รีเมค Metropolis รีแบรนด์ “เมลเบิร์น” ไปอีกขั้นด้วย LED Volumes

เมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา NBCUniversal และ Apple TV+ ได้ประกาศข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับซีรี่ส์ Metropolis โปรเจกต์สุดทะเยอทะยานที่หาญกล้า “เล่นของสูง” รีเมคหนังไซไฟขนาดยาวเรื่องแรกๆ ของโลกจากยุคไวมาร์ของ ฟริตซ์ ลัง (Fritz Lang) ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในอนุสาวรีย์ตลอดกาลแห่งโลกภาพยนตร์

ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า Metropolis เวอร์ชันใหม่นี้จะสร้างเป็นซีรี่ส์ทีวีความยาว 8 ตอนจบ ควบคุมงานสร้างและกำกับทั้งแปดตอนโดย แซม เอสมาอิล (Sam Esmail) ซึ่งฝากฝีไม้ลายมือเป็นที่ประจักษ์จากซีรี่ส์ Mr. Robot (2015-2019) กับ Homecoming (2018-2020) และเคยเป็นข่าวว่าสนใจดัดแปลงหนังเยอรมันต้นฉบับเป็นซีรี่ส์มาตั้งแต่ปี 2016 – การถ่ายทำทั้งหมดจะเกิดขึ้นที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ด้วยทุนสร้างราว 188 ล้านเหรียญฯ โดยคาดว่าจะเข้าสู่กระบวนการก่อนถ่ายทำ (pre-production) ภายในเดือนตุลาคม 2022 และเริ่มเปิดกล้องได้ช่วงต้นปี 2023

เมื่อสิ่งที่ทำให้ Metropolis (1927) ยังคลาสสิกคงทนมาจนถึงปัจจุบันคืองานภาพที่ล้ำสมัย การออกแบบโลกดิสโทเปียที่ล้ำยุค และวิช่วลเอฟเฟกต์ที่ตราตรึงเหนือกาลเวลา ฉบับรีเมคย่อมถูกจับตาว่าจะทำได้ใกล้เคียง ทัดเทียม หรือตีความอนาคตของเกือบร้อยปีก่อนด้วยวิสัยทัศน์แบบใด – ด้วยตัวเลข 188 ล้าน ซีรี่ส์ Metropolis ได้เป็นเจ้าของสถิติโปรดักชั่นที่(จะ)แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐวิกตอเรีย (เมลเบิร์นเป็นเมืองหลวง) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมประกาศว่าทางรัฐฯ ก็กำลังดำเนินการสร้างสถานที่ถ่ายทำเพื่อรองรับความยิ่งใหญ่และวิสัยทัศน์ของซีรี่ส์เรื่องนี้โดยเฉพาะ

เมื่อการก่อสร้างนี้แล้วเสร็จ ไม่เพียงจะกลายเป็นสถานที่ถ่ายทำด้วยเทคโนโลยี LED volumes แบบถาวรขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก หากยิ่งช่วยตอกย้ำความทะเยอทะยานของหน่วยงานที่อยู่เบื้องหลังอุตสาหกรรมสร้างสรรค์แห่งเมืองเมลเบิร์น, รัฐวิกตอเรีย และประเทศออสเตรเลีย ที่มุ่งหวังจะรักษาและพัฒนาสถานะศูนย์กลางด้านการถ่ายทำภาพยนตร์กับซีรี่ส์ชั้นนำของโลกต่อไป

ด้วยศักยภาพด้านเทคโนโลยีการถ่ายทำและกองทุน Victorian Screen Incentive ของรัฐฯ กับ Location Incentive ของรัฐบาลออสเตรเลีย เมลเบิร์นดึงดูดความสนใจของโปรดักชั่นลงทุนสูงจากฮอลลีวูดและทั่วโลกได้อยู่แล้วเป็นทุน (ก่อนหน้านี้ซีรี่ส์ดังอย่าง La Brea (2021) และ Clickbait (2021) ก็ถ่ายทำที่นี่) แต่รัฐบาลทั้งระดับประเทศและมลรัฐก็ยังสนับสนุนทุนเพื่อพัฒนาด้านสาธารณูปโภคเพื่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ครั้งนี้อย่างเต็มตัว โดยคาดหวังให้ที่นี่เป็นชื่อแรกที่โปรดักชั่นลงทุนสูงจากทั่วโลกนึกถึง และเชื่อมั่นว่าจะรองรับความทะเยอทะยานด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรี่ส์ หรือการพัฒนาเกม และยังร่วมลงทุนจนเกิดสัญญาระยะยาวกับ NBCUniversal หลังสถานการณ์โควิด เพื่อให้เกิดการลงทุนด้านโปรดักชั่นที่ยั่งยืนกว่าการเซ็นสัญญากันไปแบบโปรเจกต์ต่อโปรเจกต์

Sydney Morning Herald รายงานว่าสตูดิโอขนาด 3700 ตารางเมตร มูลค่า 46 ล้านเหรียญฯ แห่งใหม่เพิ่งเปิดใช้งานไปเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเปิดประเดิมด้วยหนังชีวประวัติโรบิน วิลเลี่ยมส์ เรื่อง A Better Man พร้อมนำเสนอเป็นนัยว่าสถานการณ์อันคึกคักในขณะนี้ คือดอกผลที่เกินคาดของการลงทุนสร้างสถานที่ถ่ายทำเพื่อดึงดูดโปรดักชั่น หลังอดีตผู้บริหาร Universal ใช้เวลาเกินทศวรรษกว่าจะชักจูงให้ออสเตรเลียกับรัฐวิกตอเรียคล้อยตาม – จากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าการลงทุนด้านนี้จะสามารถดึงดูดเม็ดเงินเข้าประเทศได้ราว 200 ล้านเหรียญฯ ต่อปี แต่ขณะนี้แค่ La Brea (118 ล้าน) กับ Metropolis (188 ล้าน) ก็ทะลุเป้าไปไกลแล้ว

Metropolis (ซึ่งกำลังรอต่อคิวใช้พื้นที่ถัดจาก A Better Man) อาจใช้เงินลงทุนด้าน LED volumes เพิ่มอีกราว 60 ล้านเหรียญฯ ซึ่งได้รับเงินรัฐสนับสนุน 12.5 ล้านเหรียญฯ และรัฐวิกตอเรียยังลงทุนพัฒนาบุคลากรเพิ่มอีก 5 ล้านเหรียญฯ ผ่านมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้และเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จักของนักดูหนังทั่วโลกผ่านความโด่งดังของซีรี่ส์ The Mandalorian (2019-ปัจจุบัน) และหนังมาร์เวลในอนาคตอย่าง Ant-Man and the Wasp: Quantumania กับ Thor: Love and Thunder

จากรายชื่อดังกล่าว ภาพลักษณ์ของเทคโนโลยี LED volumes หรือการใช้จอดิจิตัลขนาดยักษ์เพื่อฉายภาพเทคนิคพิเศษที่สมจริงขึ้นเป็นฉากหลังของนักแสดงระหว่างถ่ายทำ (เพื่อเสริมหรือทดแทนการใช้ green screen เพื่อทำซีจีภายหลัง) อาจยังผูกโยงอยู่กับหนังหรือซีรี่ส์บล็อกบัสเตอร์ทุนสูงที่เต็มไปด้วยสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ แต่ทั้งออสเตรเลียกับรัฐวิกตอเรียก็มองการลงทุนนี้ในระยะยาว เพราะการติดตั้งเทคโนโลยีราคาแพงครั้งนี้ไม่ได้ทำครั้งเดียวจบที่ Metropolis หรือแค่จนหมดสัญญากับ NBCUniversal แต่ยังสามารถใช้งานต่อกับโปรดักชั่นอื่นที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ด้วยเล็งเห็นว่าหลังจากนี้ LED volumes จะเป็นที่นิยมมากขึ้น แม้กระทั่งกับหนังหรือซีรี่ส์ที่ไม่ได้ลงทุนระดับบล็อกบัสเตอร์

ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมทั้งเรื่องย่อ นักแสดง กำหนดฉาย หรือคำยืนยันจากใครก็ตามว่าการรีเมคครั้งนี้จะเป็นไปภายใต้วิสัยทัศน์แบบใด แต่หากไม่เกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง ก็มีโอกาสสูงที่นักดูหนังทั่วโลกจะได้ดู Metropolis ในปี 2026 (ปีที่เกิดเรื่องราวทั้งหมดในหนังต้นฉบับ) หรือปี 2027 (ในวาระครบรอบ 100 ปี)

Related NEWS

LATEST NEWS