เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์
นานมาแล้ว ระหว่างที่ผู้เขียนได้พูดคุยกับมิตรสหายนักเขียนท่านหนึ่ง ระหว่างบทสนทนาเรื่องการเขียนวรรณกรรมของเรา มิตรสหายท่านนั้นกล่าวว่า ‘เรื่องบางเรื่องควรเป็นเรื่องเล่ามากกว่า’ เพราะกับบางเรื่องแม้มันจะเกิดขึ้นในชีวิตจริงของเรา หากความเหลือเชื่อ ความบังเอิญ และความมหัศจรรย์ของมัน กลับทำให้มันจริงไม่พอเมื่อถูกเล่า กลายเป็นความประดักประเดิดจนเกือบจะเป็นเรื่องขี้โม้ที่เกินเลยราวกับว่าผู้เล่า เล่าไม่เป็นจนต้องอาศัยความบังเอิญ โชคชะตา พรหมลิขิต มาช่วยผลักให้เรื่องราวเดินไปข้างหน้า
ด้วยการณ์นั้น พรหมลิขิต ความบังเอิญ โชคชะตา หรือจะชื่ออะไรก็ตามที จึงมักถูกทิ้งไว้กลางทางในฐานะเรื่องจริงที่ควรเป็นเรื่องเล่า และเรื่องเล่าที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้ ความคิดเช่นนี้ขยายภาพให้เห็นถึงความคิดเกี่ยวกับชีวิตของเรา ในฐานะของเส้นทางที่ราบเรียบชืดชาน่าเบื่อหน่าย ประกอบขึ้นจากถนนที่มุ่งไป ทัศนียภาพดาดๆ ที่ไม่น่ามอง ชีวิตจริงนั้นน่าเบื่ออึดอัดและเศร้าสร้อย เราจึงต้องไปแสวงหา ชีวิต บุคคล เรื่องเล่าที่แสนพิเศษ จากวรรณกรรม ภาพยนตร์และดนตรีเสียแทน ชีวิตคือความจริงชืดเย็น และความพาฝัน เป็นอุดมคติที่เอาไว้ให้ไปไม่ถึง
หนังเรื่องนี้ประกอบขึ้นจากสิ่งนั้น จากความบังเอิญ โชคชะตา พรหมลิขิต มันว่าด้วย เด็กสาวคนหนึ่งที่ ‘บังเอิญ’ พบว่าผู้ชายที่กำลังจีบเพื่อนของเธออยู่คือคนรักเก่าของเธอ เธอรู้สึกเหมือนของหายอยากได้คืนแม้จะเป็นฝ่ายทิ้งเขาอย่างไม่ใยดี เรื่องต่อมาว่าด้วยสาววัยทำงานที่เพิ่งกลับมาเรียนหลังจากมีลูก ชู้รักของเธอเป็นนักเรียนที่ลงเรียนคลาสเดียวกับอาจารย์ของเธอและโดนไล่ออกเพราะตกวิชาของเขา ชายหนุ่มขอร้องให้เธอแก้แค้นด้วยการไปยั่วยวนอาจารย์คนนี้ที่เพิ่งได้รางวัลและหวังทำลายชื่อเสียงของเขา แต่ ‘โชคชะตา’ ทำให้เธอกับเขาเปิดใจกัน และความบังเอิญพลิกมันไปอีกทาง เรื่องสุดท้ายเกิดขึ้นในอนาคต เล่าออกมาราวกับเป็น ‘พรหมลิขิต’ ของหญิงสาววัยกลางคนสองคนที่พบกันบนถนน ต่างคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายคือเพื่อนสาววัยมัธยม รักแรกที่ลอยลับไปเนิ่นนาน ต่างพูดคุยเปิดเผยจิตใจต่อกันอย่างงดงามท่ามกลางความแปลกหน้าที่เชื่อมต่อกันด้วยรูกลวงในหัวใจที่ไม่มีวันถมเต็ม
นอกจากการหมุนไปของวงล้อแห่งโชคชะตา เรื่องสั้นสามเรื่องไม่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงถึงกัน ตัวละครคนละชุด สถานการณ์คนละแบบ แต่หากมองอย่างใกล้ชิดเข้ามาอีกนิด เราอาจเล่าเรื่องทั้งสามนี้ใหม่ภายใต้โครงสร้างเดียวกันได้ว่านี่คือเรื่องของตัวละครหญิงที่พกพาความเป็นคนนอก คนชายขอบ บุกเข้าไปในสมดุลความสัมพันธ์แบบต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับจากสังคม ซึ่งอาจจะพูดอีกแบบว่าความสัมพันธ์ในโลกแบบชายเป็นใหญ่ก็ได้ พวกเธอรื้อถอนมัน ทำให้มันสั่นคลอน จ้องมองและล้อเล่นกับมันจากมุมมองของคนนอก จวนเจียนจะทำลายล้าง หากพวกเธอก็สั่นคลอนด้วยเช่นกัน บางคนพ่ายแพ้เจ็บปวด บางคนได้เรียนรู้โมงยามที่ดีที่สุดในชีวิต ความบังเอิญเล่นตลกกับพวกเขาและเธอ ทั้งหยิกข่วนและโอบกอด
เราจึงเล่าใหม่ได้แบบนี้ นี่คือเรื่องของ ‘นางตัวร้าย’ ที่บุกเข้าไปหาคนรักเก่าเพราะเขากำลังจะเริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่เธอ ทั้งคู่พูดคุยกันยาวนาน รื้อค้นเข้าไปในปากแผลของกันและกัน เปิดมันออกดูทุกร่องรอยการทิ่มแทง ความเจ็บปวดที่ต่างฝ่ายต่างปรารถนา แต่ไม่มีแรงมากพอจะใช้จ่ายชีวิตไปกับมัน ในขณะเรื่องที่สอง พูดถึง ‘หญิงมากรัก’ ที่บุกเข้าไปในสมดุลแห่งความโดดเดี่ยวของอาจารย์วรรณกรรมคนเงียบเหงา คนที่่ยอมรับแล้วว่าตัวเองจะโดดเดี่ยวไปตลอดกาล เธอตั้งใจจะล่อลวงเขาแต่กลับพบว่าเป็นเขาต่างหากช่วยทำให้เธอเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งเป็นครั้งแรก ขณะที่เรื่องสุดท้าย พูดถึง ‘หญิงสาวรักเพศเดียวกัน’ ที่บุกเข้าไปในครอบครัวรักต่างเพศตามขนบของผู้หญิงที่เธอคิดว่าคือคู่รักที่จากกันไปนานของเธอ ทั้งคู่พูดคุยกันและต่างค้นพบความรู้สึกเก่าแก่ส่วนตัวที่ถูกกลบฝังไว้ข้างใน ถูกชีวิตกีดกันออกไป ความโดดเดี่ยวที่คนรักไม่อาจเข้าใจ มีแต่คนแปลกหน้าที่มีรูกลวงเช่นเดียวกันจึงเข้าใจกันได้
เราจึงบอกได้ว่ามันเป็นเรื่องของ นางร้าย / หญิงคบชู้ / สาวเลสเบี้ยน ที่เข้าไปสั่นคลอนความสัมพันธ์ของ คู่รักใหม่ / คนโสด ในกรอบศีลธรรมและครอบครัวมาตรฐานตามลำดับ
แต่นี่ไม่ใช่หนังการเมืองที่เป็นเรื่องของภาพแทน ตัวละครของ Ryusuke Hamaguchi คือภาพเฉพาะของปัจเจกแต่ละบุคคล ซึ่งนอกจากจะถูกกำหนดโดยตัวเองและการเมืองแล้ว ยังถูกกำหนดด้วยโชคชะตาอีกชั้นหนึ่ง และนี่คือการดิ้นรนอย่างงดงามของพวกเขาภายใต้สิ่งเหล่านั้น
แม้ผู้ชมชาวไทยจะรู้จัก Hamaguchi จากหนังเรื่อง Drive My Car ที่ดัดแปลงจากเรื่องสั้นของ Haruki Murakami ออกฉายในปีเดียวกัน ได้รับรางวัลจากคานส์ และออสการ์ หากเมื่อเทียบกันแล้ว Wheel of Fortune and Fantasy แทบไม่มีอะไรเหมือนกันกับ Drive My Car ด้วยโปรดักชั่นที่เล็กกว่ามาก ในแต่ละตอนมีนักแสดงเพียงสองหรือสามคน เหตุการณ์เกิดขึ้นในสถานที่ไม่กี่ฉาก และปราศจากพล็อตแบบ Murakami
นี่คืองานแบบ Hamaguchi ที่แฟนๆ ของเขาคุ้นเคย ตัวละครหลักโดยมากเป็นผู้หญิง เต็มไปด้วยบทสนทนายืดยาว หลายต่อหลายครั้งหนังแทบให้ตัวละครพูดคนเดียว ตัวละครจ้องมองมาที่กล้องเพื่อเล่าเรื่อง เล่าเรื่องออกมาเฉยๆ โดยไม่เกี่ยวอะไรกับเส้นเรื่องหลัก ราวกับเหล่าตัวละครมีชีวิตอยู่ข้างนอกหนัง พวกเขาอาจจะเดินผ่านเข้าในกล้อง ในเรื่องที่หนังเล่าเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ตัวละครเหล่านี้มีชีวิตเป็นของตัวเองอยูในโลกข้างนอกหนังเรื่องนี้ด้วย ผู้ชมได้รับอนุญาตให้เห็นเพียงส่วนเดียวของชีวตทั้งหมด เฝ้ามองโดยไม่อาจตัดสินให้คุณค่าการกระทำไม่ว่าจะหมิ่นเหม่มากแค่ไหนก็ตาม
ลองมาไล่ดูกันไปทีละเรื่อง ในเรื่องแรก หนังฉายส่องลงไปในภาวะครึ่งกลางของการยังลืมคนเก่าไม่ได้ และคนใหม่ยังไม่ได้มาแทนที่ ตัวละครหลักคือคนเก่าที่พยายามจะเรียกคืนคนรักเก่าของตัวเอง ฉากที่งดงามที่สุดในฉากนี้คือการตั้งใจมองกลับไปยัง ‘นางร้าย’ ด้วยสายตาที่จ้องมองมนุษย์ ความกดดันทางเพศของเธอ ความเอาแต่ใจของเธอ และ ความ ‘ไม่อาจเชื่อมั่นได้’ ของเธอ
ทำไมเธอต้องคอยทำร้ายฉันด้วย
เพราะความรักล่ะมั้ง …ตอนฉันยังเด็ก ฉันชอบทำร้ายเด็กผู้ชายที่ฉันชอบ
เธอบอกกับเขาให้เขาเลือกเธอ แต่ถ้าเขาเลือกเธอ เขาก็อาจจะไม่ได้เธอก็ได้ เขาอาจจะเสียทั้งเธอและหล่อนไป เขาจะเลือกสิ่งที่เชื่อมั่นได้น้อยกว่า ‘เวทมนตร์’ ที่เขาได้พบในโมงยามที่เขาอยู่กับผู้หญิงอีกคนหรือเปล่า ในฉากนี้ดูเหมือนสิ่งเดียวที่เธอมีคือ ‘ความซื่อสัตย์’ ต่อตัวเอง เธออาจจะเป็นคนไม่ได้เรื่อง เป็นคนที่ทำตัวเป็นเจ้าหญิง แต่สิ่งที่เธอมีให้คือความซื่อตรงกับสิ่งที่ตัวเองไม่ว่าจะได้รับผลอย่างไร จนครั้งเดียวที่เธอไม่ได้ทำตามใจตัวเองซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรกที่ไม่ทำเสียด้วยซ้ำ คือการตัดสินใจในฉากสุดท้ายของหนัง
ในขณะที่เขาเป็นชายหนุ่มที่เพิ่งฟื้นไข้จากการซมพิษรักเก่าอยู่หลายปี หนังเล่าถึงตัวเขาในเวลาที่เพียงเพิ่งเริ่มสานความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้ปักใจ เพียงสนใจผู้หญิงคนที่ไม่มีอะไรเหมือนกันกับคนรักเก่าสักนิด การที่จู่ๆ ถูกคนรักเก่ามาคาดคั้นคำตอบ มาขอให้เลือกระหว่างสิ่งที่เขาตกหลุมรักและสูญเสียไป กับสิ่งที่เขาอาจจะรักแต่ยังไม่ได้เริ่มที่จะรัก จึงกลายเป็นภาพสะท้อนการที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคาดคั้นให้เธอตอบเรื่องการที่เธอนอกใจเขา หนังให้เวลากับการกลับไปกลับมาของการตัดไม่ตายขายไม่ขาดในความสัมพันธ์ การมูฟออนหรือย้อนกลับ การทำสิ่งที่ถูกต้องหรือถูกใจ เรื่องตลกคือสิ่งที่ช่วยตัดสินใจไม่ใช่หัวใจแต่คือโชคชะตาเสียอย่างนั้นเอง
ในขณะที่หนังเรื่องแรกพูดถึงความสัมพันธ์ที่ยังไม่ทันเกิดขึ้นดีของชายหญิงคู่หนึ่ง เขาเพิ่งพบเธอครั้งเดียวและยังไม่แน่ใจว่าจะรักเธอหรือเปล่า ร่องรอยของรักครั้งเก่าก็ยังตามมาหลอกหลอนเรื่องที่สองกลับพูดถึงความสัมพันธ์ที่ถ้าเคยเกิดขึ้นก็จบลงไปแล้ว นี่เป็นตอนที่ซับซ้อนที่สุดและในขณะเดียวกันก็งดงามที่สุดด้วย
หนังเล่าผ่านตัวละครหญิงสาวที่เพิ่งกลับมาเรียนหนังสือหลังจากลูกโต เธอคิดว่าตัวเองไม่เอาไหน ไม่มีเพื่อน แถมยังเป็น ‘หญิงไม่ดี’ เพราะเธอไม่สามารถต้านทานปรารถนาทางเพศของตนจนกลายเป็นชู้รักกับหนุ่มรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย ซ้ำยังยินยอมให้เขาหลอกใช้เธอมาแก้แค้นอาจารย์ของเขาที่เพิ่งได้รับรางวัลทางวรรณกรรม และเป็นคนที่ทำให้เขาต้องถูกไล่ออก วรรณกรรมกลายเป็นปรารถนาทางเพศที่ไม่อาจต้านทานยิ่งกว่าเรื่องเพศจริงๆ ในหนัง แผนคือเธอบุกเข้าไปในห้องของอาจารย์ แสดงอาการยั่วยวนด้วยการอ่านออกเสียงบทอัศจรรย์ในนิยายของอาจารย์จากนั้น บันทึกเสียงตอบโต้ที่อาจใช้เป็นหลักฐานว่าอาจารย์เป็นเพียงชายวัยกลางคนหื่นกามเท่านั้น
ถ้าสิ่งที่ฉันเป็น เป็นสิ่งที่ฉันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามันทำให้คนรอบข้างคลื่นเหียน แล้วฉันต้องทำยังไงคะ?
ผมไม่อาจรู้เรื่องที่เกิดกับชีวิตคุณได้หรอกแต่ถ้าหากคนรอบข้างของคุณทำให้คุณคิดว่าคุณไร้ค่า ได้โปรดสู้กลับครับ จงปฏิเสธเวลาที่ไม้บรรทัดของสังคมพยายามจะวัดค่าของคุณ เพราะคุณเท่านั้นที่จะโอบกอดคุณค่าของตัวเอง คุณค่าที่มีแต่คุณเท่านั้นที่รู้ มันอาจจะเจ็บปวดที่ต้องทำโดยลำพัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องทำครับ เพราะมีแต่คนที่ทำแบบนี้เท่านั้น ที่จะสามารถเชื่อมต่อและมอบความกล้าหาญให้กับผู้อื่นได้อย่างไม่คาดคิด มันอาจจะไม่เคยเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่มีใครลงมือทำ มันก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น
การอ่านออกเสียงจึงกลายเป็นเรื่องเพศมากกว่าเรื่องเพศ และด้วยการอ่านออกเสียงนี้ หญิงสาวจึงได้ค้นพบว่าปรารถนาทางเพศที่เธอพ่ายแพ้มาตลอด และปรารถนาในความรู้ ในภาษาสามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ในขณะที่ประตูที่เปิดอ้าตลอดเวลา กลายเป็นภาพแทนของความโปร่งใสในขณะเดียวกันก็เป็นภาพแทนของความสันโดษ ความยอมจำนนต่อความโดดเดี่ยวของชายวัยกลางคนที่เชื่อว่าจะไม่มีใครมารักอีกต่อไป ปรารถนาทั้งหมดที่เขามีจึงถูกยักย้ายถ่ายเทจากร่างกายลงไปในตัวหนังสือแทน และการได้เฝ้าฟังการอ่านกลายเป็นการเติมเต็มปรารถนาของเขาที่สุดปลายทางเท่าที่เขาจะสามารถปรารถนาได้
คล้ายคนสองคนที่เหมาะเจาะกันที่สุดได้พบกันในช่วงเวลาจังหวะที่ไม่เหมาะเจาะกันที่สุด ยามบ่ายในออฟฟิศที่เปิดประตูไว้จึงคล้ายการได้ร่วมรักกับคนที่ถูกใจ และนอนเล่นพูดคุยอย่างเรียบง่ายงดงาม ใช้จ่ายโมงยามที่ดีที่สุดในชีวิตโดยไม่แม้แต่แตะเนื้อต้องตัวกัน
เช่นเดียวกันกับยามบ่ายในเรื่องสุดท้าย หญิงสาวกลับมายังบ้านเกิดหลังการระบาดของไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ทำให้ข้อมูลทั้งหมดที่ออนไลน์ถูกเปิดเผย ทำให้ผู้คนต้องกลับไปสู่โลกยุคออฟไลน์กันอีกครั้ง เธอมางานเลี้ยงรุ่นเพราะหวังจะเจอใครคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พบ ระหว่างทางไปสถานีรถไฟเพื่อกลับบ้านขณะสวนกันบนบันไดเลื่อน เธอพบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าที่คุ้นเคยในฝูงชน คนที่เธอมาเพื่อตามหา หญิงสาวอีกคนต้องกลับบ้านไปรอของจากไปรษณีย์ ทั้งคู่จึงกลับไปดื่มชาด้วยกัน ก่อนจะพบว่าบางทีอีกคนอาจจะไม่ใช่คนที่ตนคิดตั้งแต่แรก
หนังจึงกลายเป็นเรื่องคนแปลกหน้าที่เปิดใจให้แก่กันได้ง่ายที่สุด หนังกลายเป็นหนังแบบ Hamaguchi ที่คุ้นเคยเต็มที่ ตัวละครมีบทพูดยืดยาวต่อหน้ากล้อง เล่าเรื่องของตัวเองออกมาราวกับทั้งพูดกับอีกฝ่าย และพูดกับผู้ชมไปพร้อมๆ กัน หนังเล่าถึงคนสองคนที่เป็นเหมือนขั้วตรงข้าม คนหนึ่งโดดเดี่ยว และสุขและทุกข์ในความโดดเดี่ยวนั้นโดยมีการครุ่นคำนึงถึงอดีตของตนเป็นทั้งเครื่องประโลมใจและเครื่องลงทัณฑ์ อีกคนอยู่กับครอบครัว ทุกข์และสุขในครอบครัวสามัญแบบนั้น สูญสิ้นตัวตนก่อนเก่าให้กับปัจจุบันเชื่องช้า
แต่ฉันไม่ได้มาที่นี่เพราะต้องการอะไรจากเธอหรอกนะ ฉันแค่อยากจะบอกเธอว่าฉันพูดมันออกมาไม่ได้ ต่อให้มันทำให้เธอทุกข์ทรมาน ฉันก็ไม่อาจพูดมันออกมา ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าความเจ็บปวดน่ะ มันจำเป็นต่อชีวิตของเรา ฉันเดาว่าตอนนี้เธอคงมีรูกลวงอยู่ในชีวิต เหมือนกันกับฉัน ฉันก็เลยมาที่นี่
รูกลวงงั้นเหรอ?
เธอคงจะมีรูกลวงที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาถมให้มันเต็มได้ ไม่มีทางที่ฉันจะถมมันให้เต็มได้ด้วย ฉันเองก็มีรูกลวงแบบเดียวกันกับเธอ บางทีเราอาจจะเชื่อมต่อกัน ผ่านรูกลวงนั้นก็เป็นได้ ฉันมาเพื่อจะบอกเธอเรื่องนี้แหละ
การได้พบกันจึงคล้ายกลายเป็นการปลุกชีวิตที่เคยหลับไหลให้ฟื้นตื่นอีกครั้ง การสลับกันรับบทเป็นอีกคน เป็นทั้งการสารภาพบาปและการพบเพื่อนเก่า การที่ทั้งคู่ได้พบว่า ไม่ว่าจะเลือกอย่างไรชีวิตก็ไม่ได้มอบความสงบสุขให้อยู่ดี ถึงที่สุด คนทุกคนต่างมีรูกลวงในหัวใจบางอย่างที่ไม่มีวันถมเต็ม การพยายามถมเต็มรูกลวงรังแต่จะทำให้การดำรงคงอยู่ของมันปรากฏชัดขึ้น การมองมันในฐานะ ‘ความขาด’ ทำให้มันขาดมากขึ้นแต่ถ้ามองในฐานะ ‘ทางเชื่อม’ เราก็อาจจะพบหนทางในการเชื่อมต่อกับผู้คนที่ต่างมีรูกลวงเหมือนกัน และการยืนยันเช่นนั้นก็ทำให้ย้อนกลับไปคิดถึง การยืนหยัดต่อต้านมาตรฐานทางสังคมที่กดทับเราลงมา ส่งมอบพลังต่อต้านนี้ให้กับผู้คนอื่นๆ ดังที่อาจารย์ในตอนที่สองได้พูดไว้ และหญิงสาวในตอนแรกได้ทดลองทำมันจริงๆ เจ็บปวดพ่ายแพ้ กลายเป็นทั้งนางอิจฉาและคนเสียสละ
ในแง่หนึ่งหนังสามเรื่องเลยเชื่อมต่อกันผ่านรูกลวงนี้ โดยมีวงล้อแห่งโชคชะตาคอยเล่นตลกกับชีวิตตลอดเวลา
ดูเหมือนโชคชะตาในหนังสามเรื่องนี้จะมีไว้เล่นตลกกับชีวิต มันมักทำให้สมดุลดั้งเดิมต้องพลิกคว่ำคะมำหงาย มันบอกว่าถึงเราจะพยายามกำหนดชีวิตขนาดไหน เราก็ไม่อาจได้ตามที่เราปรารถนา ถึงที่สุดชีวิตจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดา ชีวิตคือสิ่งที่เรากำหนดเองส่วนหนึ่ง ความฝันหวานของเราส่วนหนึ่งและโชคชะตาอีกสองส่วน แต่หนังก็ไม่ได้บอกให้เรายอมจำนนต่อมันสักนิด หนังบอกให้เรากอดคนอื่นให้แน่นขึ้น เชื่อมต่อเข้าหากัน ผ่านทางการยอมรับว่าทุกคนก็มีรูกลวงเช่นนี้ในจิตใจ ถ้าเราเข้มแข็งพอจะเข้าใจคนอื่นๆ ไม่ว่าโชคชะตาจะเล่นงานเราอย่างไร เราก็จะผ่านมันไปได้