Home Review Film Review A Sun แล้วดวงตะวันก็ฉายแสง

A Sun แล้วดวงตะวันก็ฉายแสง

A Sun แล้วดวงตะวันก็ฉายแสง

บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์

อาเหอ เป็นลูกชายคนเล็ก เกกมะเหรกเกเร ไม่ยอมเรียนหนังสือ คบหากับ แรดิช เพื่อนอันธพาล แล้ววันหนึ่งทั้งคู่ก็พากันไปก่อคดีร้ายแรงจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล พ่อของอาเหอที่เหนื่อยหน่ายกับลูกชายเหลือขอคนนี้เต็มทนจึงยินยอมให้ลูกชายถูกส่งเข้าไปดัดสันดานในสถานพินิจโดยไม่ฟังคำทัดทานของภรรยา อาเหอมีพี่ชายชื่อ อาห่าว ต่างกันราวฟ้ากับดิน อาห่าวทั้งเรียนเก่ง หน้าตาดี สุภาพอ่อนโยน เป็นลูกรักของพ่อ รับผิดชอบตัวเองและคนอื่นได้ดีเสมอ เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ความสัมพันธ์ในครอบครัวจึงแบ่งออกเป็นลูกฉันลูกเธออยู่กลายๆ

ครอบครัวของอาเหอไม่ได้มีฐานะอะไรนัก อาศัยอยู่อพาร์ตเมนต์ระดับกลางๆ ในเมือง พ่อทำงานเป็นครูสอนขับรถในโรงเรียนสอนขับรถแห่งหนึ่ง แม่ทำงานเป็นช่างเสริมสวยในสถานบันเทิง ชีวิตสามัญดาษดื่นของชนชั้นกลางระดับล่างที่อาจไม่ได้มีความใฝ่ฝันอะไรมากไปกว่าได้ส่งเสียลูกชายให้เรียนสูงๆ แสวงหาความมั่นคงในชีวิตเท่าที่กำลังของตัวเองจะแสวงหาได้

หนังเปิดเรื่องด้วยฉากรุนแรงเลือดสาดในภัตตาคาร แรดิชใช้มีดมาเชเต้ฟันแขนคู่อริขาดกระเด็นตกลงไปในหม้อไฟกลางโต๊ะอาหาร ภาพอุจาดตาจนดูประดิดประดอยและล้นเกิน (ในตอนท้ายๆ ของเรื่องผู้ชมจะได้รู้เหตุผลว่าทำไมหนังถึงต้องเลือกนำเสนอภาพอุจาดตานี้) ก่อนจะค่อยๆ ลดองศาลงและมาโฟกัสที่ภาพชีวิตปกติของตัวละคร น่าสังเกตว่าหนังเลือกเล่าเรื่องผ่านหลายๆ แนว (genre) ทั้งแนวอาชญากรรม, ดราม่าครอบครัว, การเติบโตก้าวผ่านช่วงวัย (coming of age) หรือแม้กระทั่งรักโรแมนติก เพื่อขับเน้นเงื่อนปมเฉพาะตัวของแต่ละตัวละคร

จริงอยู่ว่าอาเหอในฐานะผู้ร่วมลงมือได้รับโทษเบากว่าแรดิช แต่ในระดับที่ลึกลงไป หนังก็ฉายให้เห็นความซับซ้อนของคดีไว้อย่างน่าครุ่นคิด แรดิชไม่ได้ฟันแขนของ โอเด้ง (ชื่อของเด็กหนุ่มที่ถูกฟันแขนขาด) เพราะเป็นคู่อริตัวเองโดยตรงหรือเป็นความแค้นส่วนตัว แต่ทำไปเพื่อสั่งสอนโอเด้งที่มารังแกอาเหอก่อน คู่กรณีที่แท้จริงจึงเป็นอาเหอ แต่ทว่าอาเหอเองก็ไม่คาดคิดว่าแรดิชจะลงมือรุนแรงถึงขั้นนั้น สัดส่วนของความผิดในทางกฎหมายอาจลงโทษแรดิชหนักว่าในฐานะผู้ลงมือ แต่สัดส่วนของความผิดในทางมโนธรรมส่วนตัวระหว่างอาเหอกับแรดิชก็ยากจะหาจุดลงตัว ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองต้องมาติดร่างแหของความผิดที่อีกฝ่ายก่อขึ้น

จากนั้น หนังโฟกัสไปที่ชีวิตของอาห่าว อาห่าวผู้เป็นความหวังของครอบครัว แต่ภายใต้บุคลิกสุภาพอ่อนโยน กลับมีตัวตนเบื้องลึกที่ยากจะเข้าถึง ไม่มีใครรู้ว่าอาห่าวคิดอะไรหรือรู้ว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่ หนังเลือกแนะนำอาห่าวให้เรารู้จักครั้งแรกผ่านฉากในห้องเรียนกวดวิชา ตอนที่อาจารย์กำลังบรรยายเกี่ยวกับคำสอนของซือหม่ากวง (ปราชญ์คนสำคัญในประวัติศาสตร์จีน) เมื่อเห็นอาห่าวนั่งฟังอย่างเหม่อลอย อาจารย์จึงถามเขาอย่างฉุนเฉียวว่าไม่เชื่อในคำสอนของซือหม่ากวงหรือ? แต่อาห่าวกลับย้อนถามอย่างแข็งกร้าวว่า แล้วอาจารย์เชื่อหรือเปล่า? ซึ่งนับว่าเป็นปฏิกิริยาที่เหนือความคาดหมายสำหรับเด็กตั้งใจเรียนอย่างเขา

ต่อมาอาห่าวได้รู้จักกับเด็กสาวคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน ทั้งคู่พัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างเงียบๆ พร้อมๆ กับที่โลกส่วนตัวของอาห่าวก็ถูกเผยออกมาทีละน้อย ความสัมพันธ์งดงามเรียบง่ายราวกับประกายแสงเล็กๆ แย้มเยือนซอกมุมชีวิตอันเงียบเชียบ เป็นความงดงามแบบที่ชวนให้หัวใจสลายเมื่อนึกถึงว่าโมงยามแสนสั้นที่ทั้งคู่ได้ใช้จ่ายวันเวลาร่วมกันเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ชีวิตมอบให้ ก่อนที่ความตายจะพรากมันไป

อาห่าวเป็นตัวละครสำคัญ แต่หนังเลือกเล่าถึงเขา (และให้เขาเล่าถึงตัวเอง) อย่างออมความ ให้เราได้เสาะค้นและตีความตัวเขาผ่านอุปมาหรือสัญลักษณ์บางอย่างเสมอ ในการคุยกันครั้งหนึ่ง อาห่าวเล่านิทานปรัมปราเรื่องการเล่นซ่อนหาของซือหม่ากวงให้แฟนสาวฟัง ซือหม่ากวงเล่นซ่อนหากับเด็กๆ จนกระทั่งพบที่ซ่อนของทุกคนแล้ว แต่เขาบอกว่ายังเหลือเด็กอีกหนึ่งคนที่ซ่อนอยู่ เด็กๆ เหล่านั้นงุนงงว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ก็ตามซือหม่ากวงไปจนพบโอ่งปริศนาใบหนึ่ง พอทุบโอ่งออก จึงได้พบว่าเด็กที่ซ่อนอยู่ในนั้นไม่ใช่ใคร แต่เป็นตัวซือหม่ากวงในวัยเด็กนั่นเอง

ในอีกฉากหนึ่ง อาห่าวถามแฟนสาวว่าอะไรคือสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดในโลก ก่อนที่เขาจะตอบคำถามของตัวเองว่า “สิ่งที่ยุติธรรมที่สุดในโลกคือดวงอาทิตย์ ไม่ว่าจะอยู่ละติจูดไหน ทุกพื้นที่บนโลก ตลอดทั้งปี ก็มีกลางวันและกลางคืนอย่างเท่าเทียมกัน” ประโยคดังกล่าวกลายเป็นกุญแจไขปริศนาชีวิตของอาห่าว เมื่อต่อมาเราได้รู้ว่าเขาเปรียบตัวเองเสมือนดวงอาทิตย์ ความว้าเหว่เดียวดายของดวงอาทิตย์ที่ต้องส่องแสงเพื่อคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทุกคนได้รับแสงสว่างและไออุ่นจนกลายเป็นความเคยชินว่าถึงอย่างไรดวงอาทิตย์ก็จะต้องส่องแสงอยู่เสมอ แต่น้อยคนที่จะตระหนักถึงการดำรงอยู่ของดวงอาทิตย์ ทุกคนหาร่มเงาใต้ดวงอาทิตย์ได้ แต่ทว่าดวงอาทิตย์กลับไม่สามารถหลบอยู่ใต้ร่มเงาของตัวเองได้

เขาเปรียบตัวเองเสมือนดวงอาทิตย์ ความว้าเหว่เดียวดายของดวงอาทิตย์ที่ต้องส่องแสงเพื่อคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทุกคนได้รับแสงสว่างและไออุ่นจนกลายเป็นความเคยชินว่าถึงอย่างไรดวงอาทิตย์ก็จะต้องส่องแสงอยู่เสมอ แต่น้อยคนที่จะตระหนักถึงการดำรงอยู่ของดวงอาทิตย์

เช่นนั้นเองคือวิธีที่ชะตากรรมเล่นตลก กลายเป็นว่าลูกชายสองคนต่างก็ถูกโดดเดี่ยวไปคนละทาง อาเหอถูกตัดหางปล่อยวัดเพราะความเกเรและไม่เอาถ่าน ในขณะที่อาห่าวก็ถูกปิดผนึกไว้ให้อยู่ในความสมบูรณ์แบบของการเป็น “ลูกที่ดี” ทั้งอาเหอและอาห่าวต่างถูกกดดันจากภาพสะท้อนเปรียบเทียบที่ตนมีต่ออีกฝ่าย อาเหอน้อยเนื้อต่ำใจว่าเขาไม่สามารถเป็นลูกที่ดีและสมบูรณ์แบบเท่าพี่ชายได้ ส่วนอาห่าวก็กลายเป็นความกดดันว่าเขาต้องทำตัวเป็นลูกที่ดีตลอดเวลาให้สมกับที่เป็นความหวังและความภูมิใจของพ่อแม่ ในแง่นี้ หนังจึงย้อนกลับมาตั้งคำถามกับความเป็นพ่อแม่ด้วยว่า ไม่ใช่แค่ “ลูกชายที่มีปัญหา” เท่านั้นที่มีปัญหา แต่ลูกชายที่ดูเหมือนไม่มีปัญหาก็อาจมีปัญหาของตัวเองเช่นกัน สำหรับอาเหอ ปัญหาของเขาถูกบดบังจากการต้องรับบทเป็นดวงตะวันของครอบครัว เป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีใครรู้ว่าดวงตะวันมีปัญหาอะไร จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อดวงตะวันนั้น “ดับแสง” ลงไปแล้วตลอดกาล

ชีวิตของอาเหอในสถานพินิจไม่ได้ราบรื่นนัก ช่วงแรกเขามีเรื่องชกต่อยกับบรรดาแก๊งขาใหญ่ที่ “รับน้อง” และกลั่นแกล้งเขาด้วยวิธีต่างๆ แต่หลังจากปรับตัวกับสภาพชีวิตใหม่ได้แล้ว หนังก็ค่อยๆ ปอกเปลือกตัวตนของอาเหอออกมาให้เห็นว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ใช่คนเลวร้ายและไร้หัวคิด ทั้งยังสามารถรับมือกับความขัดแย้งและคมเขี้ยวของชีวิตได้อย่างน่าชื่นชม (เผลอๆ อาจจะรับมือได้ดีกว่าอาห่าวด้วยซ้ำ) เขารู้จักผูกมิตรและต่อรองอำนาจกับแก๊งขาใหญ่ในห้องขังเดียวกันจนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษลงเรื่อยๆ จนแค่ปีครึ่งก็ได้พ้นโทษออกมา

ในช่วงที่อาเหออยู่ในสถานพินิจ จู่ๆ วันหนึ่งก็มีผู้หญิงคนหนึ่งพาลูกสาวของเธอมาที่บ้านของอาเหอ ผู้หญิงคนนั้นบอกแม่อาเหอว่าลูกสาวของเธอท้องกับอาเหอ พ่อของอาเหอเดือดดาลและไม่ยอมรับรู้เรื่องนี้ มีเพียงผู้เป็นแม่เท่านั้นที่รับเธอเข้ามาอยู่ในบ้าน ดูแลลูกสะใภ้แทนลูกชายของเธอที่ถูกขังอยู่ ราวกับว่านี่เป็นเรื่องระหว่าง “ผู้หญิง” ด้วยกันที่ “ผู้ชาย” อย่างพ่อของอาเหอไม่มีทางเข้าใจ พ่ออาจตัดหางปล่อยวัดอาเหอได้ แต่กับเด็กสาวที่อุ้มท้องมานั้นเป็นอีกเรื่อง มันเป็นเรื่องของ “แม่” ที่ “พ่อ” ไม่มีสิทธิ์เข้ามาตัดสินได้ ทว่าน่าสนใจอย่างยิ่งว่าคนที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในเรื่องนี้ได้คืออาห่าว วันหนึ่งอาห่าวต้องรับอาสาพาเด็กสาวไปฝากครรภ์ หลังจากนั้นเขาแอบพาเธอไปเยี่ยมอาเหออย่างลับๆ อาเหอจึงได้รู้ในตอนนั้นเองว่าตัวเองกำลังจะได้เป็นพ่อคน

ฉากการพบกันระหว่างอาเหอกับอาห่าวในห้องเยี่ยมผู้ต้องขังทำให้เราได้เห็นตัวตนและความสัมพันธ์ของสองพี่น้องชัดขึ้น ภายใต้บทสนทนาห่างเหินและท่าทีที่ดูเหมือนไม่ลงรอยกัน กลับปรากฏสายใยบางๆ ทว่าเหนียวแน่นที่ทำให้เรามองเห็นว่าสองพี่น้องเกาะเกี่ยวตัวตนกันด้วยความรู้สึกเช่นไร เราอาจไม่รู้ว่าอาเหอเกลียดอาห่าวหรือไม่ ไม่รู้ว่าอาห่าวรู้สึกต่อน้องชายอย่างไร สิ่งเหล่านั้นกลับไร้ความสำคัญและเทียบไม่ได้กับการที่วันนี้เวลานี้อาห่าวได้มาอยู่ตรงนี้ มาบอกข่าวสำคัญว่าน้องชายกำลังจะได้เป็นพ่อคน ประหนึ่งว่าทั้งคู่ได้ก้าวเดินออกจากเขาวงกตของความสัมพันธ์เชิงการเปรียบเทียบที่ผู้เป็นพ่อสร้างขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ชุดใหม่ต่อกันโดยมีน้องสะใภ้และหลานในท้องเป็นสายใยเชื่อมโยง

https://www.youtube.com/watch?v=LBogLcE2wNQ

ในระหว่างที่ทุกอย่างกำลังจะคลี่คลายไปได้ด้วยดี มรสุมลูกใหญ่ก็พัดเข้ามาอีกครั้ง ความตายของอาห่าวกลายเป็นเรื่องช็อกทั้งสำหรับตัวละครในเรื่องและผู้ชมอย่างเรา ไม่มีการบอกใบ้ถึงต้นสายปลายเหตุ จู่ๆ มันก็เกิดขึ้นในคืนธรรมดาคืนหนึ่ง มิหนำซ้ำหนังยังเลือกทางเดินที่ท้าทายอย่างยิ่งด้วยการไม่อธิบายใดๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้ทั้งตัวละครและผู้ชมอย่างเรางุนงงอยู่ปริศนาที่เกิดขึ้น ยากจะชี้ชัดลงไปได้ว่าความตายนั้นเป็นการฆ่าตัวตายหรือเป็นอุบัติเหตุ ชีวิตของเขาเข้าถึงได้ยากพอๆ กับความตายของเขา มันเป็นความตายที่สะอาดหมดจด เขาพับผ้าผ่อนไว้อย่างเป็นระเบียบ ลบข้อมูลในมือถือออกจนเกลี้ยง ราวกับว่าความตายคือขั้นตอนสุดท้ายของการลบตัวตน ตัวตนที่ยากจะเข้าถึงอยู่แล้วนั้นจึงกลายเป็นตัวตนที่ไม่มีใครเข้าถึงได้ตลอดกาล

ในช่วงท้ายๆ ของเรื่อง มีฉากที่น่าจดจำอยู่ฉากหนึ่งคือ ฉากที่อาเหอ (ซึ่งพ้นโทษมาหลายปีแล้ว) กำลังช่วยแม่เก็บกวาดทำความสะอาดห้องนอนของอาห่าว อาเหอพบว่าสมุดไดอารี่ที่พ่อให้เป็นของขวัญพิเศษแก่อาห่าวคนเดียวทุกปี นับจำนวนได้เป็นสิบกว่าเล่มนั้น หน้ากระดาษของทุกเล่มล้วนว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยการขีดเขียนใดๆ เลย ชีวิตของอาห่าวจึงประหนึ่งดวงตะวัน ดวงตะวันไม่สื่อสารหรือขีดเขียนสิ่งใดนอกเสียจากสาดแสงของมันลงมา เราไม่อาจอ่านภาษาของดวงตะวันได้จากรอยหยาบกร้านบนผิวหนังหรือชีวิต แต่เราสามารถอ่านชีวิตได้จากร่องรอยหยาบกร้านที่ดวงตะวันทิ้งร่องรอยไว้ให้

เห็นได้ชัดว่าหนังเล่นล้อความหมายของคำว่า son (ลูกชาย) กับ sun (ดวงตะวัน) อาห่าวคือดวงตะวันที่ใกล้จะลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายจึงทั้งงดงามและเศร้าสร้อย ความตายของอาห่าวจัดวางความสัมพันธ์ในครอบครัวขึ้นมาใหม่ อาเหอจึงค่อยๆ มีตัวตนขึ้นมา ราวกับดวงตะวันของวันใหม่ที่ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าในยามรุ่งอรุณ


ชม A Sun ได้ที่ Netflix

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here