หลังจากเมื่อปีที่แล้ว ฮ่องกงได้ผ่านเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยที่ประชาชนจำนวนมากได้ลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลจนนำไปสู่การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง (national security law) โดยรัฐบาลจีน ในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ส่งผลให้สิทธิ์การแสดงออกใดๆ ที่ถูกตีความว่าเป็นการแบ่งแยกประเทศ บ่อนทำลายอำนาจของรัฐบาลกลาง ก่อการร้าย และสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติ ถือว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรง
แม้ว่ารัฐบาลฮ่องกงจะไม่ได้พูดถึงมูลเหตุที่ทำให้มีการปรับแก้ระเบียบเซ็นเซอร์หนังที่เพิ่งปรับแก้ล่าสุดในปี 2011 แต่ก็เป็นไปได้ว่าเกี่ยวข้องกับหนังสองเรื่องที่ฉายในตอนต้นปีนี้ ได้แก่ Inside the Red Brick Wall หนังสารคดีที่นำเสนอเหตุการณ์การประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 2019 ซึ่งเมื่อแรกเริ่มเข้าฉายในเดือนมีนาคมก็ประสบความสำเร็จถึงขั้นตั๋วเข้าชมเต็มในหลายรอบ ส่งผลให้สื่อที่สนับสนุนรัฐบาลปักกิ่งต้องออกมาประท้วงและกดดันให้ทางการต้องบีบให้โรงหนังที่ฉายต้องยุติการฉายหนังเรื่องนี้ในเวลาอันรวดเร็ว
แม้ว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีหนังฮ่องกงเรื่องใดถูกพิจารณาด้วยกฎเซ็นเซอร์ใหม่เนื่องจากเพิ่งถูกประกาศใช้สดๆ ร้อนๆ แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหนังฮ่องกงอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น อย่างไรก็ตาม ก่อนจะวิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อวงการหนังจากการที่กฎหมายเซ็นเซอร์ใหม่ถูกบังคับใช้ เราควรมาทำความเข้าใจถึงความเป็นมาของระบบเซ็นเซอร์หนังของฮ่องกงกันก่อนว่ามีลักษณะอย่างไร และมีผลต่อพัฒนาการของหนังฮ่องกงแค่ไหน
พระราชกฤษฎีกาเซ็นเซอร์ปี 1947 : เมื่อความมั่นคงคือการรักษาสมดุลอุดมการณ์การเมือง
กฎหมายเซ็นเซอร์หนังของฮ่องกงที่ได้สร้างรากฐานสำคัญจนถูกต่อยอดมาจนถึงทุกวันนี้ ถูกประกาศใช้ครั้งแรกในปี 1947 โดยรัฐบาลอาณานิคมสหราชอาณาจักร มีจุดประสงค์เพื่อควบคุมสื่อภาพยนตร์ทุกประเภททั้งภาพยนตร์ฉายโรงหรือในสโมสรภาพยนตร์ โดยในระยะแรกผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมเนื้อหาภาพยนตร์คือกรมตำรวจ ก่อนที่ต่อมาจะถูกโอนไปเป็นของคณะกรรมการเซ็นเซอร์ (Panel of Censor) ที่จะทำหน้าที่พิจารณาภาพยนตร์ในเบื้องต้นว่ามีเนื้อหาขัดต่อศีลธรรมของสังคมหรือนำเสนอความรุนแรงหรือไม่ หากไม่มีปัญหา ก็จะถูกพิจารณาให้ฉายได้ แต่ถ้าในกรณีที่หนังเรื่องใดไม่ผ่านการพิจารณา ผู้สร้างก็สามารถอุทธรณ์ได้โดยหน่วยงานที่จะทำการพิจารณาอุทธรณ์คือคณะกรรมการทบทวนเนื้อหา (Board of Review) ซึ่งผลการตัดสินโดยคณะกรรมการทบทวนให้ถือเป็นเด็ดขาด
ในช่วงระหว่างปี 1947 ถึงปี 1965 บทบาทหน้าที่ของกองเซ็นเซอร์นอกจากควบคุมเนื้อหาภาพยนตร์ไม่ให้ขัดต่อศีลธรรมของสังคมโดยเฉพาะความรุนแรงและเพศ ยังต้องพิจารณาว่าเนื้อหาของภาพยนตร์แต่ละเรื่องขัดต่อ “ความมั่นคง” หรือไม่ โดยความมั่นคงในช่วงเวลานั้น มีความสอดคล้องกับสภาพทางการเมืองโลกช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และสภาพทางภูมิศาสตร์ที่อ่อนไหวของเกาะฮ่องกงเป็นหลัก โดยในแง่ของสภาพทางการเมืองโลกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจสองฝ่ายได้แก่ฝ่ายประชาธิปไตยที่นำโดยสหรัฐและฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่นำโดยสหภาพโซเวียต ส่วนในแง่สภาพทางภูมิศาสตร์ ฮ่องกงตั้งอยู่ระหว่างสองประเทศที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน ได้แก่ เกาะไต้หวันที่ปกครองโดยรัฐบาลก๊กมินตั๋ง และสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ปกครองโดยระบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งทั้งสองประเทศมักส่งออกหนังที่เผยแพร่อุดมการณ์ทางการเมืองของแต่ละฝ่ายมาจัดจำหน่ายในฮ่องกงอยู่เสมอ
แม้ว่าฮ่องกงในช่วงเวลานั้นเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร ซึ่งมีแนวคิดทางการเมืองแบบเสรีนิยม แต่การที่ประเทศตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ละเอียดอ่อนทางภูมิศาสตร์ จึงทำให้ฮ่องกงดำเนินนโนบายเป็นกลางทั้งมิติทางการเมืองและวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้หลักสำคัญในการพิจารณาภาพยนตร์ของกองเซ็นเซอร์ คือการทำให้หนังไม่ว่าจะมาจากโลกอุดมการณ์ฝั่งไหนปราศจากความเป็นการเมืองมากที่สุด ดังนั้นหนังที่มาจากทั้งฝั่งจีนแดงและไต้หวัน รวมถึงหนังที่ผลิตโดยหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอย่าง USIS หากถูกพิจารณาว่านำเสนออุดมการณ์ทางการเมืองมากเกินไป อาจถูกสั่งห้ามฉายหรือต้องปรับแก้ใหม่
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เริ่มคลี่คลายในช่วงหลังปี 1965 ภายหลังจากที่รัฐบาลได้ผ่อนคลายกฎเซ็นเซอร์ลง เปิดโอกาสให้หนังจากทั้งฝั่งจีนแดงและไต้หวันที่นำเสนอแนวคิดทางการสามารถฉายในโรงหนังมากขึ้น สาเหตุสำคัญเป็นเพราะความอ่อนไหวทางการเมืองในฮ่องกงเริ่มลดลง ประกอบกับข่าวในแง่ลบของการปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีนที่ถูกนำเสนออย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวความคิดของฝ่ายซ้ายที่สนับสนุนอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตงค่อยๆ เสื่อมความนิยมในหมู่คนฮ่องกง นอกจากนี้ ช่วงเวลานี้ยังเป็นช่วงเวลาที่คนรุ่นใหม่ที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มปฏิเสธแนวคิดทางการเมืองของทั้งจีนคอมมิวนิสต์และไต้หวัน แล้วหันไปยึดเกาะอัตลักษณ์ความเป็นอาณานิคม (colonial identity) ที่ผสานระหว่างความโหยหาในวัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิมกับอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตก
และเป็นเพราะบรรยากาศผ่อนคลายของระบบเซ็นเซอร์ ในช่วงเวลานี้เอง ที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมหนังฮ่องกงเติบโตอย่างรวดเร็ว หนังหลายเรื่องหลายแนวถูกผลิตออกมาป้อนตลาดอย่างหลากหลาย ทั้งหนังแอ็คชั่น หนังชีวิต ไปจนถึงหนังสยองขวัญ ตลอดระยะทศวรรษที่ 1970 – 1990 อุตสาหกรรมหนังฮ่องกงมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากอเมริกา นอกจากนี้ฮ่องกงยังได้รับการบันทึกว่าเป็นประเทศที่ส่งออกหนังออกสู่ตลาดต่างประเทศมากอันสอบของโลกโรงจากฮอลลีวูด
ระบบเรตติ้งกับผลพลอยได้ของวงการหนัง
แม้ระบบการจัดอายุ จะทำให้หนังบางเรื่องต้องสูญเสียรายได้บ้าง เนื่องจากฐานอายุของผู้ชมไม่กว้างเหมือนเดิม แต่ได้ทำให้ผู้สร้างหนังบางรายมองเห็นลู่ทางของการใช้ประโยชน์จากระบบเซ็นเซอร์ใหม่ ด้วยการสร้างหนังที่จงใจให้ได้รับการพิจารณาเข้าเกณฑ์เรต III ซึ่งเป็นเรตสูงสุด ห้ามผู้ชมอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าชม หนังประเภทนี้รู้จักกันดีในชื่อ หนังเกรด 3 (Category III films) เนื้อหาของหนังเกรด 3 ส่วนใหญ่นำเสนอเรื่องเพศอย่างโจ่งแจ้ง รวมถึงความรุนแรงอย่างไม่บันยะบันยัง จนทำให้ได้รับเสียงวิจารณ์ในเชิงลบ อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการตอบรับ หนังเกรด 3 หลายเรื่องประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ ไม่ว่าจะเป็นหนังอิโรติกอย่าง Pretty Woman (1991) ที่เป็นเรื่องของหญิงสาวที่ถูกว่าจ้างโดยชายหนุ่มให้ปลอมตัวเป็นผู้หญิงที่เขาได้ข่มขืนและฆาตกรรมโดยที่เธอไม่ล่วงรู้ความจริงมาก่อน หนังทำรายได้สูงถึง 30 ล้านเหรียญฮ่องกงเมื่อออกฉาย หรือหนังที่นำเสนอความรุนแรงสุดขั้วอย่าง The Untold Story (1993) ที่ผู้ชมชาวไทยคุ้นเคยกับชื่อ ซาลาเปาเนื้อคน ที่ประสบความสำเร็จไม่เพียงแค่ในฮ่องกงแต่ร่วมถึงในต่างประเทศด้วย กล่าวกันว่าในช่วงที่หนังเกรดสามได้รับความนิยมมากๆ สัดส่วนทางการตลาดของหนังประเภทนี้อยู่ระหว่าง 25 – 50 % ของหนังทั้งหมดที่ออกฉาย
กฎหมายเซ็นเซอร์กับนโยบายหนึ่งประเทศสองระบบ
ปี 1997 ฮ่องกงได้กลับไปสู่จีน ตามข้อตกลงการเช่าดินแดนระหว่างสหราชอาณาจักรกับประเทศจีนที่ทำกันไว้ในปี 1898 ที่ระบุว่า ประเทศจีนยอมให้สหราชอาณาจักรปกครองเกาะแห่งนี้เป็นเวลา 99 ปี หลังจากนั้นแล้วจีนจะทำการผนวกฮ่องกงเป็นส่วนหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่า ประเทศจีนจะยอมให้ฮ่องกงมีเสรีภาพในด้านการเมืองและการดำเนินชีวิตไปจนถึงปี 2047 นโยบายดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันชื่อ “หนึ่งประเทศ สองระบบ”
สำหรับกฎเซ็นเซอร์ภายใต้นโยบายหนึ่งประเทศสองระบบ ยังคงเนื้อหาเหมือนเดิม เพียงแต่มีการปรับแก้เล็กน้อยในรายละเอียดที่ไม่กระทบต่อเสรีภาพในการนำเสนอของผู้สร้างเท่าใดนัก ตรงกันข้าม กลับเป็นผู้สร้างหนังเสียอีกที่ต้องระมัดระวังในการนำเสนอเนื้อหา เนื่องจากหลังปี 1997 เป็นต้นมา จีนได้กลายเป็นตลาดสำคัญของหนังฮ่องกงทั้งในแง่ของพื้นที่การฉายและแหล่งเงินทุนในรูปแบบของการร่วมผลิตระหว่างผู้สร้างฮ่องกงและจีน
แม้ว่าผู้สร้างกระแสหลักจะเลือกเซ็นเซอร์ตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับตลาดจีน แต่ผู้สร้างหนังอิสระฮ่องกงกลับใช้ประโยชน์ของกฎหมายเซ็นเซอร์ที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากนโนยบายหนึ่งประเทศสองระบบ ด้วยการผลิตผลงานที่วิพากษ์การเมืองโดยเฉพาะอิทธิพลของรัฐบาลจีนต่อนโยบายที่มีต่อฮ่องกงหลายเรื่อง อาทิ หนังเรื่อง 10 Years (2015) ซึ่งประกอบด้วยหนังสั้นสี่เรื่องที่ตั้งคำถามถึงสถานะของฮ่องกงในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยตัวหนังวิพากษ์อิทธิพลของจีนที่มีต่อฮ่องกงในมิติทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรม Lost in Fumes (2018) สารคดีที่นำเสนอชีวิตของนักการเมืองและนักกิจกรรมทางการเมืองของฮ่องกงชื่อ เอ็ดเวิร์ด เหลียง หรือ สารคดีเรื่อง Inside the Red Brick Wall (2020) ที่นำเสนอเรื่องราวการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยของชาวฮ่องกงปี 2019
แต่แล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา ภายหลังจากรัฐบาลฮ่องกงได้แก้ไขกฤษฎีกาเซ็นเซอร์ด้วยการกำหนดแนวทางในการพิจารณาห้ามฉายภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ท่ามกลางความสับสนและคลุมเครือของผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรม
อนาคตอุตสาหกรรมหนังฮ่องกงใต้เงาระบบเซ็นเซอร์ใหม่
จนถึงขณะนี้ คงเป็นการเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าอุตสาหกรรมหนังฮ่องกงจะได้รับผลกระทบอย่างไรจากกฎหมายใหม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนคือ ความกังวลใจของบุคลากรที่อยู่ในทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมหนังฮ่องกง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการผลิตและจัดจำหน่าย เพราะสิ่งที่บุคลากรในส่วนนี้ต้องเผชิญคือ การเลือกเนื้อหาที่จะนำมาถ่ายทอดเป็นหนัง ภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่ที่ยังไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า เนื้อหาประเภทใดจัดอยู่ในข่ายขัดต่อต่อความมั่นคง อาจทำให้ผู้สร้างจำนวนไม่น้อยเลี่ยงที่จะไม่เลือกทำหนังที่อาจมีความสุ่มเสี่ยงเพื่อตัดปัญหาตั้งแต่ต้น เช่นหนังที่นำเสนอภาพลักษณ์ในแง่ลบของระบบราชการแบบ Infernal Affair ที่นำเสนอภาพความฉ้อฉลในวงการตำรวจ หรือหนังที่สะท้อนปัญหาสังคมต่างๆ ไม่นับรวมถึงผู้สร้างหนังอิสระที่มักนำเสนอปัญหาทางการเมืองและสังคมผ่านหนังหลายๆ เรื่อง (ซึ่งหลังจากนี้คงไม่มีโอกาสทำแบบนั้นได้อีก)
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแค่ผู้จัดจำหน่ายหนังท้องถิ่นที่ต้องเผชิญกับความกังวลต่อใจระบบเซ็นเซอร์ใหม่นี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้จัดจำหน่ายหนังต่างประเทศอีกด้วย เพราะต่อจากนี้ไปพวกเขาต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเลือกซื้อหนังมากขึ้น โดยเฉพาะหนังที่นำเสนอเนื้อหาการต่อสู้ระหว่างคนตัวเล็กกับคนที่มีอำนาจ หรือการต่อสู้ระหว่างคนกับระบบอย่างหนังเรื่อง Hunger Games หรือหนังตระกูล Dystopian (หนังที่พูดถึงอนาคตที่ไร้ความหวัง) ต่างๆ ที่คงไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อหนังที่ต้องซื้ออีกต่อไป หรือถ้าจำเป็นต้องซื้อด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ พวกเขาอาจต้องขอให้เจ้าของลิขสิทธิ์หนังต่างประเทศเพิ่มเงื่อนไขพิเศษที่เรียกว่า Censorship clause ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้จัดจำหน่ายหนังฮ่องกงสามารถเรียกคืนค่าลิขสิทธิ์ที่จ่ายไปได้ลงไปในสัญญา