หมู่บ้านในไทบ้านเดอะซีรีส์ เป็นภาพตัวแทนชนบทอีกชุดหนึ่งที่ต่างจากโลกชนบทในจินตนาการของชนชั้นกลางที่เป็นชุมชนสามัคคี ทำมาหากินอย่างเจียมเนื้อเจียมตน ชาวบ้านมีน้ำใจ เข้าวัดฟังธรรมรักษาศีล มีชีวิตอย่างพอเพียง พออยู่พอกิน แต่เป็นหมู่บ้านที่คึกครื้นไปด้วยวัยรุ่น วงเหล้า และชีวิตที่ไหลเรื่อยเปื่อยไร้สาระ เด็กในหมู่บ้านก็ไม่ใช่ลูกหลานที่น่ารัก คำว่า “เด็กเปรต” ยังอาจน้อยไป สำหรับพฤติกรรมของบักมืด เด็กแก่แดดจอมทำลายล้าง โลกของบักมืดนี่ทำลายภาพนักเรียนที่รัฐคุมได้อยู่หมัดแบบในแบบเรียนมานี-มานะกันเลย
หนังเรื่องนี้พูดลาวกันทั้งเรื่อง ยกเว้นตัวละคร 3 คน คือ ป่อง, หัวหน้าห้อง และเจ้าของร้านขายสินค้าเด็กอ่อน น้ำเสียงของคำลาวในเรื่องใส่กันเต็มๆ ไม่ได้นั่งพับเพียบพูดลาวกันแบบใน 15 ค่ำ เดือน 11 หรือจับคนกรุงเทพฯ มาหัดพูดลาว
การฉายภาพชนบทอีกแบบก็นำไปสู่ปมอีกแบบหนึ่ง ในที่นี้จะเห็นว่า ตัวละครที่เป็นตัวแทนอำนาจรัฐมีบทบาทไม่น้อย ตำรวจคือ อำนาจรัฐที่ใหญ่โตที่สุดที่สามารถควบคุมได้แม้กระทั่งคนที่สังคมคุมไม่ได้อย่างบักเบิร์ด “คนบ้า” ประจำหมู่บ้าน รองลงมาคือ หมอ ที่เราเห็นว่ายังต้องมาถามคำถามไร้สาระกับบักเบิร์ดว่า “บ้าหรือเปล่า”
รองลงมาคือ อาชีพครู ครูแก้ว แม้จะเป็นเมียโดยพฤตินัยของจาลอด ตัวละครไร้แก่นสารตัวหนึ่ง แต่เราจะเห็นบทบาทการแสดงอำนาจผ่านบทบาทต่างๆ เช่น การเป็นผู้จ่ายเงินค่าไฟให้จาลอด เป็นครูของตัวแสบอย่างบักมืดที่แม้ว่าบักมืดจะแอบนินทาลับหลัง แต่ก็เป็นคนที่ข่มบักมืดได้ด้วยสถานภาพครู ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้ ความเกรงใจในความเป็นครูยังปรากฏผ่านการให้ความสำคัญจากผู้ใหญ่บ้าน ยังไม่ต้องนับว่าพ่อครูแก้วมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ยังไม่ต้องนับว่าครูแก้วคือคนนอกชุมชน การปรากฏตัวอยู่บ้านจาลอดมักจะถูกถามเสมอๆ ว่ามาสอนหนังสือบักมืดหรือเปล่า อย่างไรก็ตามซีนที่บักลอดอุทานว่า “บักลอดสี่ครู” หลังจากที่พรวดพราดเข้าไปเห็นฉากเลิฟซีนกับครูแก้ว มันแสดงให้เห็นว่า บักลอดไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับแก้วในฐานะคู่รัก แต่เป็นการข้ามเส้นแบ่งไปละเมิดอำนาจความเป็นครูไปด้วย
ฉากในโรงเรียนที่มีอยู่ไม่มากก็แสดงให้เห็นถึงอำนาจแบบเป็นทางการที่ควบคุมบักมืดให้อยู่ในระเบียบ นั่นคือ ฉากหัวหน้าห้องสั่งให้บักมืดเอาเสื้อใส่เข้าในกางเกง จริงอยู่ว่า บักมืดมีใจให้กับหัวหน้าห้อง การเป็นผู้มีสถานะรองในความสัมพันธ์อาจเกี่ยวกับเรื่องหัวใจอยู่บ้าง แต่หนังได้ชี้ให้เห็นบทบาทควบคุมของหัวหน้าห้องจากการโทร.มาตามการบ้านและงานจากทุกคน ซึ่งอำนาจของหัวหน้าห้องก็ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มาจากการแต่งตั้งจากครูประจำชั้นนั่นเอง
และแน่นอน ต่อมาคือ ผู้ใหญ่บ้าน มีผู้อธิบายไว้ว่า คือ ตัวแทนอำนาจรัฐในหน่วยหมู่บ้านที่ขยายบทบาทอย่างมากในช่วงหลัง 6 ตุลา 19 คนเหล่านี้เข้าถึง connection กับรัฐ นโยบาย สิ่งของ รวมไปถึงข่าวสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุน หลังรัฐประหาร 2549 ผู้ใหญ่บ้านสามารถเป็นจนถึงอายุ 60 ปี โดยไม่ต้องมีการครบรอบวาระแล้วให้เลือกตั้ง ผู้ใหญ่คำตันแสดงอำนาจให้เห็นผ่านการต่อรองกับตำรวจให้ปล่อยบักเบิร์ดออกมา หลังจากแก้ผ้าเดินไปทั่วหมู่บ้าน แล้วฝากฝังให้เพื่อนฝูงของบักเบิร์ดดูแลกันดีๆ เราไม่รู้ว่าผู้ใหญ่บ้านทำอะไร แต่การให้กำเนิดบักป่องขึ้นมา ส่งไปเรียนต่อจนบักป่องที่แทบจะเป็นคนพูดภาษาไทยคนเดียวในหมู่บ้าน มีอุปกรณ์เครื่องใช้ทันสมัยไม่ว่าจะเป็นไอโฟน ไอแพด แมคบุ๊ก พร้อมกับการสำทับบักป่องว่า ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ก็อยู่ไม่ได้อย่างนี้
ส่วนพระในเรื่อง แม้ว่าจะมีบทบาทในเชิงสถาบัน เจ้าอาวาสทำหน้าที่รับการปลงอาบัติ หรือการสารภาพบาปของพระลูกวัด อย่างไรก็ตาม บทบาทของพระที่โดดเด่นมาก คือ สถานภาพหนึ่งของบักเซียงที่บวชเพื่อหนีทุกข์จากการถูกใบข้าว (แฟนเก่า) ทิ้ง พระเซียงเป็นภาพตัวแทนของพระลูกชาวบ้านที่ไม่ได้หวังบวชเพื่อนิพพาน แต่เพื่อเป็นพื้นที่พักใจ ก่อนที่จะพาตัวเองไปสู่สถานภาพอื่น พระเซียงจะยิ่งเด่นในซีรีส์ 2.2
จะเห็นหมู่บ้านและคนแถบนี้ ไม่สามารถอยู่ได้เลย ถ้าไม่มีเงินและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ฉากที่บ้านจาลอดถูกตัดไฟชี้ให้เห็นเลยว่า ไฟฟ้าจำเป็นกับหมู่บ้านในชนบทแค่ไหน ยังไม่ต้องนับว่า ฉากต่างๆ ในหนังแสดงให้เห็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำมันหยอดเหรียญ ร้านขายของชำ-อาหารตามสั่งของสวย ร้านซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ บักป่องเองที่หนีออกจากบ้านมา ยังต้องขอเงินพระเซียงไปซื้อบุหรี่
ในที่นี้จะไม่พูดถึงการลงทุนมือเติบของบักป่องที่จะสร้างสโตร์ผักคงไม่ได้ เพราะมันคือ ภาพสะท้อนของคนรุ่นใหม่นักลงทุนที่แสวงหาโอกาสทางธุรกิจจากวิธีคิดและไลฟ์สไตล์แบบคนเมืองโดยแท้เงินเก็บที่บักป่องมีก็คือ เงินลงทุนในหุ้น ป่องพยายามหาคนมาลงทุนร่วมกันกับเขาจากคนมีเงินในหมู่บ้านโดยเฉพาะการจัดสรรที่ดินของผอ.พ่อครูแก้ว เพื่อลงทุนและแสวงหากำไรจากการร่วมทุนนั้นโมเดลของบักป่องคือ การขูดรีดคนรอบตัว แม้แต่พระเพื่อนยังต้องเข็นรถเข็นมาส่งของให้ การยุให้จาลอดไปคุยกับผู้หญิงที่เคยคบเพื่อเข้าหาแหล่งทุนทางพ่อ จาลอดเองหลักจากที่ทำลงไปก็รู้สึกผิดจนต้องกลับมานอนกอดครูแก้วอย่างมีพิรุธ นี่คือ ทุนนิยมที่ไร้หัวใจโดยแท้
แต่สิ่งที่ผมสนใจเป็นพิเศษคือ บักเฮิร์บ ฝรั่งที่กลายเป็นเดอะแบกของครอบครัว บักเฮิร์บเป็นตัวแทนที่ชัดเจนของเขยฝรั่งที่มามีชีวิตอยู่ในอีสานเสียดายที่ไม่เห็นเจ๊สวยมีอะไรถึงทำให้บักเฮิร์บหลงหัวปักหัวปำ ทั้งที่ปากเจ็บและแสนเอาแต่ใจ ทั้งคู่กำลังมีลูกด้วยกัน บักเฮิร์บดูแลเมียอย่างดี ฝากท้องและพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชนในตัวเมือง ชีวิตบักเฮิร์บเป็นตัวแทนของคนในหมู่บ้านที่ออกไปเชื่อมต่อกับตัวเมืองด้วย ไม่เพียงร้านขายของเกี่ยวเด็กอ่อนที่บักเฮิร์บต้องเสียเงินไม่น้อย แม้กระทั่งโชว์รูมรถ ก็เป็นสัญลักษณ์ของการครอบครองวัตถุที่ต้องแลกมาด้วยเงินก้อนโตเงินก้อนนี้ บักเฮิร์บเอามาจากเงินที่ “แดดดี้” พ่อของเขา ให้มาซื้อบ้านเดิมที่พ่อของเขาเคยอยู่มาก่อน เรียกได้ว่า บักเฮิร์บเองดูภายนอกก็พึ่งพาได้ แต่ดูแล้ว อนาคตทางการเงินจะไปทางไหน ก็ยากจะตอบได้ว่าเป็นไปในทางบวก เมื่อเขาต้องเป็นคนดูแลคนในบ้านแทบทุกอย่าง
แต่ในอีกด้านหนึ่ง บักเฮิร์บน่าจะเป็นตัวแทนของการสร้างครอบครัวในอุดมคติขึ้นมาในหมู่บ้าน เราจะเห็นว่าตัวเอกอย่างจาลอด-บักมืด รวมถึงพระเซียงนั้นอยู่กับยาย ไม่มีพ่อไม่มีแม่อยู่ด้วย บ้านเจ๊สวยเองก็ไม่พูดถึง คนที่มีพ่อมีแม่ครบอยู่คนเดียวคือ เฮียป่อง และอาจจะรวมครูแก้วด้วย ดังนั้น ในเรื่องตัวเอกแทบจะเรียกได้ว่า ล้วนเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ไม่อยู่ด้วย ไม่ว่าจะเหตุผลของการไปทำงานแดนไกลแล้วส่งมาหรือไม่ก็ตาม ในปัจจุบันการที่เด็กในชนบทโตขึ้นมาด้วยดูแลของปู่ย่าตายายนั้น ถือเป็นเรื่องปกติเสียเหลือเกิน แต่ถ้ามองในมุมชนชั้นกลางแล้วถือว่าเป็นเรื่องน่าหวาดระแวงเป็นอย่างยิ่ง เพราะนั่นคือ ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์
อาจจะมีเพียงบักเบิร์ด “คนบ้า” ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างไม่รู้ทุกข์ร้อน แม้ตอนท้ายเรื่องเขาจะถูกกลุ่มเพื่อนที่ทนรำคาญไม่ไหวจนถูกเอาไปปล่อยที่วัด เขาก็ยังโบกมือบ๊ายบายด้วยหน้าเปื้อนยิ้ม แม้เริ่มเรื่องมา บักเบิร์ดจะสูญเสียแม่ บ้าน รวมไปถึงตัวตนดั้งเดิมของตนก็ตาม แต่ในที่สุดแล้ว เป็นไปได้ว่า บักโรเบิร์ต คือ ผู้ชนะอย่างแท้จริงในไทบ้านเดอะซีรีส์ 2.1