Locked Down หนังของ ดั๊ก ไลแมน สตาร์ทโปรเจกต์เมื่อเดือน ก.ค. 2020, ได้ทุนพร้อมประกาศโปรเจกต์เดือน ก.ย., ถ่ายทำ ต.ค., ตัดเสร็จพร้อมขายสิทธิให้ HBO Max เดือน ธ.ค. และออกฉายกลาง ม.ค. ปีนี้เลย …มีหนังเรื่องไหนด่วนกว่านี้อีกมั้ย?
นับตั้งแต่โควิดคุกคามไปทั้งโลก หนังหลายเรื่องต้องแก้บทและถ่ายเพิ่มเพื่อบันทึกช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้เอาไว้ เช่น Borat Subsequent Movie Film ที่ปั้นกันมาแรมปีแต่เพิ่งเพิ่มฉากล็อคดาวน์เข้าไปช่วงถ่ายทำ ส่วน Death to 2020 จริงๆ ก็เป็นโปรเจกต์เอาฮาของทีมผู้สร้าง Black Mirror ที่ทำป้อน BBC มาตั้งแต่ปี 2016 อยู่แล้ว หรืออย่างหนังไทย ‘อ้าย..คนหล่อลวง’ ก็เพิ่มเหตุการณ์โควิดเข้าไปในบท
จนอาจกล่าวได้ว่า นอกจาก Unsubscribe หนังที่รีบทำผ่าน Zoom เพื่อหวังขึ้นอันดับ 1 บ็อกซ์ออฟฟิศอเมริกาช่วงโควิด ก็คงเป็น Locked Down นี่เองที่บ้าพลังเพื่อให้เสร็จทันฉายในช่วงเวลาของมัน โดยที่หนังก็เต็มไปด้วยดาราดังอย่าง แอนน์ แฮทธาเวย์, ชิวเอเทล เอจิโอฟอร์, เบน สติลเลอร์, เบน คิงสลีย์ และ มินดี คาลิง
Locked Down เล่าเรื่องของ ลินดา (แฮทธาเวย์) กับ แพ็กซ์ตัน (เอจิโอฟอร์) คู่สามีภรรยาที่กำลังจะเลิกกันอยู่แล้วแต่ต้องล็อคดาวน์อยู่ด้วยกัน 14 วัน ตามมาตรการของลอนดอน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ชีวิตคู่ของพวกเขาพินาศสิ้น จนกระทั่งเกิดไอเดียปล้นเพชรซึ่งจัดแสดงค้างอยู่ที่ห้างแฮร์รอดส์ โดยใช้หน้าที่การงานของทั้งคู่กรุยทางเข้าไป …เรื่องที่เห็นทั้งหมดนี่เกิดจากบทที่ยังเขียนไม่เสร็จของ สตีเฟน ไนท์ (Peaky Blunders, Eastern Promises) และเกิดกระบวนการ “ค้นหาหนังระหว่างการถ่ายทำ” นี่มันหนังอะไรครับเนี่ย!
จอมแสบฮอลลีวูด
ก่อนอื่นเราอย่าเพิ่งวี้ดว้ายกับการทำงานแบบนี้ของไลแมน มันเป็นปกติของเขา แม้ว่าจะมีหนังทำเงินอยู่ในเครดิตอย่าง The Bourne Identity, Mr. and Mrs. Smith, Edge of Tomorrow และ American Made ถึงขนาดยูนิเวอร์แซลขึ้นบัญชีดำเขาทันทีหลังปิดกล้อง The Bourne Identity
ตัวอย่างวีรกรรมของไลแมนไล่มาตั้งแต่หนังแจ้งเกิดทุนต่ำอย่าง Swingers ที่ทำให้เขาและทีมงานถูกจับกุมในวันปิดกล้องเพราะไปถ่ายบนไฮเวย์โดยไม่ขออนุญาต, งบแหกถือเป็นเรื่องปกติของไลแมนเพื่อสนองนี้ดส่วนตัว แหกที 20-30 ล้าน จนเขาเคยประกาศขายเครดิตผู้กำกับบนอีเบย์เพื่อเอาเงินมาโปะกับ The Bourne Identity ส่วน Mr. and Mrs. Smith ก็แหกไปเกือบ 30 ล้าน เขาเลยควักเงินส่วนตัวมาเซ็ตฉากในโรงรถแม่ตัวเอง ก่อนจะระเบิดมันทิ้งตามบท!
“สำหรับผม การทำหนังเรื่องหนึ่งก็คือการออกผจญภัย”
เริ่มต้นจากการล็อคดาวน์
เรื่องมันเริ่มจากวันที่ไลแมนคุยงานผ่านซูมกับคนเขียนบทอย่างไนท์ ซึ่งอยู่ห่างกันโดยมีมหาสมุทรแอตแลนติกคั่นกลาง แต่ที่ลอนดอนซึ่งไนท์อยู่นั้นกำลังถูกล็อคดาวน์เพราะโรคระบาดหนักมาก ไอเดียของเขาตอนนั้นมีแค่ว่านักแสดงคุยกันผ่านซูมก็ได้ ไม่ต้องออกไปไหนมากเพราะกำลังปิดประเทศ คุมงบให้น้อยที่สุด แล้วทำหนังที่คนทั้งโลกในตอนนี้เชื่อมโยงได้
“โลกเปลี่ยนไปแล้ว ผมตื่นเต้นที่ได้เล่าเรื่องผ่านตัวละครที่เราสามารถเชื่อมโยงได้ในวันนี้ เราไม่ใช่อย่างที่เราเคยเป็นเมื่อปีที่แล้ว ตัวละครสามารถสะท้อนว่าเราเป็นใครในตอนนี้ จากนั้นค่อยพาพวกเขาออกผจญภัยและหาทางปลดปล่อยออกจากการถูกปิดกั้น”
หนังที่เริ่มถ่ายตั้งแต่บทยังไม่เสร็จ
ไลแมนและไนท์ตระเวนขอคิวนักแสดงทั้งที่บทยังไม่เสร็จ ด้วยความคิดที่ว่าในเมื่อตอนนี้ถ่ายหนังไม่ได้นักแสดงก็ว่างกันทั้งวงการนั่นแหละ จนได้นักแสดงชุดใหญ่ดังที่เห็น เพราะพวกเขาไม่ต้องเดินทางมาเข้าฉาก ส่วนใหญ่คุยผ่าน Zoom มาจากที่ไหนก็ได้ในโลก ซึ่ง เบน สติลเลอร์ คิดมุกให้ลูกชายวัยรุ่นจอมแสบเข้ามาป่วนด้วย ส่วนเอจิโอฟอร์อยู่ในอังกฤษอยู่แล้ว แต่คนที่ข้ามน้ำข้ามทะเลกับไลแมนมาเข้าฉากที่ลอนดอนก็คือแฮทธาเวย์ “การได้เล่นหนังเรื่องนี้มันเหมือนได้ยาระบาย” เธอกล่าว ซึ่งการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าหนังจะออกมาดีได้อย่างไรนอกจากเครดิตที่เข้าท่าของไลแมนและไนท์ แต่ดาราออสการ์อย่างแฮทธาเวย์เลือกทำ “ฉันรู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่นักแสดงไม่ควรทำแต่ฉันภูมิใจกับมันนะ คุณรู้มั้ยว่าล็อคดาวน์วันแรกๆ ฉันอยากจะหาทางปลดปล่อยมาก แต่ไม่อยากให้ลูกของฉันกลัว เลยทำได้แค่เอาหมอนปิดหน้าแล้วกรี๊ดออกมาดังๆ”
“มันเป็นความท้าทายในการหาเกณฑ์ว่าคุณถ่ายทอดการสนทนาผ่าน Zoom ในหนังอย่างไรเพราะจากนี้เป็นต้นไป หนังทุกเรื่องในปี 2020 หรือหลังจากนั้นมนุษย์ไม่เพียงแค่โทรศัพท์คุยกันอีกต่อไปใช่ไหม ดังนั้นวิธีการสื่อสารของเราจึงเปลี่ยนไปและภาษาหนังยังไม่ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ในการถ่ายทอดสิ่งนั้น” ไลแมนเสริม
การทำหนังคือการผจญภัย แต่คงไม่มีการผจญภัยครั้งไหนสมบุกสมบันกับไลแมนเท่า Locked Down อีกแล้วที่ไม่มีแม้แต่บทที่สมบูรณ์ โดยสิ่งที่ปรากฏในหนังคือดราฟท์แรกของไนท์เท่านั้น “ตอนผมขึ้นเครื่องบินมาลงลอนดอน ตอนนั้นคิดว่าผมได้ผ่านจุดที่ยากที่สุดมาแล้วคือการข้ามประเทศ แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันยากกว่าหลายเท่า
“นี่เป็นโอกาสที่จะเป็นหนังเรื่องหลังการแพร่ระบาดที่แสดงให้เห็นว่าชีวิตของเราเป็นอย่างไรในตอนนี้และต่อไป จากนั้นยังมีความกดดันอีกมากมายเพราะเรากำลังสร้างในขณะที่ลอนดอนยังปิดอยู่ มีความเสี่ยงที่เราจะไม่สามารถถ่ายจบได้ตลอดเวลา มันนำไปสู่ความเร่งรีบในการทำงาน เพราะมีหนังเรื่องสตูดิโอฟอร์มใหญ่รอนักแสดงอยู่” นี่จึงเป็นเหตุผลให้ไลแมนถ่ายได้แค่ 18 วัน แล้วต้องปล่อยนักแสดงกลับโดยไม่มีโอกาสถ่ายซ่อมใดๆ ทั้งสิ้น
เอจิโอฟอร์เล่าว่าไม่เคยถ่ายหนังเรื่องไหนที่ไม่ได้เห็นหน้าทีมงานเลยเพราะทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ไลแมนยังเล่าว่า “เจลล้างมือที่เราวางไว้บริการทีมงานตามจุดต่างๆ หายทุกวัน เพราะอะไร? เพราะเรารู้ดีว่าการทำงานเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ให้มันเสร็จ แต่เราต้องรอดกลับไปด้วย”
แฮร์ร็อดส์ห้างที่ไม่เคยให้ถ่ายหนัง
ไฮไลท์ของหนัง Locked Down คือหลังจากตัวละครติดอยู่ในเคหะสถานมาเกือบทั้งเรื่อง พวกเขาก็ออกไปเจอผู้เจอคนในองก์สุดท้าย ในภารกิจจารกรรมเพชรที่จัดแสดงค้างไว้ในห้างแฮร์ร็อดส์ ซึ่งมันเกิดจากไอเดียของไนท์ที่ว่าหนังต้องมี ‘ความเสี่ยง’ เพื่อให้เกิดความน่าตื่นตาตื่นใจ และที่พวกเขาเลือกแฮร์ร็อดส์เพราะมันเป็นห้างเก่าแก่ที่ไม่เคยอนุญาตให้ถ่ายหนังมาก่อนเลยในกว่า 170 ปีที่ก่อตั้งมา ที่สำคัญคือมันแสดงให้เห็นความเหลือกินเหลือใช้ของคนในชนชั้นหนึ่งก่อนที่มันจะถูกทิ้งเอาไว้อย่างนั้นด้วยสถานการณ์โควิด
“โควิดทำให้โลกกลับตาลปัตรไปหมด” ไลแมนเล่า “กฏเกณฑ์ปกติใช้อะไรไม่ได้แล้ว เราเข้าไปคุยกับแฮร์ร็อดส์โดยบอกกันตรงๆ ว่าเราไม่มีสคริปต์ให้ดูนะไม่มีกระทั่งไอเดียในตอนนั้น ถ้าคุณไม่ตอบตกลงเราก็แค่ไม่เขียนมันลงไปในบทเพราะเราไม่มีแผนสำรอง ถ้าไม่ใช่แฮร์ร็อดส์เราก็ไม่มีฉากนี้แค่นั้นเอง” หลังจากบากหน้าไปเจรจากันอย่างตรงไปตรงมากับห้างที่เข้มงวดเรื่องความปลอดภัยที่สุดของลอนดอน ผลลัพธ์ก็คือห้างยอมทุกอย่าง
“ถ้าสถานการณ์ปกติ แฮร์ร็อดส์ไม่มีทางอนุญาตให้เราเข้าไปถ่าย แต่ย้ำอีกครั้งว่าโลกมันกลับตาลปัตรไปหมดแล้ว เขาถึงยอม”
เนื่องจากห้างปิดภายใต้การล็อคดาวน์ลอนดอน แฮร์ร็อดส์จึงยอมให้ไลแมนเข้าไปถ่ายหนัง นอกจากเพื่อหารายได้เข้ามาหมุนเวียนกิจการแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ห้างจะสร้างรายได้ให้พนักงานด้วย เพราะหนึ่งในข้อตกลงคือพนักงานตัวจริงจะต้องได้เข้าฉาก และยังยอมเปิดหลังบ้านให้ไลแมนและทีมงานเข้าไปถ่ายทำอีกต่างหาก แต่อนุญาตให้เข้าได้เฉพาะตำแหน่งที่จำเป็นเท่านั้น
การถ่ายหนังในช่วงล็อคดาวน์จนจบและออกฉายได้ในขณะที่การแพร่ระบาดของโรคยังไม่จบ คือการบรรลุความตั้งใจของไลแมนเป็นอย่างมาก “เดิมทีเราคิดว่าพอหนังถ่ายเสร็จเพื่อให้ทันฉายเดือนมกราคม อะไรๆ มันคงดีขึ้นแล้ว แต่เปล่าเลย”
ซึ่งการทำงานภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้ ยิ่งทำให้ไลแมนมีความมั่นใจมากขึ้นกับโปรเจกต์ต่อไปที่แหกทุกกฏเกณฑ์ของการทำงาน นั่นคือการพา ทอม ครูซ ขึ้นไปถ่ายหนังกันนอกโลกบนยานอวกาศ ด้วยการสนับสนุนของ อีลอน มัสก์ และองค์การนาซ่า
“ผมไม่อยากพูดอะไรมากถึงโปรเจกต์นั้นในตอนนี้ แต่พอผมผ่าน Locked Down มาได้ ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าพร้อมแล้วสำหรับความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้น”
ดู Locked Down ได้ที่ HBO GO
ข้อมูลประกอบ
https://www.slashfilm.com/doug-liman-interview-locked-down/
https://www.vulture.com/2021/01/how-locked-down-got-harrods-to-let-a-film-crew-in-its-vaults.html