สำหรับธุรกิจบันเทิงโลกในเวลานี้ คงไม่มีข่าวไหนที่สร้างความฮือฮาได้เท่ากับข่าว Amazon ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมอร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของตัวเองชื่อ Amazon Prime ได้บรรลุข้อตกลงซื้อสิทธิ์หนังทั้งหมดของบริษัท MGM หนึ่งในสตูดิโอขนาดใหญ่ของอเมริกาที่มีจำนวนมากกว่าสี่พันเรื่องด้วยจำนวนเงินทั้งหมด 8,450 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทย 253,500 ล้านบาท ไปเมื่อวันพุธที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ต่อจากนี้ไป Amazon Prime จะเป็นผู้บริหารสิทธิ์หนังทั้งหมดของค่าย MGM รวมถึงรายการทางโทรทัศน์ที่มีความยาวรวมกันมากกว่า 17,000 ชั่วโมง ไม่เพียงเท่านั้น Amazon Prime ยังมีสิทธิ์ในการบริหารสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property / IP) ของบริษัท MGM ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาคต่อ ภาคแยก หรือ คาแรคเตอร์ตัวละครของหนังดังๆ อย่าง Rocky, Legally Blond หรือ Tomb Raider
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าดีลนี้จะปิดไปแล้ว แต่ก็ยังมีบางจุดที่ยังมีความคลุมเครืออยู่ โดยเฉพาะกับหนังชุดเจมส์ บอนด์ ที่ทายาทตระกูลบรอคโคลี ผู้ปลุกปั้นหนังสายลับชุดนี้มาตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 60 และยังมีสิทธิ์ในการควบคุมเนื้อหารวมถึงการคัดเลือกนักแสดง ตลอดจนกำหนดทิศทางการจัดจำหน่าย ออกมาประกาศว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หนังเรื่อง No Time to Die ซึ่งเป็นภาคล่าสุดของหนังตระกูลบอนด์จะยังคงฉายในโรงหนังในเดือน ตุลาคมนี้
แต่กระนั้น นั่นอาจไม่ใช่สาระสำคัญอีกต่อไป ตราบใดที่ดีลขนาดยักษ์ดีลนี้ได้ถูกปิดอย่างเป็นทางการแล้ว ที่เหลือคงเป็นการตกลงกันระหว่าง ตระกูลบรอคโคลีกับค่าย MGM ที่เป็นผู้ร่วมสร้างหนังเจมส์ บอนด์ ว่าจะหาจุดลงตัวอย่างไรเพื่อที่จะได้ทำงานกับ Amazon อย่างราบรื่น
ทีนี้คำถามสำคัญที่ดูเหมือนจะยังไม่ถูกตั้งขึ้นในช่วงเวลานี้ก็คืออภิมหาดีลที่เกิดขึ้นนั้นจะส่งผลอย่างไรต่อธุรกิจบันเทิงโลก โดยเฉพาะกับธุรกิจบันเทิงที่มีผู้บริโภคมากที่สุดในโลกอย่างธุรกิจหนัง ผู้เขียนขอนำเสนอความเป็นไปได้ดังนี้
1. ภูมิทัศน์ของการจัดจำหน่ายจะเปลี่ยนไป : แม้ว่าการเข้ามาสมาทานธุรกิจภาพยนตร์ของบรรดาค่ายแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Netflix HBO หรือ Disney Plus จะไม่ใช่เรื่องใหม่ในธุรกิจภาพยนตร์ ใครๆ ก็รู้ว่า ตลอดปี 2020 ที่ผ่านมา แพลตฟอร์มเหล่านี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในด้านการจัดจำหน่ายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วงชิงฐานผู้ชมที่ไม่สามารถเข้าโรงหนังในช่วงที่โรงหนังเกือบทั่วโลกปิดตัวได้ หรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดจำหน่ายที่แต่เดิม โรงหนังต้องเป็นสถานที่แรกที่หนังต้องเปิดตัว จากนั้นคล้อยหลังไป 3 -6 เดือน ถึงไปฉายในช่องทางสตรีมมิ่ง กลายเป็น โรงหนังต้องเปิดตัวหนังพร้อมกับช่องทางสตรีมมิ่ง หรือไม่ต้องรอให้หนังเปิดตัวทางช่องทางสตรีมมิ่งก่อนถึงจะฉายโรงได้ ดังนั้นการเกิดอภิมหาดีลระหว่าง Amazon กับ MGM จึงเป็นการตอกย้ำว่า บทบาทแต่นมนามของโรงหนังในฐานะช่องทางการจัดจำหน่ายแรกและเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายสำคัญของเจ้าของหนังค่อยๆ หมดความสำคัญลงอย่างช้าๆ
2. คำว่า IP (Intellectual property) หรือ ทรัพย์สินทางปัญญา จะกลายเป็นตัวแปรในการสร้างความแข็งแกร่งของ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเจ้าต่างๆ เพราะการที่พวกเขาได้ครอบครองคอนเทนท์ที่มีต้นทุนแห่งความนิยม จากการที่มันเคยประสบความสำเร็จจากการฉายในโรงภาพยนตร์มาก่อน นอกจากจะทำให้พวกได้ประโยชน์จากการดึงผู้บริโภคเข้ามาเป็นสมาชิกแล้ว ยังทำให้พวกเขาสามารถต่อยอดความนิยมของหนังเรื่องนั้นๆ ด้วยการนำ IP ของหนังเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง หรือตัวละคร มาสร้างเป็นหนังหรือซีรีส์ที่มีความเกี่ยวช้องกับเนื้อเรื่องดั้งเดิมได้อีก เช่นกรณีของ Disney Plus ที่สามารถสร้างภาคแยกของหนังมาร์เวลที่พวกเขาถือสิทธิ์ได้หลายเรื่อง ดังนั้นการที่ Amazon Prime มีหนังในคลังของ MGM อยู่ในมือถึงสี่พันเรื่อง จึงเท่ากับว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะใช้ประโยชน์จาก IP ที่มาพร้อมกับหนังเหล่านั้นอย่างไม่มีขีดจำกัด ดังนั้นอย่าแปลกใจที่เราอาจได้เห็นตัวละครตัวหนึ่งในหนังเรื่อง Rocky กลายเป็นมาเป็นตัวละครหลักในหนังเรื่องต่อไปของ Amazon Prime ก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่ IP มีค่าดั่งทอง ดูเหมือนผู้ที่จะตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบคงหนีไม่พ้น Netflix เพราะต้องสูญเสียหนังของ MGM ที่พวกเขาเคยซื้อสิทธิ์มาฉายอย่าง James Bond หรือ Rocky หลังจากที่สัญญาหมดลงแล้ว ไม่นับรวมหนังของค่ายมาร์เวลหลายๆ เรื่องที่ต้องคืนกลับไปยังเจ้าของสิทธิ์เดิมเพื่อให้บริการใน Disney Plus
3. เกิดภาวะทำตามแบบ : ผู้เขียนมีความเชื่อว่า นอกจากผู้คนในแวดวงธุรกิจบันเทิงจะจับตาดีลนี้อย่างไม่กะพริบแล้ว ผู้บริหารสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Netflix HBO Disney Plus หรือ แม้แต่ตัว เจฟฟ์ เบซอส เจ้าของ Amazon เองก็คงเฝ้าสังเกตเหมือนกันว่าสุดท้ายนี้ ดีลนี้มันจะลงเอยด้วยการสร้างความมั่งคั่ง หรือ ความล้มเหลวให้กับแพลตฟอร์ม Amazon Prime ถ้าผลลงเอยเป็นบวก ผู้เขียนเชื่อว่า ต่อไปผู้บริหารเหล่านี้ คงสรรหาบริษัทภาพยนตร์ขนาดใหญ่ หรือขนาดกลางที่มีหนังในคลังมูลค่าสูงเพื่อทำการเจรจาซื้ออย่างแน่นอน เพราะการทุ่มทุนซื้อบริษัทเหล่านี้มาได้เท่ากับเป็นการการันตีว่า พวกเขาจะมี IP ที่มีต้นทุนความสำเร็จอยู่ในมือ ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้า บริษัทที่มี IP แข็งแรงอย่าง Lionsgate ที่มีหนัง Hunger Games หรือ John Wick อยู่ในแคทตาล็อก หรือ บริษัท Millennium Media ที่มีหนังอย่าง Expendable หรือหนังตระกูล Olympus Has Fallen อยู่ในคลัง จะอยู่ในโฟกัสของผู้บริหารสตรีมมิ่งเหล่านี้
4. การแข่งขันที่เข้มข้นของตลาดสตรีมมิ่ง : ด้วยจำนวนเงินกว่า 8,500 ล้านเหรียญที่ Amazon ลงทุนไป ทำให้พวกเขามีแรงกดดันที่จะต้องหาทางคืนทุนให้ได้ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่พวกเขาต้องทำคือการขยายฐานสมาชิกของ Amazon Prime ให้เพิ่มมากขึ้นจากที่มีอยู่ 200 ล้านคนทั่วโลกในขณะนี้