เมื่อสองปีที่แล้วผมมีโอกาสได้พาทีมงานรายการ Entertainment Now ไปสัมภาษณ์ผกก. นันดิตา ดัส ที่เทศกาลหนังปูซาน เสียดายที่วันนั้นเราไปถึงเทศกาลไม่ทันได้ดู Manto หนังของเธอที่ฉายในเทศกาล แต่เราได้ดู In Defence of Freedom หนังสั้นที่เป็นปฐมบทของ Manto เลยพอจะจับต้นชนปลายได้ว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับ ซาดัส ฮาซัน มันโต นักเขียนชาวอินเดีย-ปากีสถาน ที่ผลงานของเขาท้าทายศีลธรรมทางสังคมโดยเฉพาะในช่วงปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ
หลังจากถอดไวร์เลสเมื่อถ่ายรายการเสร็จเราต่างคุยกันนอกรอบด้วยเรื่องสัพเพเหระก่อนที่เธอจะถามว่าเราแฮปปี้มั้ยที่เมืองไทย? ดัสคงสังเกตจากอวัจนภาษาของผมได้เธอเลยแนะนำว่า “ถ้าคุณคับข้องใจอะไรก็พูดออกไปเถอะ มันเป็นหน้าที่ของคุณ”
ผมเพิ่งมาเจอว่า Manto มีให้ดูใน Netflix แล้ว ระหว่างดูก็นึกถึงสิ่งที่ดัสพูดในวันนั้นอยู่ตลอด ผ่านชีวิตของมันโต นักเขียนที่แหวกขนบสุดเคร่งของอินเดียมาเล่าเรื่องค้าประเวณีเด็ก เซ็กซ์ ผู้หญิง และความฉาวอีกมากมาย ขณะที่เขาเองยังมีบทบาทอยู่ในอุตสาหกรรมหนังบอลลีวูดด้วย มันโตจึงเป็นศิลปินที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งจากคนอ่าน โปรดิวเซอร์ ดารา แต่ความแปลกแยกคือเขาเป็นมุสลิม
ความเป็นมุสลิมของมันโตไม่ใช่เรื่องเล็กในตอนนั้น เพราะหลังอินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ ก็เกิดการแบ่งแยกดินแดนโดยชาวฮินดูร่วมกันผลักดันมุสลิมไปอยู่ในเขตปากีสถาน ซึ่งแม้มันโตจะเป็นปัญญาชนในอินเดียแค่ไหน แต่สุดท้ายเขาก็ต้องอพยพไปอยู่ในฝั่งปากีสถานตามครอบครัวอยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่า ณ สังคมมุสลิมอันเคร่งครัดในนั้น งานเขียนของมันโตไม่ใช่สิ่งที่คนจะรับได้จนเขาถูกดำเนินคดีข้อหาอนาจารในที่สุด แต่เขาก็สู้สุดใจเพราะ “มันเป็นสิ่งที่เขาต้องพูด”
ชีวิตของมันโตกลายเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศสำหรับการทำเป็นหนัง เพราะเขาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งตลอดเวลา ความรุ่งโรจน์ของเขาเกิดขึ้นในช่วงที่สังคมอินเดียเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ความผิดที่ผิดทางในอุตสาหกรรมหนัง มิตรภาพระหว่างคนเบื้องหลังอย่างเขาเองกับดาราดัง ไชอาม ชัดด้า จนกระทั่งย้ายไปเป็นสิ่งแปลกปลอมในปากีสถาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันยืนอยู่บนฐานของการต่อสู้เพื่อได้ “พูด” ในสิ่งที่มันโตคิดว่าสมควรได้รับการชำระจากสังคม
หนังให้น้ำหนักกับความเป็นมนุษย์ผู้อยู่ผิดที่ผิดเวลาของมันโตมากกวา การเป็นคนอื่นในสังคมสุดขอบนั้นยากลำบากแค่ไหน เราจะเห็นมันโตที่เถรตรงในการพูดต่อสาธารณะต้อง “ปลอม” เพื่อเอาตัวรอด และการต้องอยู่ท่ามกลางกับคนเห็นต่างนั้นต้องวางตัวอย่างไร
ข้อมูลที่เราให้ไปข้างต้นเป็นแค่สิ่งที่ควรรู้ไว้เป็นพื้นหลังเท่านั้น อันที่จริงหนังให้น้ำหนักกับความเป็นมนุษย์ผู้อยู่ผิดที่ผิดเวลาของมันโตมากกวา การเป็นคนอื่นในสังคมสุดขอบนั้นยากลำบากแค่ไหน เราจะเห็นมันโตที่เถรตรงในการพูดต่อสาธารณะต้อง “ปลอม” เพื่อเอาตัวรอด และการต้องอยู่ท่ามกลางกับคนเห็นต่างนั้นต้องวางตัวอย่างไร
“คุณลุกขึ้นมาฆ่าผมได้เลยนะ” มันโตพูดกับไชอาม ดาราดังเพื่อนรักที่เป็นฮินดูซึ่งกำลังโกรธแค้นมุสลิม เมื่อรู้ว่าญาติชาวฮินดูของเขากำลังถูกโจมตีจากกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในปากีสถาน “ใช่ ผมลุกขึ้นมาฆ่าคุณได้เลย” ไชอามตอบ
เชื่อว่าเราต่างคงเคยผ่านประสบการณ์ที่ความเชื่อและอุดมการณ์อันต่างกัน สั่นคลอนมิตรภาพอันยาวนานกันมาแล้วไม่มากก็น้อย ส่วนหนึ่งมันคือบททดสอบการเรียนรู้ความหลากหลายในสังคม แต่อีกด้านหนึ่งมันก็มักเป็นแรงผลักดันสำคัญของใครหลายคนให้ไปสู่ความสุดขั้วทางความคิด
สำหรับมันโตมันทำให้เขาได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล แต่ที่มากกว่านั้น คือมันสามารถเปลี่ยนโลกได้อีกด้วย
…ทุกการขยับของโลกรอบข้างในชีวิตมันโตไม่ว่าจะก้าวไปข้างหน้าหรือล้าจนถอยหลัง ทว่าในฐานะผู้เล่าเรื่อง ดัสพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย มันก็เป็นผลพวงจากการยืนยันที่มันโตจะ “พูดมันออกมา”
คลิกเพื่อรับชม : In Defence of Freedom และ Manto