อ่านตอน 1 : “เจาะแผนสนับสนุนวงการหนังท็อปโฟร์ของโลก (ตอน 1 : เกาหลีใต้)”
อ่านตอน 2 : “เจาะแผนสนับสนุนวงการหนังท็อปโฟร์ของโลก (ตอน 2 : ฝรั่งเศส)”
อ่านตอน 3 : “เจาะแผนสนับสนุนวงการหนังท็อปโฟร์ของโลก (ตอน 3 : สหราชอาณาจักร)”
อ่านตอน 4 : “เจาะแผนสนับสนุนวงการหนังท็อปโฟร์ของโลก (ตอน 4 : เยอรมนี)”
แม้ปัจจุบัน รัฐบาลไทยจะมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยอยู่บ้าง ผ่านการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรม (ในรูปของการสนับสนุนด้านเงินทุน) กระทรวงพาณิชย์ (สร้างช่องทางด้านธุรกิจโดยเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายหนังได้พบกับผู้จัดจำหน่ายนานาชาติ) และการทรวงการต่างประเทศ (เผยแพร่หนัง)ไทยในต่างประเทศ แต่ดูเหมือนยังไม่เป็นเอกภาพมากนัก อีกทั้งการเข้าถึงการสนับสนุนเหล่านี้ของบุคลากรในวงการหนังก็ยังมีอย่างจำกัด
หลายคนตั้งคำถามว่า รัฐควรกำหนดนโยบายที่จริงจังกว่านี้หรือไม่ และรูปแบบของการส่งเสริมของประเทศไหนที่เราควรเดินตาม แน่นอนว่า หลังจากความสำเร็จของอุตสาหกรรมหนังเกาหลีใต้ที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องมาหลายปี กระแสเรียกร้องให้นำโมเดลการสนับสนุนและส่งเสริมหนังแบบเกาหลีใต้มาปรับใช้ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของผู้เขียนแล้ว ก่อนไปถึงจุดนั้นเราน่าจะมาทำความเข้าใจก่อนว่า องค์ประกอบสำคัญในการวางโครงสร้างการสนับสนุนภาพยนตร์ไทยแบบยั่งยืนมีอะไรบ้าง ซึ่งหากพิจารณาจากคุณลักษณะของการวางนโยบายของรัฐบาล 4 ประเทศที่ได้กล่าวมา องค์ประกอบดังกล่าวน่าจะได้แก่
1. หน่วยงานเฉพาะทาง ทางด้านกิจการภาพยนตร์
อาจเป็นได้ทั้งองค์กรอิสระไม่สังกัดกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง (เช่นเดียวกับ สภาการภาพยนตร์เกาหลี หรือ KOFIC ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ให้การสนับสนุน) หรือเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นโดยรัฐ (เช่น ศูนย์ภาพยนตร์และภาพเคลื่อนไหวแห่งชาติ หรือ CNC ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม และ คณะกรรมการภาพยนตร์แห่งสหพันธรัฐเยอรมัน หรือ Filmförderungsanstalt (FFA) ที่รัฐบาลเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการที่มาจากหลายภาคส่วน รวมถึงตัวแทนสภาล่างและตัวแทนของอุตสาหกรรมหนัง
การตั้งหน่วยงานเฉพาะเช่นนี้ จะช่วยให้การทำงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมหนังทั้งระบบมีความคล่องตัวและมีเป้าหมายชัดเจนขึ้น
ส่วนรัฐจะมีหน้าที่ร่วมกำหนดนโยบายกับหน่วยงานดังกล่าวและจัดสรรงบประมาณในการดำเนินงาน โดย แหล่งที่มาของงบประมาณดำเนินงาน มีได้ทั้งจากงบที่จัดสรรผ่านกระทรวงที่ดูแล และงบจากการจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวกับธุรกิจหนัง เช่น ภาษีจากรายได้ค่าตั๋วหนัง ภาษีจากผู้ประกอบการธุรกิจวิดีโอออนดีมานด์ เป็นต้น
2. ขอบเขตการสนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์
หน่วยงานด้านกิจการภาพยนตร์ดังกล่าว ควรกำหนดแนวทางการสนับสนุนและส่งเสริมที่มีลักษณะยั่งยืน ไม่ใช่ตามวาระการบริหารของรัฐบาล (เช่น อาจเป็นแผนระยะยาว 5 ปี) และ จะต้องไม่เจาะจงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง กล่าวคือ กรอบของการสนับสนุนและส่งเสริมควรครอบคุลมตั้งแต่กระบวนการพัฒนา การผลิต การจัดจำหน่าย การเผยแพร่ ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้สร้าง ผู้จัดจำหน่าย และผู้จัดฉาย (ทั้งโรงหนังและพื้นที่จัดฉายแบบดิจิตอล Streaming platform) มีโอกาสเข้าถึงการสนับสนุนอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม
สำหรับรูปแบบการสนับสนุน สามารถเป็นได้ในรูปของการให้เงินทุน และแบบเสนอลดอัตราภาษีตามกรอบที่กำหนด
อนึ่ง นอกจากทำหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมแล้ว หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของหน่วยงานนี้ก็คือ การสร้างช่องทางในการเผยแพร่หนังในต่างประเทศ ทั้งเชิงพาณิชย์ (สร้างช่องทางพบปะติดต่อระหว่างเจ้าของสิทธิ์หนังและผู้จัดจำหน่ายต่างชาติในตลาดหนังต่างๆ) และเชิงศิลปะวัฒนธรรม (ในรูปของการจัดเทศกาล หรือสัปดาห์ภาพยนตร์ ฯลฯ)
3. บุคลากรที่มีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์
หากพิจารณาจากผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในหน่วยงานสนับสนุนหนังของประเทศชั้นนำทั้ง 4 ประเทศ เราจะพบว่า ทุกคนล้วนมีประสบการณ์โดยตรงกับอุตสาหกรรมหนังของตนเอง หากไม่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับธุรกิจหนัง ก็จะเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เคยดูแลกิจการด้านนี้จนได้รับความไว้วางใจจากคนในวงการ
เริ่มตั้งแต่ โดมินิก บูตงนาต์
การที่หน่วยงานสนับสนุนและส่งเสริมภาพยนตร์ได้ผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรงในการบริหารงานด้านนี้ ไม่ว่าจะมาจากภาคธุรกิจหรือภาคศิลปวัฒนธรรม เข้ามาบริหารองค์กร จะทำให้การกำหนดนโนบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมมีลักษณะเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น