Home Review Film Review SUK SUK ชีวิตคือความไม่สมหวัง

SUK SUK ชีวิตคือความไม่สมหวัง

0
SUK SUK ชีวิตคือความไม่สมหวัง

มันราวกับว่าคุณขับแท็กซี่มาตลอดชีวิต เช้าวันนั้นคุณเปิดฝากระโปรงรถ หยิบผ้าขี้ริ้ว และน้ำยาทำความสะอาดมาเช็ดรถ กระจกต้องเช็ดด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ตรงขอบยางต้องขัดถู รถสีแดงขาวของคุณสะอาดเอี่ยมเหมือนกับชีวิตเรียบง่ายของคุณ ภรรยาที่แก่เฒ่าไปพร้อมกัน ลูกชายคนโตที่แต่งงานมีหลานไปแล้ว และลูกสาวคนเล็กก็กำลังจะแต่งงานแม้ว่าไอ้หนุ่มลูกเขยดูจะไม่เป็นโล้เป็นพายเท่าไร มันอาจไม่ใช่ชีวิตที่หรูหราแต่ก็ถือว่าที่ผ่านมาคุณทำได้ไม่เลวนัก เพียงแต่ว่าในยามว่างคุณมักแวะไปตามห้องน้ำชาย เข้าไปยืนฉี่ข้างๆ คนหนุ่มแปลกหน้า ส่งสายตาให้เขา หากถูกปฏิเสธ คุณก็อาจจะวนเวียนอยู่แถวนั้น อ้อยอิ่งสักเล็กน้อยก่อนกลับบ้านไปอ่านหนังสือพิมพ์ระหว่างรอข้าวเย็น

คุณเกษียณแล้ว ภรรยาก็เลิกรากันไปเนิ่นนาน คุณเลี้ยงลูกชายของคุณมาได้โดยลำพัง ถึงตอนนี้คุณก็อาศัยอยู่กับเขาที่กลายเป็นคริสเตียน แต่งงานและมีลูกสาวของตัวเอง คุณเป็นคุณเป็นคุณปู่ที่ใจดีเกินไปกับหลานสาว ในยามว่างคุณเข้ารวมกับกลุ่มเพื่อนเกย์ชรา เพื่อรวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐจัดสร้างบ้านพักคนชราสำหรับคนรักร่วมเพศผู้อึดอัดใจที่เมื่อแก่ตัวลงอาจจะต้องไปอยู่บ้านพักคนชราร่วมกับคนรักต่างเพศ บางทีคุณก็คอยดูแลเพื่อนเกย์ของคุณที่แก่ตัวและป่วยไข้ไปโดยลำพัง แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ลูกชายของคุณไม่รู้เรื่อง

พวกคุณพบกันในบ่ายวันหนึ่ง คุณแกร่วอยู่แถวห้องน้ำชายในสวนสาธารณะ คุณนั่งอยู่บนม้านั่ง พวกคุณทักทายกัน คุณถามคุณว่าเข้าไปในนั้นกันไหม และคุณตอบว่าเราเป็นเพื่อนกันก่อนดีกว่า ไม่นานจากนั้นพวกคุณก็เป็นเพื่อนกัน ใช้จ่ายเวลาไปด้วยกันชั่วครั้งชั่วคราวในห้องคับแคบที่ฟูกนอนปูกับพื้น หากมีแต่ภายในห้องสกปรกปิดทึบที่แสงแดดแทบส่องไม่ถึง ที่ที่คุณต้องจ่ายค่าเช่าช่วงเวลาที่รอดพ้นจากการถูกมองเห็น มีแต่สถานที่ลับตาเช่นนั้นเท่านั้นที่คุณและคุณและคนอื่นๆ ที่เหมือนคุณจะได้เป็นตัวเองบ้าง

มองผ่านๆ เราอาจบอกว่า Suk Suk เป็นหนังที่เล่าเรื่องรักของเกย์วัยดึกสองคนที่พบกันในวันที่สายเกินไป เราอาจคาดเดาถึงเรื่องรักหัวใจสลาย การค้นพบตัวเองและการแตกหักกับครอบครัว หรือการพลัดพรากจากกันที่เจ็บปวด แต่สำหรับ Suk Suk ดูเหมือนสิ่งที่ทำให้ใจสลายไม่ใช่การพลัดพรากจากคนรักเพราะสังคม แต่คือมวลทั้งหมดของชีวิตต่างหาก

มองผ่านๆ เราอาจบอกว่า Suk Suk เป็นหนังที่เล่าเรื่องรักของเกย์วัยดึกสองคนที่พบกันในวันที่สายเกินไป เราอาจคาดเดาถึงเรื่องรักหัวใจสลาย การค้นพบตัวเองและการแตกหักกับครอบครัว หรือการพลัดพรากจากกันที่เจ็บปวด แต่สำหรับ Suk Suk ดูเหมือนสิ่งที่ทำให้ใจสลายไม่ใช่การพลัดพรากจากคนรักเพราะสังคม แต่คือมวลทั้งหมดของชีวิตต่างหาก

หนังเล่าเรื่องเรียบง่าย ลดทอนโอกาสที่จะสร้างฉากดราม่าสะเทือนใจ หนังตัดเอาอารมณ์ฉาบฉวยล้นเกินทั้งความรัก ความกลัว ความสูญเสียหรือแม้แต่น้ำตาออกไปจนหมด มันคือความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่สองคนที่ต่างเข้าใจถึงที่ทางของตัวเองในโลก

ปักและฮอยเป็นเพียงชายเฒ่าสองคนที่ผ่านพบ ผูกพันและพลัดพรากกันไปอย่างเงียบเชียบ จนดูเหมือนความเงียบคือการเปล่งเสียงของชีวิตอันไม่สมประสงค์

หนังไม่ได้พูดเรื่องการเพิ่งตื่นรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอย่างที่สังคมอยากให้เป็นแบบใน Call Me By Your Name ซ้ำยังไม่ได้พูดเรื่องโศกนาฏกรรมจากการต้องหลบซ่อนชีวิตอีกด้าน ตีสองหน้าใส่สังคม และหวาดผวาว่าชีวิตจะถูกเปิดเผยแบบใน Brokeback Mountain หากนี่คือชีวิตที่ผ่านทุกอย่างที่ว่าไปแล้ว การมาเจอกันของพวกเขาเป็นสิ่งที่รู้กันอยู่แก่ใจ ว่ามีขอบเขตอยู่ตรงไหน และไม่มีใครพร้อมจะเสี่ยงทั้งนั้น

หนังไม่ได้พูดเรื่องการเพิ่งตื่นรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอย่างที่สังคมอยากให้เป็นแบบใน Call Me By Your Name ซ้ำยังไม่ได้พูดเรื่องโศกนาฏกรรมจากการต้องหลบซ่อนชีวิตอีกด้าน ตีสองหน้าใส่สังคม และหวาดผวาว่าชีวิตจะถูกเปิดเผยแบบใน Brokeback Mountain หากนี่คือชีวิตที่ผ่านทุกอย่างที่ว่าไปแล้ว การมาเจอกันของพวกเขาเป็นสิ่งที่รู้กันอยู่แก่ใจ ว่ามีขอบเขตอยู่ตรงไหน และไม่มีใครพร้อมจะเสี่ยงทั้งนั้น

จุดสูงสุดของความเสี่ยงจึงคือ การที่ฮอยเชื้อเชิญปักมาที่บ้านในสุดสัปดาห์ที่ลูกชายไม่อยู่บ้าน ปักบอกภรรยาว่าเขาจะไปเสิ่นเจิ้น ทั้งคู่ใช้จ่ายโมงยามร่วมกันด้วยการไปตลาด ทำครัว กินข้าว และนั่งดูทีวี ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเรียบง่ายเพียงเท่านั้น ในขณะที่ชีวิตจริง ปักไม่ได้ชอบอาหารที่ภรรยาหรือลูกทำ ฮอยก็ถูกลูกชายบังคับให้กินอาหารเพื่อสุขภาพ ชีวิตของพวกเขาผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยไม่ได้ใช้ชีวิต

ชีวิตของปักและฮอย ตัวเอกในหนังเรื่องนี้ เป็นภาพแทนของคนหนุ่มจำนวนมากในฮ่องกงและในเอเชีย คนรุ่นที่เติบโตมาในยุคที่การเป็นรักร่วมเพศเป็นเรื่องผิดบาป ถูกกดทับด้วยระบบคิดแบบขงจื๊อที่เชื่อมั่นในหน่วยย่อยที่สุดอย่างครอบครัว บีบคั้นให้ผู้ชายต้องเป็นผู้ชาย ผู้หญิงต้องเป็นผู้หญิง ผู้ชายคู่กับผู้หญิง และจงเร่งสืบพันธุ์สร้างบุตรหลานไวๆ จะให้ดีต้องเป็นลูกชายจะได้สืบทอดสายเลือดต่อไป พวกเขาบางคนอาจว่ายน้ำหนีปฏิวัติวัฒนธรรมมาจากแผ่นดินใหญ่ มาเผชิญโชคในฮ่องกง สังคมทุนนิยมที่ระบบคิดขงจื๊อยังคงแผ่ลาม ในตอนที่ยังหนุ่มพวกเขาถูกบังคับให้ต้องสร้างเนื้อสร้างตัว ‘สร้างครอบครัว’ พวกเขาคือผู้คนรุ่นที่ไม่ได้มีชีวิตเพื่อตัวของพวกเขาเอง แต่เพื่อธำรงไว้ซึ่งสายตระกูล สังคมที่ตนสังกัด ชีวิตเป็นของทุกคนไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งผู้เป็นเจ้าของชีวิต

พวกเขาจึงแต่งงานกับคนที่เหมาะสมไม่ใช่คนที่รัก ทำงานหนักเพื่อให้ครอบครัวมั่นคง วางความฝันของตนลง เขาเติบโตแก่เฒ่าและลงมือเคี่ยวเข็ญบุตรหลานของตนให้ดำเนินชีวิตไปในแบบเดียวกัน

จนเมื่อพวกลูกๆ ของพวกเขาเติบโต มีครอบครัว ไปจากบ้าน จนเมื่อพวกเขาแก่เฒ่าเกษียณอายุ จนเมื่อพวกเขาเป็นเพียงอากงอาม่าที่ไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เดินไปข้างหน้าอีก การเกษียณโดยเฉพาะกับปักคือหมุดหมายของความหมดประโยชน์ต่อสังคม เป็นพ่อแม่แก่เฒ่าที่ลูกหลานต้องดูแล

ในฉากเล็กๆ ฉากหนึ่ง เมื่อรู้ว่าพ่อตัดสินใจเลิกขับแท็กซี่ (ไม่ใช่ด้วยความเต็มใจ แต่เพื่อแก้ไขปัญหาบางอย่าง) ลูกชายของเขาเอาเงินใส่ซองฝากแม่ไว้ให้ เขาโทรกลับไปหาลูกชาย โกรธเล็กน้อยที่ลูกทำแบบนี้ การรับเงินจากลูกเป็นเครื่องหมายฉายชัดว่าหลังจากนี้เขาไม่ได้เป็นตัวเขาเองอีกแล้ว เขาถูกไล่ออกนอกสนาม ไม่ได้เป็นทีมเดียวกับลูกๆ  ถูกกีดกันจากสังคมที่เขาอุทิศตัวให้ กลายเป็นแค่ชายชราไร้ค่าที่อยู่ไปวันๆ เพื่อรอให้ความฝันใดๆ จืดจางลง รอให้ชีวิตจืดจางลง และตายจากไปในรูปแบบของการหมดทุกข์หมดโศกกันเสียที

การเกษียณอายุถูกล่อลวงด้วยคำจำพวก “การออกจากงานอันน่าเหนื่อยหน่ายไปทำสิ่งที่ตัวเองรักชอบ” แต่พอถึงจุดนั้นก็ไม่เหลือสิ่งที่รักชอบใดให้ทำอีกแล้ว ร่างกายอ่อนล้า ไฟฝันมอดดับ ซ้ำการทำเพื่อตัวเองก็ยังมีข้อแม้เล็กๆ น้อยๆ ว่ามันต้องไม่ขัดแย้งกับสถานะทางสังคมของลูกๆ พวกเขาเสียสละตัวเองเพื่อลูกในตอนที่ยังเป็นเจ้าชีวิตของลูก เมื่อลูกๆ มีลูกเป็นของตัวเอง พวกเขายังคงต้องเสียสละตัวเพื่อให้ลูกๆ ได้คงสถานะที่พวกเขาคงอยู่สืบมา ทั้งหมดจึงเป็นเพียงคำลวงโกหก ชีวิตไม่ใช่และไม่เคยเป็นความสมหวัง หนังจึงไม่ได้พูดเพียงเรื่องของเกย์แก่ หรือความเป็นเกย์ในสังคมปฏิเสธเกย์ แต่ยังพูดถึงความแก่โดยตัวของมันเอง เราอาจเปลี่ยนเรื่องเป็นพ่อหรือแม่ที่นึกอยากแต่งงานใหม่ในวัยเกษียณและถูกลูกหลานขัดขวางก็ย่อมได้ 

ทั้งหมดจึงเป็นเพียงคำลวงโกหก ชีวิตไม่ใช่และไม่เคยเป็นความสมหวัง หนังจึงไม่ได้พูดเพียงเรื่องของเกย์แก่ หรือความเป็นเกย์ในสังคมปฏิเสธเกย์ แต่ยังพูดถึงความแก่โดยตัวของมันเอง

หนังเล่าลามไปยังเรื่องของเกย์แก่ที่ต้องอยู่อาศัยเพียงลำพัง ป่วยไข้ ร่างกายถดถอย ประเด็นหนึ่งที่หนังยกขึ้นมาคือการสร้างบ้านพักคนชราสำหรับคนแก่ เมื่อคุณยังเป็นหนุ่มคุณแปลกแยกนั่นอาจเป็นปัญหา แต่คุณจัดการได้ไม่ยากนัก แต่เมื่อคุณแก่แล้วคุณก็ยังแปลกแยก เมื่อสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ไม่ใช่แค่เพียงขี้ปากชาวบ้าน แต่ยังรวมถึงร่างกายของคุณเองด้วยนั้นชีวิตย่อมไม่ง่ายนัก หนังพูดถึงการสร้างบ้านพักคนชราสำหรับรักร่วมเพศในฐานะความช่วยเหลือที่รัฐควรมอบให้อย่างเท่าเทียม เพราะมันดูจะเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับผู้คนที่ปกปิดตัวเองมาทั้งชีวิต “จนกระทั่งภรรยาก็ตายจากไป พ่อแม่ของเราก็ตายจากไป เราเหลืออยู่เพียงผู้เดียว ก็ขอให้เราได้เป็นตัวของตัวเองด้วยเถอะ”

การเป็นตัวเองของปัก ฮอยและเกย์คนอื่นๆ ถูกเล่าออกมาอย่างดงามมากๆ ในฉากเล็กๆ ในซาวน่าที่ปักและฮอยใช้เป็นหลุมหลบภัยชั่วคราว หลังจากอยู่ด้วยกันในห้อง พวกเขาออกไปกินข้าวกับคนอื่นๆ ในสถานบริการที่มืด แคบ สกปรกและผิดกฎหมาย กลายเป็นสถานที่เรื่อเรืองสว่างไสวบนโต๊ะกินข้าวรวม ที่ผู้คนเปลือยท่อนบนกินข้าวร่วมกัน ถามไถ่ทุกข์สุขพูดคุยหาเพื่อน หยอกล้อเล่นกัน มองหาสัตว์โลกที่เหมือนกันกับตน ที่ซึ่งข้างนอกไม่ใช่ที่ปลอดภัยที่จะเปิดเผยตัว

หากการเปิดเผยตัวเองไม่ใช่ประเด็นของหนังอีกต่อไป หนังมีฉากชวนเจ็บปวดมากมายว่า อันที่จริงบรรดาครอบครัวของคนทั้งคู่ก็ต่างรู้กันอยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร แต่ตราบใดที่ไม่มีการประกาศออกมา ตราบใดก็ตามที่พวกเขาไม่ล้ำเส้น ก็จะไม่มีใครทำอะไรทั้งสิ้น สังคมดำเนินไปได้ด้วยการไม่ยอมรับ การหลบซ่อน และการหลับตาข้างหนึ่ง เพื่อธำรงสิ่งลวงตาอย่างครอบครัวเอาไว้ การเสียสละตนจึงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแต่ในตัวของพวกเขา หากยังรวมไปจนถึงเมียและลูกของพวกเขาด้วย มันคือสิ่งที่เจือส่วนหนึ่งด้วยความทุกข์ระทม ส่วนหนึ่งของความเห็นแก่ตัวเห็นแก่สถานะทางสังคมของตน และอีกส่วนหนึ่งคือความเห็นอกเห็นใจในกันและกัน

ในฉากหนึ่ง ปักชวนฮอยมางานแต่งของลูกสาว ทุกครั้งที่กล้องจับไปยังสีหน้าของภรรยาของปัก หนังได้บอกเป็นนัยๆ แล้วว่าเธอรู้อยู่เต็มอกว่าสามีของเธอเป็นคนอย่างไร และเพื่อนเก่าของเขาคนนี้มีความพิเศษอย่างไร น่าเสียดายที่ดูเหมือนหนังวางเธอในสถานะตัวละครที่ถูกปิดกั้นที่สุด ผู้ชมได้ ‘มองดู’ ความทุกข์ของเธอผ่านทางอากัปกิริยา การแสดงสีหน้าเพียงเล็กน้อย แต่เราไม่อาจเข้าถึงเธอ เราไม่อาจรู้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน ไฝ่ฝันและเสียสละอะไรบ้างเพื่อธำรงไว้ซึ่งครอบครัวแสนสุขสามัญครอบครัวหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หนังฉายให้เห็นว่าปักรักเธอมาก และเขาแทบจะเป็นเพื่อนชีวิตคนเดียวที่เธอมี ถ้าต้องเลือกเขาก็คงเลือกภรรยา มันเป็นความสัมพันธ์ที่ฮอยได้เห็นด้วยตาตนเอง ตระหนักรู้ว่าถึงอย่างไรชาตินี้เขาก็คงเข้าไปแทนที่ไม่ได้ เขาจึงพยายามมอบไม้กางเขนให้ปักในฐานะตัวแทนของการขอโอกาสพบกันอีกครั้งในโลกหลังความตาย

น่าเสียดายที่ดูเหมือนหนังวางเธอในสถานะตัวละครที่ถูกปิดกั้นที่สุด ผู้ชมได้ ‘มองดู’ ความทุกข์ของเธอผ่านทางอากัปกิริยา การแสดงสีหน้าเพียงเล็กน้อย แต่เราไม่อาจเข้าถึงเธอ เราไม่อาจรู้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน ไฝ่ฝันและเสียสละอะไรบ้างเพื่อธำรงไว้ซึ่งครอบครัวแสนสุขสามัญครอบครัวหนึ่ง

สำหรับฮอยก็เช่นกัน แม้จะร่วมต่อสู้มา แต่สุดท้ายเขาปฏิเสธการไปบ้านพักคนชราเช่นนั้นหากว่ามันเกิดขึ้นจริง เพราะเขาไม่ต้องการให้กระทบถึงลูกชาย เขาเอารูปเก่าของเพื่อนชายที่เก็บไว้กับตัวมานานแสนนานไปทิ้ง ลบเลือนทุกอย่างเผื่อว่าตายไปจะได้ไม่มีใครรู้ ฝังความทรงจำไว้แต่เพียงกับตัวเอง ในช่วงท้ายของหนังที่ฮอยแอบฟังสปีชของเพื่อนที่ยอมก้าวออกไปพูดเรื่องความทุกข์ยากของเกย์ในฮ่องกง หนังฉายให้เห็นภาพของลูกชายที่อาจจะรู้เรื่องพ่อของตนอยู่ก่อนแล้ว หากเขาไม่ต้องการยอมรับ ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากให้พ่อพูดมันออกมา เขาจึงบอกให้พ่อเบาเสียงมันลงแทนที่จะถามไถ่อื่นใด

Suk Suk จึงเป็นหนังปิดเผยภาพความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่ซับซ้อนจนไม่สามารถอธิบายได้แค่ว่านี่เป็นเรื่องของเกย์เฒ่าที่แอบคบชู้นอกใจเมีย แต่คือความสัมพันธ์อันซับซ้อนและไม่อาจอธิบาย กำหนด บังคับบีบคั้น หรือจัดกลุ่มได้ง่าย มนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มคำ แต่เป็นความหลากหลายที่การพยายามนิยามตายตัวก็เป็นได้เพียงการกำเม็ดทรายไว้ในมือเท่านั้น

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here