Home Review Anime & Game Review ดาบพิฆาตอสูร ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ (Kimetsu no Yaiba The Movie : Mugen Train) คมดาบที่พิฆาตฝันร้ายของยุคสมัย

ดาบพิฆาตอสูร ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ (Kimetsu no Yaiba The Movie : Mugen Train) คมดาบที่พิฆาตฝันร้ายของยุคสมัย

ดาบพิฆาตอสูร ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ (Kimetsu no Yaiba The Movie : Mugen Train) คมดาบที่พิฆาตฝันร้ายของยุคสมัย

จากความสำเร็จอย่างมหาศาลเมื่อปีที่แล้ว ทางสตูดิโอ Ufotable จึงตัดสินใจที่จะพาบทต่อไปของเหล่ามือพิฆาตอสูรสู่รูปแบบจอเงินทันที ซึ่งการตัดสินใจเช่นนั้นก็เพราะความฮิตถล่มทลายของเวอร์ชั่นซีรีส์และมังงะที่น่าจะพาเรื่องนี้ไปสู่โปรดัคชั่นสเกลใหญ่ขึ้นอย่างหนังโรงได้ ซึ่ง ณ ตอนนี้ หนังทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิศญี่ปุ่นเกินกว่าหมื่นล้านเยนไปแล้ว แม้ว่าตอนฉายโรงภาพยนตร์ในญี่ปุ่นจะยังคงมีมาตรการป้องกันการติดต่อของ covid-19 โดยเว้นตำแหน่งที่นั่งจนเหลือครึ่งนึงก็ตาม โดยทาง JAM หรือ Japan Anime Movie Thailand ผู้คอยจัดจำหน่ายหนังภาพยนตร์อนิเมะเข้าโรงบ้านเราก็ได้นำมาฉายไทยแบบแทบจะต่อจากญี่ปุ่นไม่ถึง 2 เดือนและเป็นอีกหนึ่งความหวังที่จะทำให้บ็อกซ์ออฟฟิศของไทยกลับมาคึกคักในช่วงท้ายปี

เนื่องจากที่ผ่านมาทาง JAM ได้พิสูจน์แล้วว่าตลาดคนดูอนิเมะฉบับหนังโรงที่ไทยนั้นมีอยู่จำนวนไม่น้อย ประกอบกับที่ตอนนี้ธุรกิจสตรีมมิ่งทำให้คนสามารถเข้าถึงอนิเมะแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งอย่างดาบพิฆาตอสูรนั้นสามารถเลือกดูได้ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ทำให้แฟนของอนิเมะและมังงะเรื่องนี้ในไทยนั้นมีจำนวนมากทั้งวัยเด็ก วัยรุ่น และวัยทำงานที่ต่างรอคอยชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาตลอดปีที่ผ่านมา

ดาบพิฆาตอสูร ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ ดำเนินเรื่องต่อจากตอนจบของซีรีส์ซีซั่น 1 ทันที ซึ่งเริ่มจากภารกิจใหม่ที่คามาโดะ ทันจิโร่ และเพื่อน ได้รับจากองค์กรนักล่าอสูร คือไปตรวจสอบ ขบวนรถไฟสายนิรันดร์ ที่มีผู้โดยสารหายไปอย่างลึกลับจำนวนมาก ทางองค์กรจึงคาดว่าเป็นฝีมือของอสูร ซึ่งครั้งนี้มี เสาหลักไฟ เร็นโงคุ เคียวจูโร่ เป็นคนนำทีมเหล่านักล่าอสูรรุ่นน้องในการปราบอสูรร้ายที่รอพวกเขาอยู่บนรถไฟ ซึ่งก็ตามสูตรของอนิเมะแนวโชเน็น (เด็กผู้ชาย) ในตลอด 117 นาทีของหนังเรื่องนี้ สิ่งที่ผู้ชมคาดหวังจะได้รับคือการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างฝั่งพระเอกและผู้ร้าย และผลก็ออกมาว่าไม่ผิดหวังแต่อย่างใด

ในแง่ด้านภาพ โดยปกติแล้วอนิเมะภาคหนังโรงนั้นมีเวลาและทุนสร้างในการผลิตมากกว่าแบบฉายเป็นตอนๆ ทางทีวี ทำให้ภาพนั้นสวยงามปราศจากการเผา การเคลื่อนไหวไหลลื่นทุกเฟรม ฉากแอคชั่นก็จัดเต็มทั้งมุมกล้องและไดนามิกของฉากต่อสู้ที่เป็นจุดขายของสตูดิโอ Ufotable มาช้านาน ซึ่งในเรื่องนี้ก็ถือว่ายกระดับไปอีกขั้นเลยก็ว่าได้ อาจพูดได้เต็มปากว่าน่าจะเป็นภาพยนตร์อนิเมะแนวแอคชั่นสไตล์โชเน็นที่คุณภาพงานสร้างสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงความทุ่นทุน ทุ่มเท ละเอียดพิถีพิถันสมกับเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในด้านนี้ของญี่ปุ่น

ในด้านเนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่หรือชวนเซอร์ไพรซ์ เพราะมันเป็นการดำเนิน Arc หนึ่งหรือบทหนึ่งของเรื่องราวใหญ่ทั้งหมด ซึ่งในขนบสายโชเน็นในหนึ่ง Arc ก็ไม่พ้นโครงสร้างอย่าง การนำตัวเอกไปสู่เซ็ตติ้งใหม่ เจอตัวละครใหม่ ศัตรูใหม่ สู้กับศัตรูอย่างลำบากและเอาชนะได้ในที่สุด อาจจะมีจุดพลิกผันบางอย่างในท้าย Arc เพื่อจะส่งต่อปมไปยัง Arc ต่อไป ทุกอย่างเป็นไปตามสูตรและคาดเดาได้ แต่จุดขายของดาบพิฆาตอสูรนั้นอยู่ที่ความแข็งแรงของการสร้างตัวละคร ตั้งแต่ทันจิโร่ เซ็นอิทสึ อิโนสุเกะ กลุ่มตัวละครเอกที่เรารู้จักดีมาตั้งแต่ภาคทีวีซีซั่นแรกก็ส่วนที่ถูกขยายให้ชัดขึ้น นำแก่นของตัวละครมาใช้ประโยชน์กับเรื่องได้ดี และที่โดดเด่นสุดคงไม่พ้นตัวละครประจำภาคอย่าง เสาหลักไฟ เร็นโงคุ เคียวจูโร่ ที่คนดูมีเวลาไม่มากในการรู้จักเขานักแต่ก็อาศัยการวางหมาก จังหวะเรื่องที่คิดมาอย่างดี บวกกับช่วงดราม่าที่ทางผู้กำกับสามารถขยี้ออกมาได้สุดแบบเอาตาย ทำให้คนดูรู้สึกผูกพัน มีอารมณ์ร่วมกับตัวละครอย่างมาก

ด้วยความที่มังงะต้นฉบับนั้นไม่ได้โดดเด่นด้านงานภาพนัก เลยทำให้ทางสตูดิโอและผู้กำกับมีพื้นที่ในการสร้างสรรค์งานวิช่วลได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากตัวเรื่องและตัวละครจากมังงะนั้นเป็นวัตถุดิบชั้นยอดอยู่แล้ว สิ่งที่ผู้กำกับทำ คือการรีดศักยภาพของทีมสร้างทุกแผนก ทั้งอนิเมเตอร์ CG นักพากย์ คนทำสกอร์ และฝ่ายอื่นๆ ออกมาให้ถึงที่สุด และในเชิงภาษาการเล่าเรื่องก็ต้องขยี้ทุกอย่างที่ควรจะเป็นในอนิเมะ Genre นี้ไปให้ถึงขีดสุดเท่าที่ไปได้ โดยสรุป ดาบพิฆาตอสูร ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ อาจไม่ใช่งานที่พิเศษ โดดเด่น แปลกใหม่กว่าหนังอนิเมะทั่วไป แต่มันเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์อนิเมะทั้งความบันเทิงและคุณภาพงานสร้าง

ความเป็นอนิเมะสายโชเน็นนั้น การสื่อสารธีมมักจะชัดเจน จับต้องได้ง่าย จะเห็นได้ว่าธีมหลักของภาคนี้ชัดเจนตั้งแต่ชื่อภาค Mugen Train หรือขบวนรถไฟนิรันดร์ แต่เนื้อหาภายในเรื่องนั้นเล่นกับความไม่จีรังของทุกสรรพสิ่ง ซึ่งหากมองไปตั้งแต่เซ็ตติ้งของเรื่องคือญี่ปุ่นสมัยไทโช ที่เทคโนโลยีและธรรมเนียมตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลกับสังคมญี่ปุ่นอย่างมาก การมาของสิ่งใหม่ที่ทำให้สิ่งเก่าจากไป อสูรเปรียบเหมือนฝันร้ายของยุคสมัย บางคนที่หวงแหนอดีตอันสวยงามก็เลือกที่จะยอมจำนนกับอำนาจของอสูรที่จะทำให้อยู่กับความฝันอันสวยงามจนไม่ยอมตื่นมาสู้กับอนาคต หรือแม้แต่อสูรเองก็ต้องดิ้นรนต่อสู้กับกระแสของเวลา ถึงจะเป็นอมตะและมีอำนาจมหาศาลแต่ก็ถูกสังหารได้ ถึงจะสังหารเหล่านักล่าอสูรไปมากเท่าไหร่ ก็จะมีนักล่าอสูรรุ่นใหม่ตามมาทำลายตนอยู่ตลอด

สาระสำคัญของภาคนั้นจะออกมาชัดเจนสุดก็ตอนการสู้กันระหว่างสองตัวละครเด่นในตอนท้าย ที่ต่อสู้ด้วยอาวุธและวิชาไปพร้อมๆ กับการต่อสู้ทางความคิด ตัวร้ายฝั่งอสูรนั้นพยายามโน้มน้าวให้นักล่าอสูรทิ้งความเป็นมนุษย์ซะ เพราะมนุษย์นั้นต่อให้เก่งซักแค่ไหน มีพรสวรรค์เพียงใด ก็มีวันที่สังขารโรยรา ขณะที่อสูรนั้นเป็นอมตะอยู่ยงคงกระพัน ซึ่งทางด้านตัวละครฝั่งมนุษย์ก็ยังที่จะยืนยันในวิถีความเป็นมนุษย์ของตนและฝากความหวังไว้กับคนรุ่นใหม่ ว่าจะทำภารกิจของนักล่าอสูรรุ่นพี่ให้สำเร็จลุล่วงในซักวัน

แม้แต่ขบวนรถไฟสายนิรันดร์นั้นยังมีวันที่หยุดวิ่ง ไม่มีสิ่งใดที่ค้ำฟ้าเหนือกาลเวลา ปลายดาบของคนรุ่นใหม่จะมาบั่นคออสูรที่เป็นฝันร้ายของยุคสมัยให้ขาดสะบั้นในซักวัน

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here