สถานการณ์โรงหนังเริ่มส่อแวววิกฤติหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่เฉพาะในไทยที่บรรยากาศยังคงซบเซาแม้โควิด-19 จะคลี่คลาย แต่โรงหนังยักษ์ใหญ่อย่าง Cineworld ซึ่งเป็นเครือใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา ก็ประกาศหยุดกิจการโรงทั้งหมดแล้ว (ประกอบด้วยโรง Regal Cinema 543 สาขาในสหรัฐฯ และทุกโรงในอังกฤษกับไอร์แลนด์) โดยแจ้งข่าวให้พนักงานกว่า 5,500 คนได้รู้ล่วงหน้าแค่ไม่กี่วันเท่านั้น
มีข่าวว่า ผู้บริหารโรงได้เขียนจดหมายชี้แจงถึง บอริส จอห์นสัน นายกฯ อังกฤษ และ โอลิเวอร์ ดาวเดน รมต.วัฒนธรรม ว่า สาเหตุสำคัญเป็นเพราะสตูดิโอพากันเลื่อนหนังฟอร์มใหญ่ออกไปหมด โดยเฉพาะเรื่องที่ถูกคาดหวังในฐานะ “ฟางเส้นสุดท้าย” อย่าง No Time to Die หรือหนังบอนด์ตอนล่าสุด ซึ่งเพิ่งประกาศเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าจะเขยิบวันฉายจากปลายปีไปเป็นเมษายนปี 2021 สร้างความช็อคแก่บรรดาโรงหนังอย่างรุนแรง
ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ ซีเนเวิลด์เพิ่งออกแถลงการณ์ประกอบผลรายงานกิจการครึ่งปีแรกว่า “หากรัฐบาลยังใช้นโยบายคุมเข้มไม่ให้ประชาชนกลับมารวมตัวทำกิจกรรมทางสังคมอย่างเป็นปกติ และหนังใหญ่ๆ ยังคงยึดแนวทางเลื่อนวันฉายออกไปเรื่อยๆ โรงก็จะประสบภาวะวิกฤติการเงินในไม่ช้า” (อนึ่ง ซีเนเวิลด์กำลังพิจารณาสถานการณ์ของตนว่า ปีหน้าจะมีโอกาสกลับมาเปิดกิจการใหม่ได้หรือไม่ หรือจะต้องเลิกถาวร)
สำหรับคิวเข้าฉายของหนังที่เป็นความหวังของโรงนั้น หลังจากนี้ก็ต้องจับตามอง Soul ของพิกซาร์ ที่ยังลุ้นว่าดิสนีย์จะเปลี่ยนใจเลื่อนการฉายจากปลายพ.ย. ไป หรือเลิกฉายโรงแล้วนำหนังไปลงช่องทาง Disney Plus แทนเลยหรือเปล่า เช่นเดียวกับ Wonder Woman 1984 และ Dune ของวอร์เนอร์บราเทอร์ส ที่ก็มีแววว่าอาจจะโดนเลื่อนจากธันวาคมด้วยเช่นกัน