ขณะที่หลายภาคส่วนต่างๆ ของธุรกิจหลายประเภท กำลังเริ่มต้นเดินเครื่องธุรกิจใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ต้องว่างเว้นไปเพราะดำเนินตามนโยบายป้องกันโรคโควิด 19 ธุรกิจภาพยนตร์ดูเหมือนกำลังเข้าสู่โหมดปรับตัวครั้งใหญ่ ด้วยคุณลักษณะของธุรกิจที่ต้องเกี่ยวกับคนจำนวนมาก ไม่ว่าในด้านการผลิตที่ต้องอาศัยบุคลากรจำนวนมากในการสร้างภาพยนตร์สักเรื่อง หรือ การเผยแพร่ซึ่งแน่นอนว่า หลีกเลี่ยงฝูงชนจำนวนมากไม่พ้น จึงทำให้ ธุรกิจภาพยนตร์อาจมีความเปราะบางเมื่อเทียบกับธุรกิจหลายๆ ประเภท เพราะหากเกิดการระบาดรอบสอง และต้นตอของการระบาดมาจากธุรกิจภาพยนตร์ภาคใดภาคหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นตามเห็นจะหนีไม่พ้นหายนะครั้งใหญ่ของโลกภาพยนตร์อย่างแน่นอน สำหรับความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในวงการธุรกิจภาพยนตร์โลกช่วงเวลานี้มีดังนี้
โรงหนังเครือใหญ่ในอเมริกา เตรียมเปิดให้บริการอีกครั้ง
หลังจากที่ต้องปิดตัวลงเป็นเวลาเกือบสี่เดือน โรงภาพยนตร์ในอเมริกา ก็ได้ฤกษ์เตรียมเปิดให้บริการอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่สถานการณ์ของโรคระบาดยังไม่นิ่งทั้งประเทศ สมาคมผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์แห่งอเมริกา จึงได้ทำสรุปถึงสถานการณ์ของโรงภาพยนตร์ในรัฐต่างๆ ทั่วประเทศ แบ่งได้ดังนี้ สำหรับรัฐที่โรงภาพยนตร์ยังไม่สามารถเปิดได้ มีอยู่ทั้งหมด 9 รัฐ ประกอบด้วย วอชิงตัน โคโลราโด นิวเม๊กซิโก เมน นิวยอร์ค อิลินอยส์ นอร์ธคาโรไลนา เซ้าธ์โคโลไรนา และ ฮาวาย ในขณะที่รัฐที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย แต่เจ้าของโรงภาพยนตร์จำกัดรอบการฉาย มีจำนวนทั้งหมด 13 รัฐ ได้แก่ อลาสก้า โอเรกอน ไวโอมิง แคนซัส โอกลาโฮมา อริโซนา ยูทาห์ ไวโอมิง เซ้าธ์ดาโกตา ไอโอวา มิซูรี โอไฮโอ และจอร์เจีย ส่วนรัฐที่เหลือ แม้ว่าโดยส่วนใหญ่โรงหนังจะเปิดให้บริการเป็นปกติแล้ว แต่ยังคงมาตรการ social distancing ด้วยการจำกัดจำนวนที่นั่งเข้าชมที่มีจำนวนระหว่าง 20-70%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโรงภาพยนตร์จะเปิดได้บางส่วนตั้งแต่เดือนพฤษภาคมแล้ว แต่ส่วนใหญ่เป็นโรงภาพยนตร์ขนาดกลางและเล็ก สำหรับโรงภาพยนตร์เครือใหญ่อย่าง AMC ซึ่งมีโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศจำนวนมากกว่า 600 แห่ง และเครือ REGAL ซึ่งมีจำนวนโรงภาพยนตร์รวมกันทั้งหมด 564 แห่งทั่วประเทศ มีกำหนดที่จะเปิดให้บริการอีกครั้งในสัปดาห์ที่สองของเดือนกรกฎาคม เพื่อรองรับการเปิดตัวของหนังฟอร์มใหญ่เรื่องแรกของปีเรื่อง Mulan ของค่ายดิสนีย์ซึ่งมีกำหนดที่จะเข้าวันที่ 24 กรกฎาคม ก่อนที่จะตามมาด้วย Tenet หนังไซไฟทุนสูงของคริสโตเฟอร์ โนแลนด์ซึ่งจะเข้าฉายในวันที่ 31 กรกฎาคม ว่ากันว่าหนังทั้งสองเรื่องจะเป็นตัวแปรชี้วัดว่า อุตสาหกรรมหนังในยุค new normal จะเป็นเช่นไร หากทั้งสองเรื่องทำรายได้อย่างน่าพอใจ ก็จะทำให้ทั้งโรงภาพยนตร์และค่ายหนังยักษ์ใหญ่เบาใจได้ว่า อย่างน้อยคนยังพร้อมกลับมาดูหนังในโรงอยู่ แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนว่า จะป้องกันโรคโควิด 19 ได้อย่างไร แต่ถ้าผลออกมาตรงกันข้าม ก็คงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจของทั้งโรงหนังและค่ายหนัง ที่ต้องอดทนรอว่าหนังเรื่องต่อไปที่จะดึงคนดูกลับมายังโรงหนังอีกครั้งจะเป็นเรื่องอะไร
อ้างอิง
AMC Theatres Unveils Plans to Reopen During Coronavirus
Theaters Declare July 10 National Reopening Day, but Are They Going for Broke?
วงการสตรีมมิ่งโลกสั่นสะเทือนหาก 2 ยักษ์ใหญ่สตรีมมิ่งของจีน ควบรวมกัน
สืบเนื่องจากวิกฤตโควิด 19 ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ได้ทำให้พฤติกรรมการเสพสื่อบันเทิงของชาวจีนได้เปลี่ยนไป จากการสำรวจของ Maoyan Zhiduoxing แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจบันเทิงจีนในเดือนเมษายนที่ผ่านมาระบุว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 24 มกราคม ถึง 2 กุมภาพันธ์ ชาวจีนใช้บริการแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เพิ่มขึ้น 17.4% หรือคิดเป็นจำนวน 310 ล้านคน โดยผู้ใช้บริการใช้เวลาเฉลี่ย 98 นาทีตลอดช่วงเวลาของเทศกาล นอกจากนี้ยอดการรับชม ภาพยนตร์เรื่อง Lost In Russia ซึ่งบริษัท Bytedance เจ้าของแอพพลิเคชั่นที่โด่งดังอย่าง Tik Tok ได้ซื้อสิทธิ์มาปล่อยฉายแบบฟรีๆ ทางออนไลน์ สูงถึง 600 ล้านวิวในช่วงเวลาเพียงสามวัน!! เท่านั้นยังไม่พอ หนังตลกเรื่อง Enter the Fat Dragon ที่ผู้สร้างภาพยนตร์ตัดสินใจจัดจำหน่ายทางออนไลน์แบบเก็บค่าชม (Transaction VOD) มีผู้ชมยอมจ่ายค่าบริการเพื่อรับชมถึง 63 ล้านคนในช่วงเวลาเพียงแค่สามวันเท่านั้น
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายฝ่ายเริ่มมองเห็นโอกาสเติบโตของธุรกิจสตรีมมิ่งในประเทศจีน และมองว่าวิกฤตโรคโควิด 19 อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์จีน และอาจเป็นเพราะปรากฏการณ์ดังกล่าว จึงทำให้เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ค่ายสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ของจีนสองค่ายที่ต่างเป็นคู่แข่งของกันและกันอย่าง Tencent Video และ Iqiyi (นึกถึง Netflix และ Amazon Prime ของอเมริกา) อาจมีโอกาสควบรวมกัน โดย Tencent ยักษ์ใหญ่แห่งเกมออนไลน์และโซเชียลมีเดียของจีน จะทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อหุ้นของ IQYI ที่ได้รับฉายาว่า Netflix แห่งประเทศจีน ซึ่งผู้ถือหุ้นหลักคือ Baidu เสิร์ชเอนจินชื่อดัง
แม้ว่ารายงานข่าวดังกล่าวยังไม่ได้รับการยืนยันจากปากของทั้งสองบริษัท แต่ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่อยู่แวดวงธุรกิจสตรีมมิ่งเป็นอย่างมาก เพราะทั้ง Tencent และ IQYI ต่างมีสมาชิกที่จ่ายค่าบริการรายเดือนฝั่งละ 110 ล้านคน การควบรวมกันของบริษัททั้งสอง นอกจากจะทำให้ศักยภาพในการผลิตคอนเทนต์สูงขึ้นแล้วยังทำให้พวกเขาจะมีอำนาจในการจัดซื้อคอนเทนต์อย่างไม่มีขีดจำกัดอีกด้วย และหากว่าพวกเขามองไกลกว่าประเทศจีน บริษัทที่ยังไม่มีชื่อบริษัทนี้จะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ Netflix หรือ Amazon Prime Video ในการยึดครองโลกแห่งคอนเทนต์เลยทีเดียว!!!
อ้างอิง
Maoyan: China’s Online Entertainment Market Booming with the COVID-19 Pandemic
Exclusive: Tencent aims to become biggest shareholder of video streaming rival iQIYI – sources