๋อตุงชื่นชอบเรื่องหนึ่ง
แต่สถิติดังกล่าวได้ถูกทำลายลงในปีถัดมา เมื่อบริษัท Shanghai Film Dubbing Studio ซึ่งเป็นบริษัทภาพยนตร์ของรัฐบาลได้นำภาพยนตร์เรื่อง Caravan หนังเก่าในปี 1971 ว่าด้วยเรื่องราวของหญิงสาวจากครอบครัวเศรษฐีที่ออกตามล่าล้างแค้นคนที่ฆ่าพ่อและสามีของเธอ ออกตระเวนฉายทั่วประเทศ ปรากฏว่าได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ว่ากันว่ามีผู้ชมซื้อบัตรเข้าชมภาพยนตร์เรื่องนี้กว่า 300 ล้านใบ และเพลงหลายเพลงในหนังได้รับความนิยมจากผู้ชมชาวจีน และยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นความนิยมในภาพยนตร์อินเดียในประเทศจีนค่อยๆ ลดลง ประกอบกับนโยบายการจำกัดการนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศ หรือ ระบบโควตาที่ประกาศใช้กลางทศวรรษที่ 1990 ที่กำหนดให้มีการนำเข้าหนังต่างประเทศได้ปีละ 10 ยิ่งทำให้โอกาสที่หนังอินเดียจะสอดแทรกเข้ามาเป็นหนึ่งในโควตาเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น จนกระทั่งเข้าสู่ต้นทศวรรษที่ 2010 เมื่อภาพยนตร์เรื่อง 3 idiots (2009) ได้สร้างปรากฏการณ์ “อเมียร์ ข่าน” ขึ้น ด้วยการทำรายได้มากกว่า 3 ล้านเหรียญ ทั้งที่หนังออกฉายมาแล้วเป็นเวลา 2 ปี และแผ่นดีวีดีเถื่อนสามารถหาได้ทั่วไปตามท้องตลาด หลังจากนั้น หนังอินเดียก็ผ่านโควตาได้รับเลือกเข้ามาฉายมากขึ้น และได้รับการตอบรับจากผู้ชมมากขึ้น อนึ่งนอกจากอเมียร์ ข่านแล้ว ชารุค ข่านก็เป็นดาราอินเดียอีกคน ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้ชมชาวจีน
ข้อตกลงความร่วมมือในด้านการผลิตภาพยนตร์ปี 2014
ปี 2014 ผลจากความสำเร็จของการจัดจำหน่ายภาพยนตร์อินเดียในประเทศจีน ได้ทำให้ทั้งรัฐบาลจีนและอินเดียเล็งเห็นช่องทางการกระชับความสัมพันธ์ทั้งในเชิงการทูตและธุรกิจ จึงได้จัดให้ “ภาพยนตร์” ถูกบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงทวิภาคีทางการค้าหลายๆ ข้อที่รัฐบาลทั้งสองประเทศได้เซ็นร่วมกัน ระหว่างที่ประธานาธิบดีสี่จิ้นผิงเดินทางมาเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน ปี 2014 ในส่วนข้อตกลงความร่วมมือด้านธุรกิจภาพยนตร์ รัฐบาลทั้งสองประเทศ ตกลงกันว่าจะร่วมผลิตภาพยนตร์ด้วยกัน
Zhang Hongsen ผู้อำนวยการของสำนักภาพยนตร์ (Film Bureau of China) ได้กล่าวถึงความคาดหวังต่อการร่วมมือกันของภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของทั้งสองประเทศไว้ว่า “ประเทศทั้งสองต่างมีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ขนาดใหญ่ และอุตสาหกรรมของประเทศทั้งสองกำลังเชื่อมต่อกันภายหลังจากข้อตกลงฉบับนี้มีผล”
ในขณะที่ อาจิตต์ ฐากูร (Ajit Thakor) ซีอีโอของ บริษัท Eros Production มองว่าเป้าหมายสำคัญของการร่วมมือกันของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกสองประเทศแรกคือ การพาหนังเข้าถึงตลาดที่มีผู้ชมรวมกัน สองพันห้าร้อยล้านคนเป็นลำดับแรก จากนั้นจึงค่อยพุ่งเป้าไปที่ตลาดตะวันตก “ถ้าหนังร่วมทุนเหล่านี้ประสบความสำเร็จในทั้งอินเดีย และจีน มันก็ควรจะไปฉายในที่ต่างๆ ทั่วโลกพร้อมกับซับไตเติ้ล หรือไม่ก็ฉบับพากย์ภาษาอังกฤษ”
ผลพวงจากข้อตกลงดังกล่าว ทำให้มีการร่วมผลิตภาพยนตร์ระหว่างกันของประเทศทั้งสอง ตามมาหลายเรื่อง อาทิ Monk Xuan Zang (2015)
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ที่ราบรื่นระหว่างจีนและอินเดียในมิติของธุรกิจภาพยนตร์ต้องมีอันสะดุดเมื่อเข้าสู่ปี 2020 เริ่มตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โควิด 19 ในช่วงเดือนมกราคม ที่ทำให้ธุรกิจบันเทิงในจีนทุกภาคส่วนต้องหยุดชะงักลง หนังอินเดียบางเรื่องที่ถูกวางคิวฉายในประเทศจีนต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เช่น หนังเรื่อง Super 30 โดย ฤติก โรศัน (Hrithik Roshan) ซึ่งเดิมมีกำหนดว่าจะฉายช่วงหลังวิกฤตโควิด 19 แต่ก็ยังไม่มีกำหนดที่แน่นอน เพราะโรงหนังในจีนยังคงเลื่อนเปิดอย่างไม่มีกำหนด
ถึงตอนนี้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศอินเดียกับจีนยังไม่ดีขึ้น แม้ว่าจะมีความพยายามเจรจาทางการทูตก็ตาม ล่าสุดชาวอินเดียจำนวนมากประกาศบอยคอตสินค้าจีน