หมอปลาวาฬ ตัวแทนอำนาจรัฐไทยในหมู่(ไท)บ้าน : ความพ่ายแพ้ของคนนอกที่ไต่เส้นลวดอำนาจสาธารณสุขในยุครัฐเวชกรรม

(2022, สุรศักดิ์ ป้องศร)

หนังในจักรวาลไทบ้าน เดินทางมาสู่ปีที่ 5 หากนับเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย บางคณะก็ถือว่าจบการศึกษาและเริ่มทำงานไปแล้ว ช่วงปี 2560-2561 ถือเป็นจุดที่หนังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง จนมาถึงปี 2563 ที่ทุกวงการได้รับผลกระทบอย่างหนักมาจากโรคระบาดอย่างโควิด-19 ไทบ้าน x BNK48 จากใจผู้สาวคนนี้ เป็นเรื่องที่ฉายในช่วงต้นของสถานการณ์ดังกล่าวแต่ในตัวรายได้ก็ถือว่ายังพอเอาตัวรอดได้ อย่างไรก็ตามคิวของหมอปลาวาฬที่จะเป็นการส่งหนังไปยังภาคแยกอื่นๆ อีกกลับเผชิญหน้ากับช่วงโควิด-19 ระบาดหนักหลังสงกรานต์ปี 2564 จนต้องประกาศเลื่อนฉาย หมอปลาวาฬ ออกไป จึงกล่าวได้ว่า หลังจากประกาศก็เกือบครบรอบปีพอดีกว่าจะได้ฤกษ์

หลายคนอาจไม่รู้ว่า คำว่า “หมอ” ในเรื่องนี้ ไม่ใช่หมอแบบแพทย์ที่ชนชั้นกลางทั่วไปรู้จักกัน แต่เป็นคำเรียกบุคลากรทางสาธารณสุขที่อยู่ใกล้ตัวชาวบ้านที่อยู่ตามโรงพยาบาลส่วนตำบล หมอปลาวาฬ ตามท้องเรื่อง คือ นักวิชาการสาธารณสุข แต่มีบทบาทอย่างสูงที่ทำงานร่วมกับชุมชน เป็นหนึ่งในตัวแทนของรัฐที่มีอำนาจและใกล้ตัวชาวบ้าน แต่เป็นอำนาจที่ดูเป็นประโยชน์เพราะช่วยดูแลสุขภาพ และรักษาชีวิตชาวบ้านไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุร้ายแรง โรคฉุกเฉิน ตลอดจนการร่วมรณรงค์เรื่องสุขอนามัยต่างๆ

ความล้มเหลวของหมอปลาวาฬ ณ จุดเริ่มเรื่อง กลายเป็นการบ่งบอกนัยถึงชีวิตส่วนตัวและความสัมพันธ์ทางความรักที่ไม่สมหวังในหมู่บ้าน การช่วยชีวิตเด็กที่ตกน้ำไว้ไม่ได้ สำหรับเธอแล้ว นั่นคือ ข้อผิดพลาดและจุดตกต่ำที่สุดที่ในชีวิตของเธอ อารมณ์ความรู้สึกที่ดำดิ่งกลับมีน้ำใจของชายที่ชื่อจาลอดหยิบยื่นเข้ามา เขาได้กลายเป็นผู้ช่วยเยียวยาหัวใจของเธอไม่ให้เธอจมลงไปมากกว่านั้น จาลอดจึงเข้าไปนั่งในหัวใจเธอในเวลาที่พอเหมาะพอดี

สถานการณ์โควิด-19 ทำให้เราได้เข้าไปใกล้กับพื้นที่แห่งอำนาจทางการแพทย์มากอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน หลายคนห่างหายจากเข็มฉีดยาไป แต่ก็ถูกเรียกไปเพื่อฉีดป้องกันชีวิต ไม่ต่างกับยายของจาลอดในท้องเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้น การสอนให้คนในครอบครัวฉีดยาให้ ยิ่งทำให้เห็นว่า อัตรากำลังที่ไม่เพียงพอ เรียกร้องให้ประชาชนต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้นภายใต้การกำกับของรัฐ

หมอปลาวาฬ ในสายตาของคนในหมู่บ้านในด้านหนึ่งแล้วจึงเป็นตัวแทนของอำนาจรัฐที่ให้(พระ)คุณกับชาวบ้าน อย่างไรก็ตาม เธอเองก็มีระยะห่างในรูปแบบชีวิตของเธอที่ไม่อาจเป็นเนื้อเดียวกับจาลอดและคนในหมู่บ้านได้อย่างที่ควร

เรารู้กันดีว่า หมอปลาวาฬ จาลอด และครูแก้ว อยู่ภายใต้วังวนของความสัมพันธ์แบบรักสามเส้า ในอีกฝั่งครูแก้วอยู่กับอำนาจรัฐอีกแบบที่อยู่ในชีวิตประจำวัน คนทั่วไปรู้กันดีว่า ครูเป็นวิชาชีพที่น่านับถือเพราะสั่งสอนเด็กๆ ให้มีความรู้ และยังคาดหวังให้เป็นผู้เลี้ยงดู และดัดนิสัยแทนพ่อแม่ที่อาจจะไม่มีทั้งเวลาและความอดทนมากพอที่จะจัดการเอง 

ในยุคโควิด-19 เราจะเห็นเลยว่า โรงเรียนเริ่มมีบทบาทที่ลดลง การเรียนการสอนออนไลน์ เป็นการโยนภาระมาให้กับผู้ปกครองที่ส่วนใหญ่ไร้ทักษะในการช่วยเหลือลูกหลาน ยังไม่นับว่า บางครอบครัวไม่มีเวลา ที่แย่กว่าก็คือ ไม่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือในการเรียนออนไลน์ ในเรื่อง บทบาทของครูแก้วที่มีต่อครอบครัวจาลอดน้อยมาก ครูแก้วเป็นเสมือนกับจดหมายเหตุของชีวิตคู่ ไม่ว่าจะเป็นภาพคู่บนหัวเตียง บนฝาห้อง แฟ้มงานครู หนังสือเรียน การบ้านของเด็ก คือ เศษซากความทรงจำและปัจจุบันของครอบครัวนี้

เรื่องเกือบพาไปสู่ชัยชนะของหมอปลาวาฬ เมื่อจาลอดพยายามจะกลับไปสานสัมพันธ์ ขณะที่หมอก็มาที่บ้านช่วยดูแลยาย จนยายออกปากว่าชอบ และยายนี่เองที่รู้เห็นความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้งของทั้งสอง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ตัดสินใจเลือก/ไม่เลือก ไม่ใช่หมอหรือครู แต่คือ จาลอด สามัญชนที่มีอำนาจต่อรองด้านความรัก 

แต่จาลอดก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เขามียายกับน้องที่ต้องดูแล ภาระที่เพิ่มขึ้นมาพร้อมกับสถานการณ์ครอบครัวที่เปลี่ยนแปลง พ่อกับแม่จาลอดเลิกกันแล้ว ดังนั้น การส่งเงินมาจากพวกเขาที่ไปทำงานจากแดนไกลจึงอาจไม่ใช่เรื่องเป็นไปได้อีกต่อไป หนังไม่ได้บอกตรงๆ แต่เป็นไปได้ว่า พ่อแม่ของพวกเขาก็คงแยกทางกันไปมีชีวิตใหม่ ดังนั้น จากประสบการณ์ที่เคยช่วยเฮียป่องทำสโตร์ผัก (ซึ่งต่อมาก็เจ๊งไม่เป็นท่า) จาลอดเปลี่ยนตัวเองไปเป็น “ผู้ประกอบการ” ทำบ่อซีเมนต์เลี้ยงปูนาขายในหมู่บ้านและละแวกใกล้เคียง บ่อหลังบ้าน รถมอไซค์พ่วงข้างพร้อมตาชั่ง แสดงให้เห็นถึงระดับความจริงจังของชีวิตมากขึ้น

ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวจาลอด หากมองผ่านบักมืด จะเห็นว่าผ่านเสื้อผ้าดูออกเป็นสปอร์ตแมนที่ไม่ใช่ใส่เสื้อบอลโง่ๆ แบบที่จาลอด ครูแก้ว หรือหมอปลาวาฬใส่ แต่เป็นชุดบาสเกตบอลบ้าง ชุดที่ดูตั้งใจเลือกมาบ้าง บักมืดยังเล่นเวทโชว์กล้ามหน้าทีวีดิจิตอลเป็นระยะ ด้านหนึ่งทำให้เห็นถึงความเติบโตทางร่างกายของมืด และเป็นมืดนี่เองที่เตือนสติพี่ตัวเองว่าให้คิดดีๆ เรื่องความสัมพันธ์

ความพยายามกลับไปหาหมอปลาวาฬของจาลอด แสดงให้เห็นถึงความลังเลหัวใจของตัวเอง แต่ก็พอมีฐานความเป็นเหตุเป็นผลของความโลเลอยู่บางๆ ว่า การที่ได้กับครูแก้วมันคือ ความผูกพันที่เกิดจากลูกยุของบักเซียง ในวันที่จาลอดยังไร้คู่ ครูแก้วคือความมั่นคงและอนาคต เพราะลอดไม่ได้คบกับแค่ครูแก้ว แต่ยังรวมถึงพ่อของครูแก้วที่ดูเหมือนจะเป็นผู้อำนวยการบางโรงเรียนด้วยซ้ำ ขณะที่กับหมอปลาวาฬ เอาจริงๆ เป็นนักวิชาการสาธารณสุขที่แทบจะไร้ญาติขาดมิตรกับคนในเรื่อง เป็นคนนอกที่เข้ามาอยู่ในชุมชน เป็นชนชั้นกลางที่เข้ามาอยู่ในบ้านพักของกระทรวงสาธารณสุข ความเป็นคนนอกล่ะมั้ง ที่ทำให้จาลอดรู้สึกถึงความแตกต่าง ความกระชุ่มกระชวยที่เขาได้คบหา ต่างจากความจำเจที่อยู่กันมากับครูแก้ว 4-5 ปี

เราไม่รู้ว่าจาลอดเจ็บปวดได้แค่ไหนกับการที่ครูแก้วทิ้งไป เมื่อพบหลักฐานและความเป็นจริงบางอย่าง เพราะความมั่งคงที่เคยมีมันพังทลายไปหรือเปล่า ไม่แน่ว่า ธุรกิจขายปูนาอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก ดีไม่ดีทุกวันนี้ก็อาศัยเงินเดือนของครูแก้วไปด้วย ฉากที่จาลอดนอนหมดอาลัยตายอยาก ช่วยตัวเองไม่ได้ และมืดเองก็ตัดพ้อว่า ถ้ายายกับจาลอดตายไป ก็คงต้องอยู่คนเดียว ก็แสดงให้เห็นความเปราะบางของครอบครัวคนในชนบทที่การคว้าที่พึ่งจากคนที่พึ่งพาได้อาจเป็นเรื่องจำเป็นไปมากกว่าหัวใจของตัวเอง

ดังนั้นเป็นไปได้ว่า ฉากหมดอาลัยตายอยากนี้ มันแสดงให้เห็นถึงทุกข์อันหนักหน่วงอันเนื่องมาจากเรื่องปากท้อง ต่างจากตอนที่ลอดรู้ว่า ครูแก้วท้อง ตรงนั้นมันมาจากความรู้สึกผิดมากกว่า แม้ว่าครูแก้วจะถามว่าจะรับผิดชอบเลี้ยงลูกได้ไหม แต่เอาเข้าจริงครอบครัวครูแก้วมากกว่าที่จะเป็นดูแลให้ ถ้าเห็นจากภาพงานแต่งงานในบ้านจัดสรรที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของชนชั้นกลาง ที่ไม่รู้ว่าเป็นบ้านใคร แต่ในวันแต่งมันคือ การเปลี่ยนฉากจากชนบทไปสู่เขตเมือง ทรงผมเด๋อๆ ของจาลอด กลายเป็นทรงผมของคนในเมืองที่ดูเป็นผู้เป็นคนในมาตรฐานชนชั้นกลางมากขึ้น

บางทีข่าวครูอัตราจ้างเงินเดือนต่ำกว่า 5 พันที่มีอยู่เป็นพักๆ จนเป็นดราม่าที่ผ่านมาหลายปีมานี้ เมื่อเทียบกับอัตราขาดแคลนของบุคลากรงานสายสาธารณสุขที่ไม่เป็นที่สนใจของสื่อมากนัก แม้จะอยู่ในช่วงโควิดก็อาจเป็นภาพสะท้อนอะไรบางอย่างได้ดี

ชัยชนะที่แท้จริงเป็นของครูแก้ว แต่ไม่ได้อยู่ที่อยู่ฐานอำนาจรัฐด้านการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความเหนือกว่าหมอปลาวาฬผู้ไร้อำนาจ ไร้คอนเนคชั่นอีกด้วย เราจะเห็นว่านอกจากหน้างานแล้ว หมอวาฬแทบไม่มีพื้นที่เป็นของตัวเองเลยยกเว้นห้องนอนในบ้านพักแคบๆ หมอแจ็คเพื่อนร่วมงานก็ไม่ได้เป็นพื้นที่แห่งความสบายใจด้วย เมื่อเขาเองก็หวังจะมีความสัมพันธ์กับหมอปลาวาฬที่มากกว่าเพื่อน

ฉากจบที่หมอปลาวาฬย้ายเข้าเมือง และน่าจะเปลี่ยนสถานะไปเป็นพนักงานในโรงพยาบาลเอกชน มันยิ่งแสดงให้เห็นถึงสถานะอันง่อนแง่นของชนชั้นกลางที่ไร้รากและเส้นสายในหมู่บ้านได้ด้วย การหลุดออกจากอำนาจรัฐและหมู่บ้าน ทำให้หมอปลาวาฬต้องไปเผชิญหน้าอยู่กับโลกทุนนิยมที่แข่งขันกลายเป็นพนักงานบริษัทในรูปแบบหนึ่ง หมอปลาวาฬจึงกลายเป็นคนนอกทั้งในระดับความสัมพันธ์ของรักสามเส้า ในระดับหมู่บ้านที่ตนเองไม่มียืน ยังไม่ต้องนับว่าในโลกความเป็นจริง ระบบสาธารณสุขในระดับท้องที่เองก็อ่อนแรงลงทุกที

ตอนจบที่พยายามเปิดไปเรื่องใหม่อย่าง สัปเปร่อ หากจะคิดว่า ถ้าใครควรจะเป็นผีที่ดุร้ายคนต่อไปในจักรวาลนี้ ก็ควรเป็นหมอปลาวาฬ แต่ต้องปรับเรื่องใหม่หน่อยคือ คนที่ท้องไม่ใช่ครูแก้ว แต่เป็นหมอปลาวาฬ แล้วต้องมาตายเพราะอุบัติเหตุบนรถ Jazz คันขาวของเธอ ที่คนเห็นเหตุการณ์พบว่า รถประสบอุบัติเหตุพุ่งชนกับเถียงนา ที่เดียวกับที่เธอเคยได้แหวนจากจาลอด

LATEST REVIEWS