MIDNIGHT CINEMA 09 – เทอมสอง สยองขวัญ : คน ผี ปีการศึกษา (ศาส(จ)ตร์)

(2022, ภัทรภร วีระศักดิ์วงศ์, จตุพงศ์ รุ่งเรืองเดชาภัทร์, เอกภณ เศรษฐสุข)

เด็กผู้หญิงเห็นผีคนหนึ่งเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย เธอมีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เป็นคนเห็นผีด้วยกัน เพื่อนของเธอทำเป็นมองไม่เห็นได้ ทำเป็นคนปกติได้ พยายามจะมีชีวิตใหม่ในรั้วมหาลัย แต่เธอไม่ เธอยังคงมองเห็นคนตายตรงนั้นตรงนี้ บางครั้งเธอก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอคิดว่ามันจะไม่เป็นไร ขอแค่มีเพื่อนสนิทคอยอยู่ข้างๆ แต่เพื่อนของเธอก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง อยากรู้จักคนอื่นๆ อยากมีเพื่อนใหม่ อยากเป็นคนปกติเหมือนคนอื่นๆเขาบ้าง เพื่อนสาวบอกให้เธอหัดทำเป็นไม่เห็นบ้าง แต่มันช่างยากเย็น จนในวันประชุมเชียร์นั้นเอง เธอไม่สามารถควบคุมความกลัวจากการมองเห็นผีทุกหนแห่งได้อีก แม้แต่ในใบหน้าของรุ่นพี่ ความกลัวทำให้เธอกลายเป็นคนนอก และถูกการกระทำรวมหมู่ขับเน้นให้มันเด่นชัดว่าเธอไม่ใช่คนของที่นี่หรือที่ไหนและไม่มีใครดูแลเธอได้อีกแล้ว

เด็กหนุ่มกำลังเตรียมตัวสอบเพื่อสอบความถนัดทางแพทย์ในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากวันสถาปนามหาวิทยาลัยที่เขาตื่นแต่เช้า สวมเครื่องแบบไปร่วมงาน คืนนั้นเขาตัดสินใจอยู่หอในเพียงลำพังเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบ ไม่มีใครอยู่ที่นั่นแม้แต่ยาม ว่ากันว่ามันเป็นเพราะตำนานเตียงซีที่เขานอน ว่ากันว่าทุกวันสถาปนา ผีของรุ่นพี่นักเรียนแพทย์ที่ตายเพราะโดนรถชนก่อนจะได้เข้าเรียนจะกลับมาที่หอ เพื่อตามหาเตียงซีของตัวเอง คืนนั้นแฟนสาวของเขาแอบเข้ามาอยู่เป็นเพื่อน แต่เขาก็รำคาญจนไล่เธอไป เธอรู้ว่าเขามีความลับบางอย่างที่เขาไม่ยอมบอก จนเมื่อเธอกลับไป เขาก็อยู่ตัวคนเดียวในหอ เผชิญกับการกำเริบของโรคในตัวเองยังไม่พอยังต้องเผชิญหน้ากับผีนักเรียนแพทย์ที่กลับมาตามเรื่องเล่าจริงๆ อีกด้วย

เด็กสาวสามคนทำแล็บกันจนดึกดื่นอยู่ในตึกคณะหลังใหม่ เพื่อแก้ง่วงหนึ่งในสามเลยเล่าเรื่องผีในตึกคณะเก่า ทั้งผีของนางตะเคียนที่สิงอยู่ในป้ายคณะเก่าที่ทำจากไม้ ผีรุ่นพี่ที่เรียนไม่จบ เลยไปเช่าครุยแล้วโดดตึกลงมาในวันรับปริญญา และ ผีของอาจารย์ที่ตายเพราะหายาขยายหลอดเลือดหัวใจมากินไม่ทัน ว่ากันว่าผีทั้งหมดยังคงวนเวียนอยู่ในตึกที่เลิกใช้นั้น หนึ่งในเด็กสาว ต้องรอน้องชายที่เรียนไม่จบ ตอนนี้ออกไปขับรถส่งอาหารเอาคอมพิวเตอร์มาให้ ตัวน้องชายกำลังตามง้อสาวที่คบออนไลน์อยู่ เลยไปจอดผิดตึกและต้องไปไฝว้กับผีทั้งหลายอย่างไม่กลัวใดๆ

นี่คือเรื่องสั้นสามเรื่องจากผู้กำกับสามคนที่ถูกนำมาประกอบกันขึ้นเป็นหนังยาว ผูกพ่วงอยู่กับตำนานผีในมหาวิทยาลัย โดยเล่าผ่านช่วงเวลาของสามพิธีกรรมสำคัญนอกเหนือจากการศึกษา แต่ดูจะใหญ่โตและสำคัญกว่าการศึกษาเสียอีก นั่นคือ พิธีกรรมรับน้อง งานสถาปนามหาวิทยาลัย/การปฏิญาณตนตามวิชาชีพ และ การรับปริญญา

น่าสนใจอย่างยิ่งที่ดูเหมือนชีวิตในมหาวิทยาลัยของนักศึกษาชาวไทยทั้งในจอและนอกจอนั้นเป็นอีนหนึ่งอันเดียวกับพิธีกรรมเหล่านี้มากกว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวิชาการสาขาที่มาศึกษาเสียอีก แม้หนังในสองตอนหลังจะบอกคณะออกมาตรงๆ แต่ถึงไม่บอกเราก็สามารถอนุมานได้ทันทีผ่านทาง ‘เครื่องแบบ’ ได้ว่าเรื่องราวทั้งสามตอนเกิดในคณะ ‘สายวิทย์’ เสื้อช็อปในเรื่องแรก ทำให้เดาไปได้ว่าอาจจะเป็นคณะวิศวะ เรื่องที่สองบอกอย่างชัดเจนว่าเตรียมแพทย์ และเรื่องที่สามนอกจากจะบอกว่าเป็นคณะวิทยาศาสตร์ เรายังเห็นนักศึกษาทั้งสามใส่เสื้อกาวน์ทับเครื่องแบบนักศึกษาตลอดทั้งเรื่อง ในขณะที่คนนอกระบบการศึกษาหนึ่งเดียวในหนังทั้งสามตอน ก็ย้ายตัวเองเข้าไปในเครื่องแบบของบริษัทส่งอาหารเสียแทน จนเราอาจบอกได้ว่านี่คือหนังเด็กสายวิทย์เจอผี และมี ’เครื่องแบบ’ เป็นอีกตัวละครหลัก ผีที่เป็นภาพแทนของความเชื่องมงายจากยุคก่อนวิทยาศาสตร์หากดูเหมือนยังมีพลังอำนาจอยู่ราวกับว่าการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในโลกของการศึกษาแยกขาดออกจากหลักพื้นฐานของวิชาวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยการพิสูจน์ความจริงผ่านการตั้งสมมติฐานและการทดลอง วิทยาศาสตร์ในฐานะวิชาแยกขาดออกจากความเชื่อส่วนบุคคลการแยกการเรียนวิทยาศาสตร์ออกจากปรัชญาพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการแยกการศึกษา (เพื่อให้รู้ให้เข้าใจ ให้ตั้งคำถาม) ออกจากพิธีกรรมทางการศึกษา (เพื่อให้รัก เทิดทูนและสมยอมโดยไม่ตั้งคำถาม) 

ในทางหนึ่ง การศึกษาในสังคมไทยเป็นไปเพื่อยกระดับชั้นทางสังคม เพื่อเปลี่ยนตัวเองให้เป็นแรงงานของโลกทุนนิยม เป็นไปเพื่อให้มีงานทำเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวมากกว่าความสงสัยใครรู้ความสนใจในตัววิชาอย่างแท้จริง การศึกษาเป็นไปเพื่อให้ได้ใบเบิกทางไปสู่การทำงานมากกว่าการเรียนเพื่อตอบคำถามจากภายในใจตน มันจึงกลายเป็นว่าสิ่งที่ยึดโยงนักศึกษาเข้ากับการศึกษา ไม่ใช่ตัวเนื้อหาวิชา แต่เป็นพิธีกรรมเชิงอำนาจของสถานศึกษาที่นักศึกษาจะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหม่ ที่มีเส้นคั่นกลางคือ ‘เครื่องแบบ’ การกลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นไปเพื่อการศึกษาแต่เพียงอย่างเดียว ความภาคภูมิใจไม่ได้อยู่ในความรู้แจ้งแห่งสิ่งที่ตนเรียนมากกว่าการได้เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันที่ตนสังกัด ตั้งแต่ชื่อชั้นของมหาวิทยาลัยไปจนถึงสังกัดแห่งวิชาชีพ

ในทางหนึ่ง การศึกษาในสังคมไทยเป็นไปเพื่อยกระดับชั้นทางสังคม เพื่อเปลี่ยนตัวเองให้เป็นแรงงานของโลกทุนนิยม เป็นไปเพื่อให้มีงานทำเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวมากกว่าความสงสัยใครรู้ความสนใจในตัววิชาอย่างแท้จริง การศึกษาเป็นไปเพื่อให้ได้ใบเบิกทางไปสู่การทำงานมากกว่าการเรียนเพื่อตอบคำถามจากภายในใจตน มันจึงกลายเป็นว่าสิ่งที่ยึดโยงนักศึกษาเข้ากับการศึกษา ไม่ใช่ตัวเนื้อหาวิชา แต่เป็นพิธีกรรมเชิงอำนาจของสถานศึกษาที่นักศึกษาจะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหม่

ความสำคัญของ ‘เครื่องแบบ’ นั้นฉายชัดเจนแทบจะเป็นความบ้าคลั่งเครื่องแบบในตอนที่สาม (ตึกวิทย์เก่า) ผ่านทางเรื่องของผีรุ่นพี่ที่เรียนไม่จบ แล้วเสียใจถึงขั้นไปเช่าชุดครุยมาใส่และกระโดดตึก ผีชุดครุยที่เพ่นพ่านอยู่ใน ‘ตึกวิทย์เก่า’ กลายเป็นเครื่องหมายของการยึดติดอยู่ในเครื่องแบบโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเครื่องแบบมีความหมายซ่อนเร้นถึงสังคมที่ตนสังกัด ในวันที่พวกพ้องใส่ชุดครุยการใส่ชุดนักศึกษากลายเป็นเครื่องหมายของความไม่ประสบความสำเร็จ แต่ที่ดุเดือดกว่านั้นคือ หนังไปไกลถึงขั้นเอาชุดครุยมากรุกระจกวางไว้ให้คนกราบไหว้ ราวกับว่าความตายของรุ่นพี่เป็นนิทานสาธกสอนใจให้ตั้งใจเรียน เพราะถ้าเรียนไม่จบ จะจบแบบผีชุดครุย เครื่องแบบจึงเป็นรูปแบบของผีที่เป็นผีที่หลอกหลอนก็ได้ให้โชคก็ดี มากกว่าผีจริงๆ เสียอีก

แต่ผีในตอนสามของหนังไม่ได้มีแค่นั้น เมื่อผีชุดครุย ผนวกรวมกับผีคุณครู และผีนางตะเคียนป้ายคณะทำให้ผีทั้งสามกลายเป็นภาพแทนของผีในฐานะ ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ แบบต่างๆ ที่คอยหลอกหลอนให้คนในต้องกลัว ในรูปของสถาบัน (ป้ายคณะ) ครู และปริญญาบัตร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนในคณะจะละเมิดมิได้ จนทำให้หนังมันสนุกที่ตัวละครที่ละเมิดทุกความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องกลายเป็นคนนอก ที่นอกจากจะนอกคณะยังนอกระบบการศึกษาอีกด้วย หากการศึกษาในหนังคือภาพของความหวาดกลัวและยอมจำนนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์พื่อจะเป็นส่วนหนึ่งของความศักดิ์สิทธิ์เมื่อเรียนจบ การท้าทายของคนที่อยู่นอกระบบจึงเป็นการชี้ให้เห็นว่าความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเป็นเพียงผีที่มีอำนาจอยู่ในกลไกเฉพาะของระบบการศึกษา ที่นักศึกษาต้องไหว้มากกว่าเรียน

แต่ผีในตอนที่สอง (เตียงซี) นั้นดุเดือดกว่านั้น ผีของรุ่นพี่เตรียมแพทย์ที่กลับมายังเตียงหอในขอตัวเอง ให้ภาพของคนที่อยู่ตรงกันข้ามกับไอ้หนุ่มนอกระบบการเรียนในตอนที่สาม เพราะนี่คือผีของคนที่คลั่งในการศึกษา ผีของคนที่ปรารถนาจะเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันอันทรงเกียรติอย่างเช่นวิชาชีพแพทย์ ผีในหนังไม่ได้เป็นเพียงคนตาย แต่ผีคือการปฏิญาณตนนั้นเสียเอง 

หนังให้ตัวละครเป็นนักศึกษาที่ค้นพบว่าตัวเองตกคุณสมบัติทางกายภาพที่จะเรียนแพทย์ได้ แต่ก็ยังถูกหลอกลอนด้วยการได้รับโอกาสให้ปฏิญาณตนเป็นนักศึกษา แม้โครงของหนังอาจจะทำให้ชวนขมวดคิ้วเกี่ยวกับวิธีคิดของตัวเอก ทั้งเรื่องการปิดบังความจริงจากคนรัก หรือการทู่ซี้อยู่หอในวันที่ดูยังไงก็ไม่จำเป็น แต่หนังทำให้ผีกับคนเป็นกระจกส่องสะท้อนกันในฐานะของคนที่ปรารถนาที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันแต่เป็นไม่ได้ และถูกหลอกหลอนจากความรู้สึกล้มเหลวในตัวเองมากกว่าจะเป็นเรื่องของคนป่วยเจอผี หากเรื่องที่น่าขำจริงๆ คือการที่สิ่งที่ไล่ผีไปไม่ใช่การยอมรับความจริง หรือการปล่อยมือจากสิ่งที่ยื้อเอาไว้ไม่ได้ แต่หากคือ คำปฏิญาณของวิชาชีพ! ราวกับคำปฏิญาณเป็นมนต์คาถาที่ใช้ป้องกันตัวจากสิ่งชั่วร้าย ผีที่น่ากลัวที่สุดจึงไม่ใช่ผีของรุ่นพี่แต่คือเข็มแสดงความเป็นนักศึกษาแพทย์ ผีในตอนนี้จึงยักย้ายจากผีรุ่นพี่ไปสู่ผีของความปรารถนาที่ไม่อาจเติมเต็มของการได้เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันและเป็นไม่ได้ สถาบันจึงตระหง่านอยู่เหนือชะตากรรมเล็กจ้อยของผู้คน

หากผีที่น่าสนใจที่สุดคือผีในตอนแรกของหนัง (เชียร์ปีสุดท้าย) ซึ่งแตกต่างไปจากเรื่องอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ผีของสองตอนหลังว่ายวนอยู่กับความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบัน ดูเหมือนผีในตอนแรกสุดกลับเป็นมวลความคั่งแค้นที่ว่ายวนอยู่สถานศึกษา

หนังเล่าเรื่องของเมษา คนเห็นผีที่แทบไม่สามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อีกต่อไป เธอมีเพียงต่าย เพื่อนคนเดียวจากสมัยมัธยมที่แชร์ความทุกข์กับเธอในฐานะคนเห็นผีด้วยกัน หนังเล่าเรื่องราวในคืนเดียวในการประชุมเชียร์ เมื่อเมษาเริ่มมองเห็นผีในระหว่างประชุม ผีคนผูกคอตาย หรือผีนักศึกษาที่มาประชุมเชียร์ ดูเหมือนผีที่เมษาเห็นไม่ใช่ผีที่จำเพาะเจาะจงหรือผูกพ่วงอยู่กับเหตุการณ์ในอดีต ผีที่เธอเห็นคือ มวลรวมของความทุกข์เศร้าเคียดแค้นของบรรดานักศึกษารุ่นก่อนหน้าที่ว่ายวนอยู่ ผีประชุมเชียร์กลับหัว ไม่น่าใช่ผีของนักศึกษาที่ตายยกรุ่น แต่เป็นผีของการประชุมเชียร์โดยตัวมันเอง ผีที่ไร้อำนาจ ไม่ถูกมองเห็น หรือแม้แต่เป็นผีของคนที่ไม่อาจเข้าพวกในสังคมรวมหมู่ ถูกกีดกันออกไป ถูกทำให้อาย ให้โกรธ หากในอีกทางหนึ่งผี ยังเป็นผีของระบบอำนาจที่ถูกกดทับเป็นทอดผ่านสถานะรุ่นพี่รุ่นน้อง รุ่นพี่ปีสองกดดันพวกเธอ และรุ่นพี่ที่จบไปแล้วมากดดันพี่ปีสองอีกทอดหนึ่ง ในฉากสำคัญที่เมษาปะทะกับรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว สิ่งที่เธอมองเห็นจึงไม่ใช่แค่ผีประชุมเชียร์แต่เป็นผีที่ซ้อนเข้ากับตัวรุ่นพี่ ผีที่เป็นผีของอำนาจ ผีที่ทำให้คนที่อายุโตกว่าไม่กี่ปีเชื่อว่าตัวเองมีอำนาจออกคำสั่ง

หากในอีกทางหนึ่งผี ยังเป็นผีของระบบอำนาจที่ถูกกดทับเป็นทอดผ่านสถานะรุ่นพี่รุ่นน้อง รุ่นพี่ปีสองกดดันพวกเธอ และรุ่นพี่ที่จบไปแล้วมากดดันพี่ปีสองอีกทอดหนึ่ง ในฉากสำคัญที่เมษาปะทะกับรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว สิ่งที่เธอมองเห็นจึงไม่ใช่แค่ผีประชุมเชียร์แต่เป็นผีที่ซ้อนเข้ากับตัวรุ่นพี่ ผีที่เป็นผีของอำนาจ ผีที่ทำให้คนที่อายุโตกว่าไม่กี่ปีเชื่อว่าตัวเองมีอำนาจออกคำสั่ง

การเห็นผีของเมษาจึงเป็นภาพแทนของการเห็นระบบอำนาจในระบบการศึกษาบ้าพิธีกรรมทั้งผู้กดทับและผู้ถูกกดทับ แต่สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือการทำเป็นมองไม่เห็นของต่าย ผู้ซึ่งปรารถนาจะมีชีวิตใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย สำหรับเมษาต่ายเป็น ‘เพื่อนร่วมทุกข์’ ของเธอ การปฏิเสธว่าตัวเองไม่เห็นจึงเป็นการปฏิเสธเพื่อนของตนด้วย มันงดงามที่หนังอธิบายจากคนสองฝั่งทั้งคนที่เข้ากับโลกไม่ได้ และคนที่พยายามจะเข้าให้ได้กับโลก ความทุกข์ของการที่ต้องคอยดูแลกันจนไม่มีพื้นที่เป็นของตัวเอง นำมาซึ่งฉากจบที่เจ็บปวดและสะเทือนใจมากๆ เมื่อเธอถูกทำให้เห็นไปตลอดกาล

แต่การทำเป็นไม่เห็นของต่ายมีนัยที่น่าสนใจกว่านั้น เพราะการทำเป็นไม่เห็นของเธอเป็นไปเพื่อการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม การมองไม่เห็นผีกลายเป็นภาพแทนของการทำเป็นไม่เห็นความรุนแรงที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ความพยายามไปจากอดีตอันขมขื่นทำให้เธอยอมสละตัวตนของตัวเธอ และเมื่อเธอทำเป็นไม่เห็น เธอก็กลายเป็นฝ่ายสมยอม และเมื่อนั้นเธอก็ถูกนับเป็นพวก และเป็นคนทรยศ

เทียบกับตัวละครในอีกสองตอนที่เหลือ ต่ายดูเหมือนจะเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ต้องสู้รบปรบมือกับผี เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ถูกหลอกหลอนด้วยผีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในระบบการศึกษาไทย หนังจบลงด้วยภาพของเธอรับปริญญาสวมชุดครุย กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบได้อย่างแนบเนียน แต่เธอกลับเป็นคนเดียวที่จะเห็นผีไปตลอดกาล สำหรับตัวละครอื่นๆ ผีเป็นเพียงสิ่งที่พวกเขา ‘บังเอิญ’ เห็นและพวกเขาก็ตาบอดต่อไปหลังจากคิดว่าจัดการกับผีนั้นได้ ด้วยการสยบยอม แต่สำหรับคนอย่างต่าย คนที่เห็นแล้ว และยังเห็นอยู่เรื่องสยองขวัญของเธอกลายเป็นสิ่งที่จะยืดยาวออกไป ถึงที่สุดความรุนแรงนั้น/ความเคียดแค้นนั้น และผีนั้น จึงกลายเป็นสิ่งที่จะหลอกหลอนเธอไปตลอด 

เราอาจมองได้ว่า ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ เทอมสองสยองขวัญได้ฉายภาพการผลิตซ้ำของระบบอำนาจและการใช้อำนาจในระบอบการศึกษาไทย ถึงที่สุด บรรดานักศึกษาไม่ได้มีแค่ความรู้วิชาติดตัว แต่สิ่งที่พวกเขาได้จริงๆ จากระบบคือวิธีคิดแบบอำนาจนิยม ด้วยการผ่านพิธีกรรมจากผู้ถูกกดทับมาเป็นผู้กดทับ เลื่อนชั้นขึ้นมาเพื่อกดทับคนรุ่นต่อไป ผ่านทางเครื่องแบบ เข็มกลัด หรือชุดครุย ผ่านทางการรับน้อง การคลั่งสถาบัน และการรับปริญญา ถึงที่สุด การศึกษาดูดกลืนปัจเจกชนให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอำนาจอันใหญ่โตที่กดทับและเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผ่านทางมา จนกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะถูกรื้อถอน พิธีกรรมจะถูกลบล้าง ผีในมหาวิทยาลัยจะคอยหลอกหลอนทั้งคนที่เห็น ไม่เห็น หรือทำเป็นไม่เห็นมันต่อไป

Filmsick
Filmvirus . เม่นวรรณกรรม . documentary club

LATEST REVIEWS