Home Review Film Review จากกระโปรงบานขาสั้น สู่ หน่าฮ่าน สายลมแสงแดดของนักเรียนมัธยมในเมือง กับ ขบถของนักเรียนชนบทยุคหลัง

จากกระโปรงบานขาสั้น สู่ หน่าฮ่าน สายลมแสงแดดของนักเรียนมัธยมในเมือง กับ ขบถของนักเรียนชนบทยุคหลัง

จากกระโปรงบานขาสั้น สู่ หน่าฮ่าน สายลมแสงแดดของนักเรียนมัธยมในเมือง กับ ขบถของนักเรียนชนบทยุคหลัง

แต่ก่อน นักเรียนมัธยมในหนัง มักจะเป็นชีวิตของวัยรุ่นชนชั้นกลางในเขตเมืองที่มีจุดหมายคือการเอนทรานซ์เพื่อเข้าเรียนระดับปริญญาตรี มากกว่าจะเป็นการจบแล้วทำงานต่อ หรือต่อไปยังสายวิชาชีพ โดยเฉพาะทศวรรษ 2530 เป็นยุคที่เศรษฐกิจเติบโต และคือยุคของลูกหลานของคนที่เกิดรุ่นทศวรรษ 2490-2500 อันเป็นรุ่นที่พวกเขากำลังสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาไม่ว่าจะในฐานะนักธุรกิจหรือแวดวงข้าราชการทั้งในเขตกรุงเทพฯ และตัวตลาดในต่างจังหวัด และนักเรียนในรุ่นนั้นก็เติบมาเป็นวัยทำงานและวัยสร้างครอบครัวในวันนี้

หลังพฤษภาทมิฬ ทิศทางการเมืองเริ่มปรับเปลี่ยนไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ทหารกลับเข้ากรมกอง และเป็นจังหวะที่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตอย่างรวดเร็ว ฟองสบู่เศรษฐกิจก่อตัวขึ้นร่วมกับการลงทุนสร้างหนังวัยรุ่นที่มีเป้าหมายคือ เด็กชนชั้นกลางในเมือง ที่มีโทนเรื่องสนุกสนาน ตลกขบขัน บางเรื่องอาจจะแฝงปัญหาชีวิตครอบครัวแบบปัจเจก อาจเรียกได้ว่าเป็นยุค “สายลมแสงแดด” ของหนังวัยรุ่น

หนังช่วงดังกล่าวได้ ได้แก่ กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ (2535), โจ๋ไม่โจ๋หัวใจให้โจ๋ (2535), อนึ่งคิดถึงพอสังเขป (2535), ฝากฝันไว้เดี๋ยว จะเลี้ยวมาเอา (2535), สะแด่วแห้ว (2535) เช่นเดียวกับปีต่อมา ที่มี กระโปรงบานขาสั้น (2536) เป็นหนังที่มีความโดดเด่น หนังนักเรียนมัธยมยุคนี้ จึงเน้นไปที่ชีวิตอันสนุกสนาน แม้จะมีชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยระเบียบที่เคร่งครัด และครูที่เข้มงวด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ของชีวิต พวกเขาอาจจะถูกลงทัณฑ์ทั้งฟาดด้วยไม้เรียว หรือประจานเสาธง แต่ก็เป็นเรื่องที่สาสมกับพฤติกรรมห่ามๆ ของพวกเขา

สิ่งที่สำคัญกว่าคือ มิตรภาพ ความรักในเพื่อนพ้อง กระทั่งความรักสถาบันของตน ดังนั้นนักเรียนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดต่อสู้ขัดขืนกับอำนาจในโรงเรียนใดๆ จุดเด่นสำคัญของหนังยุคนี้คือ ดารา นางแบบวัยรุ่นยอดนิยมได้เดินพาเหรดมานำแสดง เช่น มอส ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ (เกิด 2516), ธรรม์ โทณะวณิก (2517), ธัญญาเรศ รามณรงค์ (2519), สายธาร นิยมการณ์ (2519) ฯลฯ เช่นเดียวกับการเกิดขึ้นของศิลปินเพลงป๊อบที่ดาราวัยรุ่นหลายคนผันตัวไปสร้างความนิยมให้กับวัยรุ่นในยุคดังกล่าว ภาพฝันของวัยรุ่นจึงสวยสดงดงาม แต่ในอีกด้านมันก็เป็นพื้นที่ลี้ภัยทางอารมณ์จากชีวิตจริงที่พวกเขาเจอในโรงเรียนและครอบครัวก็เป็นได้

หนังที่ได้ทั้งกล่องทั้งเงินช่วงสุดท้าย ที่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญได้แก่ โลกทั้งใบให้นายคนเดียว (2538-55 ล้านบาท) แต่มันไม่ใช่หนังสูตรสำเร็จอีกต่อไป เมื่อชีวิตของวัยรุ่นไปสัมพันธ์กับโลกภายนอกที่โหดร้าย และความสัมพันธ์ระหว่างคนใกล้ชิดที่บาดหัวใจ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ในปีเดียวกันก็มี นักเรียนวัยวุ่น รุ่น 95 (2538) แต่ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก พอข้ามไปปี 2539 อันเป็นโค้งสุดท้ายของยุคทองทางเศรษฐกิจก็พบว่าหนังวัยรุ่นภาคต่อ กลับมาไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็น อันเป็นสัญญาณเตือนของเศรษฐกิจไทยไปด้วย เช่นหนังเรื่อง เสียดาย 2 (2539), ม. 6/2 ห้องครูวารีเทอม 2 (2539), อนึ่งคิดถึงพอสังเขป รุ่น 2 (2539)

อาจเรียกได้ว่า จุดจบของฟองสบู่เศรษฐกิจไทย นำไปสู่จุดจบของยุคทองหนังวัยรุ่น-นักเรียนอีกด้วย เพราะหลังจากนี้จะเป็นยุคของหนังไทยยุคใหม่ที่โตมาพร้อมกับกระแสย้อนยุคและการโหยหาอดีตที่เชื่อว่างดงามอย่าง 2499 อันธพาลครองเมือง (2540-75 ล้านบาท), นางนาก (2542-149.6 ล้านบาท), บางระจัน (2543-150.4 ล้านบาท), สุริโยไท (2544-550 ล้านบาท)

หลายปีผ่านไป จนมาถึง หน่าฮ่าน (2562) เป็นหนังที่เล่าถึงชีวิตของนักเรียนมัธยมในชนบทแห่งบ้านโนนหินแห่ จะพบว่าผู้ใหญ่ในเรื่องแทบไม่มีบทบาทอะไรเลย นอกจากการควบคุม ตรวจตราและดูแล ไม่ว่าจะเป็น ครูคุมวงแคน ตำรวจที่ตรวจอาวุธก่อนเข้างานหมอลำ พระเจ้าอาวาส หรือหมอพยาบาลที่ทำการปฐมพยาบาลให้ วัยรุ่นเหล่านี้โตมาในบ้านที่แทบไม่เห็นพ่อแม่ปรากฏอยู่ในเฟรมหนัง พาหนะกลายเป็น สัญญะสำคัญที่ทำให้เห็นว่า พวกเขามุ่งออกจากบ้าน หรือมุ่งเดินทางโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ ตั้งแต่ฉากซ้อนรถกลับบ้านแต่ไม่ถึงบ้านของยุพินกับสิงโต ฉากที่เดอะแก๊งไปดูหมอลำด้วยรถอีแต๋น ฉากพายเรือ รวมไปถึงพาหนะอย่างรถมิตซูบิชิ ปาเจโร่ของสิงโต หลังจากที่เขาได้เป็นดาราแล้ว

หากมองในเชิงพื้นที่ก็เห็นว่า มีโรงเรียน และวัด ที่เป็นสถานที่ที่ถูกรัฐควบคุม ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ลานวัดที่ใช้จัดหมอลำเอง ก็เป็นที่เกรงใจอยู่บ้าง เมื่อรู้ว่าตัวเองเสียงดังหรือทำอะไรพิเรนทร์ในวัด แต่ความเข้มงวดในวัดนั้นถือว่า ผ่อนคลายกว่าพื้นที่อย่างโรงเรียนที่เป็นที่เรียน เป็นพื้นที่ควบคุมด้วยเครื่องแบบ ชุดนักเรียน ชุดพละ ชุดลูกเสือ บำเพ็ญประโยชน์ รด. ฯลฯ

ขณะที่ห้างสรรพสินค้า เป็นพื้นที่พิเศษ เพราะอยู่ในตัวเมือง ในที่นี้คือห้าง UD อุดรธานี ต่างไปจากหน้าฮ่านที่ตระเวนไปทั่วราวกับตลาดนัดความบันเทิง ส่วนหน้าฮ่าน มันคือ space ของเด็กรุ่นนี้ที่ได้ออกไปปลดปล่อย แต่จะว่าเช่นนั้นอาจจะไม่ถูกนัก เพราะบทสนทนา และการใช้ชีวิตของพวกเขานั้นเอาเข้าจริง มันไปกันได้กับสิ่งที่เขาแสดงออก

วัยรุ่นเหล่านี้มิใช่เป็นเพียงฟันเฟืองที่ถูกบังคับให้เป็นพลเมืองที่เชื่องเชื่อแบบที่รัฐและครูในโรงเรียนอยากให้เป็น ไม่มีใครพูดภาษาไทยกลางในเรื่องเลย (หรือจะมีก็น้อยมาก) การพูดถึงอวัยวะเพศ การใช้ท่วงท่าการกระเด้าเอวยังถือเป็นเรื่องปกติมาก การแซวพระหนุ่มของสาวๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอิหลักอิเหลื่ออะไร บางคนท้องกับฝรั่ง หลายคนโดดเรียนเพื่อนั่งรถเข้าเมืองไปดูหมอลำ ตัวเอกตัวหนึ่งก็เรียนไม่จบ ต้องหาทางเรียนกศน. กันไป

อย่างไรก็ตาม หน่าฮ่าน ก็เป็นพื้นที่ที่ active เพราะมันไม่ใช่การไปเป็นผู้ชมคอนเสิร์ต แต่เป็นพื้นที่ที่พวกเขายึดใช้ในฐานะเป็นผู้กระทำ กระนั้นพื้นที่เช่นนี้ก็มีความเสี่ยงตามมา เพราะมันคือ ศูนย์รวมของวัยรุ่นเลือดร้อน พื้นที่นี้อาจเกิดความรุนแรงขึ้นได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นการตบแย่งที่นั่ง หรือความซวยเมื่อมีวัยรุ่นตีกัน

หน่าฮ่าน ได้รับการต่อยอดมาทำเป็นซีรีส์ในอีก 3 ปีต่อมา ได้มีการปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์และเพิ่มตัวละคร ผู้ปกครองมีบทบาทมากขึ้น ทั้งยังสอดแทรกบริบททางประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของคนเสื้อแดงเข้ามาด้วย

สำหรับซีรีส์นี้ พ่อที่ดี อาจเป็นพ่อที่ตายแล้ว

หากแบ่งครอบครัวเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรกคือ ครอบครัวชาวบ้าน กับ อีกกลุ่มคือ ครอบครัวลูกครู กลุ่มแรก จะเห็นได้ว่า พ่อพวกเขาไม่ได้อยู่ที่บ้านเลย ไม่ว่าจะเป็นพ่อของเติ้ลไม้ที่เป็นใครก็ไม่รู้ ส่วนพ่อของแคลเซียมและเค ไปทำงานอยู่เกาหลี และที่น่าสนใจคือ พ่อของยุพิน ถูกระบุตัวตนอย่างชัดเจนว่า เป็นคนเสื้อแดงที่ร่วมสมรภูมิผ่านฟ้า และถูกฆ่าเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 นอกจากสมหมาย พ่อของยุพินแล้ว ผู้ชายที่ทำหน้าที่พ่อ กลับไม่มีบทบาทใดๆ แต่เป็นแม่ที่ทำหน้านี้คนรับผิดชอบบ้านและชีวิตของลูกๆ พวกเขา และนั่นแหละพ่อของยุพินจึงเป็นภาพจำพ่อที่ดีที่สร้างเนื้อสร้างตัวในเมืองหลวงได้แล้ว กำลังจะชวนเมียกับลูกเขาไปอยู่ด้วยกัน แต่ความตายก็มาพรากออกไปเสียก่อน

ส่วนครอบครัวลูกครู กลับไม่ปรากฏแม่เลย ไม่ว่าจะแม่ของสวรรค์ หรือโยเย กลับเป็นพ่อของเขาที่มีบทบาท แต่เอาเข้าจริงบทบาทของพ่อ กลับไปปรากฏอยู่ในพื้นที่แห่งอำนาจรัฐอย่างโรงเรียน เมื่อพ่อของโยเยเป็นผู้อำนวยการ และพ่อของสวรรค์เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายปกครอง ทั้งคู่กุมอำนาจสำคัญในการควบคุมวินัยและการลงทัณฑ์ ในทางกลับกันครูผู้หญิงกลับกลายเป็นเพียงตัวประกอบที่ไม่ปรากฏบทบาท

หมู่บ้านโนนหินแห่ อยู่คู่กับโรงเรียนโนนหินแห่ (ตัวย่อ น.ห.) แสดงให้เห็นบทบาทของการพยายามสอดส่องและควบคุมจากรัฐมาตั้งแต่สมัยสงครามเย็นเป็นอย่างน้อย ภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านนี้อยู่แถบโขงเจียม ริมน้ำโขงที่ฝั่งตรงกันข้ามคือ ประเทศลาว พรมแดนสำคัญที่เคยเป็นฐานที่มั่นและการส่งกำลังระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ขณะที่ในยุคปัจจุบันกลายเป็นที่หลบภัยจากการคุกคามของอำนาจรัฐไทยในคดีความมั่นคง

อำนาจโรงเรียนแถบนี้ แทบไม่มีผลต่อการควบคุมบุตรหลานให้อยู่ในร่องในรอย แม้พื้นที่หน้าเสาธงที่ถูกใช้เพื่อตอกย้ำอำนาจรัฐไทยผ่านอุดมการณ์ชาตินิยม แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปสู่มโนสำนึกของเด็กเหล่านี้ได้ หัวใจของพวกเขามีอิสระมากพอที่จะไม่แยแสกับผลการเรียน หรือการเรียนต่อให้จบการศึกษา พื้นที่ลี้ภัยทางอารมณ์ของพวกเขาคือ หน่าฮ่าน เวทีหมอลำพื้นที่ที่แม่ของพวกเขาพามาตั้งแต่เด็ก พวกเขาได้ปลดปล่อยอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับพื้นที่ป่าเขาที่ไม่ไกลไปจากบ้าน มันคือ พื้นที่ที่พวกเขาได้สูดอากาศหายใจ ได้เที่ยวเล่น รวมไปถึงการมองทิวทัศน์อันเวิ้งว้าง

แต่หมู่บ้านเล็กๆ แบบนี้ สำหรับหลายคนแล้ว มันไม่ใช่คำตอบ แคลเซียมมีความหวังที่จะออกจากหมู่บ้านหลังเรียนจบ เธอได้ทำสัญญากับเติ้ลไม้ว่าจะออกไปสู่โลกกว้าง และมีความหวังว่าจะได้ไปเกาหลีที่ที่พ่อของเธอไปอยู่ที่นั่น แต่กลายเป็นว่า เค น้องชายของเธอได้ไปถึงที่นั่นก่อน ด้วยอุบัติเหตุทางความรัก เมื่อเค รักคนคนเดียวกันกับพี่สาวของเธอ

คนที่อาจจะไปได้ไกลที่สุดน่าจะเป็นหอยกี้ ที่จับพลัดจับผลูไปได้ผัวฝรั่งและท้องขึ้นมา ฝรั่งเศสน่าจะเป็นปลายทางของเธอ หลังจากคลอดลูกแล้ว

จะมีก็แต่ยุพินที่มีปมหวาดกลัวกรุงเทพฯ เพราะที่นั่นคือ ที่ตายของพ่อของเธอ การปลดล็อกตอนจบเรื่องก็คือ การที่เธอตัดสินใจไปมีชีวิตที่กรุงเทพฯ กับ สิงโต คู่รักของเธอ

อันที่จริงสิงโตไม่ได้คิดจะไปถึงกรุงเทพฯ เขาเชื่อว่า ความสามารถของเขาน่าจะเอาตัวรอดในอีสานได้ ก่อนหน้าที่จะมาถึงโนนหินแห่ เขาตระเวนไปทั่ว เพื่อออดิชั่นเป็นนักร้องตามร้านเหล้าและหมูกะทะ แต่ไม่มีที่ไหนรับ เขาจึงต้องออกมาขายสร้อย ขายของเอาตัวรอด เช่นเดียวกับเพื่อนรักของเขาอีกคน ซึ่งด้วยปัญหาปากท้อง เพื่อนเขาทนไม่ไหว จำต้องเข้าไปหางานทำในกรุงเทพฯ ก่อน และในที่สุดสิงโตก็ตามไป โดยจำใจจากพร้อมไปกับยุติความสัมพันธ์กับยุพินชั่วคราว เพราะชีวิตของพวกเขาไม่ใช่มีแค่ฉันและเธอ แต่ยังมีแม่และครอบครัวที่ต้องดูแล

คำพูดของเติ้ลไม้ที่พูดทำนองว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา น่าจะเป็นคำกล่าวแทนใจคนต่างจังหวัด คนในชนบทรุ่นใหม่ที่ไม่มีอนาคตในบ้านเกิด ชุมชนขนาดเล็กที่เป็นขี้ปากชาวบ้าน แม้จะอบอุ่นใกล้ชิด แต่มันเหมาะกับคนที่เจนโลกแล้ว และอยากมีชีวิตอยู่ในบ้านเกิด ไม่ใช่คนรุ่นหนุ่มสาว

สำหรับพวกเขาการเรียนในโรงเรียน หรือการเรียนต่อในมหาลัยจึงแทบไร้ความหมาย การเรียนต่อคือการเสียเงิน แต่การหางานคือการทำเงิน สิงโตที่มีภาระส่วนหนึ่งก็ต้องส่งน้องเพื่อเรียนต่อระดับมหาลัย การศึกษาจึงไม่ใช่การลงทุนที่พวกเขาจ่ายได้เมื่อเขาไม่มีทางเลือก คนที่จะจ่ายได้ก็คงมีแต่ลูกครูอย่างโยเยและสวรรค์ เท่านั้น

ที่น่าสังเกต ความสัมพันธ์ทางเพศในเรื่องนี้ขาดเพียงระหว่างหญิง-หญิงเท่านั้น เราอาจบอกได้ว่า “สาวหล่อ” ไม่ได้ถูกบรรจุให้อยู่ในหน่าฮ่านเลย แต่เราพบกระเทยเต็มไปหมด ตั้งแต่ฝาแฝดหอยกี้อย่างเป๊กกี้ และเหล่าทีมหางเครื่องของโยเย

ภาพที่ซีรีส์แสดงออกมา จะไม่เห็น “ครอบครัวแหว่งกลาง” ที่พ่อแม่ทิ้งลูกไว้กับปู่ย่าตายายเลย สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงการย้ำความเป็นพ่อที่หายไป และความเป็นแม่ผู้แบกโลกนี้ไว้ได้ชัดเจนมากขึ้น กรณีนี้จะมีเพียงแม่ยุพินที่ไม่ชัดเจนนักว่ามีรายได้จากที่ใดนอกจากการทำการเกษตรไปวันๆ ส่วนแม่ของแคลเซียมกับเค เปิดร้านขายของชำ แต่บ้านเติ้ลไม้ถือว่าน่าจะมั่งมีที่สุดในหมู่บ้าน เพราะเปิดรีสอร์ทซึ่งมีฟังก์ชั่นเป็นม่านรูดประจำหมู่บ้าน

ความสัมพันธ์ของแม่เติ้ลไม้ กับ แม่แคลเซียมออกแนวทั้งรักทั้งเกลียด ทั้งคู่ท้าตีท้าต่อยกันเสมอ และยังเคยมีอดีตเก่าๆ ว่า เคยจูบปากกันสมัยสาวๆ อีกด้วย ทั้งคู่เป็นแม่ที่เลี้ยงลูกต่างกัน แม่แคลเซียมที่ดูจะใจกว้างกว่า ที่ยอมรับได้ว่าลูกจะเป็นอะไร ขอให้เอาตัวรอดและไม่ตาย ต่างกับแม่เติ้ลไม้ที่อยากให้ลูกได้ดีเพื่อชดเชยในที่สิ่งตัวเองไม่เคยเป็นได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอเคยถูกตราหน้าว่าท้องไม่มีพ่อ ขณะที่แม่แคลเซียมยังมีผัวเป็นตัวเป็นตนที่ส่งเงินมาจากเกาหลีให้เป็นระยะ

ความเป็นแม่ของพวกเธอ และชีวิตของพวกเธอก็คงสิ้นสุดอยู่ที่โนนหินแห่นี้เอง สุดท้ายก็เป็นพวกเธอนี่แหละที่คงได้แต่ทำใจ เมื่อลูกๆ จะพ้นอ้อมอกออกไปแสวงหาโอกาสของชีวิตที่ไกลแสนไกลจากบ้านเกิด

หน่าฮ่าน กลายเป็นพื้นที่สำคัญอีกครั้ง เมื่อพวกเขากลับมาเจอกันเพื่อสั่งลาก่อนที่จะเติบใหญ่ไปเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งแตกต่างไปจากเด็กนักเรียนจำนวนมากที่ยังไม่พ้นวัยเรียน เมื่อต้องเข้าเรียนระดับปริญญาตรีที่อยู่ภายใต้การสั่งเสียของผู้ปกครอง ขณะที่แก๊งหน่าฮ่านกลับโบยบินออกไป โดยแลกกับความโหดร้ายของชีวิตที่พวกเขาต้องเผชิญด้วยตัวเองหลังจากนั้น


ดู หน่าฮ่าน ได้ที่ Doc Club On Demand
ดู หน่าฮ่าน เดอะซีรีส์ ได้ที่ AIS Play

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here