Home Review Film Review The Black Godfather – ข้อเสนอจากพลังของคนผิวดำที่ปฏิเสธไม่ได้

The Black Godfather – ข้อเสนอจากพลังของคนผิวดำที่ปฏิเสธไม่ได้

The Black Godfather – ข้อเสนอจากพลังของคนผิวดำที่ปฏิเสธไม่ได้

มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงชายปริศนาคนนี้มากมาย จากบุคคลที่มีชื่อเสียงหลากหลายวงการ

เจมี่ ฟอกซ์บอกว่า มีแค่คนเดียวที่จะสามารถช่วยตัดสินใจ หรือทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อพบกับชายคนนี้ เขาคือบุคคลลึกลับที่แม้แต่ผู้ทรงอิทธิพลหลายคนในวงการดนตรียังต้องให้ความยำเกรง

อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า บอกว่าชายผู้นี้คือพลังที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่เบื้องหลัง

อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน กล่าวไว้ว่า คำแนะนำของชายคนนี้มีคุณค่ามากกว่าใครหลายๆ คน ที่เขาเคยพบเจอมาในชีวิตเสียอีก

สนู๊ป ด็อกก์ บอกว่า “โอ้ยเพื่อน! เขาทั้งพูดจริง ทำจริง เป็นงานเป็นการ มืออาชีพ เนี่ยน่ะของจริงในวงการ”

เจมส์ บราวน์ เคยกล่าวไว้ว่า คนผิวขาวหลายคนยังต้องเคารพเขาเลย หลายคนกลัวหมอนี่จะตาย

คนในวงการหลายๆ คน ล้วนต้องเคยเกี่ยวข้องกับเขา ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ทั้งควินซี่ โจนส์, มูฮาหมัด อาลี, ไมเคิล แจ็คสัน ไปจนถึงบรู๊ซ ลี เขาเป็นชายที่รุ่นใหญ่ในวงการบันเทิง และเจ้าของค่ายเพลงระดับใหญ่ในอเมริกาล้วนพูดถึงและให้ความเคารพ เขามีนามว่า คลาแรนซ์ อแวนต์ (Clarance Avant) ซึ่งเขาเป็นใครกันแน่ ทำไมทุกคนที่เป็นผู้ทรงอิทธิพลในหลากหลายวงการล้วนพูดถึงเขาในทางที่เป็นที่เคารพได้ขนาดนี้ และทำไมชื่อเสียงของเขาถึงไม่เป็นที่เล็ดลอดออกมาให้กับคนที่อยู่นอกวงการอย่างเราๆ นั้นรู้จักได้

ชีวิตของเขาเติบโตจากการดูแลร้านแห่งหนึ่งในนิว เจอร์ซีย์ โจ เกลเซียร์ (Joe Glazer) ซึ่งในตอนนั้นเป็นเอเจนท์ให้กับศิลปินชื่อดังมากมายจากยุค 50’s เช่น หลุยส์ อาร์มสตรอง, ดุค เอลลิงตัน, ซาราห์ วอห์น, บิลลี ฮอลลิเดย์ ซึ่งโจรู้จักผู้คนมากมายที่พร้อมจะทำให้เครือข่ายเขาแน่นแฟ้น และการทำงานของเป็นไปอย่างราบรื่น รวมไปถึง อัล คาโปน เจ้าพ่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงหนึ่ง โจได้ชักชวนคลาแรนซ์เข้ามาทำงานเป็นเอเจนต์และผู้จัดการ จากการที่เขาเห็นตอนที่กำลังโต้เถียงกับดินาห์ วอชิงตัน (Dinah Washington) ศิลปินที่เรียกได้ว่าหัวแข็งที่สุดในวงการคนหนึ่งที่ร้าน หลังจากนั้นชีวิตจริงๆ ของเขาก็เริ่มต้นขึ้น เขาได้รับความรู้ต่างๆ ในการทำงานและใช้ชีวิตจากโจ เกลเซียร์มากมาย และรวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ จนเขาเริ่มเขยิบขึ้นมาเป็นแนวหน้าในการเป็นเอเจนต์ของนักร้อง ศิลปิน และเป็นที่ไว้วางใจของโจ เกลเซียร์อย่างมาก ถึงขั้นเป็นคนสนิทของเขาเลยทีเดียว

สิ่งที่ทุกคนรู้จักคลาแรนซ์คือความสามารถจัดการทุกอย่างได้อยู่หมัด จากการที่เขาเป็นเอเจนท์ของศิลปิน และสามารถควบคุมข้อต่อรองให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ ถ้ามีใครสักคนในเครือข่ายที่เขาอยู่ด้วยต้องการสิ่งใด ในหน้าที่การงาน หรือเป้าหมายในอุดมคติ เมื่อไปหาเขา เขาสามารถทำทุกอย่างให้เป็นจริงได้ ซึ่งมีหลายกรณีมากที่จะเจอในหนัง ยกตัวอย่าง เช่น ลาโล ชิฟริน (Lalo Schifrin) ต้องการที่จะขยับจากการเป็นมือเปียโนให้กับดิซซี กิลเลสพี (Dizzy Gillespie ศิลปินแจ๊สผู้เล่นทรัมเป็ต) ไปเป็นคนทำเพลงสกอร์ในวงการโทรทัศน์ และภาพยนตร์ โจ เกลเซียร์ ยกหน้าทีนี้ให้เป็นของคลาแรนซ์ติดต่อให้เขาเข้าไปอยู่ในนั้นให้ได้ ด้วยเวทมนตร์ของแคลรานซ์ ปัจจุบันลาโล ชิฟรินทำเพลงให้กับหนังนับร้อยเรื่อง ผลงานโดดเด่นคือเพลงธีมของ Mission Impossible และ สกอร์เรื่อง Enter the Dragon ที่บรู๊ซ ลี ถูกใจมาก จนอาสาฝึกศิลปะการต่อสู้ให้เขาฟรี และสร้างโดโจให้เขาหนึ่งหลัง ชีวิตของลาโลนั้นเป็นที่ยอมรับในวงการ การันตีด้วยการรับรางวัลแกรมมี่ถึง 5 ครั้ง และเข้าชิงรางวัลออสการ์ 6 หน

ถึงแม้ว่าคลาแรนซ์จะชอบพูดว่า เขาทำทุกอย่างเพื่อเงิน คติประจำใจของเขาก็คือ “ชีวิตนั้นเริ่มต้นด้วยที่ตัวเลข และจบที่ตัวเลข” แต่ความหมายเต็มๆ ของเขาคือ เขาทำทุกอย่างเพื่ออุดมการณ์โดยมีเงินเป็นส่วนประกอบ เพราะนอกจากที่เขาจะทำงานที่เกี่ยวกับธุรกิจความบันเทิง ที่เม็ดเงินเป็นส่วนประกอบหลัก เขายังทำงานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรไม่แสวงหากำไรที่เคลื่อนไหวทางสังคมมากมาย ที่ล้วนมาขอความช่วยเหลือจากเขา ซึ่งในตอนแรกเขาปฏิเสธ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ทำอยู่ดี ถึงแม้การช่วยเหลือของเขาบางครั้งอาจไม่ได้หวังผลสำเร็จก็ตาม รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือให้แคมเปญของบารัค โอบาม่า ซึ่งในเขาคิดว่า ก็ทำๆ ไปอย่างนั้นแหละ ไม่มีทางชนะหรอก แต่ความหวังลึกๆ ของเขา ที่กลายเป็นความหวังลึกๆ ของชาวอเมริกันผิวดำหลายคนในประเทศ กลับกลายเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ของการเมืองอเมริกา บารัค โอบาม่ากลายเป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรก ซึ่งตัวบารัคนั้นซาบซึ้งในบุญคุณของคลาแรนซ์อยู่ตลอด

ผลงานที่สำคัญและขับเคลื่อนพลังของคนผิวดำของคลาแรนซ์คือการทำสารคดี Save the Children ที่ฉายในปี 1973 ซึ่งเป็นการบันทึกเทศกาลดนตรีความยาว 5 วัน ที่รวบรวมศิลปินนักดนตรีผิวดำมาแสดงได้มากที่สุดในอเมริกา ซึ่งบุคคลที่เป็นศูนย์กลางในเทศกาลนี้ เป็นผู้ที่รวบรวมศิลปินนักดนตรีผิวดำมาได้มากที่สุด ในขณะที่ยุคนั้นยังไม่มีใครที่จะคิดรวบรวมศิลปินที่อยู่ต่างค่ายมาอยู่ภายในเทศกาลเดียว และเขายังเป็นโปรดิวเซอร์สารคดีที่คอยดูแลภาพบันทึกภาพของเทศกาลนี้ คอยควบคุมภาพรวมของงานและสารคดี ทั้งควบคุมทีมงานที่เป็นคนผิวดำทั้งหมด เพื่อแสดงศักยภาพความสามารถของพวกเขา จนทำให้กลายเป็นการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของความเคลื่อนไหวของคนผิวดำ ก็คือคลาแรนซ์ อแวนต์คนนี้ ทำให้ทุกคนเริ่มมองเห็นว่าเขาต้องการที่จะเคลื่อนไหวทางสิทธิของคนผิวดำมาอยู่เรื่อยๆ แต่นี่คือเวลาที่เขาได้แสดงพลังของตัวเองได้สูงที่สุดครั้งหนึ่ง

ซึ่งการกระทำของคลาแรนซ์ที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์ที่ต้องแบกความลำบากของกลุ่มคนผิวดำเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนที่สามารถส่งเสียงได้ ในสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำและการถูกกดขี่ไม่ให้เกิดสิทธิและอภิสิทธิ์ขึ้นมาในหมู่คนผิวดำ นับว่าเป็นความกล้าผสมกับความบ้าอย่างมาก คลาแรนซ์ใช้อาวุธของเขาคือการเข้าไปเป็นตัวกลาง พลิกแพลงด้วยความสามารถในการเจรจา และทำให้เกิดขึ้นได้จริง ถึงแม้เขาจะบอกว่า เขายังไม่รู้เลยว่าที่ตัวเองทำนั้น ทำไปเพื่ออะไร แต่คนที่อยู่รอบข้างนั้นรู้เสมอว่า คลาแรนซ์มีอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และเขากำลังใช้ความอภิสิทธิ์พิเศษเหล่านี้ เบิกทางให้กับเพื่อนพ้องของเขาเอง ได้มีพื้นที่ในวงการการบันเทิง ได้สร้างความเท่าเทียมในการงาน ตำแหน่ง อาชีพ หรือความเป็นมนุษย์ให้กับทุกคน ที่หลายคนเรียกเขาว่าเป็นเจ้าพ่อ หรือ Black Godfather ตามชื่อเรื่อง เพราะเขาเป็นคนที่ประคองคนในวงการบันเทิงมากมาย ให้ลืมตาอ้าปาก และเปล่งประกายข้ามเวลามาจนถึงปัจจุบัน

หลังจากที่เล่าวีรกรรมความบ้าระห่ำของคลาแรนซ์มานาน หนังก็พาย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของเขา ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นของการดิ้นรนของคนผิวดำ ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจากการที่คนดำนั้นถูกกดขี่ ข่มเหง ทำร้าย แย่งชิงสิ่งที่เขาควรจะมีตั้งแต่แรกพร้อมกับกลุ่มคนผิวขาวในอเมริกา โดยคนผิวขาวในอเมริกา ทำให้เขามีเป้าหมายของการเคลื่อนไหวที่ขับเคลื่อนพลังของคนผิวดำโดยตลอด และใช้เครื่องมือที่เขามี คือวัฒนธรรม ทั้งภาพยนตร์ และดนตรี ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดคนหนึ่ง นั่นจึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ใครบางคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเขา นอกจากคนที่ทำงานด้วยกันเท่านั้น ที่จะสดุดีและชื่นชมในตัวของคลาแรนซ์ สังคมในสมัยนั้นยังมีความขัดแย้งระหว่างผิวสีปะทุอยู่ทุกวัน มีป้ายที่เขียนว่า “การรวมสีผิวกันคือคอมมิวนิสต์” สื่อเริ่มถูกคุกคามโดยประชาชนคนผิวขาว ไม่ให้มีการนำนักแสดงผิวดำมาเป็นตัวละครหลัก จิม บราวน์ (Jim Brown) นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลรูปร่างสูงใหญ่ขวัญใจทีมคลีฟแลนด์ บราวน์ในยุคนั้น ผันตัวมาเป็นนักแสดงจนได้มาเป็นพระเอกในเรื่อง 100 Rifles และมีฉากมีเพศสัมพันธ์กับนางเอกในหนังเรื่องนั้นด้วย ซึ่งทำให้สั่นคลอนความเชื่อและค่านิยมที่เคยมีในสมัยนั้นเรื่องสีผิวระหว่างคนผิวขาวและผิวดำ ที่คนผิวดำไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับคนผิวขาวด้วย ทำให้จิม บราวน์ได้รับการถูกขู่ฆ่า และด้วยการปฏิเสธอย่างรุนแรงที่ฝังลึกมาหลายร้อยปีนั้นเอง คนผิวดำน้อยคนนักจึงจะได้เข้าไปอยู่ในวงการดนตรี และความบันเทิง ยิ่งคนที่จะอำนาจในการเจรจากับผู้บริหารค่ายใหญ่ๆ หรือเจ้าของค่ายนั้นยิ่งหาได้ยาก แต่คลาแรนซ์คือหนึ่งในนั้น หรืออาจจะเป็นแค่คนเดียวที่สามารถพาตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดนั้นได้ ซึ่งเหตุผลนั้นอาจจะมีโจ เกลเซียร์คอยหนุนหลังเป็นส่วนประกอบด้วย ทำให้เขารอดจากการความกดดันเหล่านั้นได้บ้าง

เขามีเป้าหมายของการเคลื่อนไหวที่ขับเคลื่อนพลังของคนผิวดำโดยตลอด และใช้เครื่องมือที่เขามี คือวัฒนธรรม ทั้งภาพยนตร์ และดนตรี ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดคนหนึ่ง นั่นจึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ใครบางคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเขา นอกจากคนที่ทำงานด้วยกันเท่านั้น

Jim Brown

เอกลักษณ์ของคลาแรนซ์อีกอย่างหนึ่งคือความเชื่อมั่นในตัวเองและบ้าบิ่นไม่ซ้ำใคร เขาเปิดค่ายเพลงเป็นของตัวเองชื่อว่า Sussex Records เพื่อมีพื้นที่ในการแสดงออกของนักดนตรีผิวดำมากขึ้น หรือใครหลายคนที่รู้จักคลาแรนซ์คงคิดอย่างนั้น พวกเขาต่างคาดว่าเขาคงนำเอาศิลปินผิวดำที่มีความสามารถและพรสวรรค์อันโดดเด่นมาอยู่ที่ค่ายแน่นอน แต่ผิดคาด ศิลปินแรกที่เขานำเข้ามา เป็นชายผิวขาวปกติ ทำให้ทุกคนประหลาดใจ และขุ่นเคือง ว่าเขาไม่เชื่อมั่นในพลังของกลุ่มของตัวเอง แต่เขาบอกว่าที่เลือกมาก็เพราะเพลงทั้งนั้น เขามีทักษะการเล่นเพลงฟังก์ที่โดดเด่นไม่แพ้ศิลปินผิวดำคนอื่น จนสามารถเข้าไปอยู่ในรายการ Soul Train ซึ่งเป็นรายการที่มีพื้นที่ในการแสดงของคนผิวดำก็ตาม จากนั้น Sussex Records ก็กลับหัวกลับหางความเชื่อทุกอย่างของทุกอย่าง ด้วยการดึงศิลปินผิวขาวมาอยู่ในค่ายเรื่อยๆ และหลังจากนั้นเขาก็ดึงศิลปินผิวดำเข้ามา และบุคคลที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของค่ายคือศิลปินแนวโซล อาร์แอนด์บี ระดับตำนานอีกหนึ่งคนของโลก บิล วิเธอร์ส (Bill Withers)

Bill Withers

สิ่งสำคัญที่คลาแรนซ์ทำมาโดยตลอดคือการสร้างเครือข่าย เชื่อมโยงใยกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ครั้งหนึ่งค่าย Sussex ได้ศิลปินแนวเพลงโฟล์คที่ชื่อ Sixto Rodriguez มาอยู่ในค่าย แคลรานซ์ชอบศิลปินคนนี้เป็นอย่างมาก เขาลงทุนลงแรงไปหลายอย่างเพื่อผลักดันเขา แต่ผลงานกลับไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่คิด จนสุดท้ายชื่อเขาถูกเลือนหายไปจากวงการ แต่ที่แอฟริกา เขากลับกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในประเทศครั้งใหญ่ ชีวิตหลังจากนั้นของ Rodriguez สามารถติดตามได้ใน Searching for Sugar Man ลักษณะของค่าย Sussex นั้นรับความหลากหลายของศิลปินได้มากพอ เพราะการจะขับเคลื่อนทุกอย่างนั้นไม่ควรปิดกั้นด้วยความแตกต่างๆ ใด เสียงดนตรีเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ซึ่งทั้งค่าย Sussex และต่อมาคือค่าย Tabu ซึ่งคลาแรนซ์เป็นเจ้าของเช่นเดียวกัน กลายเป็นค่ายที่ไม่ทำตามขนบของค่ายเพลงที่ดูแลด้วยคนผิวดำปกติโดยทั่วไป ความกล้าที่จะไม่เหมือนใคร ความกล้าเสี่ยงที่จะใช้ทุนในการอัพเกรดเครื่องดนตรีและดึงตัวโปรดิวเซอร์ที่น่าสนใจ และใช้คุณภาพของเสียงดนตรีเป็นตัวนำ ทำให้พวกเขากลายเป็นที่จดจำและโดดเด่นขึ้นมาในวงการดนตรี

ความล้มเหลวเดียวของคลาแรนซ์ที่หนังได้พูดถึงการผันตัวเองเป็นเจ้าของสถานีวิทยุของคนผิวดำแห่งแรกของอเมริกา ในช่วงหลังจากที่เขาเริ่มทำค่าย Sussex Records แล้วประสบความสำเร็จ หลายๆ คนคัดค้านว่าเป็นวิธีที่ไม่น่าเวิร์ค แต่คลาแรนซ์ก็ยังคงทำในสิ่งที่เขาเชื่อว่ามันเป็นไปได้ แต่สุดท้ายสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดกลับย้อนคืนมากลายเป็นความล้มเหลว คลื่นวิทยุล้มไม่เป็นท่า และกระทบธุรกิจอื่นๆ ที่เป็นเจ้าของ เขาต้องยอมขาย Sussex Records ค่ายที่ปั้นมากับมือเพื่อความอยู่รอดของตนเองและครอบครัว ซึ่งมันฉุดเขาลงไปจุดที่เกือบย่ำแย่ที่สุด แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาอยู่รอดได้คือเครือข่ายของเขา เพื่อนต่างค่ายแต่ร่วมธุรกิจเพลงเดียวกันร่วมกันช่วยเหลือ เพราะพวกเขาก็ได้รับความช่วยเหลือมาจากคลาแรนซ์เช่นเดียวกัน พอเมื่อเขาพูดจบ ก็จะตบมือหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ผมมีเพื่อน” เป็นการจบเหตุการณ์และบอกสาเหตุที่เขาอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ สิ่งหนึ่งที่หนังแสดงให้เห็นอยู่บ่อยครั้งคือ สายสัมพันธ์และเครือข่าย ถึงแม้ใครหลายๆ คนจะสามารถมีชีวิตและลืมตาอ้าปากได้เพราะคลาแรนซ์แต่ในอีกทางหนึ่ง คลาแรนซ์ก็อยู่ได้ด้วยการซัพพอร์ทคนอื่นให้อยู่ในอุตสาหกรรมฮอลลีวูด หรือได้เฉิดฉายอยู่ในสื่อต่างๆ เช่นเดียวกัน เครือข่ายของเขามีทั้งคนผิวขาว และคนผิวดำ ซึ่งคนผิวขาวก็เป็นผู้บริหารระดับใหญ่ในวงการ ไม่ว่าจะเป็นโจ เกลเซียร์ อาจารย์ของเขา หรือเจ้าของค่ายเพลงต่างๆ อย่างเช่น เดวิด เกฟเฟน (David Geffen) เจ้าของค่าย Geffen Records และกลุ่มคนเหล่าผู้บริหารค่ายเพลงต่างๆ ที่คอยช่วยให้คลาแรนซ์พ้นจากวิกฤติมาหลายครั้ง และความผูกพันระหว่างคลาแรนซ์ กับ บิล วิเธอร์ส ที่เหมือนเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งครู เป็นทั้งผู้มีพระคุณ ที่ฉุดเขาจากคนที่เคยเป็นทหารอากาศ เป็นช่างซ่อมเครื่องบินและเครื่องอากาศยาน กลายเป็นศิลปินแนวโซล R&B เป็นตำนานและเป็นที่นิยมในระดับโลกได้ ซึ่งถึงแม้ภายหลังบิลต้องย้ายออกไปที่ค่ายอื่น เพราะไม่สามารถจ้างเขาให้อยู่ในค่ายต่อไปได้ แต่ความเคารพของแคลรานซ์นั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือครอบครัวของเขา โดยเฉพาะภรรยาของเขา แจ็คกี้ ที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และเปลี่ยนความคิดที่ไม่ให้เขายุ่งอยู่แค่เรื่องเกี่ยวกับเครือข่าย แต่เราอยู่กันเป็นแบบครอบครัว และครอบครัวสามารถช่วยเหลือและปรึกษากันเพื่อหาทางออกร่วมกันได้

Quincy Jones, Clarence Avant and Whitney Houston .

ความช่วยเหลือของเขา นอกจากจะเป็นเรื่องหน้าที่ การงาน แล้ว เขายังเป็นเหมือนที่ปรึกษาปัญหาชีวิตสำหรับใครหลายๆ คน ที่อาจจะเพิ่งเข้าวงการมาไม่นาน หรืออาจจะเจอปัญหาที่ไม่สามารถแก้ด้วยตัวเองได้ คลาแรนซ์จะให้คำปรึกษาด้วยวิธีของเขาเองที่เหมือนกับวิธีการเจรจาการงานนั้นแหละ ตรงไปตรงมา สบถทุกครั้งเมื่อเจอหน้า แต่อบอุ่นเป็นกันเอง ครั้งหนึ่งมีคนโทรมาปรึกษาเขาเรื่องที่กำลังจะขอหย่า สิ่งที่คลาแรนซ์ทำคือตะโกนใส่มือถือว่า “ให้ตายเถอะ! มึงเป็นอะไรไปวะ!? มึงแตกต่างจากคนอื่นนะเว้ย! มึงอย่าทำตัวแบบนี้เหมือนคนอื่นๆ สิวะ” หลังจากนั้นเขาร้องไห้ใส่โทรศัพท์ อาทิตย์ถัดมาคลาแรนซ์จึงบอกให้เขาคิดดีๆ ลองตัดสินใจทีละอย่าง จนเขาไม่ตัดสินใจหย่า ทำให้ทุกคนนอกจากจะขอความช่วยเหลือจากเขา ยังขอคำปรึกษาในชีวิตกับเขา ซึ่งคลาแรนซ์ก็จะให้อะไรดีๆ กลับมาเสมอ (สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับครอบครัวที่ตอนที่ลูกชายของเขา อเล็กซ์ ให้สัมภาษณ์ในหนังว่า เขาเคยคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดว่า ถ้าเกิดคลาแรนซ์จากโลกใบนี้ไป สำหรับใครบางคน เขาคงขาดที่ปรึกษา ฮีโร่ ผู้มีพระคุณ ไป แต่สำหรับอเล็กซ์ เขาเหมือนขาดทุกอย่างในชีวิตนี้ไปแล้ว

หนังพามาถึงตอนจบที่เขามางาน Hollywood Hall of Fame ซึ่งดวงดาวที่ชื่อว่าคลาแรนซ์ อแวนต์ได้ถูกจารึกลงไปในถนนเส้นนั้นเรียบร้อย แต่สำหรับเขามันก็คงเป็นแค่ดาวธรรมดาดวงหนึ่ง เหมือนกับที่เขาเคยได้รางวัล Hall of Fame จากรางวัลดนตรีชื่อดังต่างๆ ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร เทียบเท่ากับครอบครัวที่เขาสร้างขึ้น โยงใยกันเป็นพลังที่ช่วยกันโอบอุ้มและขับเคลื่อนทุกอย่างไปข้างหน้า โดยมีคลาแรนซ์เป็นศูนย์กลาง โลกนี้อาจจะหาคนที่เป็นแบบเขาไม่ได้ แต่โลกใบนี้ยังหาคนที่ขับเคลื่อนสังคมอย่างที่เขาทำได้ และทุกคนที่เขาเคยช่วยเหลือนั้นจะสานต่อเจตนารมณ์ที่ทั้งตัวเองและคลาแรนซ์ต้องการมาโดยตลอด เพื่อคนอื่นๆ ที่ยังไม่สามารถส่งเสียได้ว่าพวกเขาเท่าเทียมกันกับทุกคน


รับชม The Black Godfather ได้ใน Netflix

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here