Home Film News สรุปดีเบทเดือด กรณีถอด The Lady of Heaven ที่อังกฤษ เมื่อโรงหนังอ่อนข้อให้เซ็นเซอร์ของมวลชน

สรุปดีเบทเดือด กรณีถอด The Lady of Heaven ที่อังกฤษ เมื่อโรงหนังอ่อนข้อให้เซ็นเซอร์ของมวลชน

สรุปดีเบทเดือด กรณีถอด The Lady of Heaven ที่อังกฤษ เมื่อโรงหนังอ่อนข้อให้เซ็นเซอร์ของมวลชน

ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดการประท้วงขนาดย่อมขึ้นที่เมืองแบรดฟอร์ด โบลตัน เบอร์มิงแฮม และเชฟฟีลด์ ประเทศอังกฤษ เพื่อเรียกร้องให้มีการระงับฉายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ The Lady of Heaven และมีถึง 120,000 คนที่ลงชื่อเรียกร้องให้ถอดหนังออกจากโรงหนังทั่วประเทศ ผลคือหลายโรงหนังมัลติเพล็กซ์ทั้ง Cineworld, Showcase และ Vue ตอบรับข้อเรียกร้องและถอดหนังออกจากโปรแกรมฉายทุกสาขา

The Lady of Heaven กำกับโดย เอไล คิง (Eli King) และเขียนบทโดย ชีค อัล-ฮาบิบ (Sheikh al-Habib) เล่ามหากาพย์ชีวิต 1,400 ปีก่อนของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ลูกสาวของศาสดามูฮัมมัด คล้องคลอไปกับเรื่องราวของเด็กกำพร้าจากโมซุลที่แม่ของเขาถูกทหาร ISIS สังหาร ทหารที่แบกแดดรับเลี้ยงเขาไว้ และแม่ของทหารผู้นั้นก็ปลอบประโลมเด็กชายด้วยเรื่องของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เพื่อให้เขามีพลังใจข้ามผ่านช่วงเวลาอันโหดร้าย หนังค่อนข้างเล่าเรื่องตามแบบแผน ไม่มีลูกเล่นอะไรมาก และเดอะการ์เดียนก็ให้คะแนนหนังแค่ 2 ดาว แต่แทนที่จะถูกเวลากลืนหายไปแบบตอนเข้าฉายที่อเมริกาเมื่อราวหนึ่งเดือนที่แล้ว หนังกลับสร้างข้อถกเถียงในสังคมอังกฤษและที่อื่นๆ โดยเฉพาะในหมู่ผู้นำทางศาสนา

ทั้งคำครหาว่าหนังแสดงภาพศาสดามูฮัมมัดด้วยตัวแสดงที่เป็นคนเล่น แม้ผู้สร้างจะไม่ได้ให้เครดิตผู้แสดงและชี้แจงว่าได้ประกอบสร้างภาพดังกล่าวร่วมกับคอมพิวเตอร์กราฟฟิก การจัดแสง และเทคนิคต่างๆ รวมถึงความไม่พอใจที่ผู้สร้างให้นักแสดงผิวดำมาเล่นเป็นตัวร้าย และเรื่องความเชื่อที่ขัดแย้งกันของชาวมุสลิมนิกายชีอะห์กับซุนนีเกี่ยวกับการเสียชีวิตของท่านหญิงฟาติมะฮ์ ซึ่งเกี่ยวพันกับการนำเสนอภาพตัวละครสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคต้นของนิกายซุนนี

เหล่านี้ทำให้โรชาน มูฮัมเม็ด ซาลีห์ (Roshan Muhammed Salih) บรรณาธิการของเว็บไซต์ข่าวอิสลาม 5Pillars รีวิวหนังด้วยเฮดไลน์สุดดุเดือดว่า “Lady of Heaven: ขยะโสโครกจากเนื้อในของลัทธินอกรีต” และเขียนว่าหนังเทียบเคียงสาวกที่ใกล้ชิดที่สุดสามคนของศาสดามูฮัมมัดกับกลุ่ม ISIS นอกจากนั้น Bolton Council of Mosques ยังบอกว่าหนัง “ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนา” และองค์กรมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร Muslim Council of Britain (MCB) บอกว่าหนัง “สร้างความแตกแยก” และ “เป้าหมายหลักของคนบางจำพวกคือการเติมเชื้อความเกลียดชัง ซึ่งนั่นรวมถึงคนจำนวนมากที่เชียร์หนังเรื่องนี้หรือข้องเกี่ยวกับลัทธินอกรีตด้วย”

แต่หลังจากมีการต่อต้านหนังอย่างรุนแรงและโรงหนังก็ตอบรับข้อเรียกร้องของผู้ประท้วง อิหม่ามคารี อาซิม (Qari Asim) ก็ถูกทางการอังกฤษถอดออกจากการเป็นที่ปรึกษารัฐบาลเพราะไปสนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ประท้วงซึ่งรัฐบาลมองว่าเป็น ‘ความพยายามอย่างชัดแจ้งที่จะจำกัดการแสดงออกทางศิลปะ’ ในขณะที่โมรอคโค ปากีสถาน อียิปต์ และอิหร่าน ได้ประกาศแบนหนังในประเทศตนเรียบร้อยแล้ว โดยทางการโมรอคโคที่แบนหนังบอกว่านี่คือ “การบิดเบือนข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์อิสลามชนิดไม่มียางอาย” ซึ่งก่อให้เกิด “ความแตกแยกที่น่ารังเกียจ” และกล่าวหาว่าคนทำหนังต้องการ “ชื่อเสียงกับข่าวฉาว”

ปรากฏการณ์นี้นำไปสู่คำถามที่ถูกถามขึ้นบ่อยครั้งในยุคของ cancel culture ว่าคนเราควรไปไกลแค่ไหนเพื่อรักษาเกียรติยศของความเชื่อตน เคแนน มาลิก (Kenan Malik) คอลัมนิสต์จากเดอะการ์เดียนเขียนโต้กลับบทความของ 5Pillars และไม่เห็นด้วยกับการถอดหนังออก โดยบอกว่านี่ไม่ใช่การถกเถียงเพื่อตัดสินว่าใครก้าวล่วงใคร แต่เป็นปัญหาของการ gatekeeping มันคือการถกเถียงว่า ใครกันแน่ที่มีสิทธิสั่งสอนคนอื่นและตัดสินว่าคนกลุ่มใดสามารถพูดถึงคนกลุ่มหนึ่งได้หรือไม่ได้ เขาตั้งข้อสังเกตว่า นี่เองจึงทำให้การทุ่มเถียงว่าใครละเมิดใครมักจะเกี่ยวข้องกับนักเขียนหรือศิลปินจากคนกลุ่มน้อยเสมอ

ในบทความของเขา มาลิกเขียนว่า “ทุกสังคมมี gatekeepers ของตัวเอง พวกเขามีบทบาทในการปกป้องบางสถาบัน รักษาสิทธิพิเศษของคนบางกลุ่ม และเป็นเกราะกำบังไม่ให้บางความเชื่อถูกท้าทาย พวกเขาไม่ได้ปกป้องคนชายขอบ แต่ปกป้องผู้มีอำนาจ ในชุมชนของคนกลุ่มน้อย gatekeepers มักจะเป็นคนที่แต่งตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นผู้ปกครองและมอบอำนาจให้ตัวเองขีดเส้นแบ่งว่าคำพูดและการกระทำใดเป็นที่ยอมรับได้ พวกเขาไม่อายที่จะอ้างว่าอีกฝ่าย ‘ลบหลู่ดูหมิ่น’ หรือ ‘ใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง’ เพื่อเซ็นเซอร์แนวคิดที่พวกเขาทนฟังไม่ได้”

นอกจากนี้ มาลิกยังวิพากษ์ซาลีห์ บรรณาธิการของ 5Pillars ว่าเป็นผู้สนับสนุนตัวเป้งของรัฐบาลอิหร่านและตาลีบันมาอย่างยาวนาน และตอนที่ตาลีบันยึดอำนาจในอัฟกานิสถานหนึ่งปีหลังจากสหรัฐฯ ถอนทหาร ซาลีห์ทวีตว่า “ยิ่งตาลีบันชนะเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี” เพราะพวกเขา “จะนำพาความสงบมาให้อย่างแน่นอน” นอกจากนั้นซาลีห์ยังสนับสนุนการลงโทษแบบฮุดูดที่รวมไปถึงการตัดแขนและปาหินสำหรับอาชญากรรมที่มีโทษสถานหนักด้วย

“พวกคนสำคัญอย่างเช่นซาลีห์ไม่ได้เป็นตัวแทนของชุมชนมุสลิมทั้งโลก” มาลิกเขียนปิดท้าย “การงดฉายหนังเรื่องหนึ่งตามคำกล่าว ของผู้ประท้วง [ว่าหนังเหยียดเชื้อชาติ เป็นอิสลามโมโฟเบีย และสร้างความเกลียดชัง] คือการยอมตามพวกคนที่อนุรักษ์นิยมที่สุดในการถกเถียงนี้และหักหลังชาวมุสลิมที่ค่อนไปในทางก้าวหน้า ยิ่งสังคมออกใบอนุญาตให้ผู้คนรู้สึกว่าตัวเองถูกก้าวล่วงได้มากเท่าไหร่ ยิ่งจะมีคนฉวยโอกาสบอกว่าตัวเองถูกก้าวล่วงได้มากขึ้นเท่านั้น และบ่อยครั้งก็ฉวยโอกาสกันถึงขั้นเอาชีวิต” เขาอ้างอิงถึงกรณีฆ่าตัดหัวครูชาวฝรั่งเศสที่นำการ์ตูนล้อเลียนศาสดามูฮัมมัดของชาร์ลี เอบโดมาสอนในห้องเรียนเมื่อปี 2563 ตามหลังกรณีกราดยิงที่มีต้นเหตุจากการ์ตูนภาพเดียวกันนี้ในปี 2558

นอกจากมาลิกแล้ว ซายิด ยาวิด รัฐมนตรีสาธารณสุขของอังกฤษก็ไม่เห็นด้วยกับการถอดหนังออกและให้ความเห็นว่า “ผมเป็นกังวลมากเกี่ยวกับ cancel culture ที่กำลังเป็นกระแสในประเทศนี้ คนในสังคมจำนวนมากคิดว่าพวกเขาถือสิทธิที่จะต้องไม่รู้สึกถูกก้าวล่วงจากสิ่งใดก็ตาม และแน่นอนว่าไม่มีใครถือสิทธินั้น คุณอาจจะไม่ชอบสิ่งที่ใครบางคนพูด แต่พวกเขาย่อมมีสิทธิที่จะพูดมันออกมา” ยาวิดกล่าว

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here