Home Review Film Review จอมโหดมนุษย์ซีอิ้ว+ : เมื่อภาพยนตร์พักผ่อนในเวลาว่าง

จอมโหดมนุษย์ซีอิ้ว+ : เมื่อภาพยนตร์พักผ่อนในเวลาว่าง

จอมโหดมนุษย์ซีอิ้ว+ : เมื่อภาพยนตร์พักผ่อนในเวลาว่าง

ชายหนุ่ม 3 คนนั่งถองเหล้ากันอยู่ที่ชานบ้านในยามค่ำคืนในวันว่าง นี่ดูเป็นการสังสรรค์ประจำสัปดาห์หรือเดือนของเพื่อนกลุ่มนี้ พวกเขาหน้าแดงกึ่ม ๆ ประหนึ่งเริ่มเมาได้ที่ พูดคุยกันด้วยเรื่องราวที่จับหาสาระได้ยากพอ ๆ กับหาแท็กซี่คันว่างที่จะรับเราในคืนวันศุกร์ที่ฝนตก หัวข้อสนทนาเดินทางไปมาจากเรื่องเพื่อนในกลุ่ม พูดเรื่องวิธีการพูด เรื่องการเลี้ยงดูลูก การดูแลพี่น้อง ความเมามายทำให้เราไม่แน่ใจว่าเราจะถือบทสนทนานี่จริงจังเพียงไหนและเสียงอื้ออึงทำให้คนดูบางส่วนต้องพึ่งพาซับไตเติ้ลอังกฤษแม้ว่าหนังจะเป็นภาษาไทยก็ตาม กล้องส่ายไหวระยะแคบจับจดเพียงใบหน้าของตัวละครที่พร้อมจะหลุดพริ้วหล่นหายไปจากขอบเฟรมยิ่งทำให้ตัวหนังแลดูเหมือนงานโฮมวิดีโอที่เพื่อน ๆ ถ่ายเล่นกันก่อนตอนเมา แม้ความเข้มข้นทางอารมณ์ของบทสนทนาจะทบทวีขึ้นเรื่อย ๆ ตามปริมาณแอลกอฮอลล์ที่ไหลลงคอไป แต่ทุกอย่างก็ยังดูผ่อนคลายเพราะนี่คือเวลาแห่งการพักผ่อน

ฉากข้างต้นเป็นหนึ่งในซีนหนังเรื่อง จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+ (ต่อไปขอเรียกว่า จอมโหดฯ) ภาพยนตร์อิสระไทยที่สำคัญที่คุณไม่เคยรู้จัก ผู้กำกับ ไพสิฐ พันธุ์พฤกษชาติ หรือ เคี้ยงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะของคนทำเสียงในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยแต่ในขณะเดียวกันเขาเองก็เป็นผู้กำกับที่หาเวลาว่างออกมารังสรรค์งานของตัวเองด้วยเช่นกัน

ความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงของการทำงานกับเวลาว่างเป็นโครงสร้างเงื่อนไขสำคัญของภาพยนตร์โดยทั่วไปอยู่แล้ว ในมุมมองคนทั่วไปภาพยนตร์เป็นเรื่องของเวลาว่างการพักผ่อน เราเดินทางไปดูหนังในยามว่าง หลังเลิกงานหรือวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ในขณะเดียวกันในมุมของคนทำงาน หนังคืองาน คือสิ่งที่อยู่ในเวลางาน เราต้องผลิตมันขึ้นมาเพื่อให้เกิดงานและรายได้ แต่กับหนังอิสระทุนต่ำเงื่อนไขอาจซับซ้อนขึ้นไปอีก นั่นคือ คนทำหนังที่ในเวลาปกติทำงานแบบหนึ่ง (เช่นในกรณีนี่คือทำเสียง) ต้องหาเวลาว่างมาทำหนังอิสระซึ่งเป็นหนังที่แตกต่างจากหนังทั่วไปในระบบสตูดิโออันเป็นงานปกติ คนทำงานจึงต้องใช้เวลาว่างเพื่อจะมาทำหนัง และความซับซ้อนทวีขึ้นเมื่อหนังที่ว่าก็เป็นหนังที่เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของตัวละครกำลังพักผ่อนด้วยการร่ำสุราอาหารบุหรี่กับเพื่อนพ้อง

People on Sunday (1930)

แต่ก่อนที่เราจะลองไปสำรวจลึกถึงการพักผ่อนในจอมโหด ฯ เราอาจกลับไปดูหนังเรื่องสำคัญของประวัติศาสตร์หนังโลกที่ว่าด้วยการทำงานและเวลาว่างอย่าง People on Sunday (1930) ของ Robert Siodmak และ Edgar G. Ulmer เมื่อปี 1929 เขาทั้งคู่ในฐานะผู้กำกับได้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงฤดูร้อน ณ กรุงเบอร์ลิน โดยจุดเด่นสำคัญของหนังเรื่องนี้คือเป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้นเพราะนักแสดงว่างแค่วันนั้น นักแสดงหลักทั้ง 5 คนเป็นนักแสดงสมัครเล่นที่ต่างคนต่างมีงานประจำอย่างอื่นอยู่แล้วเช่น คนขับรถ นางแบบ คนขายแผ่นเสียง ฯลฯ การถ่ายทำจึงถ่ายกันเฉพาะวันอาทิตย์ไปตลอดทั้งฤดูร้อน เนื้อหาของหนังก็ว่าด้วยคนหนุ่มสาว 2 คู่เดินทางไปพักผ่อนกันที่สวนแห่งหนึ่งในวันอาทิตย์ที่ประชาชนชาวเยอรมันในยุคนั้นก็ไปพักผ่อนกันในวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นกัน แต่เนื้อหาบนจอหนังปะปนไปด้วยเรื่องรักหลายเส้าและภาพผู้คนจริง ๆ ในยุคนั้นพักผ่อนหย่อนใจ ไปเล่นน้ำในทะเลสาบ พ่อแม่พาลูกมาปูเสื่อนอนเล่น คนทะยอยไปต่อคิวถ่ายรูป ฯลฯ จนผลสรุปสุดท้ายได้หนังที่ก้ำกึ่งผสมระหว่างเรื่องแต่งและสารคดี หนังมีชื่อรองว่า A Film without Actors หนังที่ไม่มีนักแสดง

หนังถ่ายในวันว่างว่าด้วยเวลาว่างกลายเป็นเทรดมาร์คที่หนังเงียบเรื่องนี้เป็นที่จดจำ ความน่าสนใจต่อมาคือในปี 2019 คนทำหนังชาวไทย ตุลพบ แสนเจริญ ได้ “รีเมค” People on Sunday ขึ้นมาในรูปแบบของภาพยนตร์สั้นเชิงทดลองที่พานักแสดงไทยกลุ่มหนึ่งไป “พักผ่อน” ที่สวนในประเทศไทย แล้วทำการแสดงซ้ำเรื่องราวในหนังต้นฉบับอีกครั้ง แต่สิ่งที่หนังเวอร์ชั่นตุลพบตั้งคำถามกลับไปก็คืออะไรคืองาน อะไรคือเวลาว่าง การที่นักแสดงต้องใช้เวลาว่างจากงานประจำมาถ่ายหนังเรื่องหนึ่งนี่คือเขากำลังไปทำงานหรือกำลังพักผ่อน ? การที่นักแสดงต้องไปแสดงว่าตัวเองพักผ่อนอยู่ด้วยการนอนโพสบนพื้นหญ้าหรือโขดหินหรือบนเรือพาย การจัดท่าทางว่าตัวเองสบายมันสบายจริงไหม ? และเมื่อท่าพักยังต้องประดิดประดอยมันจะเป็นการพักได้จริงหรือไม่ ?

People on Sunday ฉบับเยอรมันทำงานผ่านการเล่าเรื่องชีวิตรักหลายเส้าในบ่ายวันอาทิตย์อันรื่นรมย์ People on Sunday ฉบับไทยไม่ได้ทำงานผ่านการเล่าเรื่องของนักแสดงกลุ่มใหม่ แต่ทำงานผ่านการตั้งคำถามกลับไปยังต้นฉบับถึงเบื้องหลังกระบวนการของฉบับเยอรมันว่าด้วยประเด็นการทำงานและการพักผ่อน หนังทั้ง 2 เรื่องในชื่อเดียวกันมีการทำงานกันคนละแบบ หนึ่งคือการเล่าเรื่อง สองคือการตั้งคำถาม โดยเราอาจจะมองหาการทำงานแบบที่ 3 ที่อยู่ระหว่าง 2 ขั้วนี้ผ่านภาพยนตร์พักผ่อนอีกเรื่อง นั่นคือ จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+

จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+ เป็นหนังเกี่ยวกับอะไรกันแน่ เราอาจจะตอบอย่างง่ายที่สุดว่ามันเกี่ยวกับวุฒิ ชายหนุ่มวัย 35 ปีคนหนึ่งกับชีวิตประจำวันของเขาที่ทำงานเกี่ยวกับการดูแลขนส่งสินค้า แต่สิ่งที่ดูเป็นกิจกรรมหลักของวุฒิในแต่ละวันคือการไปร่ำสุราดูดบุหรี่กับผองเพื่อนอย่างเฮียใหญ่ ทอแสง คุณ มุ่ย ฯลฯ และเนื้อหาสาระของสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันก็ล้วนมโน่สาเร่สารพันหลากหลายและไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเอกภาพถ้วนทั่วกันตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่เรื่องพฤติกรรมขี้แล้วไม่ราดส้วม นักปรัชญาศตวรรษที่ 18 การดูดวงจากไพ่ ทำไมซีอิ๊วชอบมีชื่อยี่ห้อเป็นนกเพนกวิน ฯลฯ วุฒิดูเป็นชายหนุ่มฉลาดอ่านหนังสือเยอะพอประมาณมีการอ้างอิงความรู้ปรัชญาทั้งตะวันตกและจีน แต่การพูดคุยแลกเปลี่ยนของวุฒิกับเพื่อนรอบข้างก็เป็นไปเพื่อการโต้เถียงแลกเปลี่ยนเพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้มากกว่าจะเพื่อไปถึงข้อสรุปจุดหมายใด ๆ (หรือกล่าวอย่างง่ายคือ คุยเพื่อให้ได้คุยต่อ มากกว่าคุยเพื่อให้ได้จุดหมาย)

แต่เมื่อพินิจเนื้อหาในหนังดี ๆ แล้ว จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+ มิได้มีเนื้อเรื่องในลักษณะของหนังปกติทั่วไปที่เล่าเรื่องของตัวละครผู้ทำภารกิจเพื่อบรรลุสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยมีอุปสรรคขัดขวาง ในทางตรงข้ามเนื้อเรื่องของจอมโหด ฯ แม้จะมีตัวละครที่ยืนเรื่อง (วุฒิ) แต่เขามิได้มีความต้องการที่ชัดเจนว่าต้องการอะไร และเขาก็ไม่ได้มีอุปสรรคมาขัดขวางชีวิตของเขา เนื้อหาในแต่ละช่วงของหนังก็ไม่แตกต่างจากตัวบทสนทนาของวุฒินัก นั่นคือเป็นความเรื่อยเปื่อยเอื้อยเจื้อยของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เว้นว่างจากภาระการงานในชีวิตประจำวันมาหย่อนใจกันเฉย ๆ ในเวลาหัวค่ำและวันหยุด แม้แต่กระบวนการทำหนังเองก็เหมือนกำกวมอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นว่านี่เป็นหนังที่มีบทภาพยนตร์ตายตัวซึ่งนักแสดงและทีมงานต้องดำเนินไปตามกำหนดการ หรือเป็นการถ่ายหนังในเวลาว่างของทีมงาน นักแสดง ที่ผู้กำกับไปถ่ายบรรดานักแสดงในคราบตัวละครตอนหลังเลิกงานพักผ่อนและพูดคุย

เนื้อหาในแต่ละช่วงของหนังก็ไม่แตกต่างจากตัวบทสนทนาของวุฒินัก นั่นคือเป็นความเรื่อยเปื่อยของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เว้นว่างจากภาระการงานในชีวิตประจำวันมาหย่อนใจกันเฉย ๆ ในเวลาหัวค่ำและวันหยุด แม้แต่กระบวนการทำหนังเองก็เหมือนกำกวมอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นว่านี่เป็นหนังที่มีบทภาพยนตร์ตายตัวซึ่งนักแสดงและทีมงานต้องดำเนินไปตามกำหนดการ หรือเป็นการถ่ายหนังในเวลาว่างของทีมงาน นักแสดง ที่ผู้กำกับไปถ่ายบรรดานักแสดงในคราบตัวละครตอนหลังเลิกงานพักผ่อนและพูดคุย

หนังเปิดซีนแรกมาเป็นวุฒิคุยกับชายหนุ่มอีกคนที่ร้านอาหารว่าด้วยการหาคนมาช่วยงานขับรถ หลังจากนั้นเราเห็น วุฒิ ทำงานบ้างในบางเวลา ขับรถส่งของหรือการตระเตรียมลูกน้องในการขนส่งเวลาเจอปัญหากับเจ้าหน้าที่ แต่เวลาส่วนใหญ่จริง ๆ ของหนังไม่ได้สนใจวุฒิในฐานะคนทำงาน แต่เป็นวุฒินอกเวลางานแทน แม้เนื้อหาของหนังจะมีความประพิมพ์ประพายคล้ายกับ People on Sunday ที่มีทั้งการพูดถึงวันทำงานและวันหยุดในจอ (ตัวละครไปเที่ยว) และนอกจอ (ถ่ายในวันว่างของนักแสดง) แต่จอมโหด ฯ กลับขยายขอบเขตของการพักผ่อนไปอีกชั้น นั่นคือ ในขณะที่ People on Sunday ฉบับเยอรมัน นักแสดงต้องรับบทบาทสมมติเรื่องรักวุ่น ๆ จนดูออกว่าเป็นเรื่องแต่ง นักแสดงใน จอมโหดฯ นี่กลับทำให้คนดูดูแล้วกังขาว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ? นี่เป็นการแสดงหรือไปถ่ายคนกินเหล้ากันเฉย ๆ ? ถ้านักแสดง People on Sunday ทำงานขณะแสดง นักแสดงใน จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+ เหมือนทำในสิ่งที่ตรงข้าม พวกเขาพักผ่อนขณะแสดง และสิ่งที่ไปไกลยิ่งกว่านักแสดงพักผ่อนขณะแสดงก็คือ ภาพยนตร์พักผ่อนจากการเป็นภาพยนตร์

หนังที่ไม่มีเนื้อเรื่องให้จับต้องแบบภาพยนตร์ในขนบคลาสสิกทั่วไป ไม่ได้แฝงสาระหรือตั้งใจจะบอกกล่าวประเด็นสาระใหญ่อึ้งแบบหนังข่าวหรือสารคดี อีกทั้งยังไม่มีความวูบวาบดูดยอดวิวแบบสื่อออนไลน์สมัยใหม่ จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+ คือบทบันทึกความอ้อยอิ่งในยุคเปลี่ยนผ่านสหัสวรรษที่น่าใคร่ครวญ จอมโหดมนุษย์ซีอิ้ว+ เป็นเหมือนหนังที่สร้างขึ้นด้วยสุนทรียะแบบสุรุ่ยสุร่าย กล้องของหนังถ่ายดะไปหมด เก็บบันทึกห้วงขณะต่าง ๆ อย่างปนเป มีทั้งช่วงตอนที่ทั้งดีและไม่ดี น่าเบื่อและเพลิดเพลิน มีเรื่องราวและไม่มีเรื่องราว ลึกซึ้งและตื้นเขิน มันไม่มีลำดับชั้นของเหตุการณ์ ไม่มีการคัดกรองว่าหนังต้องมีแต่โมเมนต์ที่ “ดี” ไม่มีการเรียงลำดับอารมณ์ไปสู่จุดไคลแมกซ์แบบปกติ ทุกซีนไม่ได้มีอันใดสำคัญกว่าซีนไหน มีแต่ซีนที่คนดูชอบไม่ชอบมากน้อยต่างกันไป อีกทั้งยังไม่แก่นแกนกลางที่จะให้คนดูยึดจับได้ เราปล่อยให้แต่ละนาทีของหนังไหลผ่านเราไปอย่างเรื่อยรื่น

ขณะที่เราดูจอมโหดฯ เราอาจะต้องปรับตัวเองให้อยู่ในโหมดเดียวกับตัวละครในเรื่อง คืออาการกึ่งเมานิด ๆ กับเพื่อน พูดคุยเลี้ยวเลาะสนทนาแบบไม่ประสงค์จะจับสารจับแก่นอะไรให้เป็นชิ้นอัน วงสนทนาของคนเมาที่อาจจะประสมกันทั้งความไร้สาระ มุขตลกและปรัชญา แต่ถึงที่สุดเราก็ไม่ได้คาดหวังจะได้อะไรจากมันนอกจากความรื่นรมย์ในโมงยามหลังงานเหนื่อย ลักษณะภาษาภาพของหนังที่ไม่สมบูรณ์แบบตามขนบก็ช่วยสะท้อนภาวะตรงนี้ของมัน การเคลือนกล้องอย่างมีข้อจำกัด ถ่ายติดตัวละครบ้าง หลุดบ้าง ชัดบ้าง เบลอบ้าง กลายเป็นความดิบที่หลุดพ้นจากความพยายามจะทำตามขั้นตอนของหนังทั่วไป

จอมโหดมนุษย์ซีอิ๊ว+ คือบทบันทึกความอ้อยอิ่งในยุคเปลี่ยนผ่านสหัสวรรษที่น่าใคร่ครวญ เป็นเหมือนหนังที่สร้างขึ้นด้วยสุนทรียะแบบสุรุ่ยสุร่าย กล้องของหนังถ่ายดะไปหมด เก็บบันทึกห้วงขณะต่าง ๆ อย่างปนเป ไม่มีการคัดกรองว่าหนังต้องมีแต่โมเมนต์ที่ “ดี” ไม่มีการเรียงลำดับอารมณ์ไปสู่จุดไคลแมกซ์แบบปกติ อีกทั้งยังไม่แก่นแกนกลางที่จะให้คนดูยึดจับได้ เราปล่อยให้แต่ละนาทีของหนังไหลผ่านเราไปอย่างเรื่อยรื่น

โดยทั่วไป หนังของไพสิฐอาจหาดูได้ไม่ง่ายนักนอกบริบทเทศกาลหนังด้วยว่ามันไม่ได้ถูกผลิตขึ้นในระบบภาพยนตร์พานิชย์ทั่วไปที่เอาเข้าฉายโรงภาพยนตร์ใกล้ – หรือไกลบ้านท่าน แล้วแต่ว่าท่านมีบ้านเลขที่อยู่ที่ไหน – ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ท่านจะไม่เคยได้ยินหรือได้ดูหนังเรื่องนี้มาก่อน และด้วยความที่เป็นหนังนอกกระแส การจดบันทึกของตัวหนังเองก็ตกหล่นสูญหายเหลือไว้แต่ความทรงจำประหนึ่งเกร็ดเรื่องเล่ามุขปาฐะให้สืบสาวกันไป ตัวผู้กำกับเล่าว่าหลังจากหนังสร้างเสร็จได้ฉายครั้งแรกที่งานฉายหนังดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์ด้วยม้วนเทปวิดีโอและหลังจากนั้นก็มีโอกาสฉายในงานเล็กงานน้อยก่อนจะมีการฉายเวอร์ชั่นตัดสั้นหนึ่งชั่วโมงในงานเทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพ ฯ แล้วหนังก็ประหนึ่งจะหายสาปสูญและปรากฏเป็นเพียงชื่อ (ที่ติดหู) ตามหน้ากระดาษบทความเขียนถึงภาพยนตร์อิสระของไทย ดังนั้นถึงแม้คุณจะเคยได้ยินชื่อหนังมาก่อนก็อาจจะหาโอกาสดูได้ยากอยู่ดี จนเมื่อปี 2019 มีการนำภาพยนตร์เรื่องนี้กลับมาฉายแบบพานิชย์อีกครั้งที่ Doc Club Theatre ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะลองมาทำความรู้จักและร่วมหย่อนใจไปกับเสน่ห์รสแปร่งของภาพยนตร์เรื่องนี้


ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่ Doc Club on Demand

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here