Home Review Anime & Game Review The Diary : บันทึกประวัติศาสตร์ชาติไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แอนิเมชั่นที่บอกให้เรา “จงรักภักดี”

The Diary : บันทึกประวัติศาสตร์ชาติไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แอนิเมชั่นที่บอกให้เรา “จงรักภักดี”

The Diary : บันทึกประวัติศาสตร์ชาติไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แอนิเมชั่นที่บอกให้เรา “จงรักภักดี”

ระหว่างดู The Diary ทั้งหมด 68 EP ตอนละ 6 นาที คิดรวมเป็น 408 นาที หรือ 6 ชั่วโมง 48 นาที ก็ถามตัวเองตลอดว่าเสียเวลาทรมานตัวเองดูจนจบครบทุกตอนไปทำไม 

The Diary เป็นแอนิเมชั่นตอนละ 6 นาที เล่าเรื่องราวของเมฆและตะวัน เด็กวัย 7 ขวบที่ต้องมาอยู่บ้านคุณปู่ที่เพชรบุรีในตอนปิดเทอม คุณปู่เป็นทหารเก่าและใส่เสื้อเหลืองทุกวัน โดยปู่มักจะคอยเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ให้หลานทั้งสองคนฟังเสมอ และระหว่างนั้นเมฆกับตะวันก็เจอปากกาขนนกวิเศษที่สามารถเปิดประตูมิติท่องไปในอดีตได้ ซึ่งประตูมิตินี้ก็จะพาทั้งคู่ย้อนไปในอดีตตั้งแต่สมัยสุโขทัย (ใช่ครับ ประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยมของชาติไทยนั้นสตาร์ตจากสุโขทัยเสมอ) จนถึงรัตนโกสินทร์ ได้ไปเห็นยูโทเปียของยุคโบราณที่น่าอยู่เหลือเกินภายใต้ร่มเงาพระบารมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อกลับมาปัจจุบัน ทุกครั้งก่อนนอนเมฆก็จะต้องเขียนไดอารี่บรรยายความซาบซึ้งที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก่อนถึงจะนอนหลับได้ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ The Diary

คือมันเป็นบอกว่าตัวเองเป็นการ์ตูนให้ความรู้ประวัติศาสตร์แหละ ซึ่งเนื้อหามันก็ไม่พ้นประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมที่เราโดนสั่งสอนจากทางภาครัฐกันมาตั้งแต่เล็กในห้องเรียน ที่ไม่พ้นเรื่องความเป็นชาติไทย ความดีงามมีบุญคุณเป็นล้นพ้นของสถาบันกษัตริย์และศาสนาพุทธที่เราต้องรักษา มันจึงไม่มีประโยชน์ที่จะมาเที่ยวผลิตซ้ำสิ่งเหล่านี้ที่มันบังคับเล่ากรอกหูคนไทยกันมาเกินครึ่งศตวรรษ ดังนั้น The Diary จึงถูกมองในฐานสื่อให้ความรู้ประวัติศาสตร์ที่ผลิตในปี 2021 ไม่ได้เลย มองได้อย่างเดียวคือว่ามันคือ propaganda ที่ถูกผลิตมาจากความกลัวของภาครัฐและชนชั้นปกครองที่โดนประชาชนปัจจุบันโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ตั้งคำถามถึงการคุณค่าการมีอยู่ของชาติ ศาสนา และสถาบันกษัตริย์

ยกตัวอย่างให้ชัดๆ ในเชิง mindset การเล่าเรื่อง ปากกาขนนกก็คือตัวแทนรัฐปัจจุบันและชนชั้นปกครองที่ต้องการให้เด็กรุ่นใหม่ซาบซึ้งในประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยม ที่ชอบคือมันพาเด็กทั้งสองย้อนไปอดีตแค่เพียงเดี๋ยวเดียวแล้วก็พากลับมา คือพาไปเห็นแค่แง่มุมสวยงามในยุคก่อนแล้วก็ต้องรีบพากลับมา เพราะจะให้เห็นแค่ด้านนี้เท่านั้นแหละ แถมเป็นแง่มุมสวยงามที่น่ากังขาเสียด้วย และตัวปากกาขนนกก็ไม่ให้เด็กทั้งสองเกิดการตั้งคำถาม เพราะทุกครั้งที่กลับมา ปากกาขนนกจะไม่ให้เด็กชายเมฆหลับ ขนนกจะให้เมฆเขียนไดอารี่ซาบซึ้งในสิ่งที่ไปเจอมา ใช่ครับ แค่ชี้ให้เห็นไม่พอ แต่จะบังคับให้ซาบซึ้งด้วย เพราะงั้นมันก็จะจบตอนด้วยไดอารี่ของเมฆที่ซาบซึ้งในความดีงามของสถาบันกษัตริย์ อย่างงี้ไม่เรียก propaganda ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

ยิ่งดูก็ยิ่งเจอตลกร้ายหลายอย่าง ไม่ว่าจะการที่ย้อนเวลาแต่ละครั้ง จะมีคนเข้าประตูเวลาได้แค่ตัวหลานสองคน (และแมว) ส่วนตัวปู่ที่เป็นคนที่น่าจะอยากไปสัมผัสกลิ่นอายของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยุคก่อนมากที่สุดกลับถูก “หยุดเวลา” แช่แข็งเอาไว้จนกว่าหลานจะกลับจากอดีต และตลกร้ายอีกอย่างที่ทุกครั้งที่ทั้งเมฆและตะวันย้อนเวลากลับไป พวกเขาจะสามรถมีปฎิสัมพันธ์พูดคุยกับประชาชนทั่วไปได้ แต่พวกเขาจะไม่สามารถไปเข้าไปพูดคุยกับกษัตริย์ในยุคนั้นได้ มีฉากนึงที่ตะวันอยากเข้าไปในวังเพื่อดูพระเจ้าอยู่หัวก็ถูกกันไว้ให้เข้าไปไม่ได้ หรือเจอสมเด็จพระนเรศวร (ระยะห่าง) ก็โดนบอกให้ก้มกราบนิ่งๆ เป็นการ ”ห้าม” ทั้ง 2 คนให้ไม่อาจเข้าไปพูดคุยกับกษัตริย์โดยตรงได้ของผู้สร้าง ซึ่งไม่ใช่ด้วยเหตุผลเชิง time paradox แบบไซไฟแน่ๆ ดูยังไงก็เป็นการกีดเส้นแบ่งระหว่างเจ้ากับไพร่ และมีอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่มันชัดเจนถึง mindset คนทำว่ามองคนไม่เท่ากัน และคุณค่าความดีงามคือการเคารพเชื่อฟัง กตัญญูรู้คุณ คอยพร่ำสอนให้อนุรักษ์สิ่งเก่าและแฝงการด้อยค่าสิ่งใหม่ อย่างที่ปู่คอยดุเมฆที่เอาแต่เล่นเกมไปวันและชมตะวันที่ไปเรียนพิเศษ หรือบอกว่าความรู้จากอินเทอร์เน็ตนั้นสู้ความรู้จากหนังสือเก่าๆ ไม่ได้หรอก 

จะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดสัก EP หนึ่งคือ EP 46 ชื่อตอนว่า “ส่งมอบอำนาจสู่มือประชาชน”

เริ่มตอนที่คุณปู่ (ผู้ใส่เสื้อเหลืองทุกวัน) พาหลานมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ร.7 เป็น EP ที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นประชาธิปไตย เอ๊ะ แต่ในหนัง propaganda สถาบัน จะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองยังไงดีนะ ? คำตอบก็คือ “ก็ทำราวกับ 2475 และคณะราษฎรไม่มีอยู่จริง เลยนะสิ!” เล่าไปเลยว่าในหลวงรัชกาลที่ 7 พระราชทานรัฐธรรมนูญให้ประชาชนมีอำนาจปกครองตัวเอง ซึ่งเป็นการเตรียมการมาตั้งแต่สมัย ร.6 โอ้โห้ อย่างนี้ก็ได้นะ

แน่นอนว่าไอ้หลานตัวดีก็ต้องอยากย้อนเวลาไปดูเหตุการณ์ จังหวะนี้ผมจิกเก้าอี้ตัวเกร็ง ลุ้นชิบหายว่าจะไปเจอเหตุการณ์อันใด ปรากฏว่าวิ่งทะลุประตูมิติไปออกหัวลำโพง ปี พ.ศ.2476 เจอไอ้หนุ่มชุดราชปะแตนกำลังเดินทางกลับภูมิลำเนาไปเลือกตั้ง ก่อนจะพูดด้วยความซาบซึ้งว่าขอบคุณพระมหากรุณาธิคุณที่ให้โอกาสให้ตนได้เลือกตั้ง แล้วทั้งสองคนก็กลับมาปัจจุบัน

แต่ทีเด็ดของตอนอยู่ตรงเมื่อหลานกลับมาปุ๊ป ก็เห็นว่าคุณปู่ยังยืนมองรูปพระราชทานรัฐธรรมนูญด้วยความซาบซึ้งอยู่ แล้วปู่ก็อ่านข้อความของในหลวงรัชกาลที่ 7 ให้หลานฟัง ซึ่งเป็นข้อความที่เราคุ้นกันดี “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใดคณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร” พอคุณปู่ถามเสร็จก็หันมาถามหลายว่า “เข้าใจกันว่าไงล่ะ เด็กๆ ?” โห อันนี้แอบนับถือคนทำ เป็นการส่งสารด่าคณะราษฎรและกลุ่มสามนิ้วปัจจุบันโดยไม่ต้องพูดหรือเอ่ยถึงแม้แต่นิดเดียวเลย แต่คนดูเข้าใจได้ในทันที จังหวะที่ปู่ถามนี่ผมดูแล้วขนลุกด้วยความกลัวเลย สายตาคือแบบ “มึงเข้าใจที่กูพูดใช่ไหม?”

ที่น่าสนใจในนัยทางการเมืองที่นำเสนอออกมา คือการดึงความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างไทยและจีน เข้ามาเกี่ยวข้องและมากกว่า 1 EP จะเห็นได้ว่า การ propaganda นิยมจีนนั้นเป็นหนึ่งใน grand narrative ที่ทางรัฐนั้นพยายามกล่อมคนไทยผ่านช่องทางสื่อของตัวเองและบรรดาสื่อ IO ทั้งหลายมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งต้องยอมรับว่าก็ได้ผลเพราะตอนนี้มีคนที่เสพสื่อรัฐ และ IO จำนวนมากที่โปรจีนและไม่เชื่อในประชาธิปไตยแบบโลกตะวันตกไปแล้ว

และจุดมุ่งหมายหลักของมันก็เพื่อสอดแทรกเรื่องราวของรัชกาลปัจจุบันทีละนิดทีละน้อยในแต่ละ EP ก่อนจะเปิดใจถาโถมเพื่อบอกคุณงามความดีของรัชกาลปัจจุบันแบบไม่เคอะเขินในช่วง EP ท้ายๆ หลังจากที่ลากยาวไทม์ไลน์มา 700 กว่าปีใน 68 EP ก็เพื่อให้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของกษัตริย์ในอดีตและจงกราบไหว้รัชกาลปัจจุบันอย่างภักดี

เอาจริงๆ จะไม่โกรธเลยถ้างาน propaganda ชิ้นนี้อยู่ในช่องทางของรัฐเอง หรือจะเฉพาะช่องทีวีดาวเทียมของมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์ที่เป็นผู้จัดทำ แต่มันฉายในช่องทีวีดิจิตอลแทบทุกช่องรวมถึงทีวีสาธารณะที่ควรเป็นของประชาชน การมีอยู่ของแอนิเมชั่นเรื่องนี้จึงเป็นที่น่าตั้งคำถามกับช่องต่างๆ หรือแม้แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทีวีดิจิตอลอย่าง กสทช. มากๆ ว่าทำไมงาน propaganda ของภาครัฐถึงมีพื้นที่ในสื่อของภาคเอกชนและสื่อสาธารณะได้ขนาดนี้ และชวนน่าตั้งคำถามถึงที่มาของต้นทุนการผลิตด้วย

ถ้าเอาตามความเป็นจริง หลังจากที่หมดหน้าร้อนแล้วเมฆต้องจากคุณปู่กลับไปอยู่บ้าน มันยากแหละครับที่เมฆจะไม่เห็นข้อมูลอีกด้าน คือขืนยังอินแบบนี้รับรองว่าอยู่ในกลุ่มเพื่อนลำบากแน่ๆ และยิ่งโตๆ ไปก็ยิ่งไม่สามารถปิดกั้นเขาได้ เมฆอาจจะได้ไปค้นคว้าหาข้อมูลใหม่ๆ ได้รู้ประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ชุดที่ภาครัฐให้เราจำ ประวัติศาสตร์ที่มีความสากลขึ้น ประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ตั้งต้นจากความเป็นชาติ แต่มาจากเข้าใจพื้นฐานของภูมิภาค ที่มีอาณาจักรและอารยธรรมมากมาย ผลัดกันขึ้นมามีอำนาจและเสื่อมไป ไม่ใช่ประวัติศาสตร์เส้นตรงที่รวมศูนย์กลางการปกครองแค่ สุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ เพราะแต่ละภูมิภาคก็มีประวัติศาสตร์ มีเจ้าผู้ปกครอง มีเมืองศูนย์กลาง มีวัฒนธรรมในแบบตัวเอง 

สุดท้ายย้อนกลับมาถามว่าตัวเองเสียเวลาดูงานชิ้นนี้ไปทำไม คำตอบคือก็คงเพราะอยากรู้แหละว่า 2021 แล้วทางภาครัฐและชนชั้นนำนั้นมีวิธีการนำเสนอ propaganda อะไรที่พัฒนาขึ้นหรือปรับเปลี่ยนไปให้แยบยลขึ้นไหม ซึ่งคำตอบก็คือ ไม่ พวกเขายังคงยึดติดวิธีเดิมๆ ที่ไม่สามารถหลอกคนรุ่นใหม่ได้อีกแล้ว เป็นการใช้ทรัพยากรโดยสูญเปล่าในการสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here