ไม่ว่าใครที่ได้พบ อีเมลดา มาร์กอส ก็ต้องยอมรับกันทั้งนั้นว่าเธอมีสไตล์จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ใส่ คอลเล็กชันงานศิลปะระดับโลกที่สะสม หรือเรื่องกล่าวขานเกี่ยวกับรองเท้า 3,000 คู่ของเธอที่เก็บไว้ในทำเนียบประธานาธิบดี
เธอยังกล่าวเสมอว่า เธอต้องการเป็นแม่ของคนทั้งโลก และการแต่งตัวงดงามของเธอก็เป็นเสมือนดาวประกายพฤกษ์ในค่ำคืนที่มืดมิดของคนยากไร้ เธอปกครองด้วย “ความรัก” และให้เหตุผลถึงการใช้จ่ายอย่างฟุ้งเฟ้อของตัวเองว่าเป็นเพราะ “ความรักมันวัดประเมินค่าไม่ได้”
ยังไม่รวมอีกสารพันสิ่งที่เธอเล่นบทเหยื่อของขบวนการยุติธรรมฟิลิปปินส์ที่ต้องการยึดทรัพย์และดำเนินคดีกับเธอเป็นร้อยคดี อาจกล่าวได้ว่า อีเมลดาเป็นคนหนึ่งที่ใช้ “ความเป็นหญิง” ของตัวเองได้อย่างถูกที่ ถูกเวลา จนเธอสามารถผลักดัน บองบอง มาร์กอส ลูกชายของเธอให้มาได้ไกลอย่างทุกวันนี้ ทั้งที่เคยถูกฝูงชนขับไล่ออกนอกประเทศไปแล้วครั้งหนึ่ง!
อาจกล่าวได้ว่า อีเมลดาเป็นคนหนึ่งที่ใช้ “ความเป็นหญิง” ของตัวเองได้อย่างถูกที่ ถูกเวลา จนเธอสามารถผลักดัน บองบอง มาร์กอส ลูกชายของเธอให้มาได้ไกลอย่างทุกวันนี้ ทั้งที่เคยถูกฝูงชนขับไล่ออกนอกประเทศไปแล้วครั้งหนึ่ง!
เจน ลาซาร์ นักเขียนและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี ได้กล่าวไว้ในบทบรรยายของเธอที่บาร์เซโลนาในปี 2018
อาจกล่าวได้ว่า อีเมลดาได้สร้างเรื่องเล่าของเธอผ่านลูกชายได้อย่างดีจริงๆ บองบอง มาร์กอสได้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ปี 2022 เรียบร้อยแล้ว โดยเขามักให้เครดิตอยู่เสมอว่าแม่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเขา อันที่จริง ไม่มีใครรู้ว่าบองบองอยากเป็นประธานาธิบดีจริงหรือไม่ จากเรื่องเล่าของลูกชายของบองบอง เขาเป็นเพียงหนุ่มเนิร์ดคนหนึ่งที่อยากทำงานกับฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ แต่เฟอร์ดินาน มาร์กอส ผู้พ่อ ผลักดันเขาให้เล่นการเมืองเพราะทำเงินได้มากกว่า
อย่างไรก็ตาม บองบองได้กลายเป็นกระบอกเสียงของอีเมลดา เป็นผู้สืบทอดตำนานของความเป็นสตรีหมายเลขหนึ่ง ซึ่งคนจะยังจดจำได้เสมอทุกครั้งที่เห็นบองบอง
ในพื้นที่ทางการเมือง เมื่อผู้หญิงออกมาทำอะไรมักจะถูกครหาได้ง่ายเสมอ หากผู้หญิงทำตัวมีอำนาจ ตัดสินใจเด็ดขาด ใช้เหตุผลเหนืออารมณ์ พวกเธอมักจะถูกมองว่าแข็งกร้าว แต่เมื่อพวกเธอร้องไห้ พวกเธอก็จะถูกหาว่าอ่อนแอ และไล่ให้กลับไปอยู่บ้าน
บทบาทหนึ่งที่สลักสำคัญและเป็นบทบาทเดียวที่ผู้หญิงจะใช้เล่นการเมืองได้ก็คือบทบาท “แม่” อันที่จริงแม่สำคัญกว่าบทบาทเมียเสียด้วยซ้ำ เพราะความเป็นแม่มีความเป็นการเมืองพร้อมๆ กับที่เป็นเรื่องส่วนตัว ในขณะที่แม่ต้อง ‘จัดหา (provide)’ ทุกสิ่งให้กับคนในบ้านนั้น แม่ก็ provide ความปลอดภัยด้านประชากรและความมั่งคั่งให้แก่ชาติด้วย ด้วยเหตุนี้ สตรีในสมัยก่อนที่ไม่สามารถมีบุตรได้จึงถูกครหาอย่างรุนแรงว่านำความเสื่อมเสียมาให้วงศ์ตระกูล ทั้งที่จริงภาวะเจริญพันธุ์ขึ้นอยู่กับผู้ชายด้วย
บทบาทหนึ่งที่สลักสำคัญและเป็นบทบาทเดียวที่ผู้หญิงจะใช้เล่นการเมืองได้ก็คือบทบาท “แม่” อันที่จริงแม่สำคัญกว่าบทบาทเมียเสียด้วยซ้ำ เพราะความเป็นแม่มีความเป็นการเมืองพร้อมๆ กับที่เป็นเรื่องส่วนตัว ในขณะที่แม่ต้อง ‘จัดหา (provide)’ ทุกสิ่งให้กับคนในบ้านนั้น แม่ก็ provide ความปลอดภัยด้านประชากรและความมั่งคั่งให้แก่ชาติ
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องที่ชาญฉลาดอย่างมากที่อีเมลดานำบทบาทแม่ของตนเองมาใช้ทางการเมือง และมันก็ประสบความสำเร็จอีกด้วย บทบาทแม่ยังมีความหมายโดยนัยที่ซ่อนอยู่นั่นคือคนที่ทำเพื่อคนอื่นอย่างแท้จริง ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่สวัสดิภาพของลูก (หรือประชาชน) มาก่อน และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่เธอเลือกทำงานกับโรงพยาบาลและเด็กๆ เพื่อสร้างภาพเหล่านี้ขึ้นมา
อีกบทบาทหนึ่งที่อยู่ในความเป็นแม่ ก็คือผู้ประสานความขัดแย้ง แม่จะต้องโอบอุ้มทุกคนด้วยความรักความเมตตา เธอจึงมักยกเรื่องราวของเธอที่ไปพบกับประธานาธิบดีและคนสำคัญต่างๆ ในต่างประเทศมาพูดถึงเสมอ เช่นที่เธอกล่าวว่า เหมาเจ๋อตงบอกว่าเธอทำให้สงครามเย็นจบลงได้ เธอกำลังสร้างภาพของสันติภาพที่สอดรับกับความเป็นแม่ และความเป็นผู้หญิงของเธอ เพื่อสร้างภาพจำให้แก่ฟิลิปปินส์
“ในการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยบุคลิกภาพ ความเป็นแม่ทำให้มีทางลัดเกิดขึ้น มันช่วยทำให้นักการเมืองดูเป็นคน มันสามารถถูกใช้เพื่อสร้างภาพความอบอุ่นทางความรู้สึกและความเห็นอกเห็นในในยุคที่ผู้นำถูกคาดหวังให้ “เข้าใจ”ผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง”
เมื่อประชาชนทลายเข้าไปในทำเนียบประธานาธิบดี สิ่งที่พวกเขาเห็นจึงน่าตกใจ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าอีเมลดาสะสมเพียงความมั่งคั่งเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ตำนานรองเท้า 3,000 คู่ได้ทำลายภาพของแม่ที่ไม่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่ส่วนรวมลง นั่นทำให้มันเป็นที่กล่าวขานเพราะมันขัดกับภาพลักษณ์ที่เธอใช้เวลาบ่มเพาะมานานนับสิบปี กลับกลายเป็นว่าเธอประสบความสำเร็จในการพูดให้คนเชื่อ แต่ล้มเหลวในการทำให้คนเชื่อเกี่ยวกับความเป็นแม่ของตัวเอง
แต่การแต่งตัวและออกงานสังคมก็ไม่ใช่ข้อเลวร้ายเสมอไป มีคนกล่าวไว้ว่า อีเมลดากับทรัมป์มีสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือพวกเขา “ถูกประเมินไว้ต่ำเกินไป”
อีเมลดาใช้ความพยายามและงบประมาณจำนวนมากไปกับการเข้าร่วมงานสังคมเพื่อสร้างภาพการเป็นคนสนิทกับดาราดัง ผู้นำประเทศ หรือแม้กระทั่งพระสันตะปาปา ดูเหมือนอะไรบางอย่างในตัวเธอทำให้การสนิทกับเหล่าคนดังเป็นไปอย่างง่ายดาย แอนดี้ วอร์ฮอล์ ศิลปินคนดังเคยถึงกับเล่าเกี่ยวกับเธอว่า เมื่อเธอไปปาร์ตี้จะไม่มีอะไรหยุดเธอได้และเธอจะเป็นคนสุดท้ายที่กลับเสมอ เธอถึงกับ “เชิญตัวเอง” ไปในงานรับตำแหน่งของประธานาธิบดีนิกสันและพยายามเข้าไปสนิทกับพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งที่ Opera House บางครั้งคนก็เปรียบเทียบเธอเข้ากับสตรีหมายเลขหนึ่งของอาร์เจนตินา คือ เอวา เปรอน ซึ่งเป็นหน้าเป็นตาให้แก่รัฐเผด็จการของสามีเธอ แต่อีเมลดาไม่ชอบใจนักที่ถูกเปรียบเทียบเข้ากับเอวา
อย่างไรก็ตาม เราสามารถเชื่อได้ว่า การที่อีเมลดาพยายามเข้าไปสนิทกับคนดังและออกงานสังคมอยู่บ่อยๆ นั้นมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่ นั่นคือการทำให้ตัวเองเป็นไอคอนของยุค อย่างที่เธอประสบความสำเร็จในการสร้างภาพจำดังกล่าวขึ้นมานั่นเอง