หากจะพูดถึงดนตรีแนวพังก์ สิ่งแรกที่เรานึกถึงดนตรีที่รวดเร็ว คือการเล่นเทคนิคกีต้าร์แบบสาดเสียงด้วยคอร์ดเดิม เสียงร้องที่เหมือนแหกปากตะโกนโวยวายเหมือนการเรียกร้องหรือการระบาย การแต่งตัวที่สมัยก่อนน่าจะเรียกได้ว่าขัดใจแม่ การทำตัวเป็นขบถที่ขัดใจทุกอย่างตั้งแต่ดนตรีไปจนถึงการแต่งตัว แต่มันกลับถูกใจวัยรุ่นอย่างรุนแรง ด้วยความเร็ว แรง การต่อต้าน และความแสบสันต์ของดนตรี ถ้าหากถามว่าเวลานึกถึงดนตรีแนวพังก์นั้น จะนึกถึงวงอะไร หลักๆ ที่เคยได้ยินชื่อก็คงเป็น Sex Pistols, The Ramones หรืออาจจะเป็น Bad Brains ที่เป็นวงดนตรีพังก์ของกลุ่มคนผิวดำที่พอนึกออก แต่ถ้าถามว่าวงดนตรีพังก์วงแรกของโลกคือวงอะไร มีข้อถกเถียงกันจนถึงปัจจุบันว่าควรนับวงไหนกันแน่ ซึ่งก็มีทฤษฎีหนึ่งที่สนับสนุนว่า พวกเขาควรได้นับว่าเป็นวงดนตรีแนวพังก์วงแรกของโลก
ย้อนกลับไปในสมัยยุค 70 ตอนต้น ในขณะที่ดนตรีของคนผิวดำยังคงรุ่งเรืองด้วยแนวดิสโก้ และฟังก์ อย่าง Earth, Wind & Fire สามพี่น้องแห่งตระกูลแฮคนี่ย์ (Hackney) นำทีมโดยเดวิด (กีต้าร์) เริ่มชักชวนบ็อบบี้ (เบส,ร้อง) และแดนนิส (กลอง) ตั้งวงดนตรีแนวฟังก์ที่ผสมผสานกับดนตรีร็อกที่มีชื่อว่า RockFire Funk Express แต่เส้นทางของพวกเขานั้นเปลี่ยนแปลงไป เมื่อเดวิดได้เริ่มค้นพบหนทางของการเป็นร็อคแอนด์โรลสตาร์ จากความชื่นชอบในดนตรีของ The Beatles และการได้ไปดูการแสดงสดของ The Who และ Alice Cooper พวกเขาสรรค์สร้างดนตรีร็อคแบบใหม่ จากห้องใต้หลังคาที่บ้านของตัวเอง ด้วยวิธีการเล่นเพลงร็อคที่เร็วกว่าปกติ เดวิดตั้งชื่อวงดนตรีนี้ว่า Death แต่ไม่ได้ตั้งแบบต่อต้านสะใจเอาเล่นๆ แต่ชื่อนั้นมีความหมาย สัญลักษณ์วงกลมที่ทำรูปเป็นสามเหลี่ยมนั้นหมายถึงสมาชิกทั้งหมดสามคน และวงกลมที่หลุดออกมาจากสามเหลี่ยมนั่นคือการเฝ้ามองของพระเจ้า เดวิดเชื่อว่าพวกเขาต้องเดินทางตามเส้นทางที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ให้
แต่เส้นทางการเป็นร็อคสตาร์ของพวกเขานั้นไม่ได้ง่าย ถึงแม้ว่าเดโมที่พวกเขาอัดไว้จะมีความยอดเยี่ยมประการใด แต่พวกเขาต้องเจอกับอุปสรรคใหญ่ที่สุดคือภาพลักษณ์ของชื่อวง คำว่า “Death” นั้นเป็นคำที่รุนแรงและอันตรายเกินไป ไม่มีค่ายเพลงใดกล้ารับศิลปินที่มีชื่อนี้ แต่โอกาสมาถึงพวกเขาเมื่อ Death ได้รับความสนใจจาก Clive Davis โปรดิวเซอร์ชื่อดัง (ที่ปัจจุบันเขาได้รับรางวัลแกรมมี่ถึง 5 ตัว และสังกัดค่าย Columbia Records) แต่ต้องแลกเปลี่ยนว่า ถ้าจะเข้าค่ายนี้ ต้องขอเปลี่ยนชื่อวงดนตรี ถึงแม้ตัวบ็อบบี้ และแดนนิสจะยอมรับว่า พวกเขาคิดว่าข้อเสนอนี้นั้นคุ้มค่าดี เพราะพวกเขาก็เริ่มทนไม่ไหวกับความกลัว และคำดูถูกเช่นกัน แต่เดวิดที่เป็นตัวตั้งตัวตีก็คัดค้านหัวชนฝา เพราะมันเป็นการเปลี่ยนคอนเซ็ปท์สิ่งที่ทำมาสิ้นเชิง ด้วยความเชื่อที่พี่น้องกันย่อมไม่ทิ้งกัน ที่เป็นคติประจำใจที่ถูกปลูกฝังมาโดยตลอด พวกเขาจึงปฏิเสธข้อเสนอ และนั่นทำให้จุดร้าวของพวกเขาเริ่มเกิดขึ้น
พวกเขาออกมาทำค่ายของตัวเอง Tryangle Records ออกซิงเกิ้ล Politician in my eyes / Keep on Knockin’ แผ่น 45 RPM จำนวน 500 แผ่น หวังว่าแผ่นซิงเกิ้ลนี้จะเป็นการโปรโมทที่ดี ทำให้คลื่นวิทยุสนใจและนำไปเปิด หวังให้พวกเขาได้ถูกพบเจอจากค่ายเพลง ผู้จัดจำหน่าย หรือแมวมองในวงการดนตรี แล้วทำให้เส้นทางดนตรีของพวกเขาเริ่มต้น แต่มันไปได้ไม่ไกลขนาดนั้น ทุกคนเริ่มเกิดความเหนื่อยและท้อจากการถูกปฏิเสธจากค่ายเพลงต่างๆ หรือแม้กระทั่งคนรอบข้างเขาเองเรื่อยมา สุดท้ายพวกเขาเก็บมาสเตอร์เทปไว้ในห้องใต้หลังคานั้น และฝังทุกอย่างเกี่ยวกับ Death ไว้ในห้องนั้นตลอดไป ไม่มีใครพูดถึงอดีตที่ผ่านมานั้นอีก นั่นกลายเป็นจุดจบของ Death ไปโดยปริยาย
หลังจากนั้นพวกเขาตั้งวง The 4th Movement ดนตรีร็อคในคอนเซปต์ที่พูดถึงเรื่องศาสนาและพระเจ้า แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเช่นเคย และนั่นก็คือครั้งสุดท้ายที่ได้ทำงานร่วมกันของสามพี่น้อง ชีวิตทั้งสามต่างเริ่มเดินทางไปในเส้นทางของตัวเอง บ็อบบี้ และแดนนิสยังคงเดินในเส้นทางของนักดนตรีต่อ ทั้งสองคนรวมตัวทำวงดนตรีแนวเร็กเก้ชื่อว่า Lambsbread ได้รับเสียงตอบรับที่ดีพอสมควร พวกเขาออกอัลบั้ม และมีทัวร์ไปเล่นตามเวทีและเทศกาลดนตรีตามเมืองต่างๆ มีชีวิตและครอบครัวที่ควรจะเป็น ส่วนเดวิดหันหลังให้กับการเป็นนักดนตรี ราวกับว่าทุกอย่างเขาอุทิศให้กับ Death ไปหมดแล้ว ชีวิตของเขาเหมือนพังทลาย เขาติดเหล้า เสียศูนย์ และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดในปี 2000 สร้างความเสียใจให้ทั้งบ็อบบี้ และแดนนิสเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าถ้าปัจจุบัน Death ยังอยู่ เดวิดคงไม่มีจุดจบของชีวิตที่น่าเศร้าแบบนี้
ผ่านไปนับสามสิบปี นักสะสมแผ่นเสียงคนหนึ่งที่พยายามขุดหาวงดนตรีที่ลับแลและน่าสนใจให้คนวงกว้างได้เชยชม จนกระทั่งเขาไปเจอแผ่นซิงเกิ้ลแผ่นหนึ่งที่วางหลบเร้นอยู่ในร้านขายแผ่นเสียงมือสอง เขาเห็นชื่อของวงนี้จากลิสท์ที่ไหนสักที่ จึงซื้อด้วยความถูกชะตา ทำให้เขาจึงได้พบความยอดเยี่ยมที่ถูกซ่อนไว้มานาน ทั้งสองเพลงถูกเผยแพร่ตามที่ต่างๆ ในงานปาร์ตี้ไวนิลจากเพื่อนสู่เพื่อน ไปจนถึงกลุ่มคนรักไวนิล ไปจนถึงงานปาร์ตี้รื่นเริง คลื่นวิทยุ จนกระทั่งลงเป็นไฟล์ mp3 จากนั้น Death ก็เหมือนถูกปลุกจากความตาย แผ่นไวนิลซิงเกิ้ลราคาธรรมดาถูกดีดสูงขึ้นหลายเท่า เมื่อนักข่าวจาก New York Times ทำบทความลงหนังสือพิมพ์ ตอนนั้นเองทำให้อเมริการู้จักวงดนตรีที่ชื่อว่า Death เสียที จนสุดท้ายอัลบั้มเดบิวท์ของพวกเขาได้วางขายตามร้านขายซีดีเมื่อปี 2009 เกิดขึ้นหลังจากก่อตั้งวง 33 ปี Death ได้เริ่มต้นออนทัวร์ แสดงสดตามงานดนตรี และเทศกาลต่างๆ บ็อบบี้ และแดนนิสได้เห็นสิ่งที่พวกเขาต้องการที่จะเห็นมาโดยตลอด ในนามของวงนี้ แต่พวกเขาต้องเริ่มต้นโดยที่ไม่มีเดวิด คนที่ควรจะเห็นสิ่งสิ่งนี้มากที่สุด
หนังนั้นเริ่มต้นด้วยการเปิดตัวของศิลปินรุ่นใหญ่ทั้งแนวพังก์อย่าง Alice Cooper, Kid Rock, Questlove ไปจนถึง Elijah Wood (นอกจากที่เขาจะเป็นนักแสดง เขายังเคยเป็นเจ้าของค่ายเพลง) ต่างออกมาให้การยอมรับและชื่นชมถึงความยอดเยี่ยม ความมาก่อนกาลของวงนี้ และประหลาดใจอย่างมากว่าอัลบั้มที่ดีขนาดนี้ ทำไมพวกเขาถึงไม่รู้จักมาก่อน ซึ่งก็ไม่แปลกใจที่พวกเขาจะไม่รู้จัก เพราะแทบไม่มีใครบนโลกนี้เคยได้สัมผัสความยอดเยี่ยมของวงดนตรีวงนี้ในช่วงที่พวกเขายังคงเคลื่อนไหวและสร้างสรรค์เพลงใหม่ ชีวิตของพวกเขาถูกดับหายไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่โลกจะเปิดฟ้าต้อนรับพวกเขาอีกครั้ง ในอีกสามสิบปีให้หลัง สารคดี A Band Called Death เรื่องนี้ เป็นการขยายเรื่องราวของพวกเขาที่โลกไม่มีทางได้รับรู้ว่า กว่าที่พวกเขาจะกลับมาได้อย่างทุกวันนี้ ต้องแลกกับอะไรไปบ้าง และมันเกิดขึ้นเพราะสิ่งใดกันแน่ พรมแดนดนตรีที่ไม่เปิดรับพวกเขาที่แตกต่างเกินไป หรือการที่พวกเขาเกิดผิดที่ ผิดเวลา เพียงแค่นั้น
แต่สิ่งที่เดวิดทำนั้นไม่สูญเปล่า นอกจาก Death จะยืนอยู่บนเวทีดนตรีได้อย่างเต็มภาคภูมิ ความฝันที่พวกเขาเคยวางไว้นั้นประสบผลสำเร็จ เดวิดยังส่งเชื้อไฟแห่งความหลงใหลในดนตรีให้กับลูกๆ ของ บ็อบบี้ และแดนนิสทั้งสาม เชื้อสายของนักดนตรีนั้นรุนแรงไม่แพ้รุ่นพ่อ หลังจากที่พวกเขารู้ตัวว่าครอบครัวของตัวเองเป็นสมาชิกวงดนตรีที่เป็นปรากฏการณ์อยู่ในขณะนั้น ทั้งเพื่อนๆ ของเขาและคนทั่วอเมริกากำลังให้ความสนใจอย่างท่วมท้น พวกเขาจึงเริ่มก่อตั้งวงดนตรี Rough Francis ซึ่งเป็นนามแฝงสุดท้ายของเดวิดที่ทำเพลงก่อนเสียชีวิต เพื่อประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของวง Death จุดเริ่มต้นพวกเขาเหมือน Death อย่างกับถอดกันมา สมาชิกสามคนที่เป็นพี่น้องร่วมตระกูล แต่เพิ่มเพื่อนในสมัยเรียนไปอีกสองคน พวกเขาเริ่มต้นจากการเล่น tribute ให้กับวงของพ่อตัวเอง และภายหลังจึงเริ่มเดินเส้นทางการเป็นนักดนตรีเป็นของตัวเอง
Dazed เคยมีบทความที่ตั้งคำถามว่าทำไมประวัติศาสตร์ของเพลงพังก์เราถึงนึกได้แต่หน้าตาของคนผิวขาว ซึ่งเพราะว่าซีนที่โดดเด่นที่สุดของเพลงพังก์ คือการขับเคลื่อนจากความเกรี้ยวกราดและการถูกทอดทิ้งจากชนชั้นแรงงานของคนขาวในสหราชอาณาจักร ตัวบทความเองบอกว่าในสัญชาตญาณของของพวกเขานั้นมีความขบถและต่อต้านมาตั้งแต่เกิดแล้ว จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แต่ดนตรีแห่งการต่อต้านของพวกเขาก็ไม่ใช่แนวพังก์เป็นหลัก เพราะฉะนั้นเสียงของการต่อต้านของพวกเขาจะนำไปลงในเสียงเพลงของบลูส์ กอสเปล และฮิปฮอปในเวลาถัดมา ในหนังเอง การที่ Death ได้เป็นที่รู้จักอีกรอบ เป็นเพราะนักสะสมแผ่นเสียงชื่อดังที่เป็นคนผิวขาวเป็นคนถูกค้นพบ และทำให้ Death เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง พวกเขาอาจจะไม่ได้มีพื้นที่ทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างขนาดนี้ก็ได้ ถ้าคนที่ค้นพบวงนี้กลายเป็นคนผิวดำ
หนังเรื่องนี้อาจสอนให้รู้ว่าเส้นทางศิลปินอาจดูอันตราย ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด ยิ่งถ้าเป็นเส้นทางของศิลปินผิวดำยิ่งอันตราย การที่พวกเขาเพิ่งดังในช่วง 2000 ต้นๆ นั้น ก็ไม่สามารถทดแทนในเส้นทางที่พวกเขาควรได้รับในช่วงยุค 70 และหนทางที่เขาต้องกลับไปอยู่ในขนบของวงดนตรีผิวดำที่ทั่วโลกรู้จักและควรจะเป็น อย่างดิสโก้ หรือ เร็กเก้ ก็ถือว่าเป็นจำกัดรูปแบบของใครบางคน ทั้งที่พวกเขาควรได้รับการถูกพูดถึงและเป็นที่จดจำในฐานะวงดนตรีพังก์รุ่นแรกๆ เทียบเท่ากับวงพังก์ระดับแนวหน้าวงอื่นๆ
การกลับมาของ Death ในอีกแง่หนึ่ง มันก็คือการเฉลิมฉลองความสำเร็จของพวกเขาทั้งสามคน ที่เวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม ก็ยังยกผลงานชิ้นนี้ไว้เป็นความภาคภูมิใจสูงสุดที่ได้ทำ แต่ดาบสองคมของมันก็คือการที่บ็อบบี้ และแดนนิส ต้องแบกบาดแผลที่พวกเขาทำผิดพลาด ที่เป็นเหตุทำให้เดวิดจากไป ขึ้นแสดงสดทุกครั้ง มันเหมือนกับว่าพวกเขาเล่นเพื่อแสดงเกียรติให้กับ ผู้เป็นทุกอย่างของวง พวกเขากลายเป็นแค่นักแสดงที่ถูกกำกับไว้แล้วตลอดชีวิต หน้าที่ของพวกเขาที่เคยทำผิดพลาด ไม่ยอมทำตามคติของครอบครัว การเชื่อใจครอบครัวของตัวเอง และสนับสนุนไปให้ถึงที่สุด นั่นก็คือการแบกเกียรติยศและศักดิ์ศรีของ Death ใส่หลัง และทำหน้าที่การเป็นนักดนตรีวงนี้ไปตลอดชีวิต จนกว่าพวกเขาจะตายจากกันไป นั่นถือว่าจะเป็นสิ่งที่สาสม