ภาพยนตร์ของออร์สัน เวลส์ มักเริ่มต้นด้วยความตาย เรื่องนี้ก็เช่นกัน
ไม่ต่างอะไรกับบรรดาผลงานแสนยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่เป็นได้ทั้งความภาคภูมิใจและคำสาปร้ายแรง ที่ส่งผลกระทบกับชีวิตของบรรดาผู้ที่รังสรรค์มันขึ้นมา Citizen Kane ทำเอาชีวิตของผู้ยิ่งใหญ่แห่งฮอลลีวูดประสบชะตากรรมชีวิตพลิกคว่ำคะมำหงาย ทั้งคนเขียนบทอย่างเฮอร์แมน แมนคีวิกซ์ที่เราได้เห็นไปแล้วใน Mank และกับตัวผู้กำกับอย่างออร์สัน เวลส์ ที่ไม่ว่าจะทำหนังออกมากี่เรื่องหลังจากนั้นก็จะต้องถูกเอาไปเทียบกับความยิ่งใหญ่ของผลงานสร้างชื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำสาปของเคน ทำเอาเวลส์เซ็งฮอลลีวูดจนต้องหนีไปอยู่ยุโรปเกือบสองทศวรรษ ก่อนที่เขาจะเริ่มรวบรวมแรงฮึดสุดท้ายมาทำหนังสั่งลาฮอลลีวูด The Other Side of The Wind และสารคดีเรื่องนี้ คือบันทึกเบื้องหลังกองถ่ายสุดบ้าระห่ำ ตำนานคลั่งครั้งสุดท้ายของเวลส์ที่แม้กระทั่งเจ้าตัวก็ไม่มีโอกาสได้เห็นมันออกฉาย
“คนพวกนั้นจะรักผมก็ตอนที่ผมตายไปแล้วนั่นแหละ” บางคนที่เคยทำงานกับเวลส์ยืนยันว่าเคยได้ยินเขาตัดพ้อ ในขณะที่หลายคนก็ยืนยันว่าเขาไม่เคยพูดแบบนั้นเสียหน่อย ไม่ว่าเวลส์จะเคยพูดหรือไม่ มันก็ฉายภาพความรักแบบฮอลลีวูดที่ไม่เคยเปลี่ยน ดาวรุ่งหลายคนดับแสงลงเพราะไม่ตอบโจทย์ธุรกิจ กลายเป็นที่รักอีกครั้งเมื่อสิ้นชีวิต หลังจากทำ Touch of Evil ก็แทบไม่เหลือนายทุนคนไหนรักมนต์เสน่ห์ของเวลส์อีกต่อไป สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่การระลึกถึงกันอีกครั้งหลังความตาย เรื่องนี้ถูกพิสูจน์แล้วด้วยความพยายามอย่างทุลักทุเลตลอดหกปีที่เขาทำหนังเรื่องสุดท้าย เวลส์ต้องการเกษียณอย่างมีเกียรติ
The Other Side of The Wind คือเรื่องราวอันว่าด้วยวันสุดท้ายในชีวิตของเจค ฮันนาฟอร์ด ผู้กำกับมือเก๋าแห่งฮอลลีวูด ที่กำลังจัดฉายหนังที่จะมากอบกู้ชีวิตของเขาให้กลับมาสดใสอีกครั้งในฮอลลีวูด และต้องรับมือกับความฉิบหาย ภัยพิบัติต่างๆ ในวันฉายรอบปฐมทัศน์ เส้นเรื่องของหนังแบ่งเป็นสองส่วนคือ สารคดีปลอมเล่าเรื่องราวของฮันนาฟอร์ดในงานฉายหนัง กับตัวหนังที่เขาทำขึ้นมาแต่ถ่ายไม่จบเพราะงบไม่พอ เวลส์ยืนยันหนักแน่นว่าฮันนาฟอร์ดไม่ใช่ภาพแทนของตัวเขาแต่อย่างใด แต่ก็เชื่อได้ยากเหลือเกินเมื่อทั้งเวลส์และฮันนาฟอร์ดต่างก็ตกอยู่ในที่นั่งเดียวกัน ภาพความพยายามอย่างบ้าคลั่งของทั้งสองแทบจะซ้อนกันได้สนิทถึงเพียงนี้
ส่วนเรื่องราวของ They’ll Love When I’m Dead เริ่มต้นจากการที่ปีเตอร์ บ็อกดาโนวิช คนทำหนังและนักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์อเมริกันเสนอตัวขอเข้าไปสัมภาษณ์และเก็บเรื่องราวชีวิตของผู้กำกับรุ่นใหญ่ ออร์สัน เวลส์เปิดเผยกับเข้าว่ามีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่เขากำลังพยายามทำอยู่ หลังจากนั้นไม่นานเวลส์ก็โทรศัพท์เรียกให้เขาเข้ามาเยี่ยมชมกองถ่าย และเสนอบทสมทบให้ ฟังดูตีหัวเข้าบ้านเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นวิธีการหลักที่เวลส์ใช้ในการรวบรวมทั้งแรงคนในการทำหนังตลอดหกปี เวลส์ออกเงินทำหนังเองทั้งหมด ปล่อยให้นักแสดงด้นสด ถ่ายหนังเก็บไว้ทั้งที่ยังไม่มีนักแสดงนำ และตระเวนถ่ายทีละน้อยตลอดหกปี คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากเรามองจากปี 2020 แต่ในช่วงทศวรรษ 70 กองถ่ายหนังอินดี้แบบนี้คงไม่มีใครคิดทำ ยังไม่รวมถึงการใช้เส้นสายจากนายทุนฝรั่งเศสผู้ความความเกี่ยวพันกับชาห์แห่งอิหร่าน ผู้ซึ่งอาจก่อปัญหาร้ายแรงแก่เขาในภายภาคหน้า
หากจะมีใครควรได้รับคำชมในการถ่ายทอดเรื่องราวสุดโกลาหลครั้งนี้คงหนีไม่พ้นมอร์แกน เนวิลล์ (เจ้าของผลงาน Won’t You Be My Neighbor สารคดีที่ออกฉายปี 2018 เช่นเดียวกัน) กับทักษะในการเลือกใช้ฟุตเตจสุดยียวน เขาเลือกใช้ฟุตเตจหนังเก่าที่เวลส์เคยเล่น เอามาตัดสลับตอบโต้กลับบรรดาผู้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องอย่างคมคาย และหายนะทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นระหว่างถ่ายทำหนังก็ถูกแทนที่ด้วยฉากทำลายล้างสุดอลังการจากหนังฮอลลีวูดบล็อกบัสเตอร์ช่วงปี 70-80 ผสมกับภาพข่าว และรายการโทรทัศน์ในช่วงเดียวกัน
เรื่องราวความผันผวนของฮอลลีวูดที่กัดกร่อนจิตใจของศิลปินทั้งหลายไม่เคยเก่า ไม่ใช่เพียงแค่กับเรื่องของเวลส์และฮันนาฟอร์ดในหนังจะเป็นภาพสะท้อนซึ่งกันและกัน การต่อสู้เพื่อจิตวิญญาณของศิลปินของแมงค์และเวลส์ซ้อนทับกันได้เกือบแนบสนิทราวกับเป็นหนังภาคต่อ จะต่างกันเล็กน้อยตรงที่ว่าในท้ายที่สุดแล้ว อดีตลูกรักแห่งฮอลลีวูดคนนี้ก็ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมดอกผลของงานที่เขาอุตส่าห์ทุ่มเทสุดตัวเพื่อมัน แม้ว่าเวลส์จะขึ้นชื่อว่าเป็นจอมโอหังผู้ไม่ประนีประนอมกับใครหน้าไหน แต่สภาพชวนปวดหัวใจของเขาเมื่อยามต้องเอาหนังที่ยังไม่เสร็จไปฉายเพื่อขอระดมทุนเพิ่ม และเมื่อคราวที่ฟุตเตจทั้งหมดถูกยึดอันเนื่องมาจากเหตุวุ่นวายในการปฏิวัติอิหร่านก็ฉายภาพอันน่าเศร้าสะเทือนในช่วงสุดท้ายของศิลปินผู้นี้จนอดเห็นใจไม่ได้
แม้จะน่าเสียดายที่เวลส์ไม่มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องสุดท้ายของตนเอง แต่ The Other Side of The Wind ก็ได้ออกสู่สายตาสาธารณชนจนได้ เมื่อสิทธิในการครอบครองตัวฟุตเตจตกสู่มือของรอยัลโร้ดเอนเตอร์เทนเมนต์ โดยมีปีเตอร์ บ็อกดาโนวิช และมาร์ค มาร์แชล เข้าคุมโปรเจกต์บูรณะตัวหนังขึ้นมาใหม่ ตัวหนังออกฉายครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เวนิซปี 2018 คู่กับสารคดี They’ll Love Me When I’m Dead และลงสู่ระบบสตรีมมิ่งของ Netflix ในเวลาต่อมา
“สำหรับผม ภาพยนตร์คือการร้อยเรียงอุบัติเหตุที่งดงามเข้าด้วยกัน”
แม้ว่ามันจะเศร้าและเจ็บปวดเหลือเกิน แต่เราก็ปฏิเสธความงามของอุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ได้จริงๆ
ชม They’ll Love Me When I’m Dead ได้ที่ Netflix