- บทความชิ้นนี้เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์
อะไรทำให้ชีวิตมนุษย์มีความหมาย?
สำหรับชายคนหนึ่ง มันอาจเป็นงานที่ดี ผู้หญิงที่รักสักคน การได้ทำตัวเป็นประโยชน์ หรือการมีชื่อเสียง
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ สจ๊วต ลอง ใฝ่ฝันถึงมาตลอด เขาเป็นนักมวยมือสมัครเล่นที่มอนตานามาสักพักแล้วและมีสถิติค่อนข้างดี ลองตั้งใจจะอยู่ในสายอาชีพนักมวยจนได้เทิร์นโปรทั้งที่อายุเขาก็มากแล้ว แม่ของเขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่สามารถห้ามได้ จนกระทั่งวันหนึ่งการติดเชื้อที่ขากรรไกรทำให้เส้นทางอาชีพของเขาจบลงจริง ๆ
ลองไม่ยอมแพ้ ยังคงอยากไขว่คว้าชื่อเสียงและการเป็นที่ยอมรับอยู่ เขาเดินหน้าไปแอลเอเพื่อจะเป็นนักแสดงและสมัครทำงานตามร้านขายของชำ วันหนึ่งเขาได้พบสาวเม็กซิกันที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น เขาสืบจนรู้ว่าเธอเป็นคาทอลิกที่เคร่งศาสนามากและไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ เขาจึงไปดักพบเธอที่นั่น
เรื่องราวความใฝ่ฝันของลองเป็นไปอย่างรวดเร็ว เขาได้เรียนรู้มาจากสังเวียนที่จะมองหาความเปราะบางในแววตาของคู่ต่อสู้ และเขาก็ใช้มันกับสาวคนนั้นด้วย ชื่อของเธอคือคาร์เมน และเธอจะไม่ยอมเดตคนที่ยังไม่ได้รับศีลในฐานะคริสตชน คนที่ไม่ศรัทธาพระเจ้าอย่างลองจึงเข้ารับพิธีเพื่อเอาใจสาวสวยโดยหารู้ไม่ว่า การเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดกาล
ในแง่หนึ่ง Father Stu แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเป็นผู้ชายผิวขาวมีความหมายว่าอย่างไร มันคือการเดินไปข้างหน้าเพื่อหนีเงามืดของตัวเองอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่มีวันหนีพ้น บนสังเวียน ลองได้ระบายความคับแค้นใจที่มีต่อพ่อซึ่งไม่เคยสอนอะไรดี ๆ และยังทิ้งเขาไปในวัยเด็ก การต่อสู้ของเขานั้นที่แท้จริงก็คือการต่อสู้กับอดีตของตัวเอง เมื่อเขาไม่อาจสู้บนสังเวียนได้ เขาก็เดินหน้าต่อเพื่อเป็นนักแสดง ความกระหายชัยชนะของเขาคือการเดินหนีจากอดีตเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่อยู่ในอนาคต คาร์เมนเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาไขว่คว้าเพื่อให้เขามีอะไรให้ยึดเกาะบนโลกอันร้างไร้และไม่เคยปรานี
ลองบอกคาร์เมนว่า เธอควรช่วยให้เขาพ้นจากบาปเพราะชีวิตของเขาไม่มีอะไรดี เขาเป็นเพียงคนพัง ๆ คนหนึ่งซึ่งรอให้ใครสักคนมาช่วยเหลือ เธอแนะนำให้เขารู้จักกับพระเจ้า ผู้ที่เขาไม่เคยเรียนรู้ที่จะวางใจ แต่ชีวิตก็สอนบทเรียนให้เขาอีกครั้ง เมื่อเขาประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์จนแทบเอาชีวิตไม่รอด
ในวินาทีที่อยู่ระหว่างความเป็นและตาย ลองได้พบกับพระแม่มารีย์ผู้ซึ่งบอกกับเขาว่า ชีวิตของเขายังมีอะไรบางอย่างที่จะเป็นประโยชน์แก่ตัวเองและผู้อื่น และเขาต้องอยู่ต่อเพื่อทำอะไรบางอย่าง ลองไม่เคยเข้าใจว่าชีวิตเขามีอะไรดีบ้างเมื่อเทียบกับน้องชายที่ตายไป เขาคิดว่าตัวเองเป็นด้านมืดตลอดเวลา ส่วนน้องชายเป็นด้านสว่าง และคิดว่าน่าจะเป็นเขาที่ตายแทนน้องชาย แต่เขากลับยังอยู่! การดำรงอยู่ของเขามีความหมายอะไรกันแน่? ทำไมพระเจ้าถึงอยากให้เขาอยู่?
และคำตอบก็มาถึงเขาในวันหนึ่ง ซึ่งเป็นคำตอบที่ทำให้ดวงใจของคาร์เมนหญิงที่เขารักต้องแหลกสลาย เขาคิดว่าเขาต้องการจะเป็นนักบวช นี่เป็นคำตอบที่ทำให้ทั้งคนรักและครอบครัวเขาอึ้งและไม่สามารถทำใจได้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง คาร์เมนอุทิศตัวเพื่อลองมากเพราะเธอคิดว่าเขาจะเป็นคนที่เธอแต่งงานด้วย ส่วนแม่ของลองก็คิดว่าเขาตัดสินใจจากอารมณ์ชั่ววูบอย่างที่เคยเป็นมา ไม่มีใครเชื่อว่าลองพูดจริง แม้กระทั่งเขาเองในตอนแรกที่พูดมันออกมาก็ไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่พระเจ้าเชื่อเขา
ดูเหมือนทุกจังหวะชีวิตของลองจะพบกับอุปสรรคมากมาย เพราะขนาดจะเข้าเป็นนักบวช เขาก็ยังถูกปฏิเสธจากสังฆมณฑล เพราะเขาไม่ได้มีประวัติที่ดีเกี่ยวกับการรับใช้ศาสนานัก ในจังหวะต่าง ๆ ของหนัง เราจะเห็นเขาเอาชนะอุปสรรคมากมายด้วยพลังศรัทธา จนมาถึงอุปสรรคอย่างสุดท้ายที่ทำให้เขาเกือบเสียความเชื่อมั่นใจพระเจ้า – เขาเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดพบได้ยากที่จะทำให้สูญเสียการควบคุมอวัยวะไปทีละนิด เรื่องตลกร้ายก็คือ อวัยวะเพศจะเป็นส่วนที่สูญเสียความรู้สึกอย่างท้าย ๆ แต่เขาในฐานะนักบวชต้องงดเว้นจากกิจกรรมทางเพศทุกอย่าง
ด้วยความที่การต่อสู้ของลองในหนัง Father Stu เป็นเรื่องจริง มันจึงมีอิมแพ็คกับคนดูประมาณหนึ่ง และทำให้เราตั้งคำถามเกี่ยวกับศรัทธาว่ามันมีอิทธิพลอย่างไรบ้างต่อชีวิตคน ชีวิตของลองนั้นถ้าจะมองเป็นโศกนาฏกรรมก็สามารถมองได้ แต่ด้วยพลังแห่งศรัทธา มันได้พลิกฟื้นแง่งามของเรื่องเศร้าในชะตากรรมมนุษย์ให้กลายเป็นบททดสอบเพื่อทำให้ชีวิตมีค่า ลองบอกว่า ภาวะป่วยของเขาทำให้เขาเข้าใกล้กับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และพระเจ้าก็จะมอบความตายที่งดงามให้เขาเป็นของตอบแทนจากการที่เขาแบกรับภาระต่าง ๆ มาอย่างหนักหนา ชีวิตที่เขาได้รับใช้พระเจ้าเป็นชีวิตที่มีค่า แม้มันจะจบด้วยความตายภายในเวลาอีกไม่นาน
ดูเหมือนในการต่อสู้กับเงามืด คุณพ่อสจ๊วต ลองได้ค้นพบว่า วิธีที่จะเอาชนะเงามืดไม่ใช่การวิ่งไปข้างหน้าเพื่อหนีมัน แต่เป็นการอยู่กับตัวเอง และสร้างแสงสว่างในตนเอง ซึ่งแสงสว่างนั้นก็เป็นสิ่งที่ได้รับจากพระเจ้ามาอีกที มนุษย์ทุกคนมีแสงสว่างในตัวเองและอยู่ในแสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้าเสมอ เพราะเราถูกสร้างขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้าและไม่เคยเป็นอะไรนอกเหนือจากนั้น ดูเหมือนว่าคุณพ่อลองจะได้รู้แล้วว่า การหยุดอยู่กับที่และไม่หนีไปที่อื่นทำให้เขามีความสงบใจได้มากเพียงใด เขากลายเป็นคนที่ทุกคนอยากเจอและมาสารภาพบาปด้วย ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนนักบวชของเขา ซึ่งทั้งชีวิตทำตามความคาดหวังของพ่อแม่ที่จะให้เป็นนักบวชมาเสมอ จนลืมถามตัวเองว่าจริง ๆ แล้วเขาชอบอะไร อยากเป็นอะไรกันแน่
และอีกอย่างที่สามารถสัมผัสได้จากชีวิตอันโชกโชนของคุณพ่อลองก็คือ คุณค่าของประสบการณ์ชีวิตอันดำมืด ฉากที่น่าประทับใจฉากหนึ่งคือฉากที่เขาและเพื่อนนักบวชต้องเข้าไปเทศน์นักโทษในคุก เริ่มแรก เพื่อนนักบวชของเขาเป็นคนเริ่ม และผลลัพธ์คือนักโทษต่างรู้สึกต่อต้าน แต่เมื่อลองได้พูดถึงอดีตอันดำมืดของเหล่านักโทษที่เขาเองเข้าใจดี เหล่านักโทษต่างเริ่มเปิดใจและรับฟังเขา
แง่งามที่เราได้เห็นจากหนังเรื่องนี้อย่างหนึ่งคือ คนเราอาจต้องเดินทางเข้าสู่ความมืดมาก่อนจึงจะรู้ว่าแสงสว่างงดงามเพียงใด เหมือนกับที่คุณพ่อลองได้เคยใช้ชีวิตที่ผ่านทั้งความรุนแรง ความไม่เข้าใจตัวเอง ความโกรธแค้น และความหดหู่กับตัวเองมาแล้ว ทำให้ในวันที่เขารับใช้พระเจ้า เขาสามารถเชื่อมต่อกับคำสอนได้อย่างแนบเนียนและเป็นแรงบันดาลใจให้คนได้จำนวนมาก เพราะด้านมืดก็เป็นอีกด้านที่มีในมนุษย์ทุกคน และเราต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กัน เพื่อให้วันหนึ่งที่เราได้พบแสงสว่าง เราจะออกจากด้านมืดมาได้อย่างไม่รู้สึกติดค้างอะไรเลย
การได้ดูหนังเรื่องนี้ทำให้กลับมาตั้งคำถามกับชีวิตของตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าเราจะทำให้ประสบการณ์อันเจ็บปวดกลับกลายเป็นแง่ที่ดีงามต่อชีวิตได้อย่างไรบ้าง ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้อง romanticize ความเจ็บปวด อันที่จริง ความเจ็บปวดมีอยู่เพื่อให้เรารู้สึก มีอยู่เพื่อให้เราถามตนเองว่าเรามีความปรารถนาที่จะได้รับในสิ่งใด ความเจ็บปวดสามารถเป็นสัญญาณเพื่อบ่งบอกว่าเรายังมีชีวิต แต่มนุษย์มีศักยภาพที่จะเติบโตจากความเจ็บปวดหลังจากได้รู้สึกถึงมันอย่างเต็มที่ ดังชีวิตของคุณพ่อลอง เราไม่อาจเปลี่ยนอดีตได้ แต่เราสามารถเยียวยาตนเองและเดินออกมาจากมุมมืดนั้นได้ อันที่จริงเราจะมีแผลเป็นติดตัวมา แต่ผู้ที่เยียวยาจะสามารถอยู่กับแผลเป็นนั้นได้อย่างเข้าใจและมีสันติในตนเอง เราจะเยียวยาตนเองจากความเจ็บปวดได้อย่างไร? คงจะเป็นโจทย์ของชีวิตร่วมสมัยที่หลายคนไม่น้อยครุ่นคิดอยู่ ไม่ต่างจากคุณพ่อลอง
อีกคำถามหนึ่งที่ตั้งคำถามกับตนเองหลังจากได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็คือคำถามที่ว่า ในชีวิตนี้เรามีอะไรที่เราศรัทธาหรือไม่? มันอาจไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งสำคัญทางศาสนา มันอาจจะเป็นสิ่งเล็กน้อยในชีวิต เช่น การเติบโต หรือความมีน้ำใจของมนุษย์ มันเป็นแค่นั้น และในชีวิตของคนเราความศรัทธาอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ในวันที่เราถูกทำให้เปลือยเปล่าและโบยตีโดยโลกใบนี้ ในชีวิตเราย่อมจะมีช่วงเวลาที่ตัวตนของเราถูกลอกเปลือกออกจนไม่เหลืออะไรเลย และคำถามสุดท้ายที่เหลืออยู่จึงกลายเป็นว่า เรามีศรัทธาที่แท้จริงต่ออะไร ดังที่ ฌ็อง ปอล ซาร์ต บอกไว้ว่า มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ ในตัวเลือกของชีวิตที่มีอยู่มากมายนับล้าน และเราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราเลือกทั้งหมด เป็นไปได้ที่เราจะไขว้เขวและถูกลากไปตามกระแสอันเชี่ยวกราก แต่หากเรามีศรัทธาในอะไรบางอย่าง มันจะทำหน้าที่เป็นเหตุผลในการเลือกทั้งหมดของเรา มันทำให้เราบอกตนเองได้ว่าเราเป็นใครกันแน่
ความศรัทธาอาจจะเป็นเมนไอเดียทั้งหมดของหนังเรื่องนี้ มันอยู่เบื้องหลังทางเลือกในชีวิตของคุณพ่อลอง มันทำให้เขาเดินหน้าต่อไปอย่างไม่สิ้นหวัง และมันได้ทำลายภาพจำของการศรัทธาอย่างมืดบอดในศาสนา หนังได้แสดงให้เห็นว่าเราสามารถ ‘reclaim’ คำว่าศรัทธาให้กลายเป็นองค์ประกอบของชีวิตสมัยใหม่ได้ เพราะเมื่อศรัทธาผสานเป็นเนื้อเดียวกันกับประสบการณ์ความเจ็บปวดและบาดแผล มันได้ทำให้เกิดสิ่งที่ดูคล้ายการเกิดใหม่จากเถ้าถ่าน มันเป็นประสบการณ์เฉพาะตัว และประสบการณ์เฉพาะตัวนี่เองที่เป็นสากลมากที่สุด อาจกล่าวได้ว่าความศรัทธาที่แสดงให้เห็นในหนังไม่ได้ถูกผูกขาดอยู่กับศาสนาใดและศาสนาหนึ่ง แต่ถูกนำเสนอให้เห็นในฐานะทางเยียวยาตน ทางรอดจากความเจ็บปวด และวิถีทางที่จะ make sense กับตัวเลือกในชีวิตอันมากมายนั่นเอง