Home Review Film Review Drive My Car : การแสดงที่แสร้งว่าไม่ได้แสดง เรื่องเล่าที่จริงกว่าเรื่องจริง และการเฝ้าฟังที่ไม่ได้ยิน

Drive My Car : การแสดงที่แสร้งว่าไม่ได้แสดง เรื่องเล่าที่จริงกว่าเรื่องจริง และการเฝ้าฟังที่ไม่ได้ยิน

0
Drive My Car : การแสดงที่แสร้งว่าไม่ได้แสดง เรื่องเล่าที่จริงกว่าเรื่องจริง และการเฝ้าฟังที่ไม่ได้ยิน

บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์

เรื่องเล่าเป็นคำโกหกชนิดเดียวที่สังคมยินยอมให้มีอยู่ และมันได้รับอนุญาตให้ดำรงคงอยู่เพียงเพราะว่ามันมีตอนจบที่แน่นอน หากในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่ตอนจบจะมาถึง ผู้คนก็ได้รับอนุญาตให้แสดงออกซึ่งความจริงเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง – ริวสุเกะ ฮามากุจิ

https://www.indiewire.com/2021/10/ryusuke-hamaguchi-interview-drive-my-car-wheel-of-fortune-and-fantasy-1234669831/

และนี่คือเรื่องเล่าเล็กๆ จำนวนหนึ่งซึ่งประกอบขึ้นเป็นเรื่องเล่าใหญ่ๆ ในเรื่องนี้ 

เรื่องที่หนึ่งคือเรื่องของเด็กสาวคนหนึ่งที่จู่ๆ นึกขึ้นได้ว่าชาติที่แล้วเธอเคยเกิดเป็นแลมป์เพรย์ ปลาดูดที่ไม่มีฟันกรามมีชีวิตด้วยการดูดกินเลือดเนื้อจากปลาตัวอื่น แต่เธอไม่ทำเช่นนั้น เธอกดปากของเธอเข้ากับก้อนหิน โยกไกวเหมือนสาหร่ายใต้น้ำแล้วก็อาจจะตายลงเพราะอดอาหาร หากชาตินี้เธอเกิดมาเป็นเด็กสาวมัธยมที่จู่ๆ หมกมุ่นกับการแอบเข้าบ้านของเพื่อนชายที่เธอตกหลุมรัก กดปากของเธอเข้ากับห้องว่างเปล่าของเขา ขโมยข้าวของเล็กๆ ออกมา และทิ้งข้าวของเล็กๆ ไว้ต่างตอบแทน เด็กชายคนนั้นไม่ใช่ปลาที่ผ่านเข้ามาให้เธอดูดกิน แต่ห้องของเขาคือก้อนหินใต้น้ำ

เรื่องที่สองคือชายคนหนึ่งที่เสียภรรยาไป เขาเป็นนักแสดงและผู้กำกับละครเวที ในแต่ละวันเขาจะซ้อมละครในรถของเขา เปิดคาสเซ็ทเทปเฝ้าฟังบทละคร Uncle Vanya ของอันตัน เชคอฟ ที่ภรรยาของเขาบันทึกเสียงเป็นทุกๆ ตัวละคร เว้นที่ว่างให้เฉพาะเขาที่รับบทลุงวานยาพูดโต้ตอบ ด้วยวิธีการนี้เขาค่อยๆ เข้าใจขั้นตอนของบทละคร รับรู้มันจนเป็นการตอบโต้โดยอัตโนมัติปล่อยให้บทละครซึมเข้าไปในเนื้อหนัง ครั้งหนึ่งเขาประสบอุบัติเหตุ หมอวินิจฉัยว่าเขาเป็นต้อหินที่ตาข้างหนึ่งทำให้มีจุดบอดในตา ในเวลาต่อมา ภรรยาของเขาก็ตายไปเฉยๆ โดยยังไม่ทันได้คุยกัน เขารู้ว่าเธอมีคนอื่น รู้ว่าเธอมักจะพาชายที่เป็นเพื่อนร่วมงานของเธอมามีเซ็กซ์ บางครั้งก็ที่บ้านของพวกเขา ความสัมพันธ์พวกนี้ไม่ยั่งยืนแต่มันกัดกินเขาจากข้างใน

หลังเธอตายไปหลายปี เขาได้รับเชิญไปเป็นศิลปินในพำนักที่อีกเมือง เขาวางแผนจะทำละคร Uncle Vanya แบบหลายภาษาใช้นักแสดงจากที่ต่างๆ ทั่วโลก ที่นั่นเขาบังเอิญพบนักแสดงที่เคยเป็นหนึ่งในชายชู้ของภรรยา และอยากลงโทษเด็กหนุ่มผ่านทางการแสดงละคร ในขณะเดียวกันเขาพบเด็กสาวอีกคนที่อายุคงรุ่นราวคราวเดียวกันกับลูกสาวของเขาถ้าหากเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอถูกเทศกาลจ้างมาเป็นคนขับรถให้เขา เด็กสาวขับได้นิ่มนวลจนเหมือนเขาไม่ได้อยู่ในรถ เด็กสาวพูดน้อยเงียบงำมีความลับและความเจ็บปวดเป็นของเธอเอง 

เรื่องต่อมา คือเรื่องของเด็กสาวคนหนึ่ง เธอเติบโตขึ้นในเมืองห่างไกลกลางหุบเขา ตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยม เธอต้องหัดขับรถเพื่อรับส่งแม่จากบ้านไปกลับสถานีรถไฟ แม่ของเธอทำงานไนท์คลับที่ต่างเมือง ทุกวันตอนห้าโมงเย็นเธอต้องขับรถพาแม่ไปส่ง และรับกลับบ้านตอนเจ็ดโมงเช้า ระหว่างทางนั้นแม่มักต้องการนอน เธอต้องขับยังไงก็ได้ให้นิ่มนวลที่สุด ไม่เช่นนั้นจะโดนดี แต่แม่เป็นคนสองบุคลิก ในทุกครั้งที่แม่ตีเธอ หลังจากนั้นแม่จะกลายร่างเป็นเด็กเล็กๆ คนหนึ่งชื่อซาจิ ปลอบโยน ดูแลเธอ เด็กผู้หญิงในร่างของแม่คนนั้นเป็นเพื่อนคนเดียวที่เธอมี จนวันหนึ่งแม่ตายลง ซาจิก็ตายไปด้วย และเธอออกเร่ร่อนไป

และเรื่องสุดท้ายที่สำคัญที่สุด วานยาแอบหลงรักเยเลนา ซึ่งเป็นภรรยาคนใหม่ของพี่เขย พวกเขาพากันมาพักผ่อนในหมู่บ้านชนบทที่ที่วานยาอาศัยอยู่กับแม่ และซอนยาหลานสาว ลูกคนเดียวของพี่สาวที่ตายไปแล้ว หลังพี่สาวตายพี่เขยที่เป็นศาสตราจารย์เป็นคนเลี้ยงดูครอบครัวนี้ แต่เขาเป็นชายเฒ่าที่เริ่มป้ำๆ เป๋อๆ ใครจะนึกว่าจะได้เมียคนใหม่เป็นสาวสะคราญที่ใครๆ ก็หลงรัก นอกจากวานยา แอสตรอฟ หมอหนุ่มประจำหมู่บ้านที่หมกมุ่นอยู่กับการปลูกป่าและความตายของคนไข้คนหนึ่งก็มาชอบพอเยเลนาด้วย โดยไม่รู้ว่าซอนยา เด็กสาวที่หน้าตาไม่สะสวยแอบชอบหมออยู่ 

วานยาผู้เศร้าสร้อยผิดหวัง วานยาผู้เปล่าเปลี่ยวและเชื่อมั่นมาตลอดว่าตัวเองสามารถมีชีวิตที่ดีได้ แต่ถูกทุกอย่างเหนี่ยวรั้งไว้ วานยาผู้ทุกข์ทนและน่าเวทนา ถูกเผาไหม้จากความรักที่เขามีต่อเยเลนาซึ่งถูกมองว่าแต่งงานกับตาแก่เพราะเงิน เยเลนาผู้ไร้สุขและรู้ดีว่าตนเองเป็นเพียงเครื่องประดับของสามี แต่เธอไม่ได้ชอบวานยา เธออาจจะมีใจให้แอสตรอฟ แต่ก็ยังคงยึดมั่นในศีลธรรมอันไร้สุขของตน ขณะที่ซอนยาก็ถูกความรักเผาจนลุกไหม้อยู่เงียบๆ จนในที่สุดวานยาก็ระเบิดออก อย่างเศร้าๆ ด้วยความพยายามฆ่าศาสตราจารย์อย่างไร้ผล ไปจนถึงความพยายามจะฆ่าตัวตายที่ไร้ผล มีเพียงซอนยาหลานสาวผู้ทุกข์ทนเท่ากันเท่านั้นที่คอยปลอบใจ และบอกเขาว่า ถึงอย่างไรเราก็ทำได้เพียงทุกข์ทนต่อไปจนจบชีวิตและหวังว่าหลังจากเราตายพระเจ้าจะให้เราได้พักผ่อนเสียที

อธิบายอย่างง่ายที่สุด นี่คือหนังที่ประกอบขึ้นจากเรื่องเล่าที่ได้เล่าไป โครงของเรื่องมาจากเรื่องสั้น Drive My Car (เรื่องที่ 2) ประกบเข้ากับเรื่องสั้น Scheherazade (เรื่องที่ 1) ทั้งสองเรื่องมาจากเรื่องสั้นในเล่ม Men Without Women ของ Haruki Murakami และทั้งสองเรื่องถูกนำมาขยาย คลี่ออก สอดส่อง เขียนเพิ่ม และวิพากษ์วิจารณ์ผ่านการทำซ้ำใหม่ ในขณะที่เรื่องที่สามเป็นเรื่องที่เขียนเพิ่มขึ้นมา และเรื่องสี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุด นั่นคือบทละครของ Anton Chekov นักเขียนคนสำคัญของโลกชาวรัสเซีย และดูเหมือนทั้งสามเรื่องที่กล่าวมาเป็นเพียงเสื้อผ้า และเครื่องประดับของเรื่องที่สี่ซึ่งคือเรือนร่างและจิตใจของหนัง 

ในภาพยนตร์ของ Ryusuke Hamaguchi (ริวสุเกะ ฮามากุจิ) ตัวละครมักเล่าเรื่อง ในหนังของเขาแม้จะมีบทสนทนาตอบโต้มากมาย มีพล็อตที่ชัดเจน แต่ตัวละครของเขามักเล่าเรื่องบางเรื่องออกมา ในฉากแบบนั้นตัวละครของเขามักหันหน้าหากล้องราวกับกำลังเล่าให้ผู้ชมฟัง เรื่องที่เล่าอาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้องกับพล็อตหลักที่ดำเนินไป ใน Happy Hour (2015) นอกจากตัวเอกทั้งสี่คนที่แบ่งปันเรื่องเล่าของชีวิตให้กันและกันฟัง กระทั่งตัวละครที่บังเอิญเดินผ่านมาก็มีเรื่องเล่าของตัวเอง ตอนไปเที่ยว พวกเธอเจอผู้หญิงคนหนึ่งบนรถเมล์ ผู้หญิงคนนั้นเล่าเรื่องของพ่อ เล่าไปจนจบเรื่องแล้วก็ออกจากหนังไป ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ราวกับว่าทุกตัวละครในหนังของเขามีชีวิตเป็นของตัวเองข้างนอกหนัง และ Hamaguchi คว้ามันมาได้ขณะหนึ่ง หรือใน Passion (2008) จู่ๆ ตัวละครที่เป็นครู ก็มีฉากดีเบทกับนักเรียนเรื่องการโดนแกล้งจนต้องฆ่าตัวตายและความรุนแรงในโรงเรียนโดยเส้นเรื่องส่วนนี้ไม่ถูกเล่ามาก่อน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องหลัก แต่เมื่อมันเกิดขึ้น มันกลับส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงต่อตัวละครโดยไม่สามารถอธิบายได้ แม้แต่ในหนังสั้นสามเรื่องซ้อนอย่างใน Wheel of Fortune and Fanatsy (2021) จู่ๆ มีฉากที่ตัวละครหยิบฉากอัศจรรย์ในนิยายขึ้นมาอ่านออกเสียง อ่านอย่างยาวนานและวาบหวิว แน่นอนว่ามันเป็นฉากสำคัญของเรื่องแต่การปล่อยให้ท่อนหนึ่งของนิยายที่เราไม่รู้เรื่องราวถูกเล่าออกมาอย่างยืดยาวทำให้มันเป็นเรื่องเล่าเอกเทศที่ซ้อนอยู่ในเรื่องเล่าหลักอีกที

เราจึงบอกได้ว่าภาพยนตร์ของ Hamaguchi ในทางหนึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยเรื่องเล่าและการเล่าเรื่อง และใน Drive My Car ก็เช่นกัน เรื่องเล่าเล็กๆ ที่ซ้อนอยู่ในเรื่องใหญ่ๆ ของการเป็นฉบับดัดแปลงของวรรณกรรมสองชิ้น (มุราคามิ/เชคอฟ) น่าตื่นเต้นที่เรื่องเล่าเหล่านั้นแทบทั้งหมดเรื่องนั้นถูกเล่าโดยตัวละครหญิง ทั้งเรื่องของสาวแอบเข้าบ้านของภรรยา (ที่นอกจากจะเล่าแล้วกระทั่งตายไปยังฝากอีกคนมาเล่าต่อ) เรื่องของแม่สองบุคลิกของมิซากิ และอาจจะรวมถึงเรื่องการดิ้นรนต่อร่างกายที่ต่อต้านหลังการแท้งลูกของยุนอา นักแสดงสาวใบ้ชาวเกาหลี ในหนังเรื่องนี้ ผู้หญิงเป็นคนขับรถ ผู้ชายเป็นเพียงผู้โดยสาร เป็นตัวละครในเรื่องราว เป็นเรือนร่างของการแสดงที่มีพวกเธอเป็นตัวบท

ข้อด้อยสำคัญอันหนึ่งที่พบตลอดมาในงานเขียนของมุราคามิคือผู้หญิง ผู้หญิงของมุราคามิมักเป็นผู้หญิงที่ว่างเปล่า เป็นภาพพาฝันแสนสุขของชายชนชั้นกลาง เป็นคล้ายๆ กับสินทรัพย์หรือเครื่องประดับ ‘ความลึกลับ’ ของตัวละครหญิงในงานของมุราคามิ ยืนอยู่บนการเป็นภาพฝันของเพศชายทั้งในแง่ของการเป็นสาวงาม การเป็นฝ่ายให้ความสุขทางเพศ การ​ทิ้งร่องรอยไว้ กระทั่งจากไปอย่างไม่ร่ำลาก็เป็นส่วนหนึ่งในการตอบสนองแฟนตาซีในทำนองความเดียวดายอย่างโรแมนติก ให้กับตัวละครชายที่แทบไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากใช้ชีวิตอย่างมีวัตรปฏิบัติชัดเจนที่ถูกโลกทุนนิยมห่อหุ้มไว้ราวกับไข่ในหิน ไม่มีความกังวลทางรายได้ เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่ลงรายละเอียดยิบย่อย โดยมากพวกผู้หญิงเข้ามาหรือชักพามาซึ่งความยุ่งยากทั้งจากความรัก เซ็กซ์ หรือการร่ำลา และตัวละครชายใช้ตัวละครหญิงเหล่านี้ในการกลับคืนไปยังสมดุลก่อนเก่า

แต่ดูเหมือน Hamaguchi ได้ปรับแปลงแก้ไขให้ตัวละครหญิง (ที่บางตัวยังคงความลึกลับแบบมุราคามิ) เป็นฝ่ายโต้กลับบ้าง เมื่อเรื่องเล่าทั้งหมด ถูกควบคุมโดยผู้หญิง ผู้ชายกลายเป็นเพียงนักแสดงที่ท่องบทคนทุกข์ คนรัก ชู้รัก คนโดดเดี่ยวแพ้พ่าย และค่อยๆ เข้าใจตัวบทที่พวกเธอทิ้งร่องรอยไว้ ในแง่นี้ เสียงท่องบทละครในเทปคาสเซ็ทของคาฟุกุ และเรื่องเล่าที่ภรรยาเป็นผู้เล่า (เขาเป็นเพียงผู้จดจำและจดจาร) จึงมีอำนาจเหนือตัวของเขา ชนิดที่ตายเป็นผีไปแล้วยังมาหลอกหลอน เสียงของภรรยาที่ทดแทนทั้งเสียงของ เยเลนา ซอนยา แม่ ไปจนถึง แอสตรอฟ ศาสตราจารย์ กลายเป็น audio commentary ในชีวิตของคาฟุกุ หนังเล่าเหตุการณ์ไปข้างหน้าตัดสลับกับการขับรถ ขึ้นรถ และเมื่อเขาเปิดเทป เสียงของภรรยาและตัวบทของเชคอฟ ก็จะดังขึ้นมาราวกับวิพากษ์เขาจากเหตุการณ์ก่อนหน้าอยู่เสมอ และในรถ saab สีแดง เขาเปลี่ยนจากผู้กำกับละครเวทีผู้ห้าวหาญเหลือเพียงชายคนที่หลงตัวเอง พังพินาศ สิ้นหวังในนามของวานยา นอกรถเขาเป็นตัวละครชายของมุราคามิ ในรถเขาเป็นตัวละครของเชคอฟ 

ที่ร้ายกาจไปกว่านั้นคือในเรื่องสั้นต้นฉบับ Scheherazade ของมุราคามินั้นแม้จะเล่าเรื่องเดียวกัน แต่ผู้เล่าในเรื่องเป็นผู้ชาย เป็นผู้ชายที่พบกับแม่บ้านลึกลับที่เมื่อนอนด้วยจะเล่าเรื่อง แต่ในหนังเรื่องนี้ผู้ชายไม่ได้เป็นผู้เล่า ผู้ชายเป็นเพียงผู้ฟังเรื่องที่เธอเล่า และจนกระทั่งเธอตายไปเรื่องเล่าของเธอ​ (ไม่ใช่เธอและการฟังเธอเล่าเหมือนในต้นฉบับ) ยังคงมีอำนาจเหนือผู้ชายของเธอ การสานต่อการเล่าโดยทาคัตสึกิ จึงเป็นเพียงร่างทรง เป็นเทปคาสเซ็ทที่เธอใช้เพื่อส่งผ่านเรื่องเล่ามายังสามี 

เราจึงอาจเปรียบเปรยผู้หญิงในเรื่องนี้ในฐานะตัวบทของเชคอฟ ในขณะที่พวกผู้ชายเป็นเพียงนักแสดงโง่งมพูดกันคนละภาษา งมอยู่ในการหาทางเข้าถึงตัวบทของพวกเธอผ่านทางการท่องบทโดยไม่แสดง

กล่าวตามสัตย์แม้หนังดูเหมือนเดินตามเส้นเรื่องใน Drive My Car แต่เราอาจบอกได้ว่าอันที่จริงแล้วนี่คือหนังที่ดัดแปลง Uncle Vanya ของเชคอฟในบริบทของญี่ปุ่นร่วมสมัยมากกว่า หนังเปลี่ยนจากชายชนชั้นกลางผู้ร่ำรวยและทุกข์เศร้าจากการเสียเมียและคำตอบไปพร้อมๆ กันตลอดกาล ให้กลายเป็นชายชนชั้นกลางชาวรัสเซียที่ทุกข์เศร้ามาชั่วชีวิต จมอยู่ในความหลงตัวเอง และความทุกข์ระทมที่คิดว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมจากชีวิต ในหนังมีวานยาหลายคน ทั้งวานยาจากปลายปากกาของเชคอฟ ทาคัตสึกิที่เดิมมาทดสอบบทแอสตรอฟ แต่ถูกคาฟุกุลงทัณฑ์ ‘ให้ลองเศร้าเท่ากับฉันบ้าง’ ด้วยการให้รับบทวานยาแทน ขณะที่เขาผู้คือวานยาที่แท้จริงผู้ไม่ยอมรับบทวานยา หากแต่กลับยังคงท่องบทวานยาอยู่ในทุกขณะจิต วานยาคือชายผู้เศร้าซึม ว่างเปล่า คนน่าเวทนาที่แม้แต่จะฆ่าคน จะมีความรัก หรือจะขโมยมอร์ฟีนไปฆ่าตัวตายยังทำไม่สำเร็จ ชายผู้อ่อนแอและเอาความอ่อนแอนั้นโบยตีตนเอง ทาคัตสึกิอาจจะนับเป็นวานยาอีกคน แต่เขาไม่สามารถเข้ากับบทวานยาได้ อย่างน้อยเขาก็ฆ่าคนได้จริง ไม่ได้ยิงพลาดเป้าเหมือนวานยา

ความทุกข์ระทมของวานยาจาการพลาดรักกับเยเลนาที่เป็นของศาสตราจารย์ในละครและเป็นของความตายในโลกจริง เยเลานาอาจจะเป็นทั้งตัวละครของเชคอฟ เป็นตัวของแจนิสนักแสดงชาวไต้หวัน (การไปกับทาคัตสึกิ ทำให้เห็นได้ชัดว่าทาคัตสึกิคือแอสตรอฟไม่ใช่วานยา) หรืออาจจะคือโอโตะภรรยาของเขาเอง หากในละครคนที่ช่วยปลดปล่อยทุกข์เศร้าของวานยา ช่วยให้เขา ‘ยอมรับ’ และเข้าใจ คือซอนยา หลานสาวของเขาเอง

เช่นกันที่ทีซอนยาสามคนในเรื่อง ในบทละครต้นฉบับ ซอนยาเป็นหญิงสาวหน้าตาพื้นๆ ค่อนไปทางไม่สวย แตกต่างกับเยเลนาที่งดงาม ซอนยาแรกอยู่ในบทละคร ซอนยาที่สองอยู่ในร่างกายที่ไร้เสียงของยุนอานักแสดงชาวเกาหลีที่เคยเป็นนักเต้น คนที่พูดไม่ได้แต่เปล่งเสียงที่ผู้ชมได้ยินชัดที่สุดผ่านร่างกายของเธอ เช่นเดียวกันกับซอนยา อีกคนที่ไม่พูดนั่นคือมิซากิ คนขับรถของคาฟุกุ 

มิซากิอายุเท่าลูกสาวที่ตายไปของคาฟุกุ เธอเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับซอนยาในฉากหนึ่งหลังจากกลับมาจากบ้านของยุนซูและยุนอา ผัวเมียชาวเกาหลี เธอเป็นคนเดาว่ายุนอาคือผู้รับบทซอนยา และเธอบอกว่าเธอรู้ผ่านการฟังบทละครในรถกับเขา ฉากที่อาจะเทียบเคียงได้สองฉากในหนังคือฉากสุดท้ายที่ซอนยากล่าวถึงชีวิตอันทุกข์ทนและการพักผ่อนในท้ายที่สุดเมื่อพบพระเจ้าด้วยภาษามือบนเวที ซ้อนทับเข้ากับฉากที่มิซากิบอกคาฟุกุว่ามันอาจไม่มีอะไรอยู่เลยในความกังวลทั้งหมดที่เขามีต่อภรรยา เขาจะรับได้ไหมถ้ามันเป็นแบบนั้นถ้าแค่เธอเป็นเช่นนั้น รักเขาและกอดคนอื่นเป็นครั้งคราว

เราจึงอาจบอกได้ว่ามีละคร Uncle Vanya เกิดขึ้นสามเรื่องสลับมิติกันไป เรื่องที่หนึ่งเกิดขึ้นในการซ้อมและจบลงบนเวทีในโรงละคร เรื่องที่สองเกิดขึ้นในชีวิตของคาฟุกุเอง ที่ในที่สุดเขาต้องยอมรับว่าไม่ว่าเขาจะหนีไปที่ไหนเขาคือลุงวานยา และละครเรื่องที่สามเกิดขึ้นในรถของเขาเอง 

บนรถของเขา ทุกอย่างเกิดขึ้นผ่านเสียง พ้องพานกับชื่อของภรรยาของเขาที่แปลว่าเสียง เมื่อเขาขึ้นรถ เขาเริ่มโบยตีตนเองด้วยการฟังเสียงของภรรยาที่ตายไปแล้ว รถของเขาเป็นทั้งพื้นที่ส่วนตัว ที่ที่เขาใช้ซ้ำซ้อมบท การที่เขาพูดบทได้ตรงจังหวะจากเสียงของภรรยา ทำให้เขาเข้าใจการไหลของบทละคร จดจำมันราวกับบันทึกลงในกล้ามเนื้อจนกลายเป็นการตอบโต้โดยอัตโนมัติ แต่ในอีกทางหนึ่ง เสียงของภรรยาเป็นเสียงของภูติผีที่ยังคงหลอกหลอนเขาไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย และเขาพูดเสมอว่าบทละครของเชคอฟนั้นทรงพลังมากๆ ถ้าปล่อยตัวไปกับตัวบท ตัวบทจะกลืนกิน และเขาก็ปล่อยให้มันกลืนกิน ตัวบทของเชคอฟ ซึ่งเต็มไปด้วยถ้อยคำที่บริภาษวานยาจากคนอื่นๆ ศาสตราจารย์ มารดา ซอนยา เยเลานา แอสตรอฟ ทุกคนกลายเป็นคนเดียวคือโอโตะ ซึ่งคือเสียง และคือภรรยาของเขาเอง พื้นที่ในรถจึงเป็นทั้งห้องส่วนตัว ออฟฟิศ และห้องสารภาพบาปของเขา นรกและแดนลงทัณฑ์ของตัวเขาเอง ที่ที่เขาจะได้คร่ำครวญ ฟูมฟาย โดยอาศัยปากของวานยาทดแทนความอ่อนแอในใจ 

หนังบอกว่าเขาต้องเลิกขับรถเพราะเป็นต้อ มีจุดบอดในดวงตา จุดบอดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจุดบอดของดวงตาของเขาในการจ้องมองเข้าไปในภรรยา จุดบอดเป็นข้อบกพร่องที่เขาอยากกำจัด มีแต่การรู้ความจริงเท่านั้นที่จะทำให้จุดบอดในตาหายไป แต่ก็เป็นเช่นที่หมอบอก มันเป็นสิ่งที่รักษาไม่ได้ คุณเพียงหยอดตาเพื่อไม่ให้อาการแย่ลง สิ่งที่ทาคัตสึกิเตือนสติเขาก็เช่นกัน เราไม่สามารถมองเข้าไปในตัวคนอื่นได้อย่างหมดจดหรอก ที่มองได้ก็เพียงมองเข้าไปในตัวเอง และการมุ่งมองไปในตนเองอันที่จริง ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง มันต้องอาศัยผู้อื่น เพราะมันต้องรอจนคาฟุกุเปลี่ยนตัวเองจากผู้ขับไปเป็นผู้โดยสาร เมื่อนั้นเองเขาจึงได้มีโอกาสมองเข้าไปในตัวเองและได้ยินสิ่งที่เขาเฝ้าฟังมาโดยตลอด หลังจากฟังมาโดยตลอด เขาเพิ่งได้ยิน 

มันจึงเป็นความยอกย้อนที่งดงาม เมื่อหนังกำหนดให้ละครของคาฟุกุ เป็นละครหลายภาษา ผู้แสดงจากนานาชาติต่างเล่นไปตามภาษาของตน ภาษาที่ตนเองเข้าใจคนเดียว ภาษาจีนกลาง ญี่ปุ่น ตากาล็อก เกาหลี ภาษาใบ้ ในช่วงการฝึกซ้อม เขาคร่ำเคร่งกับการให้นักแสดงอ่านบท อ่านออกมาตามภาษาของตน อ่านเฉยๆ โดยไม่ต้องแสดงออกมาการอ่านซ้ำไปซ้ำมา บันทึกขั้นตอนและถ้อยคำตามแต่ภาษาของตน กล่าวให้ถูกต้องคือทุกคนจะเข้าใจเพียงบทของตน ส่วนที่เหลือที่เป็นภาษาอื่นเป็นเพียงสิ่งที่ถูกเว้นไว้ ทุกคนได้ยินเพียงเสียงของตัวเอง และค่อยๆ จมลงในบทบาทที่ตนได้รับราวกับเป็นจิ๊กซอว์เว้าแหว่งที่ประกบเข้าหากันเป็นภาพอันสมบูรณ์ เขาเชื่อว่าการอ่านบทซ้ำๆ จะทำให้ตัวละครสื่อสารกันโดยไม่ต้องโต้ตอบกับภาษา แต่รับรู้ผ่านสิ่งที่อยู่ลึกกว่า อาจจะผ่านจังหวะ การหายใจ ตัวบทที่จะให้ตัวละครสื่อสารกันโดยไม่ต้องเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด การแสดงที่ไม่ต้องแสดงอีกต่อไป เพราะตัวบทอยู่ในระดับที่ลึกกว่า การแสดงเช่นนี้ทำให้นึกถึงการกลายเป็นซาจิของแม่ของมิซากิ ที่เธอยังคงเฝ้าสงสัยว่านี่คือการไถ่บาปของแม่ หรือแม่มีสองบุคลิกจริงๆ ทุกคนแสดง ทุกคนเป็นคนสองบุคลิก ทั้งนักแสดงในละคร ภรรยาของคาฟุกุที่เป็นแลมป์เพรย์ และคาฟุกุที่เป็นคาฟุกุอยู่ข้างนอก และเป็นวานยาอยู่ข้างใน กลับด้านของตัวละครกับนักแสดง

ในตอนนี้เราควรกลับไปยังเรื่องเล่าของเด็กสาวแลมป์เพรย์อีกครั้ง หากกลับมาพิจารณาเรื่องเล่าของเด็กสาวที่ทิ้งเครื่องหมายเอาไว้ทุกครั้งที่เข้าไปในห้องของเด็กหนุ่มที่เธอแอบหลงรัก อันที่จริง เรื่องเล่านี้ก็เป็นเครื่องหมายที่เธอทิ้งไว้ให้กับเขามาตลอด เรื่องเล่าที่ไม่มีตอนจบ เป็นเหมือนผ้าอนามัยแบบสอด หรือชุดชั้นใน ถึงที่สุดภรรยาของเขาเองกลายเป็นเครื่องหมายสุดท้ายที่ทิ้งไว้ให้ เมื่อเธอกลายเป็นศพของโจรร้ายในบ้านของเด็กหนุ่ม หากโลกยังคงสงบสุข ชีวิตดำเนินต่อไป เด็กหนุ่มยังคงมีชีวิตราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงเล่นละครต่อไป เสียงกู่ตะโกนของเธอต้องหน้ากล้องวงจรปิด จึงกลายเป็นเสียงของการกู่ตะโกนว่า ที่แท้แล้วฉันคือแลมป์เพรย์ ฉันดูดกินเลือดเนื้อสัตว์ชนิดอื่นเพื่อมีชีวิต ยอมรับเถอะว่ามันเกิดขึ้นแล้ว และเสียงตะโกนสุดท้ายของฉันอยู่ในปลาตัวหนึ่งที่เธอกัดกิน นั่นคือทาคัตสึกิ

เช่นเดียวกับที่ทาคัตสึกิพูดบนรถ ตัวละครของเขาทำได้เพียงจ้องมองเข้าไปในตัวเองอย่างซื่อสัตย์ปล่อยให้ตัวบทของเชคอฟกลืนกิน ในทางตรงกันข้าม คาฟุกุที่เฝ้าฟังตัวบททั้งหมดซ้ำไปซ้ำมาแต่กลับไม่เคยได้ยินเสียงของตัวเอง เขาได้ยินเพียงเสียงของภรรยา ทุกตัวละครในบทของเชคอฟ กลายเป็นเป็นเพียงเสียงชนิดเดียว ด้วยดวงตาที่มีจุดบอด เขาเพ่งมองเข้าไปในภรรยาที่สูญดับโดยไม่อาจได้ยิน ที่ผ่านมาเขาทำเพียงจดจำเรื่องราวไว้ให้เธอเขียน เขาฟังสิ่งที่เธอเล่าโดยไม่ได้ยิน เช่นเดียวกับบทของเชคอฟ เขาท่องตามสิ่งที่ถูกเว้นไว้ เขาเปลี่ยนเสียงของตัวละครเป็นเสียงของเธอ หวังจะเติมเต็มภาพร่างที่เธอทิ้งไว้ให้แต่เขาไม่เคยฟังเสียงที่แท้จริงของมัน เสียงของตัวเองที่โต้ตอบกับผี จนเขาได้ฟังเสียงของทาคัตสึกิ เสียงของมิซากิ เสียงของซอนยา เสียงของคนอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตน เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงของตัวเอง และเสียงนั้นบอกว่ามันไม่เป็นไร เรื่องที่เขาไม่รู้เขาจะไม่รู้ไปตลอดกาล ชีวิตคือความทุกข์ทนเขาและเราทุกคนทำได้เพียงทุกข์ทนไปจนสุดทางและหวังว่าเมื่อโลกสูญดับพระเจ้าหรืออะไรก็ตามจะอนุญาตให้เราพักผ่อน

เรื่องราวในตอนนี้พาเราย้อนกลับไปยังบทสนทนาของแม่ของแคที่ในหนัง Shang-Chi ที่บอกว่า ‘การมูฟออนนั้นน่ะเป็นเรื่องของพวกอเมริกันเท่านั้น’ และพาเรากลับไปหาหนังเรื่อง ฮาวทูทิ้ง กลับไปยังคำพูดของพี่เอ็มที่พูดกับจีน หลังจากกลับมาพบกันใหม่เพื่อคืนของและ ‘มูฟออน’ ไปจากกัน พี่เอ็มบอกว่า ถ้าจีนรู้สึกอยากจะขอโทษจริงๆ แน่จริงก็ ‘ก็รู้สึกผิดไปด้วยกันให้ตลอดสิ’ ในขณะที่โลกสมัยใหม่หมกมุ่นอยู่กับการจัดการกับอดีตให้เป็นเพียงเรื่องที่จบไปแล้ว คนที่ตายไปแล้ว แล้วก้าวต่อไป (เพื่อเป็นหนึ่งในกำลังการผลิตของทุนนิยม) Drive My Car กล่าวถึงการหมกมุ่นอยู่กับอดีต การปล่อยให้ความต้องการที่จะก้าวพ้นอดีตแผดเผา เพราะอดีตกลายเป็นสิ่งที่ไม่ตาย เป็นเรื่องที่เราไม่มีวันรู้ เป็นเสียงที่คอยหลอกหลอนในเทปคาสเซ็ท เป็นปากของแลมป์เพรย์ที่ยึดติดอยู่กับหิน การมูฟออนของวานยา ของมิซากิ ของทาคัตสึกิ และของคาฟุกุ ไม่ใช่การทำให้อดีตนั้นจบลง หรือการหมกมุ่นอยู่กับมัน ไม่ใช่การต่อสู้และเอาชนะอดีต แต่ในที่สุดมันกลับเป็นการยอมจำนนกับอดีต การอยู่ร่วมกับผีที่ตายไปแล้ว การรู้สึกผิดไปด้วยกันตลอด การยอมแพ้ให้เสือสมิงจากความทรงจำในหนังของอภิชาติพงศ์กลืนกินและกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน คนที่มีชีวิตอยู่ก็จะเฝ้าคิดถึงคนที่ตายไป มีชีวิตต่อไป จนกว่าวาระสุดท้ายอันเงียบงันจะมาถึง

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here