Home Film News ‘โควิด-19’ 4 วันจอด และผลกระทบรอบด้านของ Present Still Perfect

‘โควิด-19’ 4 วันจอด และผลกระทบรอบด้านของ Present Still Perfect

‘โควิด-19’ 4 วันจอด และผลกระทบรอบด้านของ Present Still Perfect

เชื่อว่า โควิด-19 จะส่งผลกระทบกับคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้มีหลักประกันอะไรในชีวิต เช่น ลูกจ้างรายวันและคนทำอาชีพอิสระ เพราะนอกจากจะไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนแล้ว เรื่องราวหลังจากนั้นก็ยังไม่มีอะไรแน่นอนอีกเช่นกัน ไม่ต่างกันกับชะตากรรมของหนังเรื่อง Present Still Perfect ‘แค่นี้…ก็ดีแล้ว 2’ ที่ผู้กำกับ อนุสรณ์ สร้อยสงิม กล่าวกับเราว่า “ตอนนี้ผมก็ยังงงกับอนาคตของหนังและตัวเองอยู่เลยครับ”

Present Still Perfect เข้าฉายเมื่อวันที่ 12 มีนาคม โดยหนังมีเวลาสำหรับการทำเงินแค่ 4 วันแรกที่เข้าฉาย จากนั้นวันที่ 16-17 มีนาคม ผู้ชมเริ่มไม่เข้าโรงหนังจนแทบไม่สร้างรายได้ ในที่สุดภาครัฐก็สั่งปิดโรงหนังใน กทม และปริมณฑลตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคมเป็นต้นมา เท่ากับว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังไทยที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า เพราะมีเวลาฉายแค่ 6 วัน และโอกาสทำรายได้แค่ 4 วันเท่านั้น โดยที่อนุสรณ์ยังไม่รู้ว่าหนังจะมีชะตากรรมอย่างไรต่อไป

รายได้ที่หนังทำไปเฉพาะ กทม, ปริมณฑล และเชียงใหม่ ตลอดโปรแกรมฉายคือประมาณ 2.5 แสนบาท (ภาคแรกทำไปได้ราว 4 แสนบาท ตลอดโปรแกรมจากการฉายแค่ 7 โรง) ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 ยังทำให้จากเดิมที่จะมีหนังไทยเข้าฉายพร้อมกันอย่าง ‘Love เลย 101’ ของโปรดิวเซอร์ หม่ำ จ๊กมก ต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด …Present Still Perfect จึงกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกเพียงไม่กี่เรื่องที่สดใหม่ในสัปดาห์นั้น อนุสรณ์เล่าว่า “ก่อนจะถึงวันฉายก็มีความคิดเข้ามาแวบหนึ่งว่าจะเลื่อนดีมั้ยเพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์จะแย่ขนาดไหน และเราก็เป็นหนังเล็กๆ ด้วย งบโปรโมทเราก็มีจำกัดซึ่งถูกใช้ไปหมดแล้ว ถ้าต้องเลื่อนอีกก็ไม่รู้จะเอาเงินตรงไหนมาโปรโมทต่อ ตอนนั้นเรายังมองว่าอาจเป็นบวกกับเราด้วยซ้ำเพราะหนังไทยเรื่องอื่นๆ อย่างหนังพี่หม่ำ และ ‘เกมเมอร์ เกมแม่’ ที่แต่เดิมจะเข้าก่อนหน้าเราอาทิตย์เดียวก็เลื่อนหมด คนก็อาจจะมาดูหนังเรา (หัวเราะ)”

เพราะสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ Present Still Perfect ได้รับการอุ้มชูจากโรงหนังเป็นอย่างดีทั้งจำนวนรอบและโรงฉาย และการที่มันทำเงินได้เท่าที่เป็นอยู่ในระยะเวลาไม่กี่วัน ก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ ‘แค่นี้…ก็ดีแล้ว’ สำหรับอนุสรณ์ แต่หนังที่กำลังจะดูมีอนาคตก็ดับวูบ และสถานะของหนังแบบค้างคา จะไปต่อหรือพอแค่นี้? นี่ถือว่าจบโปรแกรมแล้วหรือยัง? ก็นำมาซึ่งความวุ่นวายที่พัวพันจนยังหาทางคลายปมไม่เจอ

สำหรับหนังเล็กๆ อย่างเรา และคนทำหนังอิสระแบบเรา เส้นทางที่ว่ามามันมีผลต่ออนาคตอย่างมาก ทั้งต่อตัวหนังและอาชีพการงาน จนไม่รู้จะต้องทำยังไงต่อดี ไม่รู้จะต้องพึ่งใครแล้ว ตรงนี้รัฐสามารถช่วยอะไรคนทำหนังหน่อยได้มั้ย

“แอบเสียใจอยู่ลึกๆ นะ แต่มันเป็นผลกระทบที่ไม่รู้เราจะโทษใครได้” อนุสรณ์เข้าใจในความพยายามของโรงหนังเป็นอย่างดี แม้โรงหนังเครือหลักทั้งสองจะพยายามให้ความหวังแก่อนุสรณ์ว่าจะนำหนังกลับมาเข้าโรงใหม่อีกครั้งเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าวันนั้นจะมาถึงตอนไหน และจะจัดการอย่างไรกับหนังอีกหลายเรื่องที่รอคอยการกลับมาของโรงหนังด้วยเช่นกัน

“ผมตอบไม่ได้เลยว่าหนังจะได้ฉายต่อมั้ย แล้วเราจะได้เงินคืนมาเมื่อไหร่ เพราะก็ยังไม่รู้ว่าสถานะของหนังเราเป็นอย่างไร” (เจ้าของหนังจะวางบิลรับส่วนแบ่งรายได้เมื่อหนังจบโปรแกรมไปแล้ว-ผู้เขียน) ซึ่งนี่จะส่งผลกระทบต่อเส้นทางที่ตามมาหลังจากนี้ของหนัง อันมีฐานแฟนคลับในต่างประเทศ โดยเฉพาะไต้หวันซึ่งมีหุ้นส่วนอยู่ด้วย

“อันดับแรกคือไต้หวันเขาวางแผนจะเอาหนังเข้าฉาย 3 เม.ย. และมีคิวลงออนไลน์ที่นั่น 20 พ.ค. แต่เรามีข้อตกลงกับโรงหนังในเมืองไทยว่าจะลงออนไลน์หลังออกจากโรงที่ไทย 105 วัน เมื่อสถานะเรายังไม่ชัดเจนมันก็อาจจะส่งผลอื่นๆ ตามมา

“เดิมเรามีคิวไปเทศกาลหนังที่เนเธอร์แลนด์ ก็เลื่อนไปแล้ว และกลุ่มแฟนคลับที่บราซิลขอจัดรอบ meet & greet กับนักแสดงวันที่ 18 เม.ย. ออกค่าเดินทางค่าที่พักให้หมดแล้วก็ต้องยกเลิก รวมถึง Netflix ก็ติดต่อมาเหมือนกัน ถามว่าเราอยากจบดีลกับเขามั้ย ก็อยาก แต่ถ้าเราตัดสินใจเลยเส้นทางที่ว่ามาทั้งหมดก็ต้องจบลงโดยอัตโนมัติ ซึ่งสำหรับหนังเล็กๆ อย่างเรา และคนทำหนังอิสระแบบเรา เส้นทางที่ว่ามามันมีผลต่ออนาคตอย่างมาก ทั้งต่อตัวหนังและอาชีพการงาน จนไม่รู้จะต้องทำยังไงต่อดี ไม่รู้จะต้องพึ่งใครแล้ว ตรงนี้รัฐสามารถช่วยอะไรคนทำหนังหน่อยได้มั้ย”

ไม่ต่างกันนักกับทุกคนที่กำลังเอาตัวเองให้รอดจากวิกฤตโลกระบาดในครั้งนี้ ที่ไม่เฉพาะสุขภาพกายและใจ แต่ยังรวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ยังมองไม่ชัดเช่นกันว่าเมื่อเข้าสู่สภาวะปกติแล้วจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร